วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทางนฤพาน บทที่ ๒๘ วังวน

บทที่ ๒๘  วังวน

 อ่านบทความที่แล้ว


    เมื่อผู้รับรางวัลปลอบใจคนที่ยี่สิบเจ็ดลงจากเวที และไฟหลักถูกเปิดสว่างพร้อมการกล่าวอำลาของพิธีกร ทุกคนก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ซึ่งมองกวาดแล้วยังคงเหลือกว่าค่อนของเมื่อเริ่มพิธีแจกรางวัล ผู้ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่ย่อยๆกลับไปก่อน

    โดยมากศิลปินทั้งหลายจับกลุ่มคุยกันเองในแวดวงเพื่อนฝูงที่รู้จัก บ้างก็ตระเวนดูภาพไปเรื่อย หากปราศจากการติดโบว์ประกันคุณภาพว่าได้รับรางวัลใหญ่น้อยแล้ว ก็คงต้องใช้เวลาอีกวันกว่าจะกวาดเก็บภาพและเนื้อหาครบ จนแยกแยะถูกว่ามีภาพใดเข้าขั้นควรนิยมบ้าง

    ถกเถียงกันอย่างหน้าชื่นบ้าง หน้าง้ำบ้าง ว่าใครเป็นใคร เจ้าของผลงานไหน ทำไมถึงเชิดเงิน ทำไมจึงชวดรางวัล บางคนก็เอะอะมะเทิ่ง ชี้โบ๊ชี้เบ๊ บอกว่างานนั้นงานนี้ฝีมือไม่น่าจะถึงขั้น ทำไมได้รางวัลชมเชยบ้าง รางวัลปลอบใจบ้าง ส่วนของตนดีกว่าตั้งเยอะกลับปิ๋ว

    ประเภทนี้น่าฝึกระงับโทสะให้ได้ก่อนแล้วค่อยลองสร้างผลงานชวนเย็นใจใหม่ในปีหน้า

    อย่างน้อยวันนี้ก็เป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินหลายคนมองยาวไปถึงปีหน้าแล้ว ต่างได้แนวคิดและหลักสร้างผลงานกันถ้วนทั่ว นี่ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา การระดมสมองของผู้มีฝีมือหลายร้อยคนให้ผลเป็นความรุ่งเรืองกว้างขวางทางปัญญาแน่นอน

    เจ้าของรางวัลใหญ่ทั้งสามถูกขอร้องให้ไปยืนประจำภาพของตน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมนิทรรศการได้พูดคุยซักถาม รวมทั้งให้ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์เป็นรายบุคคล มติเดินผ่านตรอกซอยมาจนพบทีฆายุจากระยะไกล ยืนเด่นเห็นหน้าบานเป็นจานเชิงท่ามกลางการสัมภาษณ์จากกลุ่มนักข่าว ใจหนึ่งอยากอนุโมทนากับเพื่อน แต่อีกใจไม่เป็นปีติล้นพ้นเหมือนอย่างที่เห็นใครต่อใครมะรุมมะตุ้มกฤติยาผู้รับรางวัลเหรียญทอง กับขวัญหล้าผู้รับรางวัลเหรียญทองแดง สองคนนั่นน่าจะพูดแทนชาวพุทธได้เต็มปากเต็มคำทางด้านการปฏิบัติอันเป็นเส้นทางเข้าสู่แก่นแท้ของพระศาสนา

    แต่สำหรับทีฆายุ มติกลัวอยู่ในส่วนลึกว่าจะพูดผิดพล่ามเพี้ยนเลอะเทอะ โดยเฉพาะเกี่ยวกับประเด็นลึก ด้วยภาพลักษณ์ที่ทีฆายุถูกดันขึ้นไปยืนบนแป้นอันทรงเกียรติ มีภาระเสมือนตัวแทน หรือภาพแทนชาวพุทธเช่นนี้ พูดอะไรออกมาย่อมมีน้ำหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นน้ำหนักที่เกิดจากระดับสติปัญญา รู้จักคิด รู้จักพูดฉลาดเฉลียวฉะฉานเสียด้วย

    เท่าที่คบหากับทีฆายุมา แม้ค่อนข้างห่างเหิน มติก็ทราบได้ว่าฝ่ายนั้นมีอคติอย่างรุนแรงเกี่ยวกับหลายประเด็นทางศาสนา นับแต่บาปบุญคุณโทษ นรกสวรรค์ ชาติก่อนชาติหน้า ยิ่งประเด็นเกี่ยวกับนิพพานด้วยแล้ว ทีฆายุเคยประกาศชัดว่าตายเมื่อไหร่ทุกคนก็คงนิพพานเหมือนกันหมด เพราะกายดับ ใจดับแล้วจะเหลืออะไรให้ทุกข์ต่อ

    ว่างเปล่าและสาบสูญแน่นอน…

    เรื่องของสิ่งที่เห็นไม่ได้ด้วยตา พิสูจน์ไม่ได้ด้วยผัสสะของสามัญมนุษย์ หากมีใครสักคนที่ทรงปัญญา พูดได้แยบคาย จุดพลุขึ้นมาดังๆแบบฟันธงว่าไม่มี ไม่ต้องกังวล ไม่ควรสนใจ เราศึกษามาแล้ว อ่านพระไตรปิฎกมาหมดตู้แล้ว ก็แน่นอนว่าอัตโนมัติของคนส่วนใหญ่ย่อมคล้อยตามโดยง่าย เพราะการปิดหูปิดตาไม่ยอมรับนั้น ย่อมง่ายกว่าการพยายามเปิดหูเปิดตามองให้เห็นจริงผ่านการพิสูจน์มากนัก

    ผลงานของทีฆายุมีความเป็นกลาง งานศพเป็นสิ่งปรากฏต่อตาเปล่าได้ทุกเมื่อเชื่อวัน ทีฆายุอาศัยสำนวนโวหารของกวี และทักษะชั้นสูงของจิตรกรมากล่าวถึงงานศพได้อย่างมีพลัง อีกทั้งงานศพและความตายก็เป็นข้อธรรมเตือนสติหนึ่งของพุทธศาสนาจริงๆ

    อย่างไรก็ตาม การตระหนักว่าทุกคนอยู่ในเงื้อมมือมรณา อาจแยกสายเป็นปัญญาและโมหะได้เท่าๆกัน คนหนึ่งอาจคิดว่าในเมื่อต้องตายแล้วก็ไม่ควรประมาท เร่งทำความดีหนีนรก เร่งเข้านิพพานเอาตัวรอดจากทะเลทุกข์ แต่อีกคนอาจคิดว่าไหนๆก็ต้องตายแน่แล้ว เร่งกิน เร่งโกย เร่งกามให้จุใจ อย่าคิดอะไรให้หนักหัวจะดีกว่า

    มติพยายามวางใจเป็นกลาง ขณะนั้นต้องยอมรับว่าไม่อาจอนุโมทนากับความสำเร็จ ความสมหวังของทีฆายุได้เต็มร้อย แต่ขณะเดียวกันก็เร่งสำรวจจิตใจว่ามีความอิจฉาริษยาปนอยู่ในความไม่อนุโมทนาบ้างหรือเปล่า พบว่าเมื่อตรวจในแง่นั้น ใจตนเงียบสนิท ความตาร้อนสักแม้น้อยไม่เกิดกับเขาเลย จึงค่อยสบายอกขึ้น

    ถอนใจเฮือกหนึ่ง นึกอยากขยายความคิดเกี่ยวกับทีฆายุให้แพตรีฟัง แต่ก็เห็นว่านั่นเหมือนนินทาโดยไม่ยังผลให้เกิดประโยชน์กับใคร โดยเฉพาะในจังหวะนั้น ถ้าปล่อยคำติฉินให้หลุดจากปาก แม้แพตรีก็อาจเข้าใจผิดได้ว่าเขากล่าวด้วยความริษยา

    ด้วยเหตุดังนั้น ความคิดปรุงแต่งคำพูดที่เกิดขึ้นในหัวจึงกลายเป็นสิ่งระคาย มติระงับไว้ไม่พูดบ่น ทำใจเสียว่านี่อาจเป็นงานเดียวที่ทีฆายุจะเข้ามาข้องเกี่ยวในแวดวงพุทธศาสนา พอข่าวรางวัลงานประกวดซาแล้วก็แล้วกัน

    ผู้เข้าถึงกระแสธรรมย่อมรักที่จะพูดแต่ในเรื่องอันชวนสงบ เย็นใจ สอดคล้องกับความโปร่งโล่งประณีตในอกตนเอง ทั้งนี้มิใช่ว่าคิดเรื่องกิเลสๆไม่ได้ หรือพูดจาเป็นอกุศลไม่ออกเสียทีเดียว ยังคิดได้ พูดได้ตามนิสัยเดิมของเจ้าตัว แต่จะรู้สึกขัดๆ ไม่สบายใจอย่างแรง ยิ่งพูดคอยิ่งแห้ง พูดนานเท่าไหร่ใจยิ่งมัวเท่านั้น หากมีนิสัยเก่าเป็นพวกพูดมาก ชอบคิดฟุ้งซ่านเลอะเทอะ พอนานเข้าก็จะค่อยปรับตัวให้สมภูมิจิต เช่นเดียวกับคนเคยผิวกร้านหนาเหมือนช้างม้า ชอบเดินเล่นในดงหมามุ่ย ก็ไม่แสบระคายมากนัก อาจคันๆสะใจด้วยซ้ำ ต่อมาพอผิวบางลง เมื่อกลับไปเดินเล่นในดงหมามุ่ยอีกก็ไม่สนุกแล้ว ไม่อยากเอาอีกแล้ว ปวดแสบปวดร้อนจะเป็นจะตายออกอย่างนั้น

    สำหรับปุถุชนธรรมดา นิสัยเคยเสียอย่างไร ก็อาจเสียอย่างนั้น หรือกระทั่งหนักหน่วงเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆตามทิฐิแห่งอายุ ต่างกับผู้เข้าถึงธรรม ถ้านิสัยเคยเสีย ก็เที่ยงที่จะถูกปรับแต่งให้ดีขึ้นเรื่อยเป็นแน่แท้

    เดิมทีมติไม่ใช่คนชอบพูดให้ร้ายส่อเสียดอยู่แล้วโดยนิสัย เมื่อได้ดวงตาเห็นธรรม นิสัยส่วนนี้จึงกลืนกันสนิทกับภูมิจิต โดยไม่จำเป็นต้องให้จิตขัดเกลาตนเองแรมเดือนแรมปีแต่อย่างใด

    พาแพตรีเยี่ยมชมงานที่ยังไม่ผ่านตาด้วยความเพลิดเพลิน เห็นแพตรียังมีความสุขดี ไม่เบื่อหน่ายหรือเหน็ดเหนื่อยก็เดินเรื่อย

    ขณะเดินเปลี่ยนซอย ในอารมณ์หนึ่ง แพตรีนึกพอใจจะยกมือขึ้นสอดเกาะแขนเขา และเบียดไหล่ใกล้เข้ามา พอมติรู้สึกตัวก็หน้าแดง เดินเกร็งขึ้นหน่อยหนึ่ง ภาคภูมิปรีดาที่แพตรียอมแสดงความชิดเชื้อชนิดนั้นให้ใครต่อใครเห็น

    “เฮ้! มติ!”

