ถาม : อยากเป็นคนดี
แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองเลวทุกทีที่อดอิจฉาคนอื่นไม่ได้ ขอวิธีลดความอิจฉาตาร้อน
คอยจ้องริษยาด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องทีครับ
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๒
ดังตฤณ:
ถ้าทุกคนมีญาณหยั่งรู้ สามารถทราบได้ถึงเหตุที่ใครต่อใครได้ดีหรือตกยาก น่าเกลียดหรือหล่อสวย รวยหรือจน โชคดีบ่อยหรือโชคร้ายถี่ โลกนี้คงมีการอิจฉาริษยาน้อยลงมากครับ เพราะใจจะเหลือแต่อุเบกขาอันเกิดจากความเห็นตามจริง ว่าใครทำอย่างไร การกระทำของเขาก็ส่งให้มาเสวยผลตามนั้น
กิเลสมนุษย์ทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยาก
บางทีเห็นอยู่ชัดๆว่าเพราะเขาขยัน เขาทุ่มเท เขาทำงาน เขาต่อสู้อุปสรรค
จึงประสบความสำเร็จ สอบได้ที่หนึ่ง หรือทำงานได้ตำแหน่งใหญ่โต
เห็นเหตุเห็นผลชัดๆอย่างนี้ก็ยังไม่วายอิจฉาตาร้อน
จะป่วยกล่าวไปไยถึงคนที่รู้สึกว่าด้อยกว่าคุณ ทั้งขี้เกียจ ทั้งเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ
ทั้งหนักไม่เอาเบาไม่สู้ แต่กลับได้ดีกว่าทุกด้าน หน้าก็หล่อ เมียก็สวย บ้านก็รวย
แน่นอนคุณต้องคิดว่านี่มันอะไรกัน ทำไมโลกช่างหาความยุติธรรมไม่ได้เอาเลย
เมื่อยังไม่อาจมีญาณหยั่งทราบเรื่องกรรมวิบากข้ามภพข้ามชาติ
ก็ต้องใช้วิธีตรงไปตรงมาครับ นั่นคือให้เพ่งโทษ
เพ่งพิจารณาถึงแง่ลบของความอิจฉาริษยา เช่น
๑) ดูจิตขณะอิจฉา
คือดูเข้ามาตรงๆให้เห็นสภาพจิตใจตนเองขณะอิจฉาริษยา ถามตัวเองว่าเย็นหรือร้อน
ถามตัวเองว่าอึดอัดหรือสบาย ถามตัวเองว่ากระวนกระวายหรือสงบสุข
อย่าไปเพ่งเรื่องดีเรื่องเลวนะครับ แล้วก็อย่าไปพยายามห้ามใจไม่ให้อิจฉาเอาดื้อๆ
เพราะจะทรมานใจเปล่าเมื่อหยุดไม่ได้
การที่คุณยอมรับตามจริง
ตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ทราบชัดว่ากำลังร้อน กำลังอึดอัด กำลังกระวนกระวาย
จะเป็นชั่วขณะของการเกิดสติ
คือมีความระลึกรู้ได้ว่าขณะนี้จิตกำลังอยู่ในสภาพย่ำแย่
แม้ว่าในความมีสติรู้เห็นเช่นนั้น
ความคิดริษยายังไม่หยุดตัวลง แต่อย่างน้อยก็มีความชะงักงันชั่วขณะ
ชะงักที่ได้รู้ว่าผลของความคิดริษยาคือร้อน อึดอัด กระวนกระวาย
ตลอดจนเกิดแรงดันอยากทำอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง คล้ายเป็นผู้ร้าย ไม่ใช่พระเอก
ไม่ว่าคุณจะเห็นความร้อน
ความอึดอัด หรือความกระวนกระวาย คุณจะเกิดปัญญาขึ้นมาทีละนิดทุกครั้ง
ว่าสภาพนั้นๆไม่ใช่ของดี ไม่ใช่ของน่ายึด
การที่จิตรู้สึกอยู่บ่อยๆว่าอะไรไม่ดี อะไรไม่น่าเอา ในที่สุดจิตจะเริ่มฉลาดเอง
ปล่อยวางความยึดสิ่งนั้นไปเอง
ผลลัพธ์ในระยะยาวนะครับ
เมื่อใดคุณอิจฉาริษยา เกิดความเร่าร้อนในอกในใจขึ้นมา
จิตจะไม่โจนทะยานออกไปให้ความร่วมมือกับตัวอิจฉา จะไม่เพ่งจ้องบุคคลอันเป็นที่ตั้งของความอิจฉาแบบไม่ถอนสายตา
ทว่าจะเห็นความเปล่าประโยชน์ของสภาพจิตใจตัวเอง ฉุกคิดว่าจะร้อนเปล่าไปทำไม
อึดอัดเปล่าไปทำไม กระวนกระวายเปล่าไปทำไม
ชั่ววูบแห่งความระลึกได้เช่นนั้น
คุณจะเห็นความอิจฉาริษยาดับไป ยิ่งเห็นวูบแห่งความดับได้ชัดเท่าไร
