วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทางนฤพาน บทที่ ๒๕ นางฟ้า

บทที่ ๒๕  นางฟ้า

 อ่านบทความที่แล้ว


เมื่อฝ่าฝูงนักข่าวกลับจากสถานีตำรวจได้ เกาทัณฑ์ก็มาเอนกายบนเตียงนอนในห้องพัก เคว้งงงจนคิดนึกอะไรไม่ออกสักอย่าง ลืมแม้วันนัดไปรับศพคืนจากนิติเวชมาตั้งบำเพ็ญกุศล รอบกายดูวังเวงและทุกสิ่งคล้ายร่วมสงบรำลึกรู้ ว่าความเป็นเรือนแก้วลับกายหายเงียบไปจากโลกนี้แล้วชั่วนิรันดร์

แทบลืมว่าตนชื่ออะไร รู้จักใครบ้าง พรุ่งนี้ควรทำอะไรต่อไปแค่ไหน ได้แต่ผล็อยหลับลงอย่างเหนื่อยอ่อน และบอกตนเองว่าอยากหลับไปอีกนานๆ นานเท่านาน...

ในความฝันอันครอบงำด้วยความรันทดและกระแสเหงาเศร้ากัดกินไปถึงขั้วหัวใจ กลุ่มความคิดปั่นป่วนหลายสายแยกย้ายกันสวนสนามในหัว เพาะอุปาทานให้เติบเต็มรูปขึ้นจนหลอกหลอนได้ราวกับภูตผีปีศาจมาล้อม เป็นเค้าเงาอลหม่าน ผลัดเรียงกันกรีดหัวเราะแหลมใส่ อย่างจะสมน้ำหน้ากับการสูญเสียที่เรียกคืนไม่ได้ครั้งนี้

คล้ายถูกแกล้งให้จ่อมจมซมทุกข์ในความครึ่งหลับครึ่งตื่นไม่เลิกรา ในหัววนเวียนอยู่แต่ภาพเรือนแก้วนั่งตายอย่างสุขสงบ คลี่มุมปากออกราวกับต้องการยิ้มฝากความถึงเขาเพียงคนเดียว ฝากไว้ในหน้าว่าหล่อนไม่โทษที่เขาไปช้า ช่วยชีวิตหล่อนไม่ได้ กับทั้งทำใจได้แล้วกับการอยู่ตามลำพังโดยปราศจากอ้อมแขนปกป้องของเขา

เคยรู้ตัวว่ารักเรือนแก้ว แต่เพิ่งรู้ซึ้งเดี๋ยวนี้ว่ารักมากแค่ไหน ความร้าวที่เซาะลึกลงไปทีละชั้นจนสุดอกสุดใจได้เผยสิ่งที่เคยสลัวเลือนออกแจ้งสิ้น หมดความเคลือบแคลงแล้วว่าปรารถนาจะยกหล่อนไว้ในฐานะใด หากมีโอกาสอีกครั้ง เขาจะไม่ปล่อยให้หล่อนอยู่คนเดียวอีกเลย

วกวนทรมานกับฝันหลอนนานจนถึงช่วงเวลาหนึ่ง คล้ายมีผ้าห่มหนักๆทิ้งตัวลงคลุมกาย สำนึกคิดอ่านปฏิรูปเป็นสายลมที่ถูกกระชากวูบออกจากร่าง ยินเสียงอู้เต็มสองหู จิตใจเป็นอิสระจากพันธนาการ คลายตัวจากการรึงรัดของความโศกเศร้าอาลัยสิ้นเชิง

เมื่อเปิดตาขึ้นอีกครั้งในละอองฉ่ำเย็นของค่ำคืน ก็เห็นตนเองเต้นรำกับเรือนแก้วกลางทะเลทราย ในราตรีดารดาษดาวที่เสี้ยวจันทร์สีเงินยวงห้อยค้าง ณ ปลายฝั่งฟ้าด้านไกล รู้สึกถึงสายลมเย็นเฉียบที่รำเพยพัดผิวกาย พร้อมทั้งสัมผัสสายใยระหว่างใจอันอ่อนอุ่นของตนและคนรัก เวิ้งอากาศกว้างสุดลูกหูลูกตาดูวังเวงระคนดูดดื่มจนชวนให้คิดฉงนว่าดินแดนเช่นนี้มีด้วยหรือในโลกใบเดียวกับที่เขาอาศัย

ปริมณฑลอันมีเขากับเรือนแก้วเคลื่อนไหวผ่านนั้น อาบไล้ด้วยแสงครามงามประหลาด เห็นเฉพาะร่างแต่ละฝ่ายถนัด ทั้งที่ปราศจากต้นแสงในบริเวณใกล้ ราวกับกายของกันและกันนั่นเองเป็นที่มาของรัศมีรำไร

กลิ่นหอมหวานรวยรินขึ้นมาจากทรวงอกของหญิงสาว ไม่มีใครเลยนอกจากเขากับหล่อนที่ล่องเลื่อนลีลาศอยู่ในลีลาวอลต์ซ กับลำนำพาเพลินที่กระจายมาจากทุกทิศทาง ราวกับข่ายคลื่นเสนาะโสตกำเนิดขึ้นจากทุกอณูอากาศใกล้ไกล ฟังผิวเผินคล้ายการเข้าคู่ระหว่างเปียโนกับไวโอลิน แต่นานไปพอชักคุ้น ก็รู้สึกถึงกังวานหวานนุ่มลุ่มลึกที่เกินสภาพเครื่องเคาะและเครื่องสายใดจะบันดาลส่ำเสียงเช่นนั้นได้

“แอ้...ผมกำลังฝันอยู่เหรอ?”

นั่นเป็นระลอกสติที่ผุดโพลงขึ้นในขณะย่างและหยุดเข้าจังหวะ ประมวลภาพ เสียง กลิ่น และสัมผัสอันพึงปรารถนารวมกันเป็นรสอมฤตที่ไกลเกินแม้ฝันอันเคยดื่มลึกสุดใจ ร่างงามตรงหน้าผุดผาดในชุดราตรีเลื่อมระยับประดับสร้อยมุกขาว เนตรงามเป็นประกายกระจ่างทอดสนิทจับเขานิ่ง กลีบปากระบายพรายยิ้มจับจิต หล่อนครางตอบคำถามเพียงแผ่ว คล้ายขบขันเขาอยู่ในที

“อื้อม์”

“นี่หรือสวรรค์?”

เรือนแก้วส่ายหน้า

“ดินแดนในฝันต่างหาก”

เกาทัณฑ์ลืมเรื่องสถานที่ ยกมือขึ้นไล้เส้นผมที่บัดนี้ยืดยาวและทิ้งตัวลงห่มเกือบเต็มแผ่นหลังดุจผ้าคลุมผืนงาม สัมผัสถึงความละเมียดยิ่งกว่าแพไหม อดใจไม่อยู่ต้องช้อนยกขึ้น แล้วก้มลงสูดกลิ่นหอมเข้าเต็มอก

“ผมชอบให้แอ้ไว้ยาวอย่างนี้แหละ ดีกว่าตอนสั้นตั้งแยะ”

เรือนแก้วทำปากเชิดหน่อยๆ

“เพราะรู้ไงว่าเธอชอบผู้หญิงผมยาวมากกว่าฉัน เลยมาหาทั้งอย่างนี้มั่ง เผื่อจะได้รับความเหลียวแลมากกว่าเดิม”

ชายหนุ่มยินหางเสียงตัดพ้อนั้นแล้วร้อนใจ รีบกล่าวปฏิเสธ

“ผมไม่ได้รักใครมากกว่าแอ้เลย”

“เท่ากันก็ไม่เอา เธอต้องรักฉันคนเดียว!”

เกาทัณฑ์ส่ายหน้าอัดอั้น อับจนด้วยถ้อยคำ

“ช่างเถอะ!” หญิงสาวเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยสำเนียงขื่นขม “มันเป็นอย่างนี้มานานแล้วล่ะ”

ต่างฝ่ายต่างแลลึกลงไปในตาของอีกฝ่าย สุขเศร้าเคล้าคละยากจำแนก

“ผมเสียใจ”

เขาเอ่ยอย่างทดท้อ และหมายความตามนั้นจริงๆ ยังผลให้นิลเนตรทอแววหม่น

“เจ้าค่ะ คงได้เสียใจตามๆกันอีกนานล่ะ”

เกาทัณฑ์เชยคางหล่อนให้เงยขึ้น

“อย่าพูดอย่างนี้เลย แอ้คงไม่ย้อนกลับมาหาเพื่อทิ่มแทงผมให้เจ็บยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ใช่ไหม?”

“แค่พูดเรื่องจริงเท่านั้นแหละ”

แล้วหล่อนก็เหลือบตาลงต่ำคล้ายเหม่อไป ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง

“ทำให้รับรู้และเชื่อมั่นจนหมดห่วงหน่อยเถอะว่าเรากำลังคุยกันอยู่จริงๆ ไม่ใช่ว่าผมฝันเพ้อไปคนเดียว”

“ต้องการให้เป็นยังไงล่ะ?”

“ทำให้ผมตื่นและเห็นแอ้ด้วยตาเปล่า กอดแอ้ด้วยเนื้อหนังของตัวเอง”

หญิงสาวสั่นศีรษะน้อยๆ

“แค่นี้แหละพอดีตัวเธอแล้ว”

เกาทัณฑ์ถอนใจ เขากำลังเต็มตื่นอยู่ในอีกมิติหนึ่ง มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ผู้หญิงตรงหน้าดูมีชีวิตจิตใจให้สัมผัสรู้เกินกว่าจะให้เข้าใจว่านี่คืออุปาทานเพ้อพกชั่วครู่

แต่ก็รู้ว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้น เขาจะก้ำกึ่งลังเลว่านี่จริงหรือฝันกันแน่ ลองเลื่อนฝ่ามือข้างที่แตะเอวหล่อนไล้ไปตามแนวสีข้างโค้งคอดกิ่ว ระเรื่อยไปถึงลอนสะโพกกลมมนอย่างจะทดสอบความแจ่มชัด ไม่มีอะไรผิดแผกแตกต่างจากของจริงขณะตื่นเลยแม้แต่น้อย ที่ซ่อนอยู่ใต้ชุดราตรีคือเนื้อหนังมังสาอันนุ่มแน่นของอิสตรีผู้มีชีวิตจิตใจเป็นตัวของตัวเอง มิใช่ของหลอก ของปรุงแต่งลมแล้งในนิทรารมณ์แต่อย่างใด

เรือนแก้วเพ่งจ้องเกาทัณฑ์นิ่ง ปล่อยให้เขาลูบไล้ตามความพอใจโดยไม่ปิดป้อง ได้แต่ขึงตาส่งแต่แววปรามและกระแสห้ามชนิดหนึ่งเมื่อเห็นคนรักชักเพลินจนเลยเถิด เกาทัณฑ์รู้สึกคล้ายมือเป็นเหน็บหนักอึ้งกะทันหัน ต้องย้ายกลับมาแตะเอวในเชิงลีลาศตามเดิม ตระหนักทันทีว่าใครเป็นใคร ตนมีขอบเขตอาจเอื้อมกล้ำกรายเพียงจำกัดเท่าใด

ยิ้มเฝื่อนและเสถามเก้อๆ

“ขอบใจนะที่มาให้พบ ผมคงหายเศร้าเสียที ความจริงเห็นศพแอ้ก็รู้แหละว่าไปดี แต่บอกหน่อยได้ไหมตอนนี้อยู่ไหน?”

“ถ้าบอกว่าสิงสู่อยู่ในห้องของเธอจะกลัวไหม?”

“ไม่เลย จะยินดีต้อนรับจริงๆ อยากอยู่ตลอดไปก็ได้”

“ผู้หญิงคนไหนผ่านประตูเข้ามาแอ้จับหักคอหมดนะ!”

เกาทัณฑ์ถอนใจทำหน้าเมื่อย

“แอ้...ผมไม่รู้จะพูดยังไงถูก ถ้าเรารักใครจนสามารถซึมซับความเจ็บปวดของเขาได้เท่ากับหรือมากกว่า ก็เชื่อเถอะว่าผมต้องเจ็บยิ่งกว่าแอ้เป็นสองเท่า หากย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ ผมก็อยากดูว่าสามารถทำอะไรบ้างเพื่อให้ทุกคนเป็นสุขในทางของตัวเอง”

นัยน์ตาเรือนแก้วกลับสงบนิ่งอย่างผู้ถึงซึ่งรสแห่งอุเบกขา เค้าหน้าดูอ่อนละมุนอย่างประหลาด แม้มองผาดก็เห็นว่าผิดแผกแตกต่างจากเรือนแก้วคนเดิมที่เขาเคยคุ้นยิ่ง

“เต้...ไม่ต้องพยายามอธิบายหรอก เมื่อกี้พูดเล่นน่ะ ตอนนี้ฉันเลิกมองแบบปุถุชนในโลกแล้วล่ะนะ มันมีมุมมองอีกอย่างหนึ่งที่เห็นด้วยตามนุษย์ไม่ได้ นั่นคือแต่ละคนที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตเรา ไม่ใช่จู่ๆเพิ่งโผล่มาแบบไร้ต้นสายปลายเหตุ ถ้าตัดรูปร่างหน้าตาของแต่ละอัตภาพออกไป ฉัน เธอ และเขา ก็คือกระแสวิญญาณที่ร่วมก่อเหตุการณ์ให้เกิดความผูกพันดีร้ายมาสารพัด จะให้ต่างคนต่างอยู่ ต่างไปนั้น สายเสียแล้ว”

เกาทัณฑ์ขบริมฝีปาก

“ทำกรรมเวรทำกรรมร่วมกันไว้แค่ไหนหรือ? เสียดายที่เราเข้าถึงกันไม่ได้แต่แรก ทุกอย่างคงง่ายขึ้นถ้า...”

“จะโทษว่าแอ้เล่นตัวล่ะซี อย่ามาว่าเลย ถึงได้ฉันไปง่ายๆ ในที่สุดเธอก็ต้องไปข้องแวะกับน้องคนนั้นอยู่ดี เจ้าชู้อย่างนี้น่ะ”

“ไม่เกี่ยวกันหรอก ผมรู้ตัว จริงๆนะแอ้ ถ้าแอ้คบหากับผมชัดเจนคนเดียว ผมจะติดหลงและรักแอ้คนเดียวเหมือนกัน”

ได้ยินเช่นนั้น ดวงจิตที่สงบก็แปรไปเล็กน้อย สะท้อนออกด้วยกิริยาถลึงตาแหวใส่

“เอ๊ะ! พูดให้ดีๆนะ นี่กำลังหาว่าแอ้หว่านเสน่ห์ ให้ท่า อ่อยเหยื่อทิ้งไว้ทั่วรึไง?”

“บอกสิว่าเปล่า”

เรือนแก้วนิ่งอั้นเป็นครู่ ก่อนกล่าวสะบัดนิดๆ

“ช่วยไม่ได้! เกิดมาสวยก็อย่างนี้แหละ ทำให้คนอื่นรักน่ะแสนง่าย แต่ทำให้ใจตัวเองรักใครสักคนนี่...”

“นั่นแหละที่น่าแปลกใจ ไหนแอ้ว่าเราผูกพันกันมาช้านาน ทำไมพบผมแล้วไม่ปักใจแต่แรกด้วยสัญญาณฝ่ายดีเก่าๆบ้างล่ะ?”