    จำได้ว่านั่นเป็นเสียงของบางกอกเพื่อนร่วมคณะ เมื่อหันไปก็พบกับเพื่อนร่วมรุ่นทั้งหญิงชายกลุ่มใหญ่ มีอาจารย์สมบูรณ์ซึ่งเขาเคารพนับถือยืนอยู่ด้วย อาจารย์ยิ้มยิงฟันโร่เพราะได้รับรางวัลชมเชยเหมือนกัน ทุกคนมองมาที่เขากับแพตรีเป็นตาเดียว

    มติกลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกขัดๆ พะว้าพะวังขึ้นมาเล็กน้อย หากเขาอยู่ตัวคนเดียวคงเดินตรงไปหาเพื่อนและสวัสดีอาจารย์ แต่นี่มีแพตรีควงแขนอยู่ เลยประดักประเดิดเก้อเขิน เรื่องของเรื่องคือเกรงแพตรีจะอึดอัดกับการเข้าวงใหญ่ อีกอย่างเข้าหาเพื่อนทั้งที่คนสวยควงแขนอย่างนี้ ก็คล้ายจะเป็นเชิงเปิดตัวคู่ใจผู้เป็นสาวเด่นอวดเพื่อนฝูงอย่างไรชอบกล

    พูดง่ายๆแพตรีสวยเกินคู่ควรนายกระจอกอย่างเขา ชักรู้สึกผิดฝาผิดตัวจนขัดเขินที่จะเอาไปอวดใครต่อใครว่านี่แฟนฉัน แค่เห็นแววสุดพิศวงของพวกนั้นก็ฝ่อแล้ว

    หันมาทางหล่อน กระซิบว่า

    “ผมขอตัวไปทักทายเพื่อนหน่อยนะ”

    แพตรีพอจะเดาความรู้สึกของอีกฝ่ายออก เพราะเขาเกร็งและเสียงแหบผิดปกติ เลยแกล้งถามห้วนๆ

    “ทำไม ถ้าแพขอตามไปด้วยนี่จะมีอะไรน่ารังเกียจรึเปล่า?”

    “ปล่าว…” รีบปฏิเสธเพราะไม่เท่าทันมายาหญิง นึกว่าแพตรีเคืองจริงๆ “เผื่อพี่แพรำคาญเพื่อนๆผม เอ้อ…”

    เขาพยายามหาคำอธิบายอ้ำอึ้งตะกุกตะกัก

    “อ้อ! แล้วไป นึกว่ากลัวสาวเห็น ถ้าไม่มีเหตุผลอื่นก็ไปด้วยกันเดี๋ยวนี้เลย…เร็ว”

    แพตรีกระซิบดุ และใช้มือที่เกาะแขนเขาอยู่นั้นรุนไปข้างหน้า หล่อนทำไปด้วยความนึกสนุกและเอ็นดูอีกฝ่าย แต่พอทำแล้วก็รู้สึกว่าอย่างนี้เป็นความเคยชินที่เห็นเขาอยู่ในอาณัติ มองมติเป็นเด็กในคาถาหรือกระทั่งลูกไล่อยู่ตลอดเวลา จึงตั้งใจว่าต่อไปจะเลิกสั่งโน่นสั่งนี่แบบพี่สาวเสียที

    ฝ่ายเพื่อนพ้องที่ยืนชุมนุม ต่างมองคู่ควงที่กำลังก้าวเดินเข้ามาด้วยความรู้สึกร่วมเดียวกันหมด คือเหมือนเห็นเจ้าหญิงกับทาสรับใช้ นางงามกับนายขี้เหร่ หรืออย่างดีที่สุด ถ้าวัดในแง่ความเข้ากันได้อยู่บ้าง คือดูมีกิริยาสุภาพเรียบร้อยกลมกลืนกัน ก็น่าจะให้ศักดิ์หรือฐานะได้แค่พี่กับน้อง แต่นี่เดินเกาะแขนประกาศสัมพันธภาพฉันชายหนุ่มหญิงสาว จึงดูขัดลูกตาพิลึก โดยเฉพาะสำหรับลูกตาชายขี้อิจฉาทั้งหลาย

    มติเป็นคนร่างเล็ก ค่อนข้างผอมบาง สูงเท่าแพตรีพอดี หน้าตาแม้พอไปวัดไปวา ออกสว่างด้วยราศีใสอยู่บ้าง ทว่าการแต่งกายก็มีลักษณะซำเหมา กินข้าวแกง ขึ้นรถเมล์ และเดินเข้าบ้านด้วยรองเท้าขาดๆ แบบที่ผู้หญิงทั้งหลายเห็นปราดเดียวก็พร้อมจะเมินแต่แวบแรก สำคัญคือทุกคนรู้ว่ามติพูดน้อย เรื่องจะให้ราวีกับหมู่ภมรนับร้อยนับพันที่จ้องจะเชยสาวสวยระดับนี้ เห็นทีความสำเร็จน่าจะเป็นเรื่องเหลวไหล จึงน่าแปลกใจเอามากกับความยินยอมสนิทสนมกลมเกลียวของฝ่ายหญิง ที่มีให้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานในความรับรู้ของเพื่อนฝูงที่เคยเห็นคู่นี้เดินด้วยกันมาก่อน

    และความสวยหวานของแพตรีก็เป็นสิ่งบาดหัวใจชายทุกคน ยิ่งเห็นนานเท่าไหร่ยิ่งว้าวุ่นกระสับกระส่าย ชวนให้อยากแสดงอะไรแผลงๆออกนอกหน้าเพื่อเรียกร้องความสนใจจากหล่อนเสียบ้าง

    อย่างเช่นที่ตั้งทัพเดินปราดเข้ามา ยกแข้งยกขาคล้ายอยากเตะหยอกมติราวกับรักปานจะกลืน ทว่าวันนี้มติดูมีดีบางอย่างแปลกไปจากเมื่อก่อน ตั้งทัพคิดในใจว่าอาจเพราะสง่าราศีของเจ้าของรางวัลสี่แสนก็เป็นได้ ง้างแล้วเตะไม่ลง แค่ไก๋ตบไหล่ส่งเสียงดัง

    “ยินดีด้วยโว้ย! รับรางวัลชมเชยเป็นคนแรกเลยเชียว”

    ว่าแล้วก็ยกแขนโอบไหล่เพื่อน แบบที่อยากโอบเลยไปถึงสาวผู้อยู่อีกฝั่ง แพตรีปล่อยมือจากแขนมติทันที ด้วยความระคายผัสสะที่มากับหนุ่มหน้าแหลม

    “ขอบใจ”

    มติฝืนตอบตั้งทัพ แล้วยกมือไหว้อาจารย์สมบูรณ์เพราะเพิ่งพบเป็นครั้งแรก และแนะนำให้แพตรีทราบว่าเป็นอาจารย์สอนเขาที่มหาวิทยาลัย หล่อนจึงไหว้ตาม

    “เดี๋ยวต้องฉลองกันหน่อยล่ะ นัดกับพวกนี้ไว้แล้ว ไปด้วยกันนะ”

    อาจารย์สมบูรณ์ชวน มติอึกอัก เกือบตอบปฏิเสธ เพราะมากับแพตรี แต่ก็เกรงใจอาจารย์ผู้เป็นที่นับถือ เพราะทีท่าท่านไม่ได้ชวนโดยหวังจะรับการบ่ายเบี่ยง จึงหันมาทางหญิงสาวด้วยสีหน้าหนักใจหน่อยๆ

    แพตรีเห็นเขาจะปฏิเสธพรรคพวกเพราะเกรงใจหล่อน ก็ยื่นหน้าเข้ามากระซิบ

    “ไปเถอะ พอดีวันนี้ปู่ค้างบ้านคุณพ่อ แพไม่ต้องรีบกลับ”

    นั่นเองจึงทำให้เขาหันกลับมาตอบรับอาจารย์ แพตรีมีปฏิสันถารเป็นอันดีกับทุกคน มติจึงเบาใจลง แต่ก็ไม่วายนึกหวงขึ้นมาหน่อยๆ เนื่องจากหนุ่มมากหน้ากระตือรือร้นเกินงามที่จะทำความรู้จักกับหล่อน ชนิดทักสองคำจะตีสนิทให้เทียบเท่าเขาเองทีเดียว

    ทีฆายุพาร่างสูงเข้ามาสมทบหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจของตนที่มีต่อผู้สื่อข่าว เพื่อนและอาจารย์พากันแสดงความชื่นชม ลูบหน้าลูบหลัง และหวังให้ทำหน้าที่เลี้ยงมื้อใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งทีฆายุก็ใจป้ำรับโดยไม่อิดเอื้อน เนื่องจากกำลังอารมณ์ดี รับมาทั้งเงินและทั้งกล่อง

    เมื่อรับเป็นเจ้าภาพ ความเคลื่อนไหวจึงไปตกอยู่ที่ทีฆายุ หลังจากเฮฮาร่าเริงอยู่ตรงจุดนั้นอีกพัก เขาก็เป็นคนกำหนดที่หมาย รวมทั้งเป็นคนพยักหน้านำเคลื่อนขบวน

    เงินรางวัลทำให้มติดูรวยขึ้นทันตา ยิ่งมีแพตรีมาด้วยก็ยิ่งทำให้หลายคนไม่นึกรังเกียจที่ชักชวนให้นั่งรถไปด้วยกัน แต่ขณะที่ทีฆายุเสียงใหญ่กว่าใครในฐานะเจ้าภาพงานเลี้ยง เมื่อเอ่ยปากเสนอให้มติไปรถเขา ทุกคนจึงเงียบยินยอม ไม่ยื้อแย่งแต่ประการใด มิไยฟองชลจะทำหน้ามุ่ย ด้วยรู้แกวว่าแฟนหนุ่มของตนพุ่งความสนใจไปที่สาวน้อยหน้าหวาน ไม่ใช่หวังเอื้อเฟื้อมติเช่นไรเลย

    เนื่องจากเป็นวันหยุด วันนี้ทีฆายุจึงขอยืมรถคันละเกือบสิบล้านของพ่อมา จนได้ยืดเป็นพิเศษเมื่อนำแพตรีกับมติขึ้นรถ นึกเสียดายอยู่ในใจ ถ้าทำได้ก็อยากให้ค่าแท็กซี่ฟองชลกับมติเหลือเกิน ราชรถจะได้มีแต่กิ่งทองกับใบหยกประทับอยู่

    ฝ่ายมติก็เพิ่งมีโอกาสขึ้นรถหรูระดับนั้น โครงภายนอกของตัวเรือนเหล็กกล้าขึ้นเงาเป็นมันวับ รับกับภายในที่โอ่อ่าประดับประดาด้วยเฟอร์นิเจอร์งามล้วน เบาะนิ่มแน่นเนียนสัมผัส ความกว้างขวางกับเครื่องกรองทำให้อากาศเย็นรื่นชนิดที่หายใจแล้วรู้สึกสะอาดปลอดโปร่ง และแม้เครื่องยนตร์แปดสูบจะเร่งพลังฉุดกับส่งแรงขับเคลื่อนได้มหาศาล ทว่าก็นุ่มนวลดุจเลื่อนไปบนรางเมฆด้วยระบบกันสะเทือนเหนือชั้น แม้สะดุดปุ่มปมหลุมบ่อเข้าบ้างก็แทบไม่รู้สึก

    ความโอ่อ่าในระดับชีวิตคนรวยที่สะท้อนด้วยตัวอย่างเช่นพาหนะเลิศหรูชนิดนั้น บันดาลใจให้มตินึกคิดถึงการก่อร่างสร้างตัว คิดถึงการใช้เงินรางวัลลงทุนให้แตกดอกออกผล จะได้มีอะไรอย่างนี้กับเขาบ้างในวันหน้า

