วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

อยากลดความอิจฉาตาร้อน (ดังตฤณ)

ถาม : อยากเป็นคนดี แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองเลวทุกทีที่อดอิจฉาคนอื่นไม่ได้ ขอวิธีลดความอิจฉาตาร้อน คอยจ้องริษยาด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องทีครับ

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๒

ดังตฤณ:
 
ถ้าทุกคนมีญาณหยั่งรู้ สามารถทราบได้ถึงเหตุที่ใครต่อใครได้ดีหรือตกยาก น่าเกลียดหรือหล่อสวย รวยหรือจน โชคดีบ่อยหรือโชคร้ายถี่ โลกนี้คงมีการอิจฉาริษยาน้อยลงมากครับ เพราะใจจะเหลือแต่อุเบกขาอันเกิดจากความเห็นตามจริง ว่าใครทำอย่างไร การกระทำของเขาก็ส่งให้มาเสวยผลตามนั้น

กิเลสมนุษย์ทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยาก บางทีเห็นอยู่ชัดๆว่าเพราะเขาขยัน เขาทุ่มเท เขาทำงาน เขาต่อสู้อุปสรรค จึงประสบความสำเร็จ สอบได้ที่หนึ่ง หรือทำงานได้ตำแหน่งใหญ่โต เห็นเหตุเห็นผลชัดๆอย่างนี้ก็ยังไม่วายอิจฉาตาร้อน จะป่วยกล่าวไปไยถึงคนที่รู้สึกว่าด้อยกว่าคุณ ทั้งขี้เกียจ ทั้งเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทั้งหนักไม่เอาเบาไม่สู้ แต่กลับได้ดีกว่าทุกด้าน หน้าก็หล่อ เมียก็สวย บ้านก็รวย แน่นอนคุณต้องคิดว่านี่มันอะไรกัน ทำไมโลกช่างหาความยุติธรรมไม่ได้เอาเลย เมื่อยังไม่อาจมีญาณหยั่งทราบเรื่องกรรมวิบากข้ามภพข้ามชาติ ก็ต้องใช้วิธีตรงไปตรงมาครับ นั่นคือให้เพ่งโทษ เพ่งพิจารณาถึงแง่ลบของความอิจฉาริษยา เช่น

๑) ดูจิตขณะอิจฉา คือดูเข้ามาตรงๆให้เห็นสภาพจิตใจตนเองขณะอิจฉาริษยา ถามตัวเองว่าเย็นหรือร้อน ถามตัวเองว่าอึดอัดหรือสบาย ถามตัวเองว่ากระวนกระวายหรือสงบสุข อย่าไปเพ่งเรื่องดีเรื่องเลวนะครับ แล้วก็อย่าไปพยายามห้ามใจไม่ให้อิจฉาเอาดื้อๆ เพราะจะทรมานใจเปล่าเมื่อหยุดไม่ได้

การที่คุณยอมรับตามจริง ตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ทราบชัดว่ากำลังร้อน กำลังอึดอัด กำลังกระวนกระวาย จะเป็นชั่วขณะของการเกิดสติ คือมีความระลึกรู้ได้ว่าขณะนี้จิตกำลังอยู่ในสภาพย่ำแย่

แม้ว่าในความมีสติรู้เห็นเช่นนั้น ความคิดริษยายังไม่หยุดตัวลง แต่อย่างน้อยก็มีความชะงักงันชั่วขณะ ชะงักที่ได้รู้ว่าผลของความคิดริษยาคือร้อน อึดอัด กระวนกระวาย ตลอดจนเกิดแรงดันอยากทำอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง คล้ายเป็นผู้ร้าย ไม่ใช่พระเอก

ไม่ว่าคุณจะเห็นความร้อน ความอึดอัด หรือความกระวนกระวาย คุณจะเกิดปัญญาขึ้นมาทีละนิดทุกครั้ง ว่าสภาพนั้นๆไม่ใช่ของดี ไม่ใช่ของน่ายึด การที่จิตรู้สึกอยู่บ่อยๆว่าอะไรไม่ดี อะไรไม่น่าเอา ในที่สุดจิตจะเริ่มฉลาดเอง ปล่อยวางความยึดสิ่งนั้นไปเอง

ผลลัพธ์ในระยะยาวนะครับ เมื่อใดคุณอิจฉาริษยา เกิดความเร่าร้อนในอกในใจขึ้นมา จิตจะไม่โจนทะยานออกไปให้ความร่วมมือกับตัวอิจฉา จะไม่เพ่งจ้องบุคคลอันเป็นที่ตั้งของความอิจฉาแบบไม่ถอนสายตา ทว่าจะเห็นความเปล่าประโยชน์ของสภาพจิตใจตัวเอง ฉุกคิดว่าจะร้อนเปล่าไปทำไม อึดอัดเปล่าไปทำไม กระวนกระวายเปล่าไปทำไม

ชั่ววูบแห่งความระลึกได้เช่นนั้น คุณจะเห็นความอิจฉาริษยาดับไป ยิ่งเห็นวูบแห่งความดับได้ชัดเท่าไร ใจก็จะยิ่งโปร่งสบายขึ้นเท่านั้น ธรรมชาติของจิตเขาชอบความสบาย ในที่สุดเขาจะเลิกหาเรื่องอึดอัดใส่ตัว พูดง่ายๆคือหยุดหาเหาใส่หัวเสียที