หากเป็นผู้หญิงธรรมดา ก็คงตอบว่าไม่รู้ซี เรื่องของใจนั้นพูดยาก แต่ด้วยสภาวะเหนือโลกของเรือนแก้ว หล่อนตอบได้ทันทีโดยไม่ติดขัด

“ถ้าย้อนระลึกไปสำรวจความรู้สึกตัวเธอเอง ก็จะเห็นว่ามีเมฆหมอกห่อหุ้มอยู่บางๆเหมือนกันแหละน่า จริงอยู่ ฉันกับเธอทั้งผูกพันแน่นแฟ้น และทั้งทำบุญร่วมกันตั้งมากมาย กระทั่งรู้สึกได้ถึงความเป็นคนพิเศษของกันและกัน แต่คาบเวลาช่วงใกล้นี้เราร่วมก่อกรรมทำเข็ญไว้ไม่น้อย ผูกเวรกับคนโน้นคนนี้ดะ ช่วยกันฆ่าเขาก็มาก เหล่านั้นแหละปฏิรูปเป็นสัญญาณรบกวน กีดกันไม่ให้ใจสัมผัสสนิท แล้วบอกให้นะ ถึงถ้าฉันไม่ตาย ได้อยู่กินกับเธอ วิบากที่เคยร่วมทำให้คนอื่นเจ็บปวดทรมาน ก็จะบันดาลให้รักกันแบบระหองระแหง มีเรื่องขัดใจกันไปเรื่อย

ต่างกับที่เธอรู้สึกกับอีกคน นึกรักแต่แรกพบ อยากหมั้นหมายตบแต่งปุบปับ ทั้งที่เห็นความแตกต่าง และแทบไม่รู้จักกันสนิทเท่าไหร่ นั่นก็เพราะคาบเวลาช่วงใกล้ได้ร่วมชาติ ร่วมความสว่างกับเขาส่วนเดียว มิหนำซ้ำเขามักจะเป็นฝ่ายพาเธอไปพบผู้ทรงคุณ ทำให้เธอได้ดิบได้ดีในทางธรรมขึ้นมาหลายภพหลายศาสนา อยู่กินกับเขาเมื่อไหร่ก็มีแต่ความสุขกายสบายใจเมื่อนั้น ครองกันยืดจนได้เห็นวาระสุดท้ายของกันและกันด้วยความรักสนิทใจมาตลอด”

หางเสียงของหล่อนเจือด้วยความรู้สึกอาภัพ พลอยทำให้เกาทัณฑ์สะเทือนใจ รั้งร่างแบบบางสวมกอดแนบอกด้วยความเวทนา นิ่งกันไปอึดใจก่อนชายหนุ่มเป็นฝ่ายกระซิบแผ่ว

“เราเกิดในพุทธศาสนา ถือว่าอยู่ในชาติที่สว่าง น่าจะทำอะไรร่วมกันแบบที่เป็นการถางทางรกข้างหน้าให้โล่งขึ้นบ้างนะ เทวดาก็ยังมีกรรมสัมพันธ์กับมนุษย์ได้นี่”

“ได้ซี...”

เรือนแก้วขืนกายออกจากอ้อมอกเขาและเงยหน้าขึ้นพูด

“ขอแค่จำคำแอ้ไว้ แรงอโหสิและเมตตาจะทำให้เธอเป็นผู้ชนะที่แท้จริง”

เกาทัณฑ์เพ่งตาสงสัย

“ขยายความหน่อยได้ไหม?”

“แอ้ตายแล้วสบายก็เพราะอโหสิแก่เจ้ากรรมนายเวร อยากให้เต้ได้ดีตาม”

ชายหนุ่มขนลุกซู่

“นี่หมายความว่าผมก็จะโดนเก็บด้วยอีกคนเหรอะ? เอาล่ะ! เท่านี้ก็ชัดแล้วว่าใครเป็นคนฆ่าแอ้ ขอบใจนะที่บอก”

เรือนแก้วเล็งเข้าไปถึงอารมณ์และความนึกคิดของอีกฝ่าย เห็นความกลัวที่เปลี่ยนเป็นกล้าบ้าบิ่นด้วยความคุมแค้น ก็บังเกิดความกังวลที่เจตนารมณ์ของตนให้ผลเป็นตรงข้าม จึงทอดถอนใจและหรี่ตาวอน

“เมื่อกี้เธอพูดเองไม่ใช่เหรอว่าเราอยู่ในชาติที่สว่าง น่าจะร่วมกันถางทางรก ไหงกลายเป็นอย่างนี้ได้ล่ะ พอแอ้ชวนทำกุศล ให้เลิกแล้วกันไปกับเจ้ากรรมนายเวร เต้กลับไพล่คิดสืบเวรต่อไปอีก รู้ไหม ถ้าเธอฆ่าเขาคืน วันหนึ่งเมื่อเราพบกัน แอ้ก็ต้องพลอยร่างพลอยแหเดือดร้อนไปด้วยไม่ทางตรงก็ทางอ้อม คิดอโหสิเถอะนะเต้”

เกาทัณฑ์ขบกรามแน่น หูอื้อตาลายเพราะยิ่งคิดยิ่งแค้นแน่นอก

“มันแหกคุกมาใช่ไหม? ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องตามจ้องล้างจองเวรกันอีก ในเมื่อเราแค่ป้องกันตัวแท้ๆ”

“จะพยาบาทคู่เวรตามวิสัยพาลเสียอย่างน่ะ ไม่ต้องอาศัยน้ำหนักสมเหตุสมผลหรอก แค่ผูกใจไว้กับแค้นที่ตัวเองก่อเอง ก็พอแล้วสำหรับการลงทุนลงแรงเผาผลาญให้ใครต่อใครพินาศ”

“มันหาเราเจอได้ยังไง?”

เรือนแก้วชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนเผยเพราะเห็นว่าไม่ล้ำเส้นกรรมลิขิต

“ไซเคยเป็นทหารมาก่อน มีสมองพอตัว เคยฝึกฉวยจังหวะในสถานการณ์คับขันทุกรูปแบบ เลยแหกคุกหนีได้ทั้งถูกคุมขังแน่นหนา ความชำนาญลู่ทางเดินเรือทำให้เขาเข้าไทยตามหาเราได้ในสองวันเท่านั้น ก็สืบสาวผ่านหนังสือพิมพ์นั่นแหละ...”

“มันกำลังตามหาผมอยู่ใช่ไหม? ดี! บอกซิจะได้เจอมันเมื่อไหร่?”

เทพธิดาจำแลงเกือบเอ่ยตอบ แต่รู้สึกร้อนวาบขึ้นในอกเหมือนกองไฟใหญ่ถูกโหมปุบปับ กลางใจผุดคำว่า ‘เรื่องของมนุษย์’ ขึ้นมา

สิ่งที่เกาทัณฑ์เห็นจึงเป็นอาการเงียบนิ่ง ทิ้งค้างไว้แต่แววห่วงใยในแก้วตา เขาเล็งแลเป็นครู่ก่อนพยักหน้าเข้าใจ

“เอาล่ะ ช่างเถอะ นี่อาจเป็นอีกข้อหนึ่งที่ผมตื่นขึ้นแล้วจะทบทวนด้วยความสงสัย ว่าฝันไปหรือเห็นจริง พอถามถึงอดีตแอ้ตอบได้ พอตั้งท่าถามถึงปัจจุบันและอนาคตแอ้เงียบ ผมคงสรุปว่าจิตปรุงแต่งเอง ประมวลผลเอง และตอบตัวเองเท่านั้น งั้นหันกลับไปหาคำถามเก่า ตอนนี้แอ้อยู่ไหน?”

“รับปากให้แอ้สบายใจก่อนซิว่าเต้จะตั้งจิตอโหสิแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย เป็นการก่อกระแสกุศลขึ้นระหว่างเราสองคน เพราะเท่ากับเต้โมทนาและสาธุการกับอภัยทานของแอ้ เมื่อเราพบกันอีกจะได้ไม่เกิดเมฆหมอกร้ายห่อหุ้มใจ และไม่ดึงอกุศลวิบากมาให้ผลแรงเหมือนอย่างที่ผ่านมา”

เกาทัณฑ์ปล่อยมือจากร่างหล่อนแล้วถอยเท้าไปก้าวหนึ่ง ยักไหล่

“ก็ให้มีแรงจูงใจหน่อยซี่ แสดงหลักฐานให้มั่นใจว่าผมเห็นแอ้อยู่จริงๆ ขอดูนิดเถอะว่าผลของอภัยทานที่จะร่วมกับแอ้นั้นน่าชื่นใจขนาดไหน พูดก็พูดเถอะ พุทธศาสนากองบุญไว้ให้ตักเท่าภูเขา อภัยทานก็แค่ของใหญ่ชิ้นหนึ่ง แต่ไม่ใช่ที่สุด ถ้าผมยอมบาปข้อปาณาติบาตสักครั้ง เห็นหน้าเจ้านั่นเมื่อไหร่ชิงเป็นฝ่ายฆ่ามันทิ้งก่อน ก็แปลว่ายืดชีวิตต่อเพื่อตักตวงบุญบารมีให้สูงเท่าหรือเหนือกว่าแอ้ได้มากมาย จู่ๆมาขอให้ยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำในฝันอย่างนี้ ใครมันจะยอม”

เรือนแก้วส่ายหน้าด้วยความระอิดระอา

“ตั้งความคิดอกุศลเข้าไปเถอะ ถึงเดือดร้อนอยู่ในท่ามกลางการเกิดตายไปเรื่อย คนเขาได้ดีมาก่อน อุตส่าห์ช่วยบอกบุญให้ก็ทำเป็นพูดย้อน เชื่อแอ้เถอะนะ การเตรียมใจคิดอโหสิและแผ่เมตตาให้ทรงตัวน่ะ เป็นเกราะแก้วกำบังกายได้ยิ่งกว่าปืนผาหน้าไม้ทุกชนิด แม้ตายเพราะถึงฆาต หรือเพราะต้องใช้หนี้เก่า กุศลจิตก่อนขาดใจก็จะเป็นชนวนส่งมารับรางวัลที่คุ้มค่า”

เกาทัณฑ์ผายมือ

“แอ้...นี่ผมไม่ได้เล่นลิ้นนะ ถ้าฝันครั้งนี้คือมิติพิเศษที่แอ้สร้างขึ้นมา และแอ้อยู่ในชั้นภูมิที่เหนือมนุษย์ อ่านเข้ามาในใจผมได้ ก็ต้องหยั่งรู้ว่าผมลังเลสงสัย ว่ากำลังละเมอเพ้อพกสนทนาปราศรัยอยู่กับสิ่งปรุงแต่งที่จิตสร้างขึ้นหลอกตัวเองชั่วขณะหลับหรือเปล่า เพราะฉะนั้นตอบคำถามมาก่อน ขอสอบภูมิหน่อยเถอะ ตอนนี้แอ้อยู่สวรรค์ชั้นไหน?”

เรือนแก้วก้าวตามเขามาก้าวหนึ่ง หยั่งทราบว่าการตอบคำถามชนิดนั้นจะนำมาซึ่งความยุ่งยากในภายหลังอย่างไร

“เธอจะรู้ไปทำไมนะ สำคัญยังไงหรือ?”

“สำคัญที่ว่าถ้าผมเชื่อว่านี่ไม่ใช่แค่ฝัน คำขอร้องของแอ้ก็จะสัมฤทธิ์ผลง่ายขึ้น”

“ต้องมีการต่อรองด้วย เธอได้เป็นตัวของตัวเองสมบูรณ์อย่างนี้ จับต้องฉันได้ขนาดนี้ ภาพเสียงเป็นสามมิติคงที่ไม่ผิดเพี้ยนคลาดเคลื่อน ต่อเนื่องเป็นเวลานานแบบนี้ ยังไม่พอใจอีก วิธีพูด ท่วงทีกิริยาของแอ้มีพิรุธหรือมัวซัวตรงไหนสะกิดให้สงสัยได้ว่าเป็นแค่การปรุงแต่งในห้วงฝัน?”

“อะไรก็เกิดขึ้นในฝันได้ทั้งนั้นแหละ ไม่อย่างนั้นจะมีตำราพิสดารว่าด้วยการสร้างฝันเสมือนจริงถึงขั้นฟอกจิตฟอกใจ หลับซ้อนหลับ ฝันซ้อนฝัน สร้างมิติใหม่กันให้เกร่อหรือ ยิ่งศึกษาผมยิ่งเห็นว่ามิติของจิตนั้นลึกซึ้งเกินหยั่ง ยังมีเรื่องน่าพิศวงที่ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจอีกมาก ที่เห็นอยู่นี่อาจเป็นตัวอย่างหนึ่ง”

ผายมือทั้งสองออก เหลียวมองไปในความมืดรอบด้าน คิดเป็นครู่ก็หันมาเสริมอีก

“แอ้เหมือนเงาสะท้อนของผมมากเกินไป ทุกอย่างที่ผมคิด ทุกคำที่ผมพูด มาจากแอ้ได้หมด เพราะฉะนั้นในทางกลับกัน จิตผมก็สามารถสร้างภาพหลอนขึ้นเป็นแอ้ได้ไม่ผิดเพี้ยน ในเมื่อปฏิเสธไม่ปรากฏตัวให้ตาเนื้อเห็น ก็ลองบอกสิ่งที่ผมไม่รู้ซี่ เฉลยมาให้ชัดว่าตอนนี้แอ้อยู่ไหน สุขสบายอย่างไรบ้าง แล้วผมจะได้มีแนวทางตัดสินใจว่านี่ของจริงหรือเปล่า”

เรือนแก้วกะพริบตาเนิบช้า

“เอาเถอะ ถ้าขี้สงสัยนัก จะบอกให้เอาบุญก็แล้วกัน นับตามที่พระพุทธองค์ทรงจำแนกไว้ ถิ่นกำเนิดของฉันคือโลกสวรรค์ชั้นดาวดึงส์!”

“ว้าว!” ชายหนุ่มทำเป็นตาโตตื่นเต้น “ชั้นนี้ท่านว่านางฟ้าสวยนัก ล่อใจหนุ่มๆให้บำเพ็ญตบะธรรมหวังไปครอบครองเทพธิดากันเป็นแถวเลย อย่างเจ้าชายนันทะไง ไปเห็นมาทีหนึ่งติดใจใหญ่ ถูกติดสินบนด้วยการรับประกันว่าบวชแล้วถ้าไม่สำเร็จธรรม อย่างน้อยขั้นต่ำต้องได้อย่างที่เห็น เท่านั้นแหละสละราชสมบัติบวชไม่สึกเลย อือม์...ตอนนี้แอ้ก็คงสวยขนาดทำให้ผมเกิดกิเลสได้น่าดูชม”

หญิงสาวยกมือกอดอก ไม่ตอบโต้

“หน้าตาแอ้เปลี่ยนไปบ้างไหม?”

“นิดหน่อย”

“บนโน้นสุขสบายแค่ไหน?”

“ไม่มีความเป็นอยู่ของใครในโลกมนุษย์ไปเปรียบ”

“มีใครมาจีบมั่งรึยัง?”

