วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

รังเกียจเวลามีคนมาบอกว่ารักหรือขอแต่งงานแต่ก็กลัวเหงา (ดังตฤณ)

ถาม : รู้สึกว่าตัวเองไม่ปกตินัก เวลามีคนมาชอบ บอกว่ารักหรือพูดขอแต่งงานด้วย จะรู้สึกรังเกียจ อาจเพราะได้ยินบ่อยมาก คบกับใครก็พูดอย่างนี้หมด บางคนแค่ใกล้กันหน่อยเดียวก็เอาแล้ว แทนที่ดิฉันจะดีใจกลับหงุดหงิดรำคาญ แม้คบกับบางคนอย่างแฟนแต่ก็ไม่อยากยอมรับว่าเป็นแฟนเลย ดูใจตัวเองแล้วเหมือนอยากอยู่คนเดียว กลัวการใช้ชีวิตคู่ที่ล้มเหลว เพราะทราบดีว่ารักใครไม่ได้นาน แต่งเดี๋ยวเดียวต้องหย่าแน่ๆ แต่พอนึกถึงตอนอายุมากก็กลัวเป็นยายแก่ที่โดดเดี่ยวและอยู่อย่างเงียบเหงา อยากทราบว่าทำอย่างไรจะรู้ใจตัวเอง หรือสั่งให้ตัวเองตัดสินใจเลือกได้อย่างมีเหตุผล และไม่กลับไปกลับมาระหว่างอยากมีกับไม่อยากมีคู่ครองคะ?

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๒

ดังตฤณ:
 

ผมเห็นว่าปัญหานี้น่าจะช่วยให้ผู้หญิงหลายคนรู้สึกดีขึ้น เพราะปกติมักถามกันว่าทำอย่างไรจะมีคนมาชอบ มาจริงจัง มาขอแต่งงาน ความทุกข์ในแบบนั้นทำให้รู้สึกโหยหาและนึกริษยาผู้หญิงที่มีโอกาสดีกว่า แต่ความจริงก็คือถ้าโอกาสดีๆมีบ่อยเกินจำเป็น ก็อาจกลับด้าน เป็นทุกข์ใหญ่ไปอีกแบบ

ลักษณะของผู้หญิงที่มีผู้ชายจำนวนมากมาติดพันและขอแต่งงาน จะคล้ายกันคือสวย เจ้าเสน่ห์ เก่งในทางใดทางหนึ่ง เชื่อมั่นในตัวเองสูง แล้วก็เบื่อง่าย จะนับเป็นของธรรมดาก็ได้ แต่เป็น ‘ธรรมดา’ ที่ทำให้ชีวิต ‘ผิดธรรมดา’ ไปกว่าคนอื่นเขา ชีวิตที่ผิดธรรมดามักทำให้รู้สึกว่าตัวเองผิดปกติ หรือถึงขั้นจิตมีปัญหา

อันที่จริงผู้หญิงจะมีความขัดแย้งกับตัวเองเมื่อต้องเลือกคู่อยู่แล้ว กล่าวคือสิ่งที่ต้องการเป็นอันดับหนึ่งคือความอบอุ่นมั่นคงของฝ่ายชาย ข้อบกพร่องหยุมหยิมอื่นๆของเขาถือว่าเป็นรอง ทว่าใจจริงๆผู้หญิงมักให้ความสำคัญกับข้อบกพร่องหยุมหยิมไม่แพ้เรื่องความอบอุ่นมั่นคง และจะคิดมากไม่เลิกตราบเท่าที่ยังต้องเห็นข้อบกพร่องต่างๆของคู่ตน

ลองดูเถอะครับ ความลังเลของผู้หญิงนั้น สืบไปสืบมาจะเห็นว่าไม่ได้เกิดขึ้นจากเรื่องใหญ่ แต่มักมาจากเรื่องเล็กหลายๆเรื่องรวมกัน ยกตัวอย่างเช่นฝ่ายชายอาจมีตำแหน่งหน้าที่การงานมั่นคง การเงินไร้ที่ติ ชื่อเสียงเกียรติยศและความซื่อสัตย์หายห่วง แต่หล่อน้อยไปหน่อย เสียความรู้สึกทุกครั้งตอนเดินคู่กันไปไหนต่อไหน หรือไม่ก็กลิ่นปากเหลือร้าย เสียอารมณ์ตอนจูบกันเป็นที่สุด ต้องเบือนหน้าหนีตลอด ฯลฯ

ยิ่งถ้าเป็นผู้หญิงที่มีดี มีผู้ชายมาเป็นตัวเลือกเยอะ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะยิ่งทวีความลังเลได้มากขึ้นเพียงใด ความลังเลจะไม่หายไปตราบเท่าที่คุณยังไม่ถูกใจใครเต็มร้อย