ย้ำว่าห้ามไปพยายามเบรกตัวเองนะครับ เมื่อรู้ตัวว่าเกิดความอิจฉา อย่าไปสู้กับมัน ตามดูตามรู้ เฝ้าสังเกตอย่างมีสติก็พอ ว่าในอกในใจมันร้อน อึดอัด หรือกระวนกระวายเพียงใด การเห็นความไม่เที่ยงของอาการทางใจ จะทำให้คุณว่างหายสบายอกขึ้นได้เอง

๒) เพ่งโทษความอิจฉา คือพิจารณาให้เห็นโทษของความอิจฉาริษยา กล่าวคือสะกดรอยตามว่าความอิจฉาแตกแขนงออกเป็นนิสัยเสียอื่นๆได้แค่ไหน

อย่างเช่นคนที่สนุกกับการยุยงให้คนอื่นตีกัน เพียงเพราะทนไม่ได้ที่เห็นคนดีมีความสามารถเขาร่วมมือร่วมใจทำกิจอันเป็นมหากุศล การยุให้คนเขาตีกันหรือแตกคอกัน เพียงเพื่อจะได้สะใจ ไม่มีใครดีกว่าตัวเอง ผลคือจะไม่ได้อยู่เป็นสุข ต้องทะเลาะเบาะแว้ง ต้องตีกับคนใกล้ตัวไม่เลิกรา

ผมเคยรู้จักผัวเมียคู่หนึ่ง สองคนนี้นิสัยอย่างอื่นต่างกันหมด เหมือนอยู่อย่างเดียวคือชอบยุให้ชาวบ้านเขาผิดใจกัน ตั้งคำถามเพื่อเอาคำตอบจากคนหนึ่ง แล้วใส่สีตีไข่คำตอบนั้นเพื่อเอาไปกระแทกหูอีกฝ่ายให้เกิดความเจ็บใจ ผลที่เกิดขึ้นจับจิตของผัวเมียคู่นี้โดยตรงคือคุยกันไม่รู้เรื่อง ฝ่ายหนึ่งพยายามพูดอธิบายไปทาง อีกฝ่ายกลับเข้าใจไปอีกทาง และนับวันยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ไม่สมเหตุสมผลขึ้นเรื่อยๆ

ความรุ่มร้อนอันเกิดจากความไม่เข้าใจกัน พูดจากันไม่รู้เรื่องระหว่างคนในบ้านนั้น ถ้าใครเคยมีประสบการณ์คงเข้าใจนะครับว่าเป็นทุกข์ใหญ่หลวงเพียงใด เปิดประตูเข้าบ้านเหมือนเปิดประตูเอาตัวเข้าเตาอบดีๆนี่เอง

เรื่องของเรื่องคือผัวเมียคู่นี้เข้ากันไม่ได้ตั้งแต่เริ่ม ตอนแรกเห็นข้อดีบางอย่างเช่นชอบธรรมะเหมือนกัน ก็น่าจะไปกันได้ อยู่ดีมีสุขร่วมกันได้ ทว่ายิ่งอยู่ด้วยกันนานขึ้นเท่าไร ความแตกต่างก็ยิ่งฉีกสองคนห่างจากกันมากขึ้นเท่านั้น ทำอะไรก็เหมือนผิดไปหมด โง่ไปหมด

คราวนี้พอเห็นคนอื่นเขาอยู่ร่วมกันดีๆ มีความปรองดอง ก็เกิดความอิจฉาริษยา พอปล่อยให้อำนาจความอิจฉาริษยาเข้าครอบงำจิตใจเต็มที่ ก็เกิดแรงขับดัน อยากยุให้รำตำให้รั่ว เห็นเขาแตกคอกันแล้วมีความสุข

ผลกรรมที่เห็นทันตาของการยุยงที่สำเร็จ คือใจเพ่งโทษกันและกันหนักขึ้นหลายเท่า ที่สำคัญคือได้ชื่อว่าก่อกรรมผูกมัดตัวเข้ากับเส้นทางเดิมๆ เมื่อเกิดชาติหน้าผัวเมียคู่นี้ก็ต้องเจอกันอีก และถูกกรรมเก่าดลใจให้มาผูกติดกันอีก เพื่อทะเลาะเบาะแว้งกัน เห็นความเข้ากันไม่ได้ และงุนงงว่าทำไมถึงต้องมาอยู่ด้วยกันอย่างนั้น


ความอิจฉาริษยาเป็นรากของการมีศัตรู ไม่ใช่มีมิตร เป็นรากแห่งการทำลาย ไม่ใช่สร้างสรรค์ เป็นรากของความเดือดร้อนรำคาญจิต ไม่ใช่ความเยือกเย็นสบายใจ เป็นรากของความทุกข์ ไม่ใช่ความสุข พิจารณาเห็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ในที่สุดคุณจะเลิกตามใจตัวเอง พออิจฉาริษยาขึ้นมาเมื่อไร จิตจะไม่พลอยเอออวยเข้าร่วมพวกด้วยอีกต่อไปครับ


** IG **

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น