เรือนแก้วนิ่งไปอึดใจ ก่อนเอ่ยขรึม

“อย่าทำให้ฉันรู้สึกว่ากำลังโต้ตอบกับมนุษย์ช่างซักเลยเต้ ฉันมาหาเพื่อขอบคุณในความเกื้อกูล และหวังให้เธอเลิกเศร้า เลิกห่วงใยอาลัยเปล่าอยู่กับซากเลือดเนื้อที่ฉันทิ้งไว้เบื้องหลัง เธอสอนฉันให้ปล่อยวาง ให้นึกถึงความตายข้างหน้า แต่ตัวเองเป็นไง พอเห็นฉันตายร้องโฮเป็นเด็กๆ จะไหว้เสียหน่อยเลยไหว้ไม่ลง

อีกอย่างคืออยากบอกกล่าวให้เตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้าง บารมีด้านอื่นเกือบครบหมด หย่อนก็เรื่องอภัยทานนี่แหละ เคยเฉียดความตายมาครั้งหนึ่ง น่าจะรู้ว่าอารมณ์อกุศลแม้น้อยก็อาจขุดหลุมให้เธอร่วงลงต่ำได้ยังไง หากมันได้ทีสำแดงเดชตอนใกล้ตาย”

เกาทัณฑ์ยกมือเท้าเอว แค่นยิ้ม

“เดี๋ยวนี้สอนเก่งนี่” แล้วก็ต่อรอง “เอางี้นะแอ้ ผมยังสองจิตสองใจอยู่ดี ให้ดูหน่อยซีว่าอัตภาพแท้ของแอ้ตอนนี้น่าเลื่อมใสขนาดไหน แล้วทั้งหลายที่แอ้ปลอบใจและขอร้อง ผมจะเชื่อฟังทุกประการ”

เรือนแก้วมองคนรักด้วยแววเวทนา

“ได้คืบจะเอาศอก เมื่อกี้แค่อยากรู้ ตอนนี้ขอดูอีกแล้ว เดี๋ยวคงไหว้วานไปทำกับข้าวให้กินหรอก” แล้วก็ถอนใจเอ่ย “เธอไม่ควรได้เห็น เว้นแต่จะสำเร็จฌานขั้นสูง ยกระดับจิตให้สว่างใสชนะความอยากทางประสาทหยาบ หรือเป็นอริยบุคคลผู้ทรงคุณพร้อมที่จะสอนแม้เทพเจ้าแล้ว”

ฝ่ายฟังยิ้มเผล่

“ผมก็รู้อรรถรู้ธรรมพอสมควรนาแอ้”

คราวนี้แววในตาเรือนแก้วเปลี่ยนจากเวทนาเป็นสมเพช

“บั้นปลายชีวิตของเธออาจใช่นะเต้ แต่เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ เธอแค่คิดว่าเธอรู้เท่านั้น ความเป็นผู้มีภูมิสูงวัดกันด้วยระดับจิตที่ทรงตัวอยู่ในคุณธรรมระดับใดระดับหนึ่งเป็นปกติ ไม่ใช่ญาณรู้เห็นประเดี๋ยวประด๋าว หรือปัญญาที่ผลุบโผล่ตามจังหวะที่อยากคิด อยากตรึกนึกพิจารณาธรรม”

เกาทัณฑ์ชักหน้าชาหน่อยๆ เพราะเรือนแก้วปรากฏในรูปเดิมที่จูงตาจูงใจให้นึกถึงความเป็นหล่อนคนเก่า ซึ่งมีแต่จะต้องเป็นฝ่ายรับฟังเขาขยายความสาธยายอรรถธรรม แต่เดี๋ยวนี้สลับตำแหน่งมายืนเทศน์แทนเสียแล้ว

“สาธุ ขอบคุณเจ้าแม่ที่ให้สติ”

ว่าแล้วก็ยกมือไหว้ประชด แบบที่ทำให้หญิงสาวยิ่งสลดลงอย่างใจเสีย ตระหนักชัดว่าการลดตัวลงมาเกลือกกลั้ว เจรจาพาทีกับเกาทัณฑ์ในฐานะคนรักให้ผลเป็นลบกับเขาเองอย่างไร ไม่อยากให้เขาขุ่นมัวและคิดลบหลู่หล่อนมากกว่าที่เป็นอยู่ จึงตัดสินใจถามทั้งอึดอัดว่า

“อยากเห็นนักหรือ?”

“อือ” เกาทัณฑ์ยิ้มออกมาได้ “ให้เป็นบุญตาหน่อยเถอะ อยากรู้มานานแล้วว่านางฟ้าสวยขนาดไหน แล้วนี่...ขอเถอะ เลิกมองผมอย่างกับแม่มองลูกซะที เข้าใจดีว่าแอ้คงมีเทวฤทธิ์น่ากลัวเหลือหลาย จะสาปผมเป็นข้าวหน้าเป็ดเก็บไว้หม่ำมื้อหน้าก็ยังได้ ผมอยู่ใต้อำนาจของแอ้วันยังค่ำ แต่ยังไงเราก็รักกัน ผูกพันกันด้วยวิญญาณ อย่าเย่อหยิ่ง อย่าให้ความห่างภพภูมิแค่สองชั้นนี่มาแปรความรู้สึกดีๆให้เปลี่ยนไปเลย”

“ก็เพราะอย่างนั้นสิ ถึงไม่อยากให้เห็นไง ไม่ต้องแกล้งพูดกระทบว่าเป็นวัวลืมตีนหรอก ถ้าแอ้ลืมเต้ คงไม่ลดชั้นลงมายืนให้เธอตีฝีปากกล้าอยู่อย่างนี้”

“เอาล่ะๆ...สัญญาจะควบคุมสติดีๆ ไม่ให้ตกตะลึงจนขาดสติคิดอกุศล เคยได้ยินแหละว่าฤาษีบางตนเห็นนางฟ้าแล้วตบะแตก แต่ผมไม่มีตบะอะไรแบบฤาษีให้ต้องรักษานี่ แค่ขอดูน่ะ แวบเดียวเป็นฟ้าแลบก็ยังดี นะ”

เรือนแก้วส่ายหน้าน้อยๆ

“ตามใจ อย่าเสียใจทีหลังล่ะถ้าเผลอยกมือไหว้ลูกศิษย์ตัวเอง”

เกาทัณฑ์เผลอโก่งคอหัวเราะออกมาดังๆอย่างกำแหงหาญ

“โธ่เอ๊ย...แอ้ ผมเคยได้สมาธิเฉียดฌานมาตั้งหลายครั้ง ระดับจิตสูงกว่าที่แอ้เป็นอยู่ตอนนี้อีกมั้ง เอาน่ะ...ให้เห็นหน่อยเถอะยาหยี จะเอาไปจ้างจิตรกรวาดเก็บไว้เป็นที่ระลึก”

“ถอยไปสิ”

ชายหนุ่มทำตาม ถอยเท้าไปข้างหลังประมาณสี่ก้าวแล้วเลิกคิ้วเป็นเครื่องหมายคำถามว่าพอหรือยัง

“อีก...”

เกาทัณฑ์หัวเราะถอนฉิวและจุ๊ปาก แต่ก็ยินยอมถอยอย่างว่าง่ายเพื่อให้ได้ดูของดี

นางเทพธิดาพิจารณาแล้วว่าอัตภาพแห่งตนได้มาจากความเกื้อกูลของมนุษย์ผู้นี้ จึงอยู่ในขอบข่ายที่จะกระทำปฏิการะ คือตอบแทนคุณโดยสนองความปรารถนาให้เขาได้เห็นทิพยภาวะ เพื่อเป็นกำลังใจและก่อความเชื่อมั่นที่จะปฏิบัติดี ฟังคำเตือนหล่อนโดยไม่เห็นว่านี่เป็นแค่ฝันเพ้อ

ครั้นแล้ว เกาทัณฑ์ก็ได้เห็นสิ่งที่อยากจะเห็น และไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเห็น...

รัศมีสว่างไสวแกมทองซ่านออกมาเป็นวงกว้างครอบร่างในชุดราตรี กระทบตาผู้รอคอยให้ทราบทันทีในวาระจิตปัจจุบันว่านั่นคือราศีสวรรค์ เรือนกายของมนุษย์ผู้หญิงธรรมดาปฏิรูปไป ดูขยายใหญ่ขึ้นกว่าปกติ กรอบหน้างามคมคายจับเค้ารูปไข่จากเรือนแก้วที่เขารู้จัก รวมทั้งจมูก ปาก และคาง ทว่าหน้าผากมน คิ้วโก่งและเคียวเนตรเรียวยาว กับประกายวาวหวานฉายซึ้งที่เรืองอำนาจเหนือมนุษย์นั้น ผิดแผกไปเกือบสิ้นเชิง โดยเฉพาะสีตาที่เคยออกน้ำตาลใส บัดนี้ขึ้นเงาดำขลับวะวับดุจเอกอัญมณีสีนิล มองสบแล้วถูกดึงดูดให้ติดหลงยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

เครื่องหน้าทุกชิ้นเฉิดฉายเสริมกันเป็นภาพเนรมิตที่จิตรกรคงหนักใจหากคิดจำลองไว้บนผืนผ้าใบ เพราะต้องหาเนื้อสีที่ระบายแล้วสุกปลั่งจับตาให้ได้สักครึ่งหนึ่งของของจริงเสียก่อน จึงค่อยว่ากันถึงรายละเอียดสัดส่วนเส้นสายอื่นในภายหลัง

เกาทัณฑ์รู้สึกว่าตนมีกำลังน้อยเกินกว่าจะทานแรงจากดวงตาเทพเจ้าได้นานๆ จำต้องลดวิถีการมองมายลสรีระที่ต่ำระดับลง ทรวดทรงองค์เอวสลักเสลาสมส่วนซ่อนอยู่ในพัสตราภรณ์ชมพูแสดอันแล้วด้วยเครื่องประดับพิลาสอลังการสมอิสริยยศ กิริยายืนเหนือพื้นประหนึ่งกำลังประดิษฐานนิ่งบนแท่นแก้วไร้ตน ประกาศเกียรติภูมิเหนือแผ่นดินอันต้อยต่ำของมนุษย์อย่างแจ่มชัด

พิศกายก็ยังเกินฝืนเพ่ง ต้องลดต่ำลงอีก คล้ายถูกกดคอให้ก้มด้วยมหิทธิพลังและเปลวรัศมีอันแผดกล้าเกินหยัดกายฝืนใจต้าน ซึ่งเมื่อวิถีตาถูกฉุดลงจนสุดเพียงพิศหลังบาทเกลาเกลี้ยง ความเคลือบแคลงก็ปลาสนาการไป แทนที่ด้วยความเย็นซ่าจากหนังหัวลงไปถึงฝ่าเท้า แล้วขนลุกไล่ระลอกแผ่กลับขึ้นทั่วแผ่นหลังไปถึงปลายแขน

ความรุ่งเรืองเกินจินตนาการตรงหน้าทำให้ตาเบิกโพลง ตัวสั่นงันงกด้วยความระย่อยำเกรง บังเกิดความรู้สึกผิดอย่างแรงในท่ายืนของตน ยิ่งกว่าผู้จงรักภักดีเผลอยืนตีเสมอกับกษัตริย์เหนือหัว แข้งขาและหัวเข่าเหมือนจะอ่อนเปียกใกล้ยอบกายถวายอภิวาททุกขณะ ยังทรงอยู่ก็ด้วยเพียงมานะและความผยองของผู้รู้สึกตัวว่าบำเพ็ญบารมีมามากมายจนไม่อยากลดแม้คอให้ใคร

นางเทพเองก็ไม่ปรารถนาจะเห็นคนรักย่อลงต่อหน้า พอหยั่งรู้ว่าเกาทัณฑ์กำลังจะสิ้นแรงต้านบารมีชาติภูมิแห่งตน ก็อธิษฐานซ่อนรัศมี และจำแลงกายจากสภาพทิพย์ย่อลงเป็นภาวะหยาบขนาดมนุษย์ธรรมดา ซึ่งเมื่อวิญญาณครองอัตภาพเช่นนั้นแล้ว ความรู้สึกนึกคิด ความกำหนดหมายทั้งหลายก็คืนกลับสู่ความเป็นเรือนแก้วคนเก่าเกือบบริบูรณ์ แตกต่างไปบ้างก็คือมีสำนึกอย่างใหญ่แบบเทพหนุนอยู่เบื้องหลัง คล้ายนักแสดงที่เข้าถึงบทตนเองในวัยเด็ก ตีบทแตกละเอียด แต่ก็เต็มสติของตัวจริงที่เป็นผู้ใหญ่ยืนพื้นในชั้นแรก

เกาทัณฑ์ยืดกายขึ้นตรง เงยหน้าทันทีที่สำเหนียกว่าแรงกดมหาศาลมลายลับ จ้องมองร่างเปรียวตรงหน้าด้วยความปลอดโปร่งขึ้น และตระหนักว่าร่างจำแลงเช่นนี้จึงสมฐานะเขา แม้เพียงในฝัน...

เห็นหล่อนยิ้มมุมปาก เท้าเอวยักสะโพกข้างหนึ่งแบบที่เคยทำยั่วตาเขาบ่อยๆ

“ว่าไงคนเก่ง สั่นเป็นเจ้าเข้าเชียวนะ ไหนล่ะที่เมื่อกี๊ว่าทำสมาธิได้ภูมิจิตสูงกว่าแอ้ ขี้โม้ชัดๆ”

รังสีเรืองอำไพล้ำพรรณนายังติดตา ระคนน่าครั่นคร้ามสะเทือนขวัญอยู่ไม่จาง ก่อนหน้านี้เขานึกถึงเรือนแก้วเมื่อครั้งเป็นแม่งานชักชวนเพื่อนฝูงทำบุญ ใจถึงบุญจนดูอิ่มเอิบละไมคล้ายมีแสงสว่างเกินๆกรอบหน้าออกมา ก็ทึกทักว่านางฟ้าเทพยดาทั้งหลายคงประมาณนั้น ที่ไหนได้ เจอของจริงเข้าเกือบต้องย่อยองๆไหว้เสียแล้ว!

อย่างไรก็ตาม ถ้อยคำสัพยอกเป็นกันเองอย่างเพื่อนเก่าของหล่อนช่วยลดความประหม่าลงได้มาก ความรู้สึกชั่ววูบนั้นคืออยากไปสวรรค์ มีศักดิ์สมน้ำสมเนื้อพอจะครองรักกับหล่อน

“เป็นมนุษย์นี่ต่ำต้อยจริงๆเนอะ”

พึมพำปากคอสั่นเล็กน้อย เรือนแก้วส่ายหน้า เยื้องย่างเข้ามาหา เขาเหลือบลงเห็นรายละเอียด ‘ติดดิน’ ทุกประการไม่ว่าจะเป็นรอยเท้าหรือการจมส้นสูงในแต่ละก้าว กระทั่งมาหยุดสนิทใกล้ตัว

“ไม่หรอก มนุษย์เป็นได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ต่ำสุดนรกจนกระทั่งสูงเหนือพรหมโลก เมื่อเข้าหาพระอริยเจ้าผู้ทรงคุณ ฉันเองต้องเป็นฝ่ายคุกเข่าลงถวายอภิวาท ลืมแล้วหรือว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ถือกำเนิดในแดนมนุษย์ เคยเป็นเหมือนมนุษย์ธรรมดามาก่อน แต่เมื่อถึงฝั่งพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว แม้ฤทธิ์แห่งพรหมที่เหนือฉันตั้งพันเท่าก็ยังพ่าย!”