    เดิมทีเคยคิดอยากสร้างเนื้อสร้างตัวเสียที่ไหน ที่ระอุไฟฝันขึ้นมาในบัดนี้ก็ด้วยชนวนเดียวคือแพตรี เห็นเลยว่าความรักมีพลังบันดาลใจเพียงใด เขาพร้อมจะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรวย ขอเพียงหล่อนแสดงตัวยืนยันว่าจะอยู่เคียงข้างตลอดไป

    คงมีความสุข หากได้ขึ้นมาบนรถระดับเดียวกันนี้กับหล่อนตามลำพังเพียงสองคนในฐานะเจ้าของครองที่นั่งตอนหน้า มิใช่ขึ้นมาในฐานะผู้โดยสารติดตามท่านเจ้าของอย่างนี้

    “ภาพของนายเข้าท่าดีนี่มติ”

    ทีฆายุเอ่ยชมมาจากด้านหน้า น้ำเสียงบอกให้รู้ว่าเป็นการแสดงความยินดีแบบชวนคุยด้วยมากกว่าจะชื่นชมจริงจัง

    “ขอบใจ”

    มติตอบสั้นด้วยสำเนียงราบเรียบอย่างคนที่ขาดสีสัน คิดเงียบๆว่าที่แท้ทีฆายุรับรางวัลเหรียญเงินแล้ว ก็คงมัวแต่เริงสุขสนุกสนาน จ้อกับแฟนสาวอย่างลิงโลดเนื้อเต้น ไม่เหลือแก่ใจสนผลงานของผู้รับรางวัลที่เหลือเป็นแน่

    ฟองชลเสริมทีฆายุ แต่วิจารณ์แบบตรงไปตรงมา

    “ซีว่ามติใช้สื่อทางภาพน้อยไปหน่อยนะ ไปให้น้ำหนักเน้นที่ร้อยกรองเสียมากกว่า”

    ผู้นั่งตอนหลังเงียบเหมือนยอมรับคำติกลายๆนั้นอยู่ในที

    “ภาพเขาดูมีพลังดีออก แล้ววันนี้ก็เพิ่งรู้นะว่ามติฝักใฝ่ธรรมะขนาดไหน ตอบคล่องเชียว”

    ทีฆายุช่วยแก้ต่างนิดหน่อย พอแสดงให้รู้หรอกว่ารับทราบความเป็นไปบนเวทีอยู่บ้าง เขาทบทวนผลงานของมติอยู่ในใจ ภาพแสงนฤพานเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในหมู่เพื่อนฝูงและผู้เข้าชมหลายคนว่า ‘เล่นง่าย’ แต่กลับรับรางวัลชมเชย แถมเข้าอันดับแรก เรียกว่าถูกใจคุณโภไคยเป็นที่หนึ่งอีกต่างหาก จึงถกกันต่างๆนานา สุดแต่ว่าใครยืนอยู่ตรงไหน มองมาจากมุมใด

    ช่วงที่มติขึ้นพูดบนเวทีนั้น ทีฆายุฟังอยู่บ้าง ทว่าก็เห็นเป็นความพูดเก่งและเรียนรู้มาก เช่นเดียวกับตนและผู้เข้าร่วมประกวดคนอื่นๆนั่นเอง แถมในส่วนของภาพ ก็เพียงออกแรงใช้ฝีมือในการเล่นสีและเทคนิคขับเน้นความสว่างจัดจ้า ณ ใจกลางเท่านั้น ต่างจากงานทั่วไปที่คิดกันหัวแทบแตกว่าจะสื่อหรือซ่อนความหมายอะไรดีให้รับง่ายและมีแรงปะทะใจผู้ชมมากที่สุด

    ตามความเห็นของทีฆายุแล้ว หากให้คะแนนที่มติประพันธ์ร้อยกรองไว้เยี่ยมยอด ก็น่าจะได้อย่างมากแค่รางวัลปลอบใจอันดับท้ายๆ น่าสงสัยว่าเหตุใดจึงเข้าวินเป็นอันดับหนึ่งสำหรับคนตาถึงอย่างคุณโภไคย สันนิษฐานว่าอาจมีรหัสเร้นลับแฝงอยู่ชนิดที่คนทั่วไปมองไม่เห็น

    “เราอยากรู้อย่าง ที่นายต้องการสื่อนี่คือการบรรลุธรรมหรือเปล่า?”

    ทีฆายุยิงคำถามเพื่อไขความติดค้างคาใจ มตินิ่งคิดเป็นครู่ ก่อนตอบอย่างระมัดระวัง

    “ใช่ เราได้แรงบันดาลใจจากพาหิยสูตรน่ะ พระพุทธองค์ตรัสเทศน์นิดเดียว ชายผู้หนึ่งชื่อพาหิยะก็สามารถเป็นพระอรหันต์อย่างฉับพลัน กลายเป็นเอตทัคคะทางบรรลุธรรมเร็วไป”

    นึกว่าจบความอยากรู้ของเพื่อนไปแล้ว แต่ก็เปล่า ทีฆายุถามอีก

    “แล้วภาพที่สื่อด้วยแสงสว่างนี่เป็นจินตนาการล้วนๆ หรือว่าประสบการณ์ภายในจริงๆ?”

    “เออ นั่นซี่” ฟองชลหันมายิ้มสำรวจหน้าตาเพื่อนชาย “อาจารย์สมบูรณ์ยังบอกเลยนะ ตอนเจอผลงานเธอน่ะ อ่านแล้วเหมือนเธอไปบรรลุอะไรมา สรุปแล้วผลงานนี้กลั่นมาจากประสบการณ์ตรงของเธอใช่ไหม?”

    มติเบนหลบไม่สบตาฟองชลตรงๆ เมื่อยืนอยู่บนเวที ถูกพิธีกรซักถามต่อหน้าคนนับร้อยนับพัน เขาอาจหาญตอบได้อย่างไม่ต้องลังเลสะดุดเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นคำถามที่ยิงมาเพื่อทราบประโยชน์ของการบรรลุมรรคผล หรือการปฏิบัติเพื่อเข้าให้ถึงมรรคผล เขาสามารถตอบได้อย่างเนียนรื่นเยี่ยงผู้ควรเป็นตัวแทนพระศาสนา

    แต่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทีฆายุกับฟองชลกำลังถามแบบเพื่อนฝูงซักไซ้ไล่เรียง ชนิดที่ไม่เอาไปเป็นประโยชน์อันใดนอกจากไว้กล่าวขานกับเพื่อนอื่นๆภายหลัง มติจึงปิดปากเงียบสนิท

    แต่คนเราถึงคราวจะหาบาปใส่ตัว อย่างไรก็ต้องดึงดันดิ้นรนจนได้ ฟองชลเห็นมติเงียบเช่นนั้นก็ถามเร่งเร้ามาอีก

    “ไฮ้! ทำไมเงียบล่ะ แสดงว่าต้องเก็บไต๋ไว้แน่ๆ เอาอย่างนี้แล้วกัน แค่บอกว่าใช่ หรือไม่ใช่คำเดียวพอ”

    ฟองชลต่อรองด้วยเงื่อนไขพิเศษ ความจริงหล่อนเป็นคนไม่จริงจังกับเรื่องรอบตัวเท่าไหร่นัก ก็แค่สาวน้อยหน้าตาน่ารักคนหนึ่งที่สนุกสนานเบิกบานกับชีวิตไปวันๆ ขอเพียงมติตอบส่งๆหล่อนก็เลิกให้ความสนใจ ซึ่งเรื่องจะง่ายมากเพียงพูดปัดอย่างสั้นว่า ‘ไม่ใช่’

    คำว่า ‘ไม่ใช่’ นั้นขยับปากพูดกันแค่สองพยางค์ น่าจะง่ายแสนง่าย

    แต่สำหรับผู้มีจิตเป็นวิสุทธิ์ศีล ซึ่งเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติหลังเข้ากระแสนิพพาน การขยับปากเพื่อพูดสิ่งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นตรงข้ามกับจริง แม้เพียงสองพยางค์นั้น ก็เหมือนต้องออกแรงง้างขากรรไกรเป็นสิบเท่าเพื่อให้เผยอ ความยากไม่ได้อยู่ที่ฝืนปาก แต่เป็นที่ฝืนใจต่างหาก

    คนธรรมดาอับอายที่จะแก้ผ้าเดินกลางถนนปานใด ผู้มีดวงตาเห็นธรรมก็ละอายที่จะกล่าวเท็จปานนั้น

    ความรู้สึกมันประมาณเดียวกัน ระหว่างให้พูดโกหกกับล่อนจ้อนต่อหน้าฝูงชน ทำได้ แต่คงไม่ทำแน่ๆถ้าสติยังดีอยู่ ที่สำคัญคือนี่ไม่ใช่เจตนารักษาศีล ทว่าเป็นเรื่องของใจที่ละอายต่อการพูดบิดเบือนความจริง ละอายขนาดแค่คิดจะทำ น้ำลายก็ปรี่ขึ้นมาจุกคอหอย ลิ้นแข็งจนเหมือนเจอยาชา

    มติเม้มปาก ในที่สุดก็ตัดสินใจตอบแบบยาว

    “ซีให้เราตอบแค่ใช่หรือไม่ใช่นี่ยากนะ เราเหมือนซีและคนอื่นที่ต้องการสื่อข้อธรรมที่ถนัดที่สุด เราเข้าใจหลายข้อธรรมในพุทธศาสนา แต่ก็ยังมืดมนอยู่อีกมาก และความที่ยังมืดอยู่มากนั้นเองทำให้พูดได้เต็มปากว่าหากการ ‘บรรลุธรรม’ ในใจซีคือการล้างกิเลสอย่างเด็ดขาด สำหรับเรานับว่ายังห่างนัก”

    ฟองชลกะพริบตาปริบๆ ก่อนหันไปหาแฟนหนุ่ม พึมพำว่า

    “ฟังไม่รู้เรื่องอ้ะ”

    ทีฆายุหัวเราะพรืด

    “เหมือนกันเลย คงเพราะพวกเราบุญน้อยนั่นเอง”

    แล้วทีฆายุก็เป็นฝ่ายเบนหัวข้อ โดยจับจังหวะโยงมาเปิดฉากเสวนากับแพตรีบ้าง

    “แพมีงานส่งเข้าประกวดด้วยหรือเปล่าครับนี่?”

    พูดแล้วก็เชิดคางเหลือบตามองเงาสะท้อนของหญิงสาวที่ปรากฏครึ่งร่างในบานกระจกส่องหลัง

    “เปล่าค่ะ”

    หล่อนตอบด้วยน้ำเสียงของคนพูดน้อยเหมือนมติ สบตากับทีฆายุเพียงแวบเดียว

    “นั่นสิ ดูท่าทางแพไม่ติสต์เท่าไหร่นะ พวกเราก็ไม่ได้เรียนจิตรกรรมกันทุกคนหรอก อย่างซีนี่เรียนมัณฑนศิลป์ แต่มีฝีมือวาดยิ่งกว่าเด็กจิตรกรรมบางคนเสียอีก แล้ว…”

    ก่อนที่ทีฆายุจะต่อความยาวกับแพตรี ฟองชลก็ขัดจังหวะขึ้นเสียก่อนด้วยการตะแคงร่าง หันหน้าเอ่ยกับทีฆายุแบบแข่งเสียง

    “อุ๊ย! ขอบใจย่ะที่ชม นี่เป็นรางวัลปลอบใจพิเศษที่ท่านประธานฝากมาหรือเปล่า?”