ถึงตรงนี้ขอสรุปในขั้นต้นก่อนว่าถ้าคุณเจอใครที่ถูกใจเต็มร้อยมาขอแต่งงาน คุณคงไม่หงุดหงิดรำคาญ ยิ่งบ่อยยิ่งดีด้วยซ้ำ แต่ถ้าต้องลำบากใจกับการบ่ายเบี่ยง หรือการต้องคิดมากว่าจะเอาดีหรือไม่เอาดีต่างหาก นั่นแหละคุณจะเบื่อหน่าย รู้สึกหงุดหงิด แล้วพัฒนาเป็นความไม่อยากเอาใครเลย

อย่างดีก็อาจเลือกคบใครสักคนที่เอาใจเก่งที่สุด แต่ใจลึกๆอยากรอคนที่ดีกว่าไปเรื่อยๆ มีสิทธิ์เลือกใหม่โดยไม่ต้องรู้สึกผิดมากกว่า ฐานของความรู้สึกที่ไม่ถูกใจเต็มร้อย อยากรอคนดีกว่าไปเรื่อยๆนี้แหละ อาจก่อให้เกิดพฤติกรรมที่แม้แต่คุณก็ต้องงงตัวเอง เช่น เขาผิดนิดเดียวอยากอาละวาดใส่ หรือแม้กระทั่งไม่ผิดเลยก็จะยัดเยียดความผิดราวกับเป็นตำรวจจับแพะ ใจหนึ่งอยากผลักเขาออกไปจากชีวิต แต่อีกใจก็อาจอยากผูกไว้ไม่ให้ไปไหน โรคขัดแย้งกับหัวใจตัวเองทำนองนี้น่าทรมาน แต่เท่าที่เห็นมาก็เป็นกันเยอะเลยครับ แม้แต่งงานแล้ว เป็นฝั่งเป็นฝาแล้วก็ยังไม่วายถูกโรคนี้รุมเร้า

ทำไมถึงยังอยากผูกไว้ ทั้งที่ก็ไม่แน่ใจเต็มร้อยว่าชอบจริง? คำตอบง่ายๆคือคุณไม่ทราบว่าจะเจอใครดีกว่าเขาไหม! น่าปวดหัวหยอกเมื่อไหร่ ถ้าเลือกตอนนี้ก็เสียอิสรภาพตอนนี้ แต่ถ้าไม่ยอมเสียอิสรภาพตอนนี้ก็บางทีอาจต้องเสียโอกาสมีพันธะตลอดไป ระหว่างเสียดายความเป็นอิสระในปัจจุบัน กับกลัวความว้าเหว่ในอนาคต ไม่มีอะไรน่าพิสมัยเลยสักอย่าง

เท่าที่เห็นนะครับ ผู้หญิงที่มีโอกาสเลือกมากมักไม่ได้อย่างใจ ไม่เจอคนสมบูรณ์แบบตามอุดมคติของตน เจอแต่ ‘ดีที่สุดที่เข้ามาให้เลือก’ อาจเข้าขั้นแสนดี แต่ก็เต็มไปด้วยข้อด้อย ยิ่งนานคุณจะยิ่งไม่พอใจกับข้อด้อยต่างๆของเขา อาจถึงขั้นรังเกียจ ไม่อยากเข้าใกล้ แต่ความแสนดีของเขาจะทำให้คุณรู้สึกผิด ขณะเดียวกันก็ต้องทรมานใจกับการฝืนทน หรือพยายามหาเรื่องให้เขาเป็นฝ่ายผิดทั้งรู้ว่าเขาไม่ผิด ในที่สุดก็ต้องแปรเป็นความรู้สึกเกลียดตัวเองเข้าจนได้

ทางออกของปัญหาแบบนี้ ไม่ใช่การถามว่า ‘ทำอย่างไรจะรู้ใจตัวเอง’ หรือ ‘เลือกอย่างไรให้ถูกตัว’ แต่ควรถามว่า ‘ทำอย่างไรจะยอมรับข้อบกพร่องของคนที่คุณคิดว่าใช่ที่สุด’

หากคุณมีดี และคิดว่าตัวเองสมบูรณ์แบบ อันนี้คงยากมากที่จะหาอุบายหรือวิธีคิดใดๆมาช่วยให้ยอมรับข้อบกพร่องของคนอื่น แต่หากคุณกล้ามอง กล้ายอมรับข้อบกพร่องต่างๆของตนเองทีละนิดทีละหน่อย ใจคุณจะคลายจากอาการยึดมั่นถือมั่นความสมบูรณ์แบบ และค่อยๆยอมรับข้อบกพร่องของคนอื่นไปได้เอง


ถ้าทำอะไรสมบูรณ์แบบไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ เพราะความหวังของคุณนั่นแหละที่ไม่สมบูรณ์แบบในตัวเองตั้งแต่เริ่ม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น