เกาทัณฑ์เกิดสติระลึกได้ และประจักษ์แจ้งในบัดดลว่าคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์อาจสูงส่งเกินทุกภพในไตรภูมิสิ้น อัตภาพเดียวกับเขานี้เองเป็นชัยภูมิแห่งพุทธิจิตอันบริสุทธิ์ ล่วงพ้นจากความสูงต่ำทั้งปวง

คิดเช่นนั้นก็ค่อยสบตาเรือนแก้วได้นิ่งขึ้น ตรึกนึกถึงความงามตรึงตราบาดจิตบาดใจที่เพิ่งยลไปเมื่อครู่แล้วบอกตนเองว่าเกิดมายังไม่เคยอยากได้อะไรเท่านี้มาก่อนเลย หายสงสัยแล้วว่าสมบัติสวรรค์น่ารักน่าปรารถนาเพียงใด เขาเห็นผู้หญิงสวยราวกับจะเกิดมาเพื่อแกล้งให้ชายคลุ้มคลั่งก็มาก แต่วัดกันด้วยความเสียวแปลบแสบลึกจากขั้วหัวใจถึงก้นบึ้งวิญญาณเมื่อเห็นเรือนแก้วในร่างแท้แล้ว บอกตนเองว่าต่อให้เอานางผู้เป็นหนึ่งในปฐพีไปแข่งก็แพ้ราบ เพราะกระแสตาและรัศมีเทพนั้น เกินวิสัยที่จะปรุงแต่งอัตภาพหยาบแบบมนุษย์ไปสู้

เอากันแค่ผิวกายก็พอ ในพระสูตรเคยยกอ้างถึงสตรีในพุทธศาสนาบางรายที่มีผิวงามนวลเนียนดุจสร้างขึ้นจากกลีบบัวขาว เหตุเพราะเคยรักษาศีลได้บริสุทธิ์หมดจดในชาติปางก่อน จัดว่างามเลิศในโลกหล้า แต่ก็ระบุชัดเจนว่าไม่ถึงเทพทุกรายไป เกาทัณฑ์เห็นกับตาเดี๋ยวนี้ว่าจะให้ถึงได้อย่างไร ในเมื่อความผุดผาดของผิวเทพนั้น มาจากความละเอียดเป็นยองใยของธาตุทิพย์ที่ผ่องแผ้วเสียจนเรืองแสงได้!

“ชักเกิดกิเลสล่ะสิ”

เรือนแก้วดักคอ เกาทัณฑ์พยักหน้ารับซื่อๆ

“อือ”

“ตกลงจะรับปากรึยัง? ต่อไปนี้จะตั้งอภัยทานประดิษฐานไว้ในจิตใจอย่างมั่นคง”

เกาทัณฑ์กะพริบตาเม้มปาก

“จะพยายาม”

“ขอเป็นสัญญาได้ไหม?”

ชายหนุ่มหัวเราะ

“แอ้นี่ชอบบังคับจิตใจคนอื่นไม่เลิกเลยนะ เอาเถอะ เกิดกิเลสขนาดนี้แล้ว จะทำยิ่งกว่าอภัยทานเป็นสิบเท่าร้อยเท่าก็คงได้มั้ง”

“ดี...” เทพธิดาจำแลงสาธุการแล้วล่ำลา “เห็นทีฉันต้องไปล่ะ”

เกาทัณฑ์รู้สึกใจหาย

“มาหาผมบ่อยๆได้ไหม?”

“เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าอะไรเป็นอะไร ฉันแกล้งลงต่ำให้เท่าเธอได้ แต่เธอเข็นตัวเองขึ้นถึงฉันไม่สำเร็จแน่ อยากให้เราสัมผัสช่องว่างระหว่างกันบ่อยๆจนความรักจืดจางลงหรือ?”

ฝ่ายมนุษย์เดินดินขบริมฝีปาก

“แปลว่าผมจะไม่เห็นแอ้อีก...”

“อาจจะ” หล่อนตอบเนิบเยี่ยงผู้สิ้นอาลัยในภพเดิม “ถ้าบั้นปลายเธอถือบวช ตั้งจิตไว้เที่ยง เข้าออกฌานได้ตามปรารถนาจนอยู่เหนืออารมณ์หยาบแน่นอนแล้ว ฉันจะพาบริวารมาฟังธรรม”

เกาทัณฑ์กลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ

“ถ้าปลายชีวิตผมเป็นอย่างนั้นจริง ตายไปก็เกิดบนพรหมโลกน่ะซี จะเจอแอ้บนสวรรค์ได้ไง ไหนว่ามาจูงมือไปอยู่ด้วยกัน”

เรือนแก้วจับตามองคนรักเฉยด้วยแววซ่อนนัย ชนิดที่เขาไม่มีวันอ่านได้ออกด้วยวิสัยมนุษย์ เหตุผลของหล่อนในการทำอะไรสักอย่างยามนี้เป็นคนละระนาบกับเขา เพราะนอกจากมีภูมิจิตที่ประกอบด้วยอภิญญาจะแจ้งอดีตแล้ว ยังมองได้ไกลไปถึงผลที่งอกเงยขึ้นจากรากแห่งปัจจุบันกรรม มุมมองหรือการตัดสินใจต่างๆจึงผิดแผกเป็นคนละเรื่อง

ในระหว่างวันที่หล่อนตระเวนทำความรู้จักกับสหายเทพตามวิถีสวรรค์ ได้รับเทศนาธรรมจากเทพที่อยู่เหนือชั้น คือบรรลุมรรคผลขั้นต้นมาจากโลกมนุษย์ แสดงธรรมจนหล่อนได้เข้าใจว่าสุขบนสวรรค์นั้นยาวนาน ทว่าไม่จีรัง เหตุเพราะอัตภาพทิพย์ถูกบันดาลขึ้นด้วยกุศลวิบาก ซึ่งไหลมาจากกุศลกรรมหนักเบา ขึ้นชื่อว่ากรรมนั้นแม้แรงเพียงใด ให้ผลเป็นอัตภาพไหน วันหนึ่งก็ต้องเหือดหมดเมื่อถูกกาลเวลาแผดเผา หมายความว่าความเป็นเทพก็ไม่ล่วงพ้นมรณา ต้องแตกดับลง กลายเป็นธรรมอีกก้อนหนึ่งที่จะสาบสูญไปในห้วงว่างอันไร้ต้นไร้ปลายของสังสารวัฏ

หล่อนยังเกิดความเห็นชอบอีกด้วยว่าอายุขัยแห่งทิพยสภาพนั้น แม้นานเกินอายุขัยของมนุษย์มาก ทว่าเมื่อเทียบกับอนันตภาพของสังสารวัฏแล้ว ก็จัดว่าสั้นเท่าฟ้าแลบลงมาปลาบเดียวอยู่ดี

ยังมีเวลาอยู่ร่วมกับเกาทัณฑ์และความไม่รู้ของตนเองอีกยืดยาวนักในอนันตชาติเบื้องหน้า จะมัวยินดีในสุขบนสวรรค์เพียงชั่วแล่นไปใย สู้ฉวยเอาขณะที่ยังดำรงอยู่ในช่วงพุทธกาลพร้อมกัน ขวนขวายเตรียมเสบียงไว้เดินทางไกลเต็มกำลังจะประเสริฐกว่า หากสั่งสมความเห็นถูกเห็นชอบในทุกกรณีไว้จนหยั่งรากความเป็นสัมมาทิฏฐิลงลึกถึงแก่นวิญญาณ รวมทั้งสร้างบุญสร้างกุศลห่อหุ้มจิตจนกลายเป็นเครื่องนำร่องอันทรงประสิทธิภาพแล้ว ก็จะทำให้การเลื่อนไหลบนทางวิบากแห่งสังสารวัฏไม่ลำบากถึงขั้นเลือดตากระเด็นบ่อยนัก

อัตภาพทุกชนิดคือเครื่องประหารประจำตน วิญญาณทั้งหลายไม่อาจหวังพึ่งพิงสิ่งใดไปชั่วฟ้าดินสลาย ที่พึ่งอันน่าไว้ใจนั้นมีก็แต่เพียงสัมมาทิฏฐิและกำแพงกุศลอันก่อตั้งไว้มั่นคงแล้วในตนเองเท่านั้น

เรือนแก้วหยั่งรู้ลึกลงไปถึงอดีตกรรมของเกาทัณฑ์และแพตรีในชาติใกล้ ได้เห็นว่าแม้แพตรีในครั้งกระโน้นจบชีวิตจากความเป็นมนุษย์ไปเกิดบนสวรรค์แล้ว ก็ยังครองตัวบริสุทธิ์ และวนเวียนมาฟังธรรมจากฤาษีผู้เคยเป็นภัสดา เพื่อรักษาสัมพันธภาพด้านดีให้กระชับหวังเสวยผลร่วมกันในระยะยาว และยังได้ตั้งจิตอธิษฐานว่าความผูกพันที่สร้างขึ้นทั้งขณะเป็นมนุษย์และเทพนั้น ขอจงเป็นแรงดึงให้มาเกิดเป็นคู่ครองของเขาทุกภพทุกชาติ

สิ้นชาติฤาษีเขาจุติจากโลกมนุษย์ไปเกิดบนพรหมโลกด้วยมหัคตกุศลจิตเยี่ยงผู้อยู่ฌานเป็นปกติตราบจนถึงวาระขาดใจสิ้นลม ครั้นถึงเวลามาเกิดเป็นมนุษย์ในชาติปัจจุบัน กรรมสัมพันธ์อันเป็นมิติโยงใยที่ละเอียดลึกซึ้ง ก็ดึงทั้งหล่อนและแพตรีมาเกิดร่วมกับเขาคล้ายดาวใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางย่อมส่งแรงดึงดูดดาวบริวารให้เคลื่อนตามไปทุกหนทุกแห่ง

และชาตินี้แพตรีก็ได้เขาไว้ อย่างที่โบราณว่าแข่งเรือแข่งพายนั้นได้ แต่แข่งวาสนานั้นเหลือวิสัย บัดนี้เรือนแก้วซึ้งแล้วว่าเพราะอะไร กรรมอันเป็นทั้งปัจจัยและทั้งเหตุผลแห่งการเกิดนั่นเองที่คุมเส้นทาง คุมวาสนาในชีวิตไว้ อดีตกรรมและปัจจุบันกรรมเปรียบเหมือนสมบัติที่ต้องเก็บหอมรอมริบกันข้ามภพข้ามชาติ ที่จะหาทางลัดแซงหน้ากันปุบปับภายในชั่ววันนั้น มีก็แต่ทำบุญกับพระอรหันต์ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัตินั่นแหละถึงพอเป็นไปได้ และชั่วชีวิตหล่อนก็ยังไม่เคยพบพระอรหันต์เลยแม้แต่รูปเดียว ทั้งที่พวกท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ในประเทศไทยตั้งหลายรูป!

แต่คราวนี้น่าจะถึงตาหล่อนบ้าง ด้วยวิสัยเทพที่สามารถเล็งเห็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคตตามเหตุผลแห่งกรรม ผนวกกับขันติอันเกิดจากดวงจิตที่ทรงสภาพกุศลเกือบเสถียร จึงวางอดีตที่ผ่านมาเสีย แล้วหมายเล็งเฉพาะอนาคตภายภาคหน้าเท่านั้น เพราะอดีตและปัจจุบันระหว่างเขากับหล่อนถึงกาลสิ้นแล้ว

หล่อนจะสนับสนุนและเกื้อกูลให้เขาขึ้นสูงถึงที่สุดศักยภาพ ข้างหน้าของเขาสบาย ข้างหน้าของหล่อนก็สบายด้วย แค่รออนุโมทนาและอธิษฐานแบบเดียวกับที่แพตรีเคยทำมาก่อนเท่านั้น!

“เต้...เมื่อสำเร็จฌานสมาบัติจนอยู่ตัวแล้ว เธอจะหวังไปไหนมันเรื่องของเธอ”

เรือนแก้วตอบเพียงสั้นต่อข้อกังขาของเขา ราวกับจะบอกเป็นนัยว่าฌานนั่นเองเที่ยงที่จะนำเขามาหาหล่อน หรือจะแล่นเลยไปพรหมโลกก็สุดแต่ปรารถนา อยากได้อะไรก็เลือกเอาตามใจ ดีกว่าสักแต่ทำบุญสร้างกุศลในระดับสามัญ ซึ่งเอาแน่ไม่ได้ว่าก่อนตายจะออกหัวออกก้อยอย่างไร

“เมื่อกี้แอ้บอกว่าบั้นปลายชีวิตผมจะได้ดีทางธรรม อันนี้คือบอกใบ้ใช่ไหมว่าชีวิตผมอยู่ยืดถึงแก่”

“รู้อยู่ท่วมหัวอย่าแกล้งทำเป็นเอาตัวไม่รอดเลย คำว่า ‘บั้นปลายชีวิต’ อาจหมายถึงช่วงอายุเจ็ดสิบ หรือช่วงสุดท้ายปลายเดือนนี้ก็ได้ทั้งนั้น”

“สรุปคืออยากให้ผมรีบบวช?”

“แค่อยากให้เร่งปฏิบัติ อย่ามัวเมากามสุขจนลืม...”

วูบนั้นประโยคสุดท้ายของเรือนแก้วทำให้เกาทัณฑ์นึกครึ้มตามประสาปุถุชน เมื่อระลึกได้ว่าตนยังมีแพตรีและงานวิวาห์เป็นที่หวังในชาติปัจจุบัน

นิลเนตรฉายแววรอนรานเมื่อเห็นเข้ามาในใจคนรัก แต่แล้วก็กลับเปล่งประกายจรัสขึ้นตามเดิมด้วยสติเหนือภพเก่า

“ไปล่ะ”

เกาทัณฑ์อึกอัก เพราะท่าทางหล่อนขยับเหมือนคนกำลังคิดกลับบ้านจริงแล้วคราวนี้

“แอ้...มาหาผมเรื่อยๆไม่ได้หรือ สักเดือนละครั้งก็ยังดี”

“เขาเรียกโลภหรืออะไรคะ ที่อยู่ในใจเต้ตอนนี้?”

พอเห็นเขาสะอึกก็ถามสำทับ

“ฉันมาหาเธอทุกวันก็ได้ แต่ห้ามยุ่งกับน้องแพเลยตลอดไป ตกลงไหม?”