ใจก็จะยิ่งโปร่งสบายขึ้นเท่านั้น ธรรมชาติของจิตเขาชอบความสบาย
ในที่สุดเขาจะเลิกหาเรื่องอึดอัดใส่ตัว พูดง่ายๆคือหยุดหาเหาใส่หัวเสียที
ย้ำว่าห้ามไปพยายามเบรกตัวเองนะครับ
เมื่อรู้ตัวว่าเกิดความอิจฉา อย่าไปสู้กับมัน ตามดูตามรู้
เฝ้าสังเกตอย่างมีสติก็พอ ว่าในอกในใจมันร้อน อึดอัด หรือกระวนกระวายเพียงใด
การเห็นความไม่เที่ยงของอาการทางใจ จะทำให้คุณว่างหายสบายอกขึ้นได้เอง
๒) เพ่งโทษความอิจฉา
คือพิจารณาให้เห็นโทษของความอิจฉาริษยา
กล่าวคือสะกดรอยตามว่าความอิจฉาแตกแขนงออกเป็นนิสัยเสียอื่นๆได้แค่ไหน
อย่างเช่นคนที่สนุกกับการยุยงให้คนอื่นตีกัน
เพียงเพราะทนไม่ได้ที่เห็นคนดีมีความสามารถเขาร่วมมือร่วมใจทำกิจอันเป็นมหากุศล
การยุให้คนเขาตีกันหรือแตกคอกัน เพียงเพื่อจะได้สะใจ ไม่มีใครดีกว่าตัวเอง
ผลคือจะไม่ได้อยู่เป็นสุข ต้องทะเลาะเบาะแว้ง ต้องตีกับคนใกล้ตัวไม่เลิกรา
ผมเคยรู้จักผัวเมียคู่หนึ่ง
สองคนนี้นิสัยอย่างอื่นต่างกันหมด
เหมือนอยู่อย่างเดียวคือชอบยุให้ชาวบ้านเขาผิดใจกัน
ตั้งคำถามเพื่อเอาคำตอบจากคนหนึ่ง
แล้วใส่สีตีไข่คำตอบนั้นเพื่อเอาไปกระแทกหูอีกฝ่ายให้เกิดความเจ็บใจ
ผลที่เกิดขึ้นจับจิตของผัวเมียคู่นี้โดยตรงคือคุยกันไม่รู้เรื่อง
ฝ่ายหนึ่งพยายามพูดอธิบายไปทาง อีกฝ่ายกลับเข้าใจไปอีกทาง
และนับวันยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ไม่สมเหตุสมผลขึ้นเรื่อยๆ
ความรุ่มร้อนอันเกิดจากความไม่เข้าใจกัน
พูดจากันไม่รู้เรื่องระหว่างคนในบ้านนั้น
ถ้าใครเคยมีประสบการณ์คงเข้าใจนะครับว่าเป็นทุกข์ใหญ่หลวงเพียงใด
เปิดประตูเข้าบ้านเหมือนเปิดประตูเอาตัวเข้าเตาอบดีๆนี่เอง
เรื่องของเรื่องคือผัวเมียคู่นี้เข้ากันไม่ได้ตั้งแต่เริ่ม
ตอนแรกเห็นข้อดีบางอย่างเช่นชอบธรรมะเหมือนกัน ก็น่าจะไปกันได้
อยู่ดีมีสุขร่วมกันได้ ทว่ายิ่งอยู่ด้วยกันนานขึ้นเท่าไร ความแตกต่างก็ยิ่งฉีกสองคนห่างจากกันมากขึ้นเท่านั้น
ทำอะไรก็เหมือนผิดไปหมด โง่ไปหมด
คราวนี้พอเห็นคนอื่นเขาอยู่ร่วมกันดีๆ
มีความปรองดอง ก็เกิดความอิจฉาริษยา
พอปล่อยให้อำนาจความอิจฉาริษยาเข้าครอบงำจิตใจเต็มที่ ก็เกิดแรงขับดัน
อยากยุให้รำตำให้รั่ว เห็นเขาแตกคอกันแล้วมีความสุข
ผลกรรมที่เห็นทันตาของการยุยงที่สำเร็จ
คือใจเพ่งโทษกันและกันหนักขึ้นหลายเท่า
ที่สำคัญคือได้ชื่อว่าก่อกรรมผูกมัดตัวเข้ากับเส้นทางเดิมๆ
เมื่อเกิดชาติหน้าผัวเมียคู่นี้ก็ต้องเจอกันอีก
และถูกกรรมเก่าดลใจให้มาผูกติดกันอีก เพื่อทะเลาะเบาะแว้งกัน เห็นความเข้ากันไม่ได้
และงุนงงว่าทำไมถึงต้องมาอยู่ด้วยกันอย่างนั้น
ความอิจฉาริษยาเป็นรากของการมีศัตรู
ไม่ใช่มีมิตร เป็นรากแห่งการทำลาย ไม่ใช่สร้างสรรค์
เป็นรากของความเดือดร้อนรำคาญจิต ไม่ใช่ความเยือกเย็นสบายใจ เป็นรากของความทุกข์
ไม่ใช่ความสุข พิจารณาเห็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ในที่สุดคุณจะเลิกตามใจตัวเอง
พออิจฉาริษยาขึ้นมาเมื่อไร จิตจะไม่พลอยเอออวยเข้าร่วมพวกด้วยอีกต่อไปครับ
** IG **
** IG **
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น