ถาม : เวลาเห็นคนใหญ่คนโตในบ้านเมืองได้รับคำชมว่ามีบุญบารมีมากแล้วเกิดความหมั่นไส้
เพราะที่เห็นก็คือได้เป็นใหญ่จากการปั้นน้ำเป็นตัวและห้ำหั่นชิงไหวชิงพริบกัน
ไม่เห็นจะเป็นบุญตรงไหน อยากทราบว่าตัวเองคิดอะไรผิดหรือเปล่าที่ไม่เชื่อเลยว่าการเป็นใหญ่เป็นโตของพวกเขามาจากบุญ
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๑
ดังตฤณ:
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันอย่างชัดเจน ว่า ‘พลังบุญ’ เท่านั้นที่มีอำนาจบันดาลความสุข ความสำเร็จ หรือความสมหวัง เพราะ ‘พลังบาป’ จะให้ผลเป็นตรงข้าม คือบันดาลความทุกข์ ความล้มเหลว และความผิดหวัง กล่าวโดยรวบรัดคือชอบอย่างไรได้อย่างนั้นก็ด้วยผลบุญ เกลียดอย่างไรได้อย่างนั้นก็เพราะผลบาป ไม่มีทางกลับขั้วกันอย่างเด็ดขาด
เรื่องของเรื่องคือมันเป็นไปได้ครับ
ที่คนมีฐานบุญเก่าหนาแน่น อาจเกิดเจตนาชั่วร้าย ทำเรื่องโกงๆ ทำเรื่องแย่ๆ
แล้วก็ประสบความสำเร็จ นั่นเพราะฐานของบุญเก่าของเขามีกำลังมากพอจะผลักดันให้มันสำเร็จ
อย่างคนมีบุญเก่าในทางปัญญา
เช่น เคยให้วิทยาทานไว้มาก หรือเคยบริจาคเงินสร้างโรงเรียนแก่ชุมชนด้อยโอกาส
เขาเกิดใหม่ก็ฉลาดแรง และมีสิทธิ์เป็นพวกร้อนวิชา ถ้าสมัยนี้ก็อาจหลงผิดคิดพลาด
เห็นไปว่าการเขียนโปรแกรมไวรัสเด็ดๆ หรือเจาะกำแพงป้องกันข้อมูลลับได้
จึงนับเป็นเซียนที่น่ายกย่อง และเขาก็ทำสำเร็จจริงๆ
สร้างไวรัสออกมาก่อความวุ่นวายได้จริง หรือทลายด่านป้องกันความลับเพื่อขโมยเงินล้านได้จริง
ถามว่าจารชนคอมพิวเตอร์ดังกล่าวกลายเป็นจอมโปรแกรมเมอร์หรือแฮกเกอร์ตัวยงด้วยบุญหรือบาป? ต้องตอบว่าบุญเก่าช่วยหนุนให้เขาฉลาดพอจะเป็นไปตามปรารถนา
เขาไม่ได้เป็นคนเก่งด้วยการเอาแต่ก่อบาปอย่างที่กำลังทำให้คุณเห็น
แต่จะต้องเคยสร้างบุญไว้ในอดีตลับหูลับตาคุณมาก่อน
อดีตเลือกที่จะเป็นคนดี
แต่ปัจจุบันเลือกที่จะเอาผลของความเป็นคนดีมาทำเรื่องเลวๆ ฟังดูคุ้นไหมครับ? ไม่ต้องรอข้ามชาติ
คุณก็มีสิทธิ์เห็นว่านี่เป็นความจริงที่ปรากฏอยู่ทั่ว หาดูได้ไม่ยากเกินไป
ปัญหาอยู่ตรงที่ไทยเรานั้น
เมื่อพูดถึง ‘คนมีบุญ’ ก็มักนึกถึงพวกที่เคยเป็นกษัตริย์หรือเทวดาในปางก่อน
ดังนั้นคนมีบุญตามความรู้สึกของคนไทย จึงหมายถึงกลุ่มบุคคลแสนดี มีแต่ให้
ใครตกทุกข์ก็ช่วย จะชาติก่อนหรือชาตินี้ต้องเหมือนเดิม เป็นคนเดิม สูงส่งเท่าเดิม แท้จริงแล้วพุทธศาสนาบอกเราว่าไม่มีใครสูงตลอดหรือต่ำตลอด
บุญเก่าที่หนาแน่นอาจเป็นปัจจัยพื้นฐานให้ก่อบาปได้ยิ่งกว่าพวกบุญหนุนน้อยหลายขุมนัก
ดังเช่นที่คุณเห็น
ว่าผู้มีอำนาจวาสนาสามารถครองบ้านครองเมืองนั้น ต้องแย่งชิงอำนาจกัน
ดูเผินๆเหมือนใครโกงเก่งกว่า เล่ห์กลเหนือชั้นกว่า ก็เป็นฝ่ายชนะเลือกตั้ง
นั่นก็เป็นความจริงส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
อย่าลืมว่าคนเราจะมีอำนาจได้ต้องไม่ใช่โกงเป็นอย่างเดียว อย่างน้อยต้องมีบารมีในการเลี้ยงคน
หรืออย่างน้อยต้องมีบุคลิกน่าให้ยอมรับเป็นลูกพี่
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยบุญในการเนรมิตขึ้นมาทั้งสิ้น
คงไม่ใช่ด้วยบาปเก่าอย่างแน่นอน
คนเราหากเป็นแต่โกง
ไม่มีความดีติดตัวอื่นใดเลย อย่างไรก็ไม่มีทางเป็นใหญ่กับใครได้หรอกครับ
มากที่สุดคงเป็นได้แค่มือแจกไพ่ในบ่อนกระจอกเท่านั้น
พุทธเราจะถือว่า
‘มีบุญ’ ก็ต้องหมายถึงมีสมบัติเป็นบุญติดตัวอยู่จริงๆ นั่นคือรู้สึกว่าใจเป็นบุญ
ชอบทำบุญไม่ขาดสาย หาใช่ความนอนใจว่ามีบุญเป็นของตายในมือแน่แล้วเท่านั้น
พระพุทธเจ้าตรัสว่าบุคคลจะได้ชื่อว่ามีที่พึ่งให้แก่ตนเองจริง
ก็ต่อเมื่อมีความเห็นชอบในกรรมวิบากและทางพ้นทุกข์ เป็นผู้ตั้งมั่นในการให้ทาน
เป็นผู้ตั้งมั่นในการรักษาศีล หาใช่ให้วางใจในบุญอย่างใดอย่างหนึ่ง
นั่นเพราะบุญเหมือนน้ำไหล หาใช่ก้อนอะไรก้อนหนึ่งซึ่งแข็งคงที่ถาวรไม่
คนที่ยังขาดความเห็นชอบ อาจทำบุญบางประเภทแทบเลือดตากระเด็น
เช่นใส่บาตรพระทุกเช้าอธิษฐานขอความยิ่งใหญ่ในชาติถัดไป แล้วก็ได้ยิ่งใหญ่จริง
เหลิงบุญเก่าจริง ถางทางไปนรกได้กว้างใหญ่กว่าใครเขา
พุทธเราไม่สรรเสริญบุญอย่างใดอย่างหนึ่งว่าน่าวางใจ
เพราะตราบใดยังประกอบบุญไม่พอจะพบทางพ้นทุกข์ได้เด็ดขาด
ก็ถือว่าบุญยังไม่ถึงขั้น หรือบุญยังน้อยเกินกว่าจะประมาทด้วยกันทั้งสิ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น