เกาทัณฑ์แยกเขี้ยวหน่อยๆ เพราะเงื่อนไขทำนองคำขาดชนิดนั้นให้มาด้วยเจตนาปิดกั้นคำร้องขอมากกว่าจะเป็นตัวเลือกปฏิบัติจริง ด้วยอารมณ์ชั่ววูบแห่งความโหยหาที่ไม่ได้รับการสนองตอบ ทำให้สำคัญไปว่าเรือนแก้วเห็นเขาสิ้นค่า ไร้ความหมายเสียแล้ว อีหรอบเดียวกับสาวบ้านนอกเข้ากรุง เจอสีสัน เจอตึกใหญ่รถยาวเข้าก็ลืมถิ่น ลืมคู่ยาก ไปหลงแสงศิวิไลซ์แทน

เหตุนั้นจึงลืมตัว แดกดันว่า

“ก็ได้นะ ต่อแต่นี้ผมจะไม่เอาตาไปดู เอาหูไปฟัง เอาปากไปพูดกับสาวๆที่ไหนอีกเลย แต่รบกวนเฉพาะข้างขึ้นเดือนหงายแอ้ค่อยมาเถอะ เกรงว่าโปรดผมทุกวันเดี๋ยวผิวจะเสีย เบื้องบาทจะหม่น”

แล้วก็ตัดบทแบบชิงเป็นฝ่ายไล่ก่อนหล่อนจะลาซ้ำ

“เอาล่ะ จะไปไหนก็ไปเถอะไป๊ เวลากรวดน้ำอุทิศในงานศพก็ช่วยรับด้วยล่ะ อย่าทำเป็นหยิ่งเห็นว่าสูงส่งแล้ว นึกว่าบุญในโลกจิ๊บจ๊อย ไม่ต้องรับบริจาคอีก อ้อ... เก็บเนื้อเก็บตัวไว้ดีๆด้วย อย่าเพิ่งยอมให้ใครมาเอาไปกกกอดเสียก่อน ผมจะโลภสั่งสมบุญกุศลให้รวยกว่าเทวดาทั่วทุกหัวระแหง เพื่อวันหนึ่งจะได้ตามขึ้นไปเบ่งกลับให้แอ้หงอมั่ง”

เรือนแก้วย่นคิ้วหน่อยๆด้วยความระคาย และผิดหวังที่เขาขาดสติสำแดงความเป็นคนกิเลสหนาราวกับไม่เคยผ่านการขัดเกลามาก่อนเยี่ยงนี้

“พูดจาไม่เข้าหูเลย”

เกาทัณฑ์ยิ้มแต้ ทั้งที่กำลังมีอารมณ์หลากชนิดประดังรุม

“โอ! ลืม...ตอนนี้ผมควรมีสัมมาคารวะเสียบ้าง” ยกมือข้างหนึ่งตั้งเสมอหน้าแบบไหว้ครึ่งเดียว “ลูกช้างผิดไปแล้ว พูดบ้าๆบอๆออกไป ด้วยอารามเสียใจเห็นเจ้าแม่ทำท่าจะจากลา”

ประชดจบก็ต้องสะกดไม่ให้น้ำตารื้นขึ้นคลอขอบ แต่ก็ห้ามไม่อยู่ เพราะรู้ว่านับแต่นี้จนสิ้นลม เรือนแก้วจะไม่หวนกลับมาสมาคมกับเขาด้วยรูปร่างหน้าตาเดิมอีกแล้ว

หญิงสาวนิ่งงันเป็นครู่ นัยน์ตาทอแววอาลัยรักออกมาเล็กน้อย แต่ก็ดับลงสนิทอย่างรวดเร็วด้วยอำนาจขันติแห่งเทวา

“แล้วเจอกันนะ”

ล่ำลาด้วยคำง่ายราวกับกำลังจะพบกันอีกในรุ่งเช้า เกาทัณฑ์สูดลมหายใจลึก เขาก็ฮึดขึ้นมาบ้าง ยักคิ้วแบมือโบกโบ๊เบ๊คล้ายปราศจากความแยแสไยดี

“โอเค แล้วเจอกัน”

แสงเทพเรืองซ่านออกมาจากเรือนกายหญิงสาว หล่อนยิ้มละไมและยกมือประทานพรในท่ามกลางรัตติกาลอันผาสุก

“ชนะกรรม ชนะตัวเอง...”

ชายหนุ่มพยายามกลืนก้อนขมที่โจมขึ้นจับจมูก ลนลานยกมือจะเอื้อมคว้าภาพตรงหน้าพร้อมกับพึมพำเรียกรั้งด้วยสำเนียงอันท้นไปด้วยความโทมนัส

“แอ้...”

ฉากราตรีกลายกลืนเลือนลับไปพร้อมกับนางสวรรค์ เกาทัณฑ์รู้สึกถึงความชื้นน้ำเมื่อตื่นขึ้นด้วยลมอู้วูบปะทะใบหู เขานอนแช่นิ่งเป็นครู่ ก่อนดึงตัวขึ้นนั่ง ชันเข่าข้างหนึ่งแล้วเหลียวรอบเพื่อพบกับความจริงยามตื่นเป็นอากาศว่างเงียบงัน



แพตรีเพิ่งออกจากชั่วโมงสอนวิชาวิทยาศาสตร์ชั้น ป. 6 ลงมาสอนวิชาจริยธรรมและหน้าที่พลเมืองดีในชั่วโมงนี้ ซึ่งเป็นวิชาที่อยากสอนมากกว่าอื่นใด หล่อนเดินตามระเบียงอาคารชั้นสอง มองไล่ป้ายหน้าห้องจนพบ ป. 5/1 ก็ตรงไปเลี้ยวเข้าด้วยอากัปกิริยาเป็นปกติราวกับเดินเข้าออกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ในใจรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยกับครั้งแรกของความรับผิดชอบที่ตนปรารถนา

เสียงจ้อกแจ้กจอแจที่ได้ยินถึงข้างนอกเงียบหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อครูสาวหน้าใหม่ก้าวมาหยุดยืนเด่นเป็นประธานที่หน้าชั้น หลายคนที่หันคุยกันหยุดกึกทั้งยังพูดไม่จบประโยค ที่กำลังยืนยื่นไม้บรรทัดห้อยจิ้งจกไปแกล้งเพื่อนผู้หญิงก็หดกลับ ที่ตั้งใจจะร่อนเครื่องบินกระดาษไปให้พรรคพวกอีกฟากห้องส่งกลับก็รีบซ่อนใต้โต๊ะ ที่กำลังจะลุกจากเก้าอี้วิ่งไล่กันก็ด่วนกลับมานั่งก้นกระแทก

"นักเรียน ทำความเคารพ"

เสียงหัวหน้าห้องขานแจ้ว เด็กทั้งห้องพนมมือก้มหน้าไหว้พร้อมเพรียงกัน

"สวัสดีครับ/ค่ะคุณครู"

แพตรียิ้มให้ มองกราดไปทั่วห้องที่เกลื่อนดวงตาอ่อนเยาว์ กึ่งรู้เดียงสา กึ่งบริสุทธิ์ซื่อ เกิดความเต็มใจเอ็นดู เงียบเป็นครู่ก่อนเอ่ยทักทายด้วยเสียงใสเป็นกังวานกระจายได้ยินทั่ว

"สวัสดีจ้ะนักเรียนทุกคน เทอมนี้พวกเธอมีครูมาสอนวิชาจริยธรรมและหน้าที่พลเมืองดี ซึ่งจะทำให้พวกเธอเข้าใจตัวเองมากขึ้น ว่าเราร่วมสังคมทุกวันนี้ มีอะไรบ้างที่ควรคิดให้ตรงกัน เห็นให้ตรงกัน โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับความรับผิดชอบและวิธีปฏิบัติต่อสังคม ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันนะ ครูชื่อแพตรี นามสกุลพีรนัยน์ เขียนอย่างนี้..."

หันไปหยิบชอล์กเขียนชื่อนามสกุลตนเองที่มุมซ้ายของกระดาน แล้วหันกลับมาทางนักเรียน เห็นทุกคนกำลังจ้องเป๋ง แพตรีเลือกมองตอบไปกว้างๆเต็มหน่วยตา พลางทอดเท้ามาข้างหน้าสองก้าวสั้นๆ

"คราวนี้ให้ครูรู้จักพวกเธอหน่อย"

นักเรียนเตรียมยืนขานชื่อตนเองตามลำดับโต๊ะ อันเป็นวิธีที่นิยมทำกันทุกครั้งเมื่อพบครูคนใหม่ แต่ต้องได้รับความประหลาดใจ เมื่อครูสาวถามเด็กชายหัวหน้าชั้นซึ่งสั่งทำความเคารพเมื่อครู่ว่า

"เธอชื่อจักกายใช่ไหม?"

เด็กที่ถูกถามเบิกตานิดหนึ่ง ก่อนรับว่า

"ครับ"

"คนไหนใจชนก?"

เด็กผู้หญิงที่นั่งใกล้หล่อนยกมือขึ้น

"หนูค่ะ"

"ครูเรียกชื่อใครคนนั้นยกมือนะ วางกฎ... พอพระทัย...ชาญฉลาด...พานลดา...ทันชัย...แว่นฟ้า...รจเลข...ปรศุ...ฉมา...สมชาย...หทัยธรา...ลือชา...รบชนะ...”

เด็กนักเรียนมองตากันเองงงๆ เพิ่งเคยเห็นครูท่องชื่อนักเรียนแล้วมาขานดูหน้าทีละคนตามลำดับเลขที่อย่างนี้ นอกจากจักกายซึ่งเป็นหัวหน้าห้องแล้ว ทุกคนถูกเรียกเรียงตัวจากเลขน้อยไปมากไม่ตกหล่นแม้แต่คนเดียว

"ไฟกำลังแรงว่ะ"

เด็กชายตัวอ้วนๆโหงวเฮ้งเจ้าพ่อใหญ่ในอนาคตกระซิบกับเพื่อนร่างผอมข้างตัว ทั้งสองนั่งอยู่หลังห้องรั้งท้ายสุด

"อือ สงสัยนั่งท่องเป็นชั่วโมง"

พัลลภ คู่หูร่างผอมตอบกลับ เพื่อนข้างหน้าได้ยินเข้าก็หันมาผสมโรง

"ข้าว่าสวยเช้งหยั่งงี้ชั่วโมงเดียวเข็นเข้าหัวไม่ไหวหรอก ต้องสามวันเป็นอย่างต่ำ"

"ครูครับ อ้ายนี่บอกว่าครูสวยเช้ง"

นายอ้วนตะโกนพร้อมชี้นิ้วฟ้องด้วยเสียงค่อนข้างดัง นักเรียนชายแถบเดียวกันฮาครืน ท่าทางทุกคนคุ้นกับความทะลึ่งทะลุกลางปล้องของหมอนี่เป็นอย่างดี

แพตรีหยุดเรียกชื่อ เบนสายตามาทางต้นเสียง ริมฝีปากยังระบายยิ้มอ่อน

"เธอตะโกนกลบเสียงครูอย่างนี้เสียมารยาทมากนะปรศุ"

เด็กชายปรศุทำหน้าเป็น แต่พอต่อตากับครูสาวอึดใจหนึ่งก็เกิดความตะครั่นตะครอชอบกล ถึงร่างจะบางระหง และแม้ดวงหน้าจะสะอางใสอย่างพี่สาวใจดี แต่นัยน์ตาก็ดูเรืองอำนาจข่มขวัญให้สั่นได้อย่างน่าสนเท่ห์ ถึงกับทำให้วายร้ายประจำห้องต้องหัวเราะแหะๆแก้เก้อเมื่อจะหลบ

จากนั้นครูคนสวยก็แปรตาคมๆมาจับนักเรียนอีกคนซึ่งนั่งอยู่หน้าปรศุ

"แล้วลือชา ครูบอกอะไรเธออย่าง เด็กแก่แดดมักจะงงตาค้างกับผลสอบวิชาจริยธรรมอยู่เสมอ"

มีเสียงหัวเราะขำจากเด็กหญิงชายทั่วไป ลือชาคอหด นึกเคืองปรศุมากที่ประจานคำพูดตนจนหน้าม้านอย่างนี้

บรรยากาศเป็นของครูสาวมากกว่าเดิม สุ้มเสียงปรานีที่มีนวลน้ำหนักเฉียบขาดอยู่ในทีชนิดนั้นไม่ธรรมดานัก ก่อกระแสรักและยำเกรงระคนกันทันทีอย่างยากจะหาในครูคนอื่น

"คนต่อไปใครนะ เจียระไนใช่ไหม? คนไหนจ๊ะ"

ระหว่างคุณครูทำความรู้จักกับนักเรียนที่เหลือ ปรศุก็ชวนคู่หูนินทาอีก

"ท่าทางไม่ต๊องเฮะ"

"เออ แต่แปลกๆว่ะ"

พัลลภเอียงหน้าตอบ ปกติถ้าเป็นชั่วโมงครูคนอื่นพัลลภจะกล้าพูดดังกว่านี้

“ยังไง?”

“ท่าทางเหมือนอยากมาเป็นแม่พวกเรา”

ทั้งคนพูดและคนฟังงอตัวซุ่มหัวเราะ ปรศุเหลือบตามองคุณครูหน้าชั้นด้วยแววผูกใจเจ็บที่ถูกกระหนาบ

"อยากทำความรู้จักกับนักเรียน ก็ต้องให้รู้ฤทธิ์ซะหน่อย ไหนๆกูก็กลายเป็นคนเสียมารยาทไปแล้ว เอาตะขาบยางมารึเปล่า?"

ถามด้วยสำเนียงรู้กัน

"เฮ่ย! อย่าเลยวะจ้ำ...เอาของใหม่ดีกว่า งูเห่า! เหมือนของจริงเปี๊ยบ ยาวเฟื้อยรับรองเห็นแล้วหวีดดังไปแปดห้อง"

สองเด็กคะนองหัวเราะครึ้ม ไม่ทันสังเกตว่าครูแพตรีปรายหางตาผ่านมา

"พัลลภ!"

เด็กชายพัลลภสะดุ้งสุดตัว เพราะแน่ใจว่ายังห่างลำดับเลขที่ของตนอยู่มาก นึกไม่ถึงว่าจู่ๆจะมีการลัดคิว ถูกเรียกด้วยน้ำเสียงดุเช่นนั้น

"คะ...ครับ"

"ยกมือเฉยๆเหมือนคนอื่นก็พอ ไม่ต้องขานตอบให้ครูสับสนว่าเธอเป็นหญิงหรือชายแน่"

เพื่อนๆหัวเราะขรม พัลลภสะอึกอีกคำรบ โดนเข้าอย่างนั้นชักหายใจไม่ทั่วท้อง ถึงกับไม่กล้าหันไปคุยกับปรศุอีก

"แอบดูรูปพวกเรามาก่อนแล้วนี่หว่า หยั่งงี้จะเรียกดูหน้าให้เสียเวลาทำไมฟะ"

ปรศุไม่วายหันมาค่อนกับพัลลภ ซึ่งได้แต่ครางอือรับสั้นๆ

"เอาของออกมาซีโว้ย"

"ไม่เร็วไปเหรอะ"

"เอ๊ะ! โดนเรียกชื่อทีเดียวปอดซะแล้วไอ้นี่ เชื่อเหอะหน้าตาอ่อนๆหยั่งงี้ไม่เอาเรื่องหรอก ทำขึงขังไปอย่างนั้นแหละ"

"เอาไว้หลอกผู้หญิงก่อนดีกว่ามั้ง ครูจับไปทิ้งแหง ของแพง เสียดาย"

ปรศุถึงกับเกาหัว เพราะคู่คิดตั้งท่ากลับลำทั้งที่สนองด้วยดีในชั้นแรก

"เฮ่ย! เรื่องมากน่า เดี๋ยวกูออกตังค์ซื้อใหม่เอง"

แพตรีใช้เวลาอีกพักหนึ่งเช็กชื่อเด็กเกือบสี่สิบคน โดยเรียกชื่อเด็กหญิงจันทร์แขเป็นคนสุดท้าย เมื่อจันทร์แขยกมือป้อมๆขึ้นก็เป็นอันสิ้นพิธีทำความรู้จัก ครูสาวกอดอก มองไปโดยรอบ ใบหน้าบ่มยิ้มของผู้มีสัญชาตญาณในการอบรมเลี้ยงดู หล่อนเห็นบนโต๊ะของนักเรียนทั้งหลายมีหนังสือประจำวิชาวางเตรียมไว้เรียบร้อย ก็กล่าวนำ

"ก่อนเปิดหนังสือเรียน เรามาคุยอะไรเบาๆกันดีกว่ามั้ง จันทร์แข...หนูอายุเท่าไหร่แล้ว?"