    แล้วก็เอ่ยสืบต่อเป็นการตีกันไม่ให้แฟนหนุ่มได้เปิดฉากโอภาปราศรัยกับสาวสวยยืดยาวไปกว่านั้น

    “ตอนที่เธอกล่าวอุทิศส่วนกุศลให้พี่แอ้แล้วไฟดับเนี่ย ซีงี้ขนลุกไปหมด สงสัยพี่แอ้คงลงมาแสดงความรับรู้จริงๆ”

    ทีฆายุแค่นยิ้มเล็กน้อย นึกรำคาญและอยากให้ฟองชลหายหนไปชั่วคราว เขาเคยชินกับการแสดงท่าทีหึงหวงอย่างออกหน้าออกตาของหล่อน แต่ไม่อยากให้เป็นเดี๋ยวนี้เลย ถ้าล่องหนไปแบบแม่มดได้จะขอบคุณมาก

    “ไฟบังเอิญดับน่ะซี่ อย่าทึกทักเหลวไหลอย่างคนอื่นเลย”

    โต้ตอบไปแบบเนือยนาย ความจริงเมื่อครู่มีนักข่าวเล่าให้เขาฟังว่าอุปกรณ์ที่ใช้แบตเตอรี่ก็พลอยหยุดทำงานไปด้วย ใช่แต่ไฟหลักในห้องเท่านั้นที่ถูกกระชากวูบไป ทว่าทีฆายุยังคงเห็นเป็นเรื่องบังเอิญ หรือมีเหตุผลทางกายภาพสักอย่างที่อธิบายได้ จะแม่เหล็กโลกรบกวนหรืออย่างไรก็ไม่รู้ล่ะ เพียงแต่เขาและคนส่วนใหญ่ขาดความเข้าใจ เลยแตกตื่นขวัญหนีดีฝ่อกันใหญ่

    เทวดานางฟ้าต้องไม่มีแน่ๆ เขาพอใจที่จะเชื่อของเขาอย่างนี้ และไม่เห็นเหตุผลที่จะเปลี่ยนความเชื่อด้วยประการใดทั้งสิ้น กี่เจ้ากี่ศาลที่ดังนักดังหนา พอโดนหนังสือพิมพ์ขุดคุ้ยมาแฉ จับคาหนังคาเขาเข้าหน่อยก็เจอแต่ของเก๊ทั้งนั้น ถ้าลอยเขียวๆมาจากอากาศให้พิสูจน์กับตาตอนกลางวันแสกๆได้เถอะค่อยว่ากันใหม่

    อย่างไรก็ตาม หากคนทั่วไปจะพิจารณาว่าผลงานของเขามีความขลัง ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ขนาดเทวดาลงมาร่วมรับรู้ นั่นก็เป็นเรื่องน่าพอใจอยู่ใช่หยอก

    ฟองชลไม่เคยมีโอกาสพบตัวจริงของเรือนแก้วขณะยังมีชีวิต แต่ทีฆายุก็เล่าเรื่องต่างๆให้ฟังพอควร คือนับแต่เป็นข่าวตึงตังที่สิงคโปร์ ทีฆายุก็ชี้ให้ดูรูปที่พาดหราหน้าหนึ่งว่าเป็นลูกผู้พี่ พอตกเป็นข่าวอีกทีตอนตาย คราวนี้เลยได้คุยกันยาวเหยียด หล่อนเองมีโอกาสไปงานศพของเรือนแก้ววันหนึ่งด้วย

    “แล้วตกลงหาตัวคนร้ายที่ยิงพี่แอ้ได้หรือยัง?”

    “ยัง…” ทีฆายุส่ายหน้า “ตำรวจสันนิษฐานว่าอาจเป็นคนร้ายรายเดียวกับที่พี่แอ้ไปมีเรื่องด้วยที่สิงคโปร์น่ะ ซึ่งถ้าใช่ อีตาพี่เขยของเราก็คงร้อนตัวหลบหนี หรือม่ายก็เด๊ดไปแล้ว แค่แจ้งมาทางน้าสายชลให้รับศพที่นิติเวชแล้วเงียบสนิท งานศพก็ไม่มาเลยซักวัน”

    สำหรับมติ เมื่อได้ยินแล้วผ่านเฉย เพราะช่วงหลังเขาไม่ได้พบปะพูดคุยกับทีฆายุเลย อีกทั้งเก็บตัวปฏิบัติธรรมเต็มกำลัง ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่ดูโทรทัศน์ ไม่ฟังวิทยุ จึงขาดการสื่อสารกับโลกภายนอกในช่วงที่มีข่าวของเกาทัณฑ์กับเรือนแก้ว

    แต่สำหรับแพตรี เมื่อได้ยินทีฆายุพูดเช่นนั้น ก็คล้ายถูกไฟช็อต…

    ประการแรก เพิ่งแน่ใจว่า ‘พี่แอ้’ ของทีฆายุคือเรือนแก้วนั่นเอง หล่อนผ่านตาเห็นชื่อนามสกุลของเรือนแก้วบ่อยๆในหน้าหนังสือพิมพ์ เมื่อได้ยินนามสกุล ‘ธารเมธา’ ของทีฆายุตอนพิธีกรประกาศขึ้นรับรางวัลก็ไม่คิดอะไรมาก กระทั่งทีฆายุคุยพาดพิงถึงพี่แอ้ของเขาในบัดนี้ ทุกอย่างจึงสอดคล้องลงตัวอย่างปราศจากข้อสงสัย ไม่ว่าเป็นการระบุตัวบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่

    ประการที่สอง ข้อสันนิษฐานของทีฆายุเกี่ยวกับการหายตัวไปของเกาทัณฑ์ ทำให้หล่อนเหน็บหนาวขึ้นมาในใจ อาจเป็นได้ว่าเขา…ตามเรือนแก้วไปแล้วจริงๆด้วยน้ำมือยมทูตตนเดียวกัน

    แพตรีได้แต่เงียบอึ้ง ตั้งใจสดับฟังทีฆายุกับแฟนสาวสนทนากันต่อ โดยหวังว่าจะเก็บตกรายละเอียดอันใดเกี่ยวกับเกาทัณฑ์เพิ่มเติมได้บ้าง

    แต่เปล่า ทีฆายุเบี่ยงแนวสนทนาเฉไปเรื่องอื่นที่รู้กันโดยเฉพาะกับฟองชล

    คำว่า ‘พี่เขย’ ที่ทีฆายุใช้เป็นสรรพนามแทนเกาทัณฑ์ ยินแล้วเหมือนน้ำเกลือที่ราดลงไปบนแผลสดให้เกิดความแสบร้อนสุดทน คนรอบข้างของเรือนแก้วและเกาทัณฑ์ท่าทางจะรับรู้ความสัมพันธ์ฐานคู่หมายเป็นอันดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการขยายผลด้วยข่าวครึกโครมผ่านสื่อมวลชน ขณะที่คนรอบข้างหล่อนซึ่งรับรู้ว่าเขากำลังจะขอหมั้น มีจำนวนน้อยจนนับได้ถ้วนด้วยนิ้วมือ

    ชัดหรือยังว่าบุญหล่อนที่จะคู่กับเขาน้อยกว่าเรือนแก้วเพียงใด?

    เหมือนกำลังถูกกัดกินด้วยเขี้ยวขย้ำของสิ่งโหดร้ายที่มองไม่เห็น แพตรีหน้าหมองลง ใจหนึ่งนึกเป็นห่วงเขา แต่สัมผัสภายในบอกว่าเขาน่าจะยังมีชีวิต เพียงด้วยเหตุผลบางประการทำให้ต้องเร้นกายหายหน้าไปจากทุกคน ซึ่งเหตุผลนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ในสายตาของเขา หล่อนมีค่าหรือความหมายน้อยเกินกว่าจะร่วมรับรู้…

    เม้มปากแน่น ในเมื่อตัวเองสำคัญสำหรับเขาน้อยขนาดนี้ ทำไมหล่อนจะต้องให้ความสำคัญกับเขามากมายไม่เลิกราด้วย?

    มติหันมาด้วยสำเหนียกกระแสเศร้าหงอยข้างกาย เห็นแพตรีสีหน้าหมองลงแล้วสนเท่ห์ เฝ้าพินิจหล่อนเงียบๆครู่หนึ่งจนแน่ใจว่ามีสิ่งผิดปกติไป

    แพตรีคือตัวอย่างความสงบกายสงบใจมาแต่เล็ก น้อยครั้งที่เห็นหล่อนเศร้าสร้อย หลุดจากจุดยืนของตนเอง แต่เห็นอย่างนี้ทีไรก็วนไปเวียนมาอยู่เรื่องเดียวทุกที คือปมฝังหัวใจชวนหม่นอันยากที่ใครจะเข้าถึง กี่ปีๆก็เรื่องเก่านี่แหละ ราวกับถูกจองจำในกรงขังชนิดหนึ่งทั้งชีวิต

    จู่ๆคงคิดถึงเขาคนนั้นขึ้นมานั่นเอง ไม่มีเรื่องอื่นหรอก…

    เหนื่อยใจแทน มติบอกตนเองขึ้นมาวูบหนึ่ง ว่าหากแกะรูปร่างหน้าตาน่าหลงใหลของแพตรีออกไป สิ่งที่เหลือคือวิญญาณอันชุ่มกิเลส เป็นทุกข์เป็นร้อนได้ดวงหนึ่ง ดูน่าสงสารเพราะเป็นดวงวิญญาณดีๆที่ควรมีสิทธิ์พ้นทุกข์ได้แล้ว แต่กลับถูกผูกยึดอยู่กับอุปาทานบางอย่างไม่เลิกรา ไปไหนไม่รอดเสียที

    “เป็นอะไรไปฮะพี่แพ?”

    หญิงสาวขบฟัน ข่มความรู้สึกภายในเป็นครู่ ก่อนหันมาฝืนยิ้มตอบ

    “ยังไงเหรอ?”

    “อยู่ๆเหมือนเศร้าขึ้นมา”

    เขาบอกตามตรงฉันผู้ใกล้ชิดสนิทนานนม ทั้งสองสื่อสารกันด้วยการเอียงหน้ากระซิบพอได้ยินตามลำพัง

    “เธอนั่นแหละ อยู่ๆหาว่าคนอื่นเขาเศร้า เอาอะไรมาตัดสิน?”

    “อย่าอำผมเลย เมื่อกี้ยังหน้าใสอยู่ดีๆ ตอนนี้หมองเหมือน…”

    “เหมือนอะไร?”