เด็กหญิงตุ้ยนุ้ยน่ารักซึ่งถูกเรียกชื่อเป็นคนสุดท้ายตอบหล่อนเกือบทันที

"สิบขวบค่ะ"

"บอกได้ไหมว่าสิบปีที่ผ่านมา หนูประทับใจอะไรในโลกนี้มากที่สุด"

เด็กหญิงจันทร์แขทำหน้างง แต่หลังจากคิดอยู่ครู่ก็ตอบเบาๆ

"รถไฟเหาะตีลังกาค่ะ"

เพื่อนนักเรียนชายบางคนหัวเราะก๊าก คนอื่นส่วนใหญ่ขำและหันไปมองจันทร์แขเป็นตาเดียว บางโต๊ะหันมาซุบซิบกิ๊กกั๊กว่าด้วยเรื่องหมูอวกาศขึ้นรถไฟเหาะ แพตรีเลือกคนแหกปากดังที่สุดเพื่อถามเป็นรายต่อไป

"เธอล่ะ สุชาติ ประทับใจอะไรในโลกนี้มากที่สุด"

สุชาติยิ้มแหยๆ คิดในใจว่าไม่ควรหัวเราะเรียกครูเลยเรา

"อ้า..."

เกือบนึกไม่ออกว่าน่าหาอะไรมาตอบส่งๆ แต่จะให้ตอบตรงตามจริงทื่อๆอย่างยายบื้อจันทร์แขล่ะอย่าหวัง

"คงจะเป็นวิชาคณิตศาสตร์มั้งครับ"

เพื่อนๆไม่ฮาป่า เพราะรู้กันว่าหมอนี่เก่งเลขจริง แพตรีพยักหน้า แล้วหันไปทางเด็กที่ท่าทางเป็นหัวโจกของห้อง

"ปรศุล่ะ"

เด็กร่างอ้วนยิ้มเผล่

"ผมเป็นคนประทับใจยากครับครู รสนิยมเปลี่ยนทุกอาทิตย์"

มีเสียงหึๆจากคนที่อยู่รอบข้างปรศุ แพตรีไม่แปลกใจเลยกับความเจ้าสำนวนของเด็กน้อยยุคโลกร้อน

"แล้วอาทิตย์นี้รสนิยมของเธอชวนให้ประทับใจอะไรมากกว่าเพื่อน?"

หมอนั่นเชิดปากส่ายหน้าราวกับนักวิชาการปฏิเสธคำถาม

"ไม่ครับ อาทิตย์นี้ใจผมว่างเปล่าเหมือนอากาศโปร่ง"

"อ้อ..."

แพตรียังไม่อยากใส่ใจกับอาการกวนโทโสเกินเด็กของปรศุเท่าไหร่ หล่อนหันไปใช้ชอล์กซึ่งยังถือค้างไว้ในมือเขียนกระดานเป็นรูปวงกลม พลางพูดทั้งยังหันหลังว่า

"สมมุติว่านี่เป็นชีวิตของพวกเธอ" แล้วหล่อนก็แต้มจุดที่ศูนย์กลางวงกลม "แล้วนี่เป็นความประทับใจในชีวิต เธอจะเห็นว่าวงกลมนี้ดูง่าย แค่มองมาที่จุดศูนย์กลางจุดเดียว ก็สามารถเห็นได้ครอบคลุมทั้งหมด"

หันกลับมา รู้สึกว่าเท้าเหยียบอะไรหยุ่นๆ เมื่อก้มดูก็เห็นงูยาวดำมะเมื่อมเป็นมันปลาบ หัวใจแทบหยุดเต้น แต่ด้วยเดชะแห่งกระแสสติที่บ่มตัวมาเนิ่นนาน ทำให้จิตรวมลงเท่าทันความตกใจก่อนเอะอะเพียงเสี้ยววินาที

เงยหน้าขึ้น เห็นอาการจดจ้องรอคอยเขม็งของเด็กผู้ชายตั้งแต่ข้างหน้าไปถึงข้างหลัง นึกรู้ทันทีว่านี่คือการเล่นเป็นทีม จึงเหยียบงูค้างปลายเท้าอย่างใจเย็น พูดต่อจากที่คาไว้ด้วยเสียงเรียบสนิท

"ใครชอบอะไรก็มักจะเป็นอย่างนั้น เช่นจันทร์แขอาจรักความตื่นเต้นสนุกสนานจึงประทับใจรถไฟเหาะกว่าอย่างอื่น คนเรามีของชอบใจแตกต่างกันไป แต่หากของชอบเป็นอันเดียวกับหน้าที่ในชีวิตประจำวัน ก็จะทำให้ชีวิตของเราดูง่ายและเป็นสุขน่าสนุกดี"

ครูสาวหันไปใช้แปรงลบกระดานปาดจุดศูนย์กลางวงกลมออก แล้วแต้มจุดใหม่สองจุดห่างกัน ไม่ใกล้ระยะศูนย์กลาง

"ลองดูนะทุกคน พวกเธอจะไม่รู้สึกว่าวงกลมดูง่ายเป็นธรรมชาติเหมือนตอนแรก เพราะมีจุดสองจุดที่ไม่อยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางมาดึงตา เมื่อเธอเพ่งไปที่จุดใดจุดหนึ่ง เธอก็จะเสียอีกจุด รวมทั้งความชัดของวงกลมไป"

เด็กๆมองกระดานอย่างฉงนระคนทึ่ง แต่ก็เข้าอกเข้าใจทุกคำที่คุณครูพูด

"แต่จุดเล็กๆพวกนี้จะไม่สำคัญนักหรอก ถ้าหากเธอมีจุดศูนย์กลางที่ชัดพอ"

แพตรีหันไประบายจุดทึบใหญ่เป้งตรงกลางวง เมื่อมองมาที่วงกลม จะเห็นจุดทึบนั้นก่อนทันที

"อารยธรรมมนุษย์เกิดขึ้นได้ก็เพราะพวกเราต่างมีหน้าที่ หน้าที่คือแกนกลางแสดงความเป็นเรา แม้ใครจะมีรายละเอียดนอกเหนือจากหน้าที่มากมายแค่ไหน เวลาคนอื่นมองมาที่เรา เขาก็จะเห็นความเด่นอันเป็นศูนย์กลางชีวิตจุดนี้ก่อน"

แพตรีเบนสายตาไปที่เด็กหญิงจันทร์แข

"ในวัยของพวกเธอ ความประทับใจอาจเด่นกว่าภาระหน้าที่ สำหรับจันทร์แข ชีวิตหนูมีศูนย์รวมความสุขอยู่ที่สวนสนุกก็ไม่แปลก แต่น่าเสียดายที่เราคงไม่มีโอกาสไปสวนสนุกทุกวัน ส่วนสุชาติ ถ้าคำตอบของเธอเป็นความจริง ก็นับว่าโชคดีตั้งแต่ยังเด็ก เพราะของชอบและหน้าที่เป็นสิ่งเดียวกัน เข้าหาและเพลิดเพลินกับมันได้ทุกวัน ทุกเวลา แล้ว...ปรศุ"

แม่พิมพ์ของชาติเบนสายตามาที่เจ้าหนูร่างอ้วนจอมเก เล็งมองเขม็งจนปรศุชักหนาว

"เธออาจจะยังนึกไม่ออก หรือตั้งใจซ่อนคำตอบไว้ไม่บอกครู ช่างเถอะ แต่ออกมาช่วยครูที่หน้าชั้นนี่หน่อย"

เด็กชายปรศุทำหน้าเหลอหลา เมื่อแพตรีเรียกซ้ำให้ออกมาที่หน้ากระดานด้วยเสียงเค้นเข้มกว่าเดิมก็ชักใจเสีย เกิดความกลัวขึ้นมาแบบเด็กๆ หันหน้าไปหาพัลลภ ก็พบว่าเพื่อนช่วยให้กำลังใจเสียงเครือ

“เจอแส้ฟาดแน่จ้ำเอ๊ย”

ปรศุนึกฮึดขึ้นมา ลุกเดินออกจากที่นั่งอย่างจะแสดงให้เพื่อนเห็นว่าเขาไม่กลัวใคร โดยเฉพาะครูผู้หญิงตัวแค่นี้

มาถึงหน้าชั้น พ่อจอมป่วนก็เห็นครูคนสวยยืนเหยียบงูจากพรรคพวกของตนเฉยๆ เจ้าหนูแปลกใจมากที่คุณครูไม่ยักตกอกตกใจร้องแรกแหกกระเชอ ทั้งที่เมื่อแรกนึกปรามาสว่าท่าทางใจดี หน้าตายังอ่อน ใจก็คงจะอ่อนตามหน้า

"จากคำตอบของปรศุ เราพอจะเอาเขามาเทียบเคียงกับวงกลมบนกระดานนี่"

ครูแพตรีดึงต้นแขนนักเรียนของหล่อนโดยละม่อมให้มายืนใกล้กระดาน ตำแหน่งวงกลมอยู่เสมอไหล่ของปรศุซึ่งสูงใหญ่กว่าเด็กวัยเดียวกันพอควร

"เป็นวงกลมที่ปราศจากจุดใดๆ"

พูดแล้วก็ใช้แปรงลบกระดานปาดจุดทั้งหมดทิ้ง มีความคลับคล้ายระหว่างความกลมของรูปร่างปรศุกับวงกลมบนกระดาน ทำให้บรรดาสหายชายหญิงร่วมชั้นหลุดหัวเราะออกมาโดยอัตโนมัติ ปรศุอับอายและไม่พอใจ ใครก็รู้ว่าพ่อเขาบารมีคับเมือง อันยังผลให้ลูกชายพลอยคับโรงเรียนไปด้วย แต่เมื่อเข้ามายืนใกล้แล้วสัมผัสกระแสความแข็งชนิดหนึ่งจากครูสาวหน้าใหม่ ปรศุก็รู้สึกว่าตนถูกข่มไม่ให้กล้าเฮี้ยวได้อย่างน่าฉงน

แพตรีใช้มือข้างที่ไม่เปื้อนชอล์กตบบ่านายแบบจำเป็นเบาๆ พูดยิ้มๆกับทุกคนแต่ยังคงตะแคงหน้ามองหุ่นนายแบบใกล้ตัวนิ่ง

"สิ่งที่เราเห็นมีแต่ความกลม ไม่มีจุดรวมสายตา"

เด็กๆหัวเราะหนักกว่าเดิม ทั้งที่เจ้าพ่อประจำชั้นยืนทำหน้าบูดแจกสายตาสะกดไปทั่ว

"แต่ชีวิตเธอก็มีความหมายนะปรศุ ใช่ว่าอาทิตย์นี้ไร้จุดรวมสายตาแล้วเธอจะกลายเป็นความว่างเปล่าไป"

ครูสาวใช้น้ำเสียงจริงจัง ฟังอ่อนโยนจริงใจ ระคนปนสำเนียงติติงอันสำเหนียกได้ชัด ก่อนหันมาหานักเรียนทั้งหมด

"ทุกคนมีความหมายเสมอ ตราบใดยังรู้สึกว่ามีตัวตนของเธอ ณ ที่ใดที่หนึ่ง และนี่...คือสิ่งที่วิชาจริยธรรมจะบอก ว่าความหมายของเรา ‘ควร’ ขึ้นอยู่กับกาลเทศะแบบไหนอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อร่ำเรียนอยู่ที่นี่ โต้ตอบกับครูบาอาจารย์ในห้องนี้"

เด็กหญิงชายอึ้งกันทั่ว

"ไม่เฉพาะพวกเธอหรอกที่มีความหมาย แม้วัตถุไร้ชีวิตจิตใจมันก็มี ครูเผอิญได้ตัวอย่างสาธิตให้พวกเธอเห็น ว่าความหมายของแต่ละสิ่งเป็นอย่างไรในต่างกาลเทศะ ปรศุ...หยิบงูยางบนพื้นให้ครูที ครูกลัว ไม่กล้าจับ"

แพตรีถอนเท้าจากงูออกมาก้าวหนึ่ง จอมเกเรเงอะงะ สติชักไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กระแสนักเรียนทั้งชั้นเทมารวมเป็นอำนาจในมือคุณครู กดดันให้จำใจก้มหยิบของเล่นแกล้งคนยื่นส่งให้ตามคำสั่ง ทว่าครูแพตรีกลับไม่รับ เพื่อนๆที่ไม่รู้เห็นกับแผนการของตัวแสบต่างตะลึงตาโตกันเป็นแถวเมื่อเห็นงูดำยาวหย่องแหย่งน่าเกลียดน่ากลัวในมืออ้วนอูม

"รู้ไหมว่างูนี่ของใคร?"

ปรศุสั่นหน้า   

"ตอนอยู่ที่ร้าน มันมีความหมายที่เด่นชัด คือมีหน้าที่ชวนให้เด็กซนเกิดความคึกคะนอง อยากซื้อหามาแกล้งคน แต่เมื่อมันอยู่ที่หน้าห้องนี้ เธอรู้ไหมมันมีความหมายยังไง?"

ปรศุสั่นหน้าอีกแบบเด็กไม่มีสัมมาคารวะ

"มันเป็นตัวแทนความคิดอุตริของพวกเราบางคน แสดงหัวจิตหัวใจที่ขาดศีลธรรม คิดแกล้งกระทั่งผู้หลักผู้ใหญ่ซึ่งกำลังทำหน้าที่อันควรเคารพ ครูไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นของใคร แล้วก็ใครให้มา แต่เมื่อมันปาฏิหาริย์ปรากฏตัวบนพื้นหน้าห้องซึ่งเป็นเขตของครู ก็ถือว่าครูเป็นเจ้าของแล้ว...ครูยกให้เธอ ปรศุ นี่หวังว่าคงยกให้ถูกคนนะ ถ้าคิดจะแกล้งใครล่ะก็ ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของ"

นักเรียนหุ่นลูกบาสได้แต่กลอกตา อั้นอึ้งพูดไม่ออกสักคำ

"กลับไปนั่งที่จ้ะ เอ้าทุกคนช่วยปรบมือให้กับผู้กล้าหาญจับงูยางของเราหน่อย"

เสียงปรบมือดังกราวราวกับฝนตก ปรศุเดินกลับที่นั่งด้วยสีหน้าพรรณนาลำบากสุดขีด ครูแพตรียิ้มแย้มกับนักเรียน หน้าตามีน้ำมีนวลเฉิดฉายชวนพิศวง

"ตอนครูอยู่ ป. 5 เท่าพวกเธอ ครูเคยอยากให้ใครสักคนบอกว่าครูเกิดมาทำไม เพื่ออะไร หรือเพื่อใคร ถ้าเราเกิดมาเพราะมีหน้าที่อยู่ในโลกนี้ เราจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อหน้าที่นั้น เวลาใครสักคนชวนให้ทำดี ทำหน้าที่ให้เสร็จ มันน่าสงสัยไหมว่าความดีมีส่วนโยงใยกับหน้าที่ยังไงบ้าง? แล้วที่เรียก ‘ความดี’ น่ะมีขอบเขตแค่ไหน หน้าตาเป็นอย่างไร เอาอะไรเป็นเกณฑ์แยกแยะ”

บางคนพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับว่าน่าสงสัย บางคนก็เปิดหนังสือดูหัวข้อของบทแรก ว่าเกี่ยวกับสิ่งที่ครูแพตรีกำลังพูดอย่างไร ซึ่งก็พบว่าไม่เกี่ยวกันเลยแม้แต่น้อย

แพตรีเลือกถามนักเรียนที่พยักหน้ารับว่าสงสัย

"ชิดธารี ดูเหมือนเรารู้ๆอยู่ในใจว่าอะไรดีอะไรชั่ว ไหนหนูบอกครูซิว่าความดีมีอะไรบ้าง"

แม่หนูยิ้มแหยๆ เธอไม่ปราดเปรื่องนักเกี่ยวกับประเด็นชนิดนี้ แต่ก็อ้อมแอ้มตอบ

"กตัญญูพ่อแม่ ไปทำบุญใส่บาตร แล้วก็..."

เธอประหม่าอยู่เล็กน้อย ทำให้ติดขัด แต่เมื่อเห็นสายตาสงบเยือกเย็นของผู้ยืนเด่นเป็นประธานหน้าชั้นที่ทอดมองมาอย่างจะรอฟังนานเท่าไหร่ก็ได้ แม่หนูจึงค่อยคิดอ่านสะดวกขึ้น

"หนูว่าการพูดความจริง ให้ทานคนยากจน รับผิดชอบต่อหน้าที่ ก็เป็นความดีที่สำคัญค่ะ"

แพตรีหันมาหาส่วนรวม ผายมือนิดๆไปทางเด็กหญิงผู้ตอบ

"ที่ชิดธารีพูดมาคงไม่มีใครเถียงนะว่าถือเป็นความดีได้หรือเปล่า” หันกลับไปหาแม่หนูคนเดิมอีก “แต่ครูถามหน่อย หนูว่าหมดหรือยังชิดธารี ถ้าลองลำดับความดีจนครบทุกข้อ หนูคิดว่าพอทำได้ไหม?"

ชิดธารียิ้มแหย สั่นหน้า

"คงไม่ไหวหรอกค่ะ"

"มันอาจง่ายขึ้นนะถ้าเราไม่พูดจำเพาะเจาะจงลงไป เช่นแทนที่จะพูดว่าการใส่บาตรพระเป็นความดี ก็เปลี่ยนเป็นการให้ทานเป็นความดี ไม่ว่าจะให้แด่พระ หรือให้กับคนเดือดร้อนและสัตว์ทั้งหลาย คำว่าการให้ทานจะจูงไปชี้ให้เห็นจิตใจที่คิดสละ คิดช่วยเหลือ ครอบคลุมไปหมดเลย ซึ่งพอแจงแล้วค่อนข้างมีข้อแยกย่อยละเอียด ละไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยให้ตำราบอกเรา ทีนี้ว่าถึงด้านตรงข้าม..."

แพตรีเปลี่ยนสายตาไปที่เด็กหัวหน้าชั้น

"จักกาย เธอบอกซิว่าความชั่วมีอะไรบ้าง"

บุคลิกของหัวหน้าชั้นฉายความโดดเด่นชัดเจนต่างจากเพื่อนรอบกาย ดวงตาดำใหญ่ทอแววเจ้าความคิดเกินวัย เร้าใจให้แพตรีจดจ่อฟังคำตอบอย่างคาดหวังว่าจะได้ยินอะไรดีๆ

"การโกหกครับ"

ครูสาวรอฟังต่อ แต่เมื่อเห็นจักกายเงียบเสียงเพียงเท่านั้นก็เลิกคิ้วสูง

"อย่างเดียวเองน่ะหรือ?"

หัวหน้าชั้นพยักหน้า

"ครับ มนุษย์ทำชั่วอย่างอื่นได้มาก แต่สิ่งที่ส่อให้เห็นความเลวร้ายของใจได้มากที่สุดควรเป็นการโกหกหลอกลวง"

แพตรีสานตาตรงกับจักกาย ดวงตาทอแสงฉลาดลึกของฝ่ายนั้นทำให้หล่อนนึกถึงชายอันเป็นที่รัก สมัยเกาทัณฑ์ยังเด็กก็คงคล้ายอย่างนี้...

ความผูกโยงชนิดนั้นทำให้ความเมตตาแปรเป็นเย็นชาเล็กน้อยด้วยความรู้สึกส่วนตัว ท่าทางหนุ่มน้อยนายนี้คงเชื่อมั่นว่าที่ตัวเองพูดออกมานั้นถูกไปหมดทุกอย่าง

“ให้เหตุผลซิ”

“ผมคิดว่าการโกหกเป็นบ่อเกิดของความคิดคดทุกชนิด ใจที่คิดพูดทั้งรู้ว่าเป็นเรื่องไม่จริง ทำให้คนอื่นหลงเชื่อ หลงทาง เป็นใจที่พร้อมจะทำอะไรพลิกแพลงแค่ไหนก็ได้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว”

"ตอบดีนี่..."

ปลายเสียงสุดท้ายพร่าพลิ้ว เมื่อรู้ว่าเสียงตกก็กะพริบตาสูดลมหายใจเข้าเพื่อรวมสัมปชัญญะใหม่

"ว่าแต่เธอเคยเผื่อใจให้การโกหกเพื่อผลที่ดีงามบ้างหรือเปล่า?"

ถามแล้วแพตรีก็รู้สึกผิด อาจเป็นการเผลอยิงคำถามที่ยากเกินวัยและล่อแหลมต่อการก่อทรรศนะเกี่ยวกับความดีความชั่วที่ผิดเพี้ยนแก่เด็ก ได้แต่รอฟังวาทะของจักกาย และพร้อมกันก็คำนวณหาทางออกสวยๆเอาไว้ในหัวไปพลาง

"ถ้าใครเจตนาสร้างผลที่ดีงามแก่ส่วนรวมแล้วต้องบิดเบือนความจริง ผมอยากเรียกว่านั่นคือการแสดงละครครับ แต่ผมก็ยังเชื่ออยู่ว่าการเลือกเฉพาะส่วนที่เป็นความจริงมาพูดคลี่คลายสถานการณ์ลำบาก จะทำให้ทุกอย่างลงเอยดีกว่าเจตนากลับดำเป็นขาวให้คนอื่นจับได้ทีหลัง"

แพตรีตาสว่าง นึกพอใจเด็กคนนี้จนต้องสยายยิ้มอวดไรมุก เห็นด้วยหางตาว่าเพื่อนนักเรียนด้วยกันก็เงียบฟังด้วยความทึ่ง นั่นทำให้เดาว่าจักกายคงไม่แสดงสติปัญญาเกินวัยให้ใครเห็นบ่อยนัก

ตรวจใจตนเอง ดูว่าเที่ยงนิ่ง ไม่ดึงภาพลักษณ์ของเด็กไปผูกโยงกับเกาทัณฑ์ผู้กำลังเป็นภาพลบในใจตนแน่แล้ว แพตรีจึงเอ่ยถามออกไปอีกด้วยความมั่นใจในเจตนาบริสุทธิ์ ที่จะทำให้เด็กทั้งห้องเรียนวิชาจริยธรรมด้วยความคิดอ่านโต้ตอบเป็นเหตุเป็นผล

"สรุปแล้วการโกหกในความหมายของจักกาย คือปั้นน้ำเป็นตัว โป้ปดมดเท็จเพื่อหาประโยชน์อย่างเดียว จำกัดความตามนี้เธอพอใจไหม?”

“ครับ”

“แล้วเธอเคยโกหกไหม?"

"เคยครับ"

จักกายรับอย่างตรงไปตรงมา ทำให้แพตรีเผลอยิ้มออกมาอีก แต่ก็รีบลดลงเป็นปกติโดยพลัน

"ทั้งรู้ว่ามันเป็นบาป เป็นความชั่วงั้นหรือ?"

"ตอนจำเป็นต้องทำ ผมไม่ทันคิดว่าชั่วหรือเปล่า ผู้ใหญ่เคยบอกผมว่าธรรมชาติมนุษย์นั้นครึ่งดีครึ่งร้าย ไม่มีใครดีได้ตลอด"

แพตรีกะพริบตาอย่างเริ่มงง ว่าพ่อหนุ่มมีแนวยึดมั่นเกี่ยวกับความดีชั่วอย่างไรแน่ น้ำเสียงของเด็กวัยสิบขวบที่ประจุด้วยความเชื่อมั่น และสะท้อนโครงสร้างความคิดเป็นระเบียบ ชัดเจนแจ่มใสชนิดนั้น แน่นอนว่าเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจหล่อนมหาศาล ครูทุกคนชอบเด็กฉลาด แต่ถ้าฉลาดขนาดมีน้ำหนักดึงคนรอบตัวให้หลงเขว ก็สมควรระมัดระวังมากกว่าปล่อยให้โตขึ้นโดยปราศจากการตีกรอบ

ทว่าเด็กฉลาดที่มีความเป็นตัวของตัวเองแต่เล็กก็ควบคุมยากที่สุด เพราะครูจะต้องฉลาดกว่า หรืออย่างน้อยมีดีให้เห็นจนเด็กยอมรับนับถือ

ถึงตอนนี้แพตรีคิดหนักขึ้นเป็นสองเท่า เพราะรู้แน่แล้วว่ากำลังอยู่ต่อหน้าเด็กอัจฉริยะคนหนึ่งที่คิดและเจรจาได้ยิ่งกว่าผู้ใหญ่เสียอีก ปัจจุบันมีวิธีการที่เกือบเป็นสูตรสำเร็จมากมายเพื่อผลิตสมองผู้ใหญ่ไว้ในร่างเด็ก เช่นพูดคุยและปฏิบัติกับเด็กเป็นเหตุเป็นผล เปิดเพลงคลาสสิคให้ฟังแต่อ้อนแต่ออก เปิดโลกทัศน์หลากหลายเร้าผัสสะเต็มที่ในช่วงหกปีแรกซึ่งเซลล์ประสาทในการรับรู้มีพัฒนาการสูงสุดในชีวิต ส่งเสริมให้เด็กทุ่มเทจิตใจอยู่กับสิ่งที่ชอบ ตลอดไปจนกระทั่งดูแลคัดสรรอาหารที่ทางการแพทย์ยกนิ้วโป้งให้ล้วนๆ

เด็กที่พ่อแม่มีฐานะและเอาใจใส่จริงจังในการเลี้ยงดูลูก อาจโชคดีได้รับการศึกษาแนวใหม่เช่นนีโอฮิวแมนิสต์ ซึ่งเล็งที่จะสร้างมนุษย์ในอุดมคติขึ้นมาให้ได้ กล่าวคือมีความรู้แน่น และเปี่ยมด้วยจิตใจดีงาม หลักสำคัญคือป้อนทั้งความเข้าใจโลกตามแนววิทยาศาสตร์ และความเข้าใจตนเองด้วยจิตเหนือสำนึกอันลึกซึ้งควบคู่กันไป

นั่นหมายถึงผู้ปกครองจะไม่แปลกใจเมื่อเห็นลูกๆนั่งค้นคว้าตำรับตำราในห้องสมุดตามแรงบันดาลใจใฝ่รู้ที่แท้จริง และในวันเดียวกันอาจทำโยคะแสวงหาความสงบสุขชั้นเยี่ยมไปด้วย

ตั้งแต่โบราณมา เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูใกล้เคียงแนวคิดแบบนีโอฮิวแมนิสต์ได้แก่โอรสธิดาในราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ หรือลูกหญิงชายของคหบดีที่มั่งคั่ง กล่าวคือจะไม่ถูกปิดกั้นการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆทุกชนิดในวัยต้นของชีวิตซึ่งถูกเร้าได้ง่าย ทำให้ดูเหมือนเป็นคนมีพรสวรรค์หลายด้าน อันนี้ไม่เห็นเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อดูการวิจัยเก็บสถิติเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมในการเติบโตและไอคิวของมนุษย์ ที่สรุปว่ายิ่งคนเราเข้าสัมผัสประสบการณ์หลากหลายเท่าไหร่ ใจเปิดกว้างเรียนรู้สรรพสิ่งและผู้คนแบบต่างๆมากแค่ไหน ก็จะยิ่งมีไอคิวสูงได้มากกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเพียงนั้น

และแนวคิดเช่นนีโอฮิวแมนิสต์ก็ไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่ในสถาบันศึกษา อาจดำเนินไปขณะอยู่ที่บ้านของผู้มีฐานะปานกลางถึงดีมาก โรงเรียนนี้ก็จัดว่าเป็นแหล่งชุมนุมลูกคนรวย จึงไม่น่าประหลาดใจนักถ้าหล่อนจะพบกับเด็กประเภทนี้อีก และอีก

แต่ถ้าหากเด็กเก่งขึ้นมาผิดวัยเพราะสนใจทุ่มเทให้กับสิ่งเร้าด้านใดด้านหนึ่งเพียงอย่างเดียว โดยปราศจากการจงใจขัดเกลา ควบคุมอารมณ์ที่รุนแรง ก็อาจเป็นได้ทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์

ยังไม่รู้เท่านั้นว่าเด็กอัจฉริยะที่หล่อนกำลังเผชิญหน้าจัดอยู่ในพวกไหน

จักกายกับหล่อนกำลัง ‘ถก’ กันในประเด็นเกี่ยวกับความดี ซึ่งเขามีท่าทีค่อนไปทางเห็นมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตครึ่งดีครึ่งร้าย เหมาะสมแล้ว และไม่น่าตำหนิ หล่อนอาจถามเขาว่า ‘จะยินดีเป็นคนครึ่งดีครึ่งร้ายตามธรรมชาติใช่ไหม?’ ซึ่งสนธิกันกับคำตอบของเขา แต่นั่นจะนำทางไปในทิศอ้อม และเกิดประเด็นแยกย่อยค้างคาได้มากมาย แพตรีจึงตัดตรงเข้าเป้าที่หล่อนต้องการด้วยคำถามอีกอย่าง

"แล้วเธอเคย ‘หวัง’ ว่าจะเป็นคนดีหรือเปล่า?"