    ถามเมื่อเห็นเขาเว้นช่วงนาน

    “เหมือนลืมล้างหน้ามาจากบ้าน”

    แพตรีหัวเราะ ทำหน้าแจ่มใสขึ้นได้ การเย้าแหย่หยิกแกมหยอกของมติดูซื่อ เจตนาเพียงดูแลเอาใจใส่เพื่อให้ลืมความขุ่นข้องกังวล ไม่โฉบเฉี่ยวโลดโผนเร้าความรู้สึกแรงอย่างเกาทัณฑ์ แต่ก็ทำให้เป็นสุขเย็นใจกว่า บางครั้งขณะหัวเราะเพลินเพราะถูกเกาทัณฑ์ยั่วให้ขำ หล่อนอดคิดไม่ได้ว่ามีผู้หญิงกี่คนที่เพลินด้วยมุขหรือลูกเล่นเดียวกันนั้นอีก

    ความซื่อที่ขาดเสน่ห์ น่าจะดีกว่าเสน่ห์ที่ขาดความซื่อมากนัก

    “ทำไม? มากับคนหน้าหมองแล้วอับอายนักใช่ไหม? จะได้ขยับหนีไปห่างๆ”

    แพตรีทำเป็นครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง ต่อปากต่อคำอย่างพยายามจำนรรจา

    “เปล่าฮะ…”

    มติทำหน้าตกอกตกใจเพราะตีความผิด เห็นแต่อาการขึงขังอย่างเดียว แปลยิ้มแฝงที่ฉาบหน้าไม่ออก

    “ผมเป็นห่วงต่างหาก โธ่”

    รอยยิ้มของหญิงสาวเจื่อนลงให้กับท่าทีตื่นๆของมติ ความจริงตลอดชีวิตสาว หล่อนแทบไม่เคยมีโอกาสหัดใส่จริตจะก้านเท่าไหร่นัก ทั้งกิริยาวาจา ถูกรีดให้เรียบด้วยใจเสงี่ยมมาช้านาน แต่พอถึงคราวที่ควรใช้ ก็ท่าทางจะกร่อยสนิทเพราะเจอหนุ่มน้อยผู้ไร้เดียงสากับวิถีโลกคนนี้เข้า

    แพตรียิ้มเย็นด้วยธาตุเดิมประจำตน เอื้อมมือวางบนหลังมือเขา

    “ขอบใจที่เป็นห่วง คอยเตือนแพให้ผ่องใสได้สม่ำเสมอเหมือนอย่างเธอด้วยนะ”

    ความละมุนนุ่มนวลในมือแพตรีแปรตัวเป็นกระแสสุขขึ้นเอ่อท้นใจฉับพลัน มติอยากพลิกมือกุมกลับ แต่ไม่กล้า กลัวหล่อนหดหนีหรือทำตาเขียวใส่ ความสองจิตสองใจยังผลให้เกร็ง ที่สุดก็แสร้งทำเป็นเห็นป้ายโฆษณาสะดุดตา ชะเง้อชะแง้เพ่งมองออกนอกรถเสียไกล

    

    ทีฆายุนัดมาเลี้ยงที่ภัตตาคารหรูแห่งหนึ่ง สมน้ำสมเนื้อพอจะเรียกได้ว่าเลี้ยงฉลองรางวัลสองล้าน มติรู้สึกเหมือนตนเองและแพตรีมานั่งเป็นสักขีพยานกับความสำเร็จก้าวแรกให้กับเพื่อนมากกว่าอย่างอื่น อาจด้วยงานนี้ทีฆายุเป็นเจ้าภาพ กระแสความชื่นชมยินดีจึงพุ่งตรงไปให้ทีฆายุผู้รับรางวัลใหญ่แต่เพียงผู้เดียว

    สุ้มเสียงของทีฆายุที่เคยเด่นอยู่แล้ว บัดนี้ยิ่งห้าวกังวานเป็นพิเศษราวกับนักรบใหญ่จากสมรภูมิ ทั้งหน้าตา รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ อากัปกิริยา ล้วนรวมกันบ่งถึงภาวะของผู้ยืนเหยียบหลังคาโลกทั้งสิ้น เมื่อทีฆายุเอ่ยคำใด ทุกคนจะต้องเงียบฟัง และแม้ใครโต้ตอบเล่นหัวฉันเพื่อนสนิทมิตรสหาย ก็แฝงอยู่ด้วยความพินอบพิเทาในทีเสมอ

    สองล้านบาทนับเป็นเงินก้อนโตที่สุดที่ทีฆายุเคยได้มาด้วยฝีมือและน้ำพักน้ำแรง น้อยนักที่รุ่นราวคราวเดียวกันจะเทียบเท่า ตัวเงินจึงคล้ายเป็นก้อนกำลังใจอันใหญ่ หนุนให้อัตตาแรงและเห่อเหิมลำพองสุดสภาพ

    ขนาดยังไม่ทันเริ่มก้าวเข้าสู่ความเป็นมืออาชีพ ยังประสพความสำเร็จระดับนี้ ถึงเวลาจริงจะยิ่งสำเร็จเป็นทวีคูณแค่ไหน?

    นี่นับเป็นสิ่งเสริมฐานอัตตาเดิมที่เขื่องอยู่แล้วให้เบ่งบานเข้าไปใหญ่ ในกลุ่มเด็กรวยด้วยกัน ทีฆายุหล่อที่สุด ขับรถแพงที่สุด ควงแฟนน่ารักที่สุด แถมมีเส้นทางแน่นอนว่าจะไปเอาดีทางจิตรกรรมหรือประติมากรรมระดับนานาชาติมากที่สุด เนื่องจากมีฝีมือและทักษะอันเที่ยงต่องานศิลป์หลากหลาย หัวคิดแหวกแนวกว่าใคร ทั้งยังประกอบเข้ากับสัญชาตญาณหรือพรสวรรค์พิเศษเชิงการสร้างสื่อกระทบใจ เหนี่ยวนำอารมณ์มนุษย์ให้เป็นไปต่างๆตามเจตนา จนอาจารย์สมบูรณ์เคยทำนายไว้ว่าหากทีฆายุหาแหล่งแจ้งเกิดดีๆในงานใหญ่ที่ต่างประเทศได้ ก็อาจมีชื่อเสียงระดับโลกไปโน่นเลยทีเดียว

    หากเพื่อนคนอื่นที่นั่งล้อมโต๊ะอยู่ด้วยกันได้รับรางวัลเหรียญเงินแทนทีฆายุ คงไม่แคล้วถูกริษยาและจ้องจับผิดหาที่ติ เจอวิพากษ์วิจารณ์เละ ทว่านี่เป็นทีฆายุซึ่งทุกคนให้ความยอมรับอยู่แล้วในทุกด้าน จึงพร้อมใจกันยกย่องชื่นชมเป็นอันหนึ่งอันเดียว หรือถ้าจะมีกระแสริษยารินๆไหลๆอยู่บ้าง ก็คงถูกซ่อนไว้ในหลืบเร้นลึกลับที่สุดในหัวใจแต่ละคน

    ได้เวลาเลือกสั่งอาหาร ทุกคนได้รับเมนูมาก้มหน้าก้มตาเปิดดูและทยอยสั่งบริกรกันตามอัธยาศัย หลังจากประชุมแล้วได้ความว่าไม่ต้องการอาหารชุดหรือกับข้าวรวม

    มติทานได้ทุกอย่าง แต่ก็สมัครใจเลือกสลัดผักกับอาหารเบาที่ปราศจากเนื้อสัตว์เพื่อเป็นเพื่อนแพตรี เขาทานมังสวิรัติเป็นเพื่อนหล่อนทุกครั้ง ทุกงาน จนบางทีชิน หรือกระทั่งชอบ แต่ก็ยังทานเนื้อสัตว์เล็กอยู่เรื่อยๆ เยี่ยงผู้ไม่รู้ไม่เห็นว่าสัตว์ใดจะถูกฆ่าเพื่อนำมาให้ตนทาน แต่ก็นึกอยู่ตลอด คือถ้ามีการโหวตเสียงเพื่อเลิกฆ่าสัตว์มาทำเป็นอาหารพร้อมกันทั้งโลก เขาจะอยู่ข้างให้เลิก จะไม่ยินดีให้มีการเอาชีวิตอื่นมาต่อชีวิตตนแน่ๆ และคิดอย่างนี้มานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งคิดหลังเห็นธรรม

    ลักษณะความบริสุทธิ์ของศีลต้องเล็งตรงเข้ามาถึงระดับความคิดอย่างนี้

    ระหว่างสมาชิกในโต๊ะเลือกอาหาร ทีฆายุก็ขอเมนูไวน์จากบริกร และแม้เขาจะอยู่ในฐานะเจ้าภาพ ก็ให้เกียรติอาจารย์สมบูรณ์เป็นคนดูเมนูเลือกสั่งไวน์ แก้วไวน์ทรงสูงถูกนำมาวางเรียงตามลำดับ มติมองด้วยความรู้สึกไม่ดีนัก ปกติแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่พิศวาสน้ำเมาเท่าไหร่ เคยต้องทานเหล้าบ้างตามโอกาสชนิดนานทีปีหน เช่นในงานวันเกิดเพื่อนสนิท หรือดื่มตามพรรคพวกร่วมอาสาพัฒนาชนบท ซึ่งบางครั้งอยู่ในเขตหนาวเหน็บ ได้ดีกรีเหล้ามาช่วยเพิ่มความอุ่นภายในร่างกายบ้าง ก่อนดื่มจะตั้งความคิด ตั้งสติรู้ตัวว่า ‘แก้วนี้เพื่อเพื่อน’ หรือ ‘แก้วนี้เพื่อเป็นยา’ และแน่ใจอย่างหนึ่งคือไม่เคยดื่มด้วยความอยากสนุกคึกคะนองแต่อย่างใด

    ยิ่งถ้าช่วงตั้งใจถือศีลให้บริสุทธิ์ ก็จะเว้นขาดสนิท ไม่ให้เหล้าแตะเลยแม้ปลายลิ้น

    วันนี้คงเป็นอีกวันหนึ่งที่ต้องตั้งสติรู้ตัวว่า ‘แก้วนี้เพื่อสังคม’

    คิดแค่ว่าต้องทำตัวเอาใจสังคม ก็บังเกิดความเบื่อหน่ายการเข้าพรรคเข้าหมู่ขึ้นมากะทันหัน เบื่อชนิดที่จิตขอหลบเข้าข้างใน ขาดจากความรู้สึกในตัวตนชั่วคราว ฉายว่างออกมาจนจอตารับความเคลื่อนไหวของผู้คนมากหน้าหลายตารอบโต๊ะเสมือนภาพเชิงซ้อน คือภาคหนึ่งเห็นเขาและเธอทั้งหลายสรวลเสเฮฮาเป็นปกติ รับรู้ว่าใครเป็นใคร ชื่ออะไร แต่อีกภาคหนึ่งรู้สึกเหมือนสักแต่เป็นสีสันและความเคลื่อนไหวหลอกๆ

    เมื่อใจว่างจากตัวตน สิ่งทั้งหลายที่เห็นก็ว่างจากตัวตนไปด้วย

    คล้ายกับใจเปล่าๆเล็งมองสรรพสิ่งมาจากอีกมิติ ทุกอย่างปรากฏราวกับเป็นหุ่นเชิด หุ่นกระบอกกะโหลกกะลา ทั้งดวงหน้า ดวงตา รูหู รูจมูกของใครต่อใครปรากฏครบพร้อมต่อจักขุประสาท แลดูประหลาดราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งนี้ก็เนื่องจากเมื่อความรู้สึกในตัวตนขาดสายหายหนไป ก็เหลือแต่ใจรู้เปล่าๆที่เป็นเอกเทศจากอดีต ความกำหนดหมายแบบเดิมๆเหลือติดอยู่เพียงน้อยเท่าน้อยในชั่วขณะนั้น

    ราวกับดำน้ำลงไปแล้วนำหน้ากากกระจกมาสวม ทำให้เห็นทุกสิ่งใต้น้ำชัดเจนระยะหนึ่ง นั่นคือขณะแห่งการรู้ทั่วพร้อม จะเรียกมหาสติก็ได้ แต่แล้วก็เหมือนถูกดึงหน้ากากกระจกออก ทำให้เห็นพร่ามัวไปอีก นั่นคือขณะแห่งการรู้เพียงบางส่วนเหมือนปกติสามัญ จะเรียกสติธรรมดาก็ได้

    ในวูบที่คืนกลับมาสู่ความรู้สึกเป็นตัวเป็นตน และแก้วไวน์ถูกวางประจำที่เขา ใจหนึ่งอึดอัดอยากบอกปฏิเสธ แต่อีกใจก็คิดลองอนุโลมตามโลก หรืออนุโลมตามสมมุติ เพราะเคยทานเหล้าให้เพื่อนกลุ่มนี้เห็นมาก่อน อยู่ๆวันนี้บอกจะไม่ทาน เดี๋ยวถูกหาว่าทำตัวแปลกแยก เยาะหยันถากถางหรือคะยั้นคะยอแกมบังคับขึ้นมา ก็เกิดบาปเกิดกรรมฐานยัดเยียดพิษให้ผู้ไม่ประสงค์จะรับเปล่าๆ

    แต่เมื่อบริกรจะวางแก้วให้แพตรี มติก็รีบยกมือห้าม

    “ที่นี้ไม่ต้องครับ”

    เขาเอ่ยแทนหล่อนโดยไม่หันถามความสมัครใจ เพราะรู้ว่าแพตรีไม่ดื่มแน่ๆ จะเพื่ออนุโลมตามสังคม หรือเพื่อเห็นแก่เขาก็ตามที พอบริกรชะงักมือมติก็เงยหน้าสั่ง

    “ขอน้ำส้มให้แทนแล้วกัน”

    ทุกคนในโต๊ะมองมานิดหนึ่งแล้วผ่าน เนื่องจากบุคลิกของแพตรีค่อนข้างบ่งบอกอยู่ในตัวเองทำนองมักน้อย รักสันโดษ หรือกระทั่งชอบถือศีลแปด อีกอย่างหล่อนเป็นคนนอกที่ติดตามมติมาร่วมโต๊ะ จึงดูธรรมดาและไม่ทำให้เห็นแปลกแยกเท่าไหร่

    “เฮ้! ชนกันหน่อยเพื่อนยาก”

    ทีฆายุยกแก้วให้มติซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ได้รับรางวัลเช่นเดียวกับตน มติยิ้มและยกแก้วขึ้นกระทบกับใบของเพื่อนกริ๊กหนึ่ง แล้วนำมาจิบเป็นปกติ

    กลิ่นเหม็นและรสเอียนทั่วช่องปากช่องคอของเหล้าก่อความรู้สึกผิดจัดขึ้นมาพิลึก เหมือนยอมรับสิ่งแปลกปลอมบางอย่างเข้าสู่ร่างกาย แต่ก็ยังกลืนได้ด้วยเจตนารักษามิตรภาพ

    มิตรภาพตามบรรทัดฐานของสังคม ชนแก้วแล้วต้องดื่ม

    คุยๆกันพักหนึ่ง อาจารย์สมบูรณ์ก็ชูแก้วไวน์ในมือ พูดยกย่องและกล่าวถึงความสำเร็จจากงานประกวดของทีฆายุ ทำให้ทุกคนต้องชูแก้วเชียร์และกระดกเข้าคอตาม

    รอบนี้มติรู้สึกเหมือนกินยาพิษ

    เด็กหนุ่มขมวดคิ้วย่น เหลือบมาสบกับแพตรี เห็นหล่อนปรายตามองรออยู่ก่อน กลิ่นไวน์ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายเขาไม่ผิดแปลกจากที่เคยลิ้มรสมาหลายต่อหลายครั้ง ทว่าความร้อนในกายสิชอบกลนัก เพราะไม่ร้อนแบบกระตุ้นเลือดลมอย่างเคย เป็นความร้อนแบบทรมาน ไล่ซ่าชาเห่อมาตามใบหน้าและเนื้อตัวคล้ายคนเป็นลมพิษอ่อนๆ

    รู้สึกว่ากำลังทำผิดอย่างแรง

    กลืนน้ำลายตามลงไปหลายอึกอย่างไม่สบายใจ เขานั่งฟัง และคุยโต้ตอบกับเพื่อนบางคน พออาหารมาเสิร์ฟก็ทานเป็นปกติ เมื่อไวน์หมดและบริกรมารินเติมให้ก็ปฏิเสธไม่ทัน ดังนั้นจังหวะหนึ่งเมื่ออาจารย์สมบูรณ์ยื่นแก้วมาให้ชนด้วยเป็นส่วนตัว จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกเช่นเคย

    สำเหนียกความสะเทือนที่ก่อตัวขึ้นในกาย และแผ่ออกมาเป็นความสั่นที่มือไม้ พอชนแล้วก็คือต้องดื่ม มติพยายามหน่วงจังหวะไว้ โดยทำเป็นนำมาจ่อดมเอากลิ่นเสียก่อนลิ้มรส

    กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนเข้าจมูก รับรู้ว่านั่นคือที่ถูกปรุงขึ้นเพื่อเป็นน้ำเมา ปรุงขึ้นด้วยเจตนาปรับประสาทให้ทำงานอีกแบบหนึ่งต่างจากขณะมีสติครองตัวเต็มร้อย กับทั้งเกิดความเห็นภาวะร่างกายตน ว่าถ้าดื่มมากกว่านั้น ประสาทและสำนึกจะเริ่มแปรปรวนไป

    ตัวห้ามเกิดขึ้น กลิ่นเหล้ากลายเป็นกลิ่นน้ำนรกในสำนึกชั่วขณะจิตนั้นเอง

    เป็นสัมผัสนรกจริงๆ ไม่ใช่อุปมาอุปไมย นั่นคือสัญชาตญาณรู้ของผู้ปิดประตูอบายได้เด็ดขาดแล้วนับแต่เกิดมรรคผล

    แต่ก่อนเขาไม่รู้เหตุผลอย่างแท้จริงเลยว่าทำไมการกินเหล้าจึงเป็นข้อห้ามของศีลห้า ต่อเมื่อใจเป็นศีล มีความวิสุทธิ์สะอาดจากทางนรกในบัดนี้ จึงเข้าใจแจ่มแจ้ง เทียบได้กับคนสติดีธรรมดาเมื่อเห็นไฟลุกท่วม ย่อมไม่เดินเข้าไปย่างสดตนเองเป็นแน่

    เคยสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเมื่อเป็นอริยบุคคลแล้ว จะต้องทำหรือไม่ทำอะไรบ้าง เป็นไปอย่างตำราว่าไว้เป๊ะเลยหรือเปล่า ผู้ถึงธรรมทุกท่านจะเสพหรืองดเสพสิ่งต่างๆเหมือนกันหมดโดยไม่ต้องนัดหมายเลยจริงๆล่ะหรือ?

    ตอนนี้หายสงสัยแล้ว เมื่อเป็นศีลด้วยตัวเอง ระบบทั้งหมดโดยองค์รวมไม่ว่าจิตหรือกาย ต่างร่วมกันปฏิเสธสิ่งแปลกปลอม กล่าวคือต่อไปนี้สารใดๆก็ตามที่เข้าสู่ร่างกายแล้วมีฤทธิ์กดประสาท แปรสติไปในทำนองมึนเมา เห็นผิดเป็นชอบทั้งปวง เป็นอันถูกปฏิเสธทั้งสิ้น ใช่แต่จะหมายเพียงสุราเท่านั้น

    เขายกแก้วแตะริมฝีปาก จิบนิดหนึ่งสักแต่เป็นละครตามมารยาท ทว่าปล่อยให้ ‘น้ำนรก’ ซึมลิ้นเพียงนิดเดียว ไม่ล่วงผ่านลำคออีก

    เหล้าที่ล่วงผ่านลำคอไปก่อนหน้า บัดนี้เริ่มออกฤทธิ์เป็นที่รู้ คนธรรมดานั้นไวน์แก้วเดียวจะไม่เกิดอาการผิดแปลกเลย แต่สำหรับมติ นอกจากร้อนปุดอยู่ใต้ผิวหนัง อึดอัดไม่สบายทั้งกายและใจแล้ว จิตยังเริ่มแผลงสภาพไปเอง คือเกิดอาการหลบใน ตั้งมั่นแน่นิ่งอยู่กับที่ ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกายเต็มๆ กล่าวคือตั้งป้อมรู้เฉยเมย มองดูไฟนรกมันลุกโชติอยู่โดยรอบ ไม่เฉียดเข้าไปแตะต้อง หากกล่าวตามนัยของความเข้าใจปกติ ก็ต้องว่าทุกข์ทรมาน ไม่ยินดีกับเหล้าที่เข้าปากแม้เพียงเสี้ยวแห่งเสี้ยวใจ

    มติพยายามลดดีกรีรุ่มร้อนในกายลงด้วยสติกำหนดลมหายใจ จึงค่อยยังชั่วขึ้นบ้าง แม้ซ่าเห่อตามผิวหนังไม่หยุด เกิดความเข้าใจต่อเนื่องตลอดสาย ว่าสำหรับศีลข้ออื่นจะถูกรักษาไว้เองท่าไหน

    หากมีสถานการณ์บีบคั้นให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือลักขโมย มือไม้คงแข็งทื่อเป็นท่อนเหล็กหมดทางขยับเขยื้อน เพราะชีวะของสัตว์และทรัพย์ของผู้อื่นย่อมมีกระแสห้ามในตนเองที่อริยเจ้าสัมผัสได้ ฉะนั้นแน่นอนว่าต่อไปนี้หมดสิทธิ์ประกอบอาชีพเช่นพรานหรือคนงานโรงฆ่าสัตว์ อันนี้มีตัวอย่างบันทึกไว้ว่าในสมัยพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์ พรานป่าผู้บรรลุโสดาปัตติผลหันหลังให้อาชีพเก่าทันทีด้วยตนเอง ไม่มีใครบังคับ และไม่ได้เรียนรู้พระธรรมวินัย หรือกฎเกณฑ์ที่ว่าอริยบุคคลต้องทำนั่นทำนี่ หรือไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้

    หากมีสถานการณ์บีบคั้นให้ผิดลูกที่ยังอยู่ในปกครอง เลี้ยงตัวเองไม่ได้ หรือเมียใครที่ผัวเขายังไม่หย่าขาดด้วยกาย วาจา ใจ ก็จะไม่มีความพร้อมในการทำอกุศลกิจด้วยประการใดๆ

    หากมีสถานการณ์บีบคั้นให้มุสา อันนี้เขาผ่านเหตุการณ์สอบใจมาแล้วเมื่ออยู่ในรถของทีฆายุ เขาจะอ้าขากรรไกรด้วยเจตนาตอบเป็นตรงข้ามกับความจริงไม่ได้ อย่างมากที่สุดคือพูดเฉพาะความจริงส่วนที่พูดได้ หรือเลี่ยงเป็นอื่น หรือเลือกทางสุดท้ายคือเงียบเสียดื้อๆ

    

    แท็กซี่แล่นมาจอดหน้าบ้านปู่ชนะ มติควักกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่ายตามมิเตอร์ แล้วลงจากรถพร้อมแพตรี ยังคงมีความขมของเหล้าและความรู้สึกผิดติดตามตัวไม่เลิก นึกในใจว่าต่อไปนี้เหล้าหยดเดียวก็อย่าได้มาแตะปลายลิ้น เขาเปรียบเหมือนคนเป็นโรคแพ้สุราถาวร คงต้องประกาศตามนั้น ถ้าสังคมไม่เห็นใจ เขาก็ไม่จำเป็นต้องเห็นแก่สังคมเช่นกัน

    แพตรีล้วงกุญแจออกมาไขประตู แต่มติเรียกรั้งไว้

    “พี่แพ”

    หญิงสาวเหลียวมา เลิกคิ้วสูงเป็นเครื่องหมายคำถามว่ามีอะไร

    “พี่จะไปนั่งดูทะเลกับผมจริงหรือเปล่า?”

    “จริงสิ แพเคยหลอกเธอสักครั้งเหรอ” แล้วหล่อนก็เหลือบตาคิด “พรุ่งนี้เลยไหมล่ะ ไปเช้ากลับเย็นทันใช่ไหม?”

    “ฮะ ทัน ไปใกล้ๆแถวชลบุรี พัทยานี่ก็ได้”

    “ถ้างั้นจะรอที่บ้านนะ ออกสักเจ็ดโมงเช้าเป็นไง”

    “ฮะ” แล้วเขาก็จ้องตาหล่อนนิ่ง “พี่แพ ผมอยาก เอ่อ…ถามอย่างตรงไปตรงมาสักอย่างหนึ่ง คือ…”

    พูดตะกุกตะกักจนต้องกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ ก้มหน้าลงและรู้ว่าใจแข็งไม่พอจะเอ่ยถามตามต้องการ

    “คืออะไรล่ะ?”

    มติถอนใจเฮือก รวบรวมความกล้าทั้งหมดมาไว้ที่ริมฝีปาก

    “พี่แพจะแต่งงานกับผมได้ไหมฮะ?”

    แพตรีรับฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่สะดุดวูบแต่อย่างใดทั้งสิ้น หล่อนมองหน้ามติพักหนึ่ง เขาสบสานด้วยเป็นครู่ ก่อนเหลือบหลบลงต่ำคล้ายกลัวถูกหล่อนดุ หญิงสาวตระหนักในบัดนั้นว่าเขาไม่มีความพร้อมจะเป็นเจ้าของหล่อนเลย มีแต่ความปรารถนาที่จริงจังและจริงใจเท่านั้น

    คำถามที่มีมาเร็วเกินไปของมตินั้นเอง ทำให้แพตรีรู้สึกว่าตนยังคงเป็นผู้หญิงของเกาทัณฑ์ คล้ายทาสรักโง่ๆซื่อๆที่ไปไหนไม่รอดสักที ถึงฉลาดคิด มีสติปัญญาด้านอื่นเพียงใด ก็เหมือนเป็นเอกเทศ คนละส่วนกันกับหัวจิตหัวใจอย่างสิ้นเชิง หล่อนเพียรพยายามมานานปี ที่จะผูกความคิดเป็นเหตุเป็นผล ศึกษาและทำใจให้รักวิทยาศาสตร์เพื่อกลบเกลื่อนอาการฝังใจผูกมัดกับเรื่องลี้ลับ ทว่านั่นก็เป็นความพยายามที่สูญเปล่า ความรักที่เกิดจากบุพเพสันนิวาสในชาติใกล้นั้นรุนแรงและแน่นเหนียวยิ่งกว่าโซ่ตรวนที่มัดร่างไม่ให้กระดุกกระดิก ให้ทำอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด

    เหมือนของตายในมือเขา

    โดยเฉพาะในช่วงหลังที่เขาขอหล่อนแต่งงาน และบอกผู้ใหญ่เตรียมหมั้นหมายไว้อย่างดิบดี ก็สิ้นความเคลือบแคลง ปล่อยให้ความรักล้ำลึกเข้าครองจิตใจเท่าแต่ก่อนเก่าทุกประการ

    พอรู้ว่าเขารักคนอื่นเท่าหล่อน ก็เหมือนถูกฆ่าทั้งเป็น

    ยังรักและคิดถึงเขาอยู่ทุกวินาที ทั้งเสียใจ ทั้งน้อยใจ กลางวันดูยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นที่น่านับถือของเด็กๆ แต่กลางคืนบางทีนอนร้องไห้หมดท่า แม้ปรับสติทำสมาธิ อ่านหนังสือให้ใจมีที่จับบ้าง ก็แค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ยิ่งอยากลืมก็ยิ่งเหมือนย้ำให้จำชัดขึ้นทุกที

    บัดนี้คงถึงเวลาต้องทบทวนตนเอง หล่อนเอาเคราะห์มาฟาดมติหรือเปล่า? หล่อนใช้เขาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวแทนเกาทัณฑ์อย่างไม่เป็นธรรมหรือเปล่า? ผลที่ได้จะคุ้มเสียหรือเปล่า?

    คิดง่ายๆตามประสาคนไม่รู้ คือเป็นผู้หญิงของใครก็คงไปกับคนนั้น เส้นทางไปนิพพานของเกาทัณฑ์ยืดยาวเยิ่นเย้อจนชักนึกกลัวความไม่แน่นอนอันดำมืดในภายภาคหน้า แต่เส้นทางของมติอยู่สั้นเหมือนแค่เอื้อมถึง สว่างกระจ่างแจ้งเห็นชัดยิ่ง

    หล่อนว่าหล่อนขยาดกับการเกิดตายเต็มที ระลึกได้ชาติเดียว เห็นความไม่แน่นอนแค่นี้ ก็เหลือจะพอกับสำนึกลึกซึ้งถึงแก่นโทษภัย ความไม่น่าพิสมัยของชาติภพ ถ้ายังติดอยู่ ยังข้องอยู่ ก็เวียนเกิดตายอยู่กับความไม่รู้ แต่กลับเกิดอุปาทานหลอกตัวเองว่ารู้ๆๆเยี่ยงนี้ไปเรื่อย

    แม้ปลงคิดเปลี่ยนใจมาหามติแล้วก็ตาม แต่อย่างหนึ่งที่รู้ก็คือวันนี้ เดี๋ยวนี้ หล่อนคงรักเขาอย่างชนิดที่จะให้มาครองกายครองใจไม่ไหวแน่ๆ พอเขาชวนแต่งงานแล้วเห็นเป็นเรื่องเลื่อนลอยไกลตัวเหลือเกิน

    “เราคบกันมานานมากนะมติ” แพตรีค่อยๆพูด “และอยู่กันมาอย่างพี่อย่างน้อง ถ้าอยากให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป เราคงต้องช่วยกันพูดถึงสิ่งที่พอดีกับความรู้สึก ช่วยกันทำสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในวันนี้วันพรุ่ง ไม่ใช่กระโดดไปคุยกันเรื่องไกลเกินตัว”

    มติกะพริบตา พยักหน้าอย่างเข้าใจ

    “ที่พี่แพ…ยอมให้โอกาสเปลี่ยนแปลง เพราะ…เพราะเขาทำไม่ดีกับพี่แพใช่ไหม?”

    แพตรีสะอึกอึ้ง แต่ก็ชั่วครู่เท่านั้น

    “ใช่!” หล่อนตอบตรงไปตรงมา “เธอรับได้ไหมล่ะ?”

    มตินิ่งซึม แพตรีนึกสะใจขึ้นมาขณะจิตหนึ่งประสาคนที่ยังรกด้วยกิเลสในส่วนลึก เหมือนได้ที่ลงเพื่อระบายความคับแค้นออกมาเสียบ้าง ทว่าวูบเดียวก็สำนึกผิด ด้วยเห็นชัดว่าพฤติกรรมด้านลบถ่ายทอดถึงกันอย่างที่เรียก ‘ติดเชื้อร้าย’ ได้อย่างไร หากปราศจากสติและความมั่นคงในตนเองแล้ว คนเรารับเชื้อร้ายจากบุคคลแวดล้อมเข้ามาเท่าไหร่ก็ยิ่งร้ายขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น

    เม้มปากก่อนเอ่ยแผ่ว

    “ยอมรับว่าคิดใช้เธอเป็นเครื่องลบเขาออกจากใจ ถ้าเห็นว่านั่นเป็นความผิด ก็อย่ามาสนใจกันเลย”

    มติส่ายหน้า

    “ถ้าอย่างนั้นผมก็ผิดด้วยครึ่งหนึ่งที่เจียมตัวน้อยไป”

    แพตรีนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยนุ่ม

    “พี่จะไม่หลอกตัวเองแล้ว”

    หล่อนคืนฐานะเดิม เมื่อตระหนักว่าตนเองอึดอัดมาทั้งวันกับการลองพยายามผันสัมพันธภาพเป็นอื่นแบบปุบปับ

    “วันไหนเราเห็นกันและกันเปลี่ยนเป็นอื่นได้จริง ค่อยร่วมรู้และยอมรับตามนั้น ตกลงไหม?”

    เด็กหนุ่มพยักหน้า

    “ฮะ…” แล้วก็ถามให้หายข้องใจ “ว่าแต่ ที่พี่แพรับปากว่าพรุ่งนี้จะไป…”

    แพตรีหัวเราะถอนฉิวก่อนที่เขาจะถามจบ ทำให้มติชะงักค้าง

    “บอกว่าไปก็ไปสิ เอ๊…”

    หญิงสาวแกล้งแหว เห็นเขาตกใจแล้วก็อดขำไม่ได้ เพิ่งประจักษ์ชัดจากตัวตนของน้องชายตรงหน้า ว่าภูมิธรรม ภูมิปัญญา และวุฒิภาวะความเป็นผู้ใหญ่นั้น ไม่จำเป็นต้องควบคู่มาด้วยกันเสมอไป มติยังคงเป็นเด็กชายผู้อ่อนเยาว์ตลอดกาลเมื่ออยู่ต่อหน้าหล่อน หากเขาขาดความเชื่อมั่นอยู่อย่างนี้ หล่อนก็คงเห็นเขาเป็นน้องชายเรื่อยไปเช่นกัน ไม่มีวันเห็นเป็นอื่นได้เลย แม้ในส่วนลึกจะเคารพธรรมภายในของเขาก็ตาม

    “พอจะเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับพี่แพได้ไหมฮะ?”

    หญิงสาวนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยเนิบ

    “ไว้นึกอยากเล่าแล้วจะเล่านะ เข้าบ้านล่ะ”

    ในความเงียบเชียบของค่ำคืน มติกลั้นใจดึงมือหล่อนมากุมด้วยท่าทีเชื่อมั่น

    “พรุ่งนี้เจ็ดโมงผมมารับนะ”

    แพตรีกระตุกมือกลับและเผลอดุ

    “ไม่เอาน่า”

    นั่นทำให้มติคอตกวูบไปอีก แพตรีเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้ ลังเลเป็นครู่ก่อนยกมือไล้แก้มเขานิดหนึ่งแล้วตบเบาๆ

    “กลับไปนอนซะนะหนุ่มน้อย จะได้รีบฝันดีล่วงหน้า”

    สัมผัสนุ่มนวลชวนหลงนั้นทำให้มติไม่อยากปล่อยให้หล่อนจากไปไหน แต่ก็จนใจเมื่อแพตรีก้าวเข้าบ้านหายไปโดยไม่เหลียวกลับมาให้ความสนใจเขาอีก

    

    แพตรีอาบน้ำเสร็จก็ปิดเรือนแน่นหนาและเข้าห้องนอนด้วยความคิดจะหลับให้สนิท สมกับความเหนื่อยอ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ

    หล่อนปิดไฟห้องนอนไว้มืด เมื่อเปิดประตูเปิดไฟจึงตกใจจนเกือบหลุดหวีดกับร่างสูงที่ลุกเนิบจากท่านั่งขยับเดินใกล้เข้ามา

    ปรับสติได้รวดเร็ว เพราะเกาทัณฑ์เคยทำอย่างนี้หนหนึ่งแล้ว จึงสร้างความประหลาดใจได้น้อยลง ตาสานตานิ่ง ฝ่ายหนึ่งทอดอ่อนอย่างเตรียมขอทำความเข้าใจ อีกฝ่ายเย็นชาอย่างเจตนาประกาศความเป็นอื่น

    เขาคงมาซุ่มในบริเวณบ้านนานแล้ว เมื่อหล่อนเปิดเรือนเพื่อขึ้นมาบนห้องและย้อนลงไปอาบน้ำ จึงถือโอกาสบุกรุกอุกอาจอย่างนี้

    “พี่เต้” แพตรีทักเสียงเย็น “เคยมีมารยาทผู้ดีกับเขาบ้างไหมคะ?”

    หล่อนว่าเอาตรงๆ เพราะไม่ต้องการให้เขาได้ใจอีกและอีกอย่างนึกว่าหล่อนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา

    “พี่แค่อยากให้แน่ใจว่าเราจะได้คุยกัน ขอโทษที่เสียมารยาท”

    เกาทัณฑ์ตอบเรียบ แพตรีกอดอกยิ้ม ซ่อนความเจ็บแปลบเหมือนถูกเข็มแทงเอาไว้อย่างมิดชิด

    “ค่ะ ครั้งนี้ยกให้ แต่ถ้าจะกรุณา ก็ขอกุญแจบ้านคืนด้วยเถอะ พี่ถือสนิทเกินขอบเขตแบบนี้รู้สึกจะมากไปแล้ว”

    พูดจบก็เปิดประตูกว้าง

    “ถ้ามีธุระด่วนขั้นคอขาดบาดตายก็ลงไปคุยกันหน้าบ้าน แต่ถ้าไม่ถึงขั้นนั้น ก็เชิญกลับ”

    เกาทัณฑ์เดินมาด้วยท่าทีคล้ายจะปฏิบัติตามที่หล่อนต้องการ คือสายตามองไปนอกห้องเหมือนตั้งใจเดินออก แต่พอได้ระยะ ก็กลับยกมือปิดประตูลงหน้าตาเฉย

    “คุยกับพี่ที่นี่เถอะ ถ้าภายในครึ่งชั่วโมงนี้ยังรู้ว่าแพจงเกลียดจงชังจนยอมรับนับถือกันไม่ได้อีกต่อไป ก็สัญญาว่าจะไม่มาหาให้รำคาญใจอีกแล้ว”

    แพตรีใจอ่อนยวบ นึกอยากร้องไห้ขึ้นมาเฉยๆ ได้แต่สะกดกลั้นไว้ภายใต้สีหน้าเรียบราบเย็นชา

    “ที่จริงเราไม่น่าจะมีเรื่องต้องพูดกันอีกแล้วนี่คะ”

    เสียงหล่อนเครือสั่นเกินควบคุม

    “มี แล้วก็มากด้วย”

    “ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มพูดเลย แต่ถ้ายาวเกินไปนักอาจทนฟังได้ไม่จบนะ พรุ่งนี้แพต้องตื่นเช้า มีนัด”

    เกาทัณฑ์ยิ้มละไมอย่างจะตรึงหล่อนไว้ด้วยเสน่ห์แห่งผู้เป็นที่รัก แพตรีอดมองไม่ได้ แต่ที่สุดก็สะบัดหน้าหนี ก้าวเดินไปนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน ปิดปากสนิท

    “ทำไมแพไม่ใช้รถเลย?”

    “ถามก็ดี ช่วยเอาคืนไปเสีย ทำหนังสือโอนกลับเป็นชื่อพี่ด้วย เราหมดพันธะต่อกันแล้ว”

    “พันธะระหว่างเราคืออะไร?” ชายหนุ่มถามเสียงเนิบ ยืนอยู่ที่เดิม “อะไรที่มันหมดไปหรือแพ ใจหรือว่าข้อผูกมัดชนิดไหน?”

    คำถามสั้นๆนั้นเหมือนสะกดให้หล่อนมองย้อนเข้ามาในใจ เห็นเยื่อใยอยู่ที่นั่น มั่นคงไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย และเพราะเห็นความจริงเช่นนั้นจึงเจ็บสุดทน

    “อย่าพูดวกวนเลยค่ะ ให้จบกันแบบตรงไปตรงมาดีกว่า พี่มีธุระอะไร?”

    เกาทัณฑ์ระบายลมหายใจยาว สาวเท้ามานั่งบนขอบเตียงหล่อน แพตรีปรายตามองตาม แล้วเมินไปทางอื่น เพราะเครื่องเรือนในห้องหล่อนมีน้อยชิ้น หาที่นั่งได้ก็แต่เก้าอี้ประจำโต๊ะทำงานและเตียงนอนเท่านั้น

    “ก่อนอื่นปรับความเข้าใจสักนิดเถอะนะ แพกำลังโกรธพี่อยู่หรือ?”

    “ค่ะ”

    “เรื่องอะไร?”

    แพตรียิ้มเย็น โคลงศีรษะนิดหนึ่งอย่างอ่อนใจ

    “ถ้าไม่รู้ก็ช่างเถอะค่ะพี่”

    “พี่หายหน้าไปหลายอาทิตย์ ไม่บอกไม่กล่าว แพคงนึกเคือง”

    หญิงสาวใช้น้ำหนักตัวหมุนเก้าอี้หันมองอีกฝ่ายในแนวตรง กล่าวสม่ำเสมอด้วยอารมณ์คงที่

    “อย่าเรียกว่าทำให้เคืองเลยค่ะ เอาเป็นทำให้รู้ดีกว่าว่าแพมีความหมายสำหรับพี่ในระดับไหน ถ้าหากจะนึกเคือง ก็คงเป็นเรื่องเก่า ที่ย้อนคิดทบทวนเท่าไหร่ก็เห็นแต่ความหลายใจ มีคนที่พี่รักอยู่ก่อนหน้าแล้ว ยังมาหลอกขอแพกับผู้ใหญ่ ถ้าไม่ตกเป็นข่าวให้รู้ไส้พุง ป่านนี้คงหนักใจกันทุกฝ่าย”

    “เรื่องนี้…พี่นึกว่าครั้งสุดท้ายเราเข้าใจกันแล้ว”

    “ค่ะ เข้าใจว่าพี่มาหาแพในวันนั้นเพื่อจองจะรักษาแพไว้ ในขณะที่ไม่คิดจะทอดทิ้งอีกคนไปไหน วันนั้นสมองแพหนักจนลืมบอกค่ะว่า…อย่ามาให้เห็นหน้ากันอีก”

    เกาทัณฑ์ยิ้มนิดหนึ่ง โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแพตรีปราศจากฐานใดรองพื้น ถ้าไม่ใช่คนรักก็กลายเป็นอื่นไปเลย แตกต่างจากเรือนแก้ว ที่แม้ไม่ใช่คนรักก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ แพตรีค่อนข้างปิดตนเอง ทำให้มีใจมั่นเป็นหนึ่งเดียวยากจะเปลี่ยน ส่วนเขาและเรือนแก้วเป็นตรงข้าม คือค่อนข้างเปิดเสียจนมองอีกแง่ได้ว่าเผื่อใจไว้มากเกินไป

    “หลายอาทิตย์นี้พี่อยู่ไกลเมือง ไกลคน และเมื่อกลับมาก็ตรงหาแพเป็นคนแรก อยากรู้เหตุผลไหมว่าทำไมพี่ถึงหายหน้า แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่บอกกล่าว?”

    “พอเดาได้ค่ะว่าถูกเจ้ากรรมนายเวรตามล่าอยู่”

    “ฟังดูไม่มีเยื่อใยเลยนะ ถ้าพี่โดนฆ่าตายแพคงตบมือดีอกดีใจอยู่ในห้องนี่เอง”

    “คงไม่ถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ”

    สุ้มเสียงหล่อนยังชาเย็นคงเส้นคงวา แม้เขาจะหาทางติดตลก หล่อนก็ปัดให้เข้าทางเป็นงานเป็นการอีก

    “ตลอดมาพี่ก็ดีกับแพ ทำให้แพหลงใหลได้ปลื้มจนรับจะร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วย แพคงเศร้าบ้าง แต่เมื่อนึกว่าความตายของพี่คือทางไปหาคนที่พี่รัก ก็คงสมเพชตัวเองมากกว่าจะอาลัยไยดีใคร”

    “แพ…” เกาทัณฑ์ถอนใจ “เชื่อเถอะว่าต่อให้ตายดับ พี่ก็ลืมความรักระหว่างเราไม่ได้ ไปหาคนอื่นก็ไม่เป็นสุขหรอก”

    “น่าขำ!” แพตรีพยายามสะกดอารมณ์ “ลองดูแล้วหรือคะถึงรู้?”

    “ใช่ พี่รู้” ตอบเนิบก่อนจะเริ่มประโยคสืบสานด้วยกังวานลึกกว่าเดิม “เหมือนที่ครั้งหนึ่งพี่เคยถือพรตรักษาพรหมจรรย์ เพื่อรอพบแต่เธอคนเดียวไงล่ะ…ลี”

    แพตรีชาวาบไปทั้งร่าง ตะลึงตะไลตาค้างขณะจับจ้องเกาทัณฑ์ราวกับเขากลายเป็นใครอีกคนที่หล่อนจำผิดตัว เขาแย้มยิ้มแน่นิ่ง นัยน์ตาทรงอำนาจผิดแผกจากเมื่อก่อนเป็นคนละคน มองหล่อนด้วยท่าทีสงบ เนิ่นนานจนแพตรีกลับสติ

    “อะไร…สับสนหรือเปล่า เรียกชื่อใครออกมาน่ะ?”

    “จะให้เล่าไหมว่าพี่ลำบากตามหมอกี่เมือง ใช้เงินไปเท่าไหร่เพื่อรักษาเธอก่อนที่เราจะหมดหวัง ยอมให้ความตายมาพราก?”

    ชัดพอ เขาจำได้…

    สภาวะอารมณ์แปรเปลี่ยนไปสิ้น ราวกับถูกกระชากจากหันหลังเป็นหันหน้า น้ำตาเอ่อขึ้นหล่อรื้นฉับพลัน แพตรีจับมองรูปงามของชายหนุ่มด้วยแววโหยหารุนแรง ภาพร่างตรงหน้าอันเป็นปัจจุบันประทับกลางคลองเนตรแจ่มชัดตรึงจิต ทั้งคุ้นเคย ทั้งแปลกใหม่ ยังผลให้ตกภวังค์ประหลาด เอ่ยเอื้อนคำใดไม่ได้เลย

    เกาทัณฑ์ค่อยๆเอ่ยเหมือนรินน้ำ

    “เธอระลึกได้ชาติเดียวยังน้อยนัก เพราะเราไม่ได้เกื้อกูล ไม่ได้พิสูจน์ใจกันขนาดยอมหมดตัวล่มจมแค่ครั้งเดียว ถ้าเธอย้อนจำลึกพอ จะเห็นว่าแม้ชีวิตพี่ก็ให้เธอได้ และให้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้วด้วย”

    สบตาเขา เห็นแววอาทรเดิมแท้ที่รอคอยมาแสนนาน ประกายกล้าในแก้วตาสีเหล็ก น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลเป็นกังวานใสลึก ประกอบกับท่วงทีเนิบนิ่งเป็นสง่าเยี่ยงสุขุมาลชาติ รวมกันน้าวใจหล่อนให้อ่อนยอบลง คล้ายเด็กหลงทางตะลอนหนาวมาพบความอบอุ่นของปราสาทสวยแพรวยิ่งใหญ่ ที่เปิดประตูโอฬารอ้าพร้อมรับผู้กลับสู่บ้านเก่าเสมอ

    ชายหนุ่มลุกขึ้นและก้าวเดินเข้ามาหา พอถูกแตะต้นแขนเพียงแผ่ว แพตรีก็ลืมหมดสิ้นว่าเคยตั้งใจเลิกร้างห่างหายจากเขาให้เด็ดขาดอย่างไร ลุกขึ้นกระหวัดกอดร่างสูงเต็มอ้อม ยิ้มปิติและปล่อยให้เม็ดน้ำค่อยๆกลอกกลิ้