จักกายพยักหน้า

"เคยครับ แต่ผมอ่านข่าว แล้วก็เห็นกับตาว่าเมื่อเป็นผู้ใหญ่ คนเราไม่มีใครดีได้จริงสักราย"

คราวนี้คุณครูถึงกับสะอึก เกือบหาคำพูดต่อไปไม่เจอ แต่แล้วก็คิดออก กล่าวพลางหันไปหานักเรียนอื่นๆ

"ใช่แล้วจ้ะ เราทุกคนครึ่งดีครึ่งร้ายกันตามธรรมชาติ แต่ธรรมชาติก็ให้เรารู้อยู่ในใจตอนทำอะไรสักอย่าง ว่ามันดีหรือร้าย แล้วธรรมชาติก็อนุญาตให้เราเลือกได้ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน ไม่จำเป็นต้องปล่อยเลยตามเลยเสมอไป หากเรา ‘หวัง’ หรือ ‘อยาก’ เป็นคนดี นั่นแปลว่ามีความตั้งใจดักเหตุการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าถ้ามาอย่างนี้ เราจะโต้ตอบอย่างนั้น การกำหนดใจไว้ล่วงหน้าเป็นสิ่งสำคัญมาก มันจะทำให้เราไม่ลังเลเมื่อถึงเวลาจริง ทุกอย่างจะเป็นไปเองเหมือนโปรแกรมที่ตั้งไว้อัตโนมัติ

ครูอยากให้คิดกันว่าโลกนี้มีเธอเป็นสมาชิกอยู่คนหนึ่ง เป็นสมาชิกที่สามารถตัดสินใจก่อผลกระทบดีร้ายตราบเท่าที่ยังไม่สิ้นชีพ ถ้าหากพื้นฐานความคิดของเธอดี เช่นตั้งใจไว้ก่อนว่าถึงอย่างไรก็จะไม่โกหก มันจะเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตที่น่าชม ถึงแม้วันหน้าเธอจะพบกับสถานการณ์ยุ่งยากซับซ้อน ยากที่จะพูดอะไรตรงไปตรงมา เธอก็คงรู้ว่าควรพูดแค่ไหนโลกถึงจะไม่ช้ำ ธรรมถึงจะไม่ขุ่น"

เงียบกริบกันทั้งห้อง ปรศุลอบเอียงหน้าไปกระซิบกับพัลลภ

"สงสัยเพิ่งสึกจากชีเมื่อเช้า"

พัลลภเผลอหัวเราะเอิ๊ก ครูสาวปรายตามอง เด็กชายหยุดกึกเสียงดังอึ๊ก ทำตาเหลือกคล้ายน้ำลายติดคอเพราะตกใจแรงๆขณะหัวเราะ แพตรีอดขำไม่ได้ แต่ก็เบี่ยงสายตาไปทางอื่นโดยเร็ว

"ที่พวกเธอเห็นผู้ใหญ่ไม่ดี ก็ต้องนึกว่าสมัยท่านยังเด็กเหมือนเรา ท่านไม่ขัดเกลาตัวเองไว้ล่วงหน้า พอโตขึ้นถึงได้เป็นอย่างนั้น สำคัญที่เราเห็นแล้วก็ดูไว้เป็น ‘เยี่ยงอย่าง’ อย่าได้จำเป็น ‘แบบอย่าง’ ประพฤติตามให้โลกร้ายไปกว่านี้"

แพตรีหันมาทางจักกายอย่างติดใจ แต่ก็รู้สึกว่าจะเป็นการผูกขาดอยู่สักหน่อยถ้าถามเขาต่ออยู่คนเดียว จึงเลี่ยงมาหาเด็กหญิงที่นั่งข้างจักกาย หล่อนเพิ่งสังเกตสังกาเต็มที่และพบว่าเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาสวยหวานยิ่งคนหนึ่ง

"ลานดาว หนูลุกขึ้นยืนซิ"

เด็กหญิงลุกยืนตามคำสั่ง นักเรียนทั้งหลายรอดูกันว่าครูแพตรีจะสาธิตอะไรอีก

"มองไปรอบๆแล้วชี้หน่อย ว่าตามความคิดของหนู ในห้องนี้ใครบ้างเป็นคนดี ออกชื่อมาที่หนูคิดว่าดีที่สุดสามคน"

ลานดาวมองรอบห้องตามคำสั่ง ปรศุเผยอตัว ยกไม้ยกมือแบบครึ่งๆกลางๆล่อสายตาเพื่อนหญิง ลานดาวย่นจมูกค้อนให้วงหนึ่ง มองผ่านไปทางอื่นด้วยความลังเลเป็นครู่ ก่อนยิ้มอายๆแล้วหันมาที่เด็กชายข้างตัวนั่นเอง

"จักกายค่ะ"

บรรดาเพื่อนฝูงเฮกันตึง ความมีส่วนละม้ายกันระหว่างจักกายและลานดาวทำให้หล่อนอยากคิดว่าทั้งสองเป็นลูกพี่ลูกน้อง จึงนั่งติดกันอย่างจะดูแลช่วยเหลือเป็นพิเศษ คุ้นๆจากบัญชีรายชื่อว่าห้องนี้มีเด็กนามสกุลซ้ำ ก็อาจเป็นสองคนนี้เอง แต่เสียงเฮของเพื่อนฝูงก็ทำให้แพตรีนึกรู้ว่าทั้งสองคงมีใจที่ดีเกินญาติต่อกันอยู่บ้างแน่ๆ ได้แต่ทำใจว่ายุคสมัยมันเร็วและเต็มไปด้วยความเร่งรัด แม้เรื่องรักเรื่องใคร่ก็ไวกันเหลือเกิน หัวเพิ่งเลยพนักเก้าอี้มาหน่อยเดียวเอาแล้ว

"คนต่อไปล่ะจ๊ะ"

เด็กหญิงมองกวาดอีกครั้ง ก่อนเอ่ยออกมา

"ชิดธารี แล้วก็พานลดาค่ะ"

"จ้ะ นั่งลง ทีนี้รบชนะยืนหน่อย"

เมื่อเด็กชายรบชนะยืนขึ้น ก็ได้รับคำสั่งจากครูสาวเหมือนเดิม

"มองให้ทั่ว แล้วบอกชื่อคนดีที่สุดในความคิดของเธอสามคน"

รบชนะตอบทันทีอย่างเตรียมไว้แล้วในใจ

"อ๋อ ฮะ คนแรกคือตัวผมเอง"

อย่างนี้โดนโห่แน่นอน ไม่ว่าชายหญิงสามัคคีโห่เป็นเสียงยาว

แพตรีสั่นศีรษะ

"คนอื่นที่ไม่มีส่วนได้เสียกับเธอสิ เอ้าตอบใหม่"

รบชนะหันรีหันขวาง แล้วตัดสินใจชี้

"จักกาย...เพียงนภา...แล้วก็ อ้า ชาครินฮะ"

ครูแพตรีผงกศีรษะเป็นเชิงให้นั่งลง แล้วเรียกนักเรียนอีกคน

"ฉมาล่ะ ยืนตอบครูซิ"

"จักกาย...ลานดาว...เชลงชีพครับ"

"อื้อม์  ขอบใจจ้ะ เอาล่ะ ครูคงไม่มีเวลาถามพวกเธอทั้งหมด แล้วที่เรียกขึ้นถามก็เป็นไปโดยสุ่ม ไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครเป็นแกนอ้างอิงของห้อง แต่คำตอบที่ออกมาครูและพวกเธอคงได้ยินกันทั่วว่าใครบ้างเป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ โดยเฉพาะหัวหน้าห้องของพวกเธอ จักกาย..."

แพตรีเหวิถีสายตามาหาเขา

"เธออาจมีความเด่นชัดพอ และถ้านี่คือเสียงสะท้อนจากสังคมในห้อง ก็คงเป็นรางวัลให้มีกำลังใจเพิ่มขึ้นกับความเป็นคนดีนะคะ"

จักกายยิ้มนิดๆ แพตรีประทับใจสีหน้าปราศจากความเห่อเหิมของฝ่ายนั้นยิ่ง ราวกับเขาเป็นผู้ใหญ่ที่มั่นคง ปราศจากความหวั่นไหวกับการกระทบดีร้ายทั้งปวง ไม่มีอะไรชงความรู้สึกได้เท่าสติจากภายใน เหลือเชื่อว่ายังเป็นเพียงพ่อหนูน้อยชั้น ป. 5 เท่านั้น

"สมชาย" คุณครูหันไปเรียกเด็กที่อยู่แถวหน้าสุดใกล้ตัว "ครูไม่สนใจว่าเธอสนิทชอบพอกับจักกายหรือเปล่า แต่ตอบหน่อย ถ้าถามถึงข้อดีที่สุดในตัวจักกาย เธอจะนึกถึงอะไร"

"เขา...เรียนเก่งครับ"

สมชายตอบง่ายๆ

"ภาสกรล่ะ จักกายดีที่สุดตรงไหน"

"เขาช่วยเพื่อนทุกคนครับ แล้วก็เป็นศูนย์หน้าที่ทุกข้างต้องการตัว"

มีการส่งเสียงเชียร์จากบรรดาดาวบอลพอประมาณ แพตรีฟังยิ้มๆ

"หทัยธรา ไหนออกความเห็นมั่ง"

"เขาพูดจาสุภาพดีค่ะ ไม่โกรธ ไม่ด่าว่าใครเลย"

ครูสาวผงกศีรษะ ซ้อนมือขวาลงบนฝ่ามือซ้ายในท่าสรุปความ

"ดูจากการตอบโดยไม่ต้องคิด ครูเห็นได้ว่าความดีของจักกายที่อยู่ในใจของพวกเธอชัดเจนพอ แล้วครูก็อยากชี้ให้เห็นว่าความดีหลายๆอย่างที่รวมอยู่ในคนเดียว ทำให้คนๆนั้นดูเด่นขึ้นมา”

แพตรีเบนสายตามาทางผู้เป็นขวัญใจประจำห้อง พูดนำในแบบดึงภาพลักษณ์อันเลิศเลอน่าปลื้มเปรมลงมาบ้าง

“แต่บางเวลาความเด่นก็ไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยนักหรอกนะ...จักกายว่าจริงมั้ยคะ?"

ผู้ถูกถามคิดอยู่อึดใจ ก่อนพยักหน้ารับว่าครับเบาๆคล้ายลังเลในที อาจเป็นเพราะวัยทำให้ยังมองไม่เห็นโทษของความเด่นเท่าไหร่นัก

"เราทุกคนมีความดีอยู่ในตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเด่น ขอแค่เมื่อถูกถามว่าความดีที่สุดในตัวเราคืออะไร จะตอบได้โดยไม่เสียเวลาลังเล เช่นเดียวกับที่เรามีคำตอบเด่นชัดให้กับความดีของจักกาย"

"แล้วความดีที่สุดในตัวเราควรเป็นอะไรครับ?"

จักกายถามขึ้นเรียบๆ แต่ได้ยินชัดทั่วห้อง ผองเพื่อนพากันเงี่ยหูผึ่ง เพราะไม่เคยเห็นจักกายมีข้อสงสัยตั้งคำถามขึ้นในชั้นเรียนมาก่อนเลย

แพตรีหันมายิ้มให้ ก่อนตอบด้วยดวงตาเป็นประกาย

"หน้าที่สิจ๊ะหนุ่มน้อย มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่เสมอ แล้วก็มีคนละหลายอย่างด้วย ไม่เฉพาะการทำงานหรือการเรียนอย่างเดียว หน้าที่ของแต่ละคนมีผลกระทบทางตรงหรือทางอ้อมกับโลก และหากเธอรู้ได้จริงๆว่ามนุษย์ไม่มีหน้าที่เป็นโจรหรือเป็นผู้เบียดเบียนใคร แต่มีหน้าที่ทำให้โลกหมุนไปอย่างเป็นปกติสุข เธอรับผิดชอบต่อหน้าที่โดยไม่บิดพลิ้ว การเกิดของเธอก็จะเป็นคุณ ไม่ใช่เกิดมาเพื่อเป็นโทษ"

จักกายมองคุณครูด้วยแววยอมรับ

"ครูคะ เราจะทำดีที่สุดได้ ต้องเลือกอยู่ในศาสนาไหนเสียก่อนหรือเปล่า?"

เด็กหญิงลานดาวถามเสียงใสขึ้นบ้างด้วยความอยากรู้ อันเป็นธรรมดาของเด็กที่คลางแคลงว่าในหลายศาสนาที่ปรากฏให้ผู้ใหญ่เลือกนับถือนั้น ศาสนาใดดีที่สุด ประเสริฐที่สุดเหนือศาสนาอื่นทั้งปวง

"ศาสนาสอนให้ใครทำดีที่สุดไม่ได้หรอกจ้ะ แต่ละศาสนามีเป้าหมายหลักของตัวเอง ใครนับถือศาสนาไหนก็เพื่อเป้าหมายนั้นๆ สำหรับความดีเนี่ย เป็นเรื่องของการเพิ่มค่าให้กับจิตใจ เพิ่มพูนขึ้นได้มากไม่รู้จบแบบเดียวกับสะสมเงินในธนาคาร เพราะฉะนั้นครูจึงอยากตอบว่าเธอนับถือศาสนาไหนก็ตาม การทำดีที่สุดคือการตั้งใจว่าจะทำดีเพิ่มขึ้นทุกวัน ทุกเวลา เพราะนั่นเป็นตัวแปรให้จิตใจเธองดงามขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงระดับหนึ่งจะรู้สึกว่าความดีกับจิตใจเรากลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีข้อขัดแย้งหลงเหลืออยู่อีก"

แพตรีทิ้งท้ายคำตอบด้วยความสว่างที่ฉายออกมาจากหัวใจ ภาพปรากฏต่อสายตาเด็กวัยสิบขวบทั้งห้องคือผู้ใหญ่คนหนึ่ง เปี่ยมเต็มด้วยกระแสความการุณย์และความเป็นตัวของตัวเองอันคงที่ แจ่มชัดอยู่ในใจผู้ประสบพบพานทั้งหลาย

"แล้วครูนับถือศาสนาอะไรครับ?"

สุชาติถาม เด็กๆกล้าเจรจาพาทีกับคุณครูคนนี้ด้วยความเป็นกันเองมากขึ้น เพียงด้วยการนำของจักกายคนเดียว

"ก็เหมือนพวกเธอส่วนใหญ่ที่นับถือพุทธ แต่อย่าเหมาส่วนใหญ่มาเป็นใหญ่ข่มกันล่ะ เมื่อครูเป็นพุทธ ครูก็ถามตัวเองเสมอว่ากำลังอยู่ในทางเข้าสู่เป้าหมายหลักของพุทธหรือเปล่า และนั่นคือสิ่งที่เธอทุกคนควรถามตัวเองเช่นกัน ไม่ว่าจะอยู่ในศาสนาไหน"

"พุทธศาสนาดียังไงฮะ?"

ฉมาถามบ้าง

"ดีที่มีเป้าหมายชัดเจน คือเมื่อไปถึงแล้วจะเป็นสุขคงที่ ถึงแล้วไม่ถอย ไม่เปลี่ยน ไม่แปรอีก และมีสิทธิ์ทำให้เห็นจริงได้ก่อนสิ้นลม ถ้าตั้งใจ"

ฉมาถามซ้ำ

"ครูเข้าถึงเป้าหมายแล้วใช่ไหมครับ?"

"อยู่ในระหว่างทางจ้ะ ครูมีความสุขได้ระดับหนึ่ง ยังไม่ถาวรตามเป้าหมายใหญ่ แต่ก็แน่ใจแล้วว่ามีที่สุดอยู่จริง ถ้าเพียรบำเพ็ญไปไม่ท้อ วันหนึ่งก็ต้องถึงที่หมาย"

"แล้วทำไมเราถึงต้องเกิดมาเพื่อทำอะไรที่เรากำลังทำกันอยู่ด้วยคะ?"

หทัยธราซักมาอีกทาง เพราะสงสัยอยู่เนิ่นนานเต็มที

"มันมีเหตุผลอยู่จริงๆ พวกเธอลองมองไปรอบตัว จะเห็นว่านี่ไม่ใช่วิมานอากาศ เรากำลังอยู่กับความจริง มีเราเป็นศูนย์กลางความจริง และความจริงก็มีต้นสายปลายเหตุอยู่เสมอ ถ้าหนูอยากได้คำตอบ ก่อนอื่นต้องทำหน้าที่จนรู้จักตัวเองอย่างลึกซึ้ง แล้วค่อยถามคำถามนี้ใหม่ คำตอบอยู่สูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง"

“พี่ชายหนูบอกว่าเราเกิดมารอความตาย”

“ถ้าเหตุผลของการเกิดมีอยู่แค่นั้น ป่านนี้พวกเราคงตายกันหมดแล้วจ้ะ เพราะธรรมชาติน่าจะให้เราเกิดปุ๊บตายปั๊บ ไม่ต้องมีเรื่องยุ่งยากยืดยาวเปล่าๆ”

แล้วครูสาวก็สยายยิ้มสวยด้วยความรู้สึกรักเด็ก และด้วยความรู้สึกว่าชีวิตของตนเพิ่งเริ่มต้น ความเป็นหล่อนคือบรรยากาศที่กำลังปรากฏอยู่ในห้องนี้ และห้องอื่นๆที่จะตามมา


"เปิดหนังสือได้แล้วพวกเรา ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าสงสัย ถ้าช่างคิดช่างสังเกตสักหน่อย เราก็จะพบได้ในชั่วโมงเรียนวิชาจริยธรรมและหน้าที่พลเมืองดีนี่แหละ เชื่อไหม?"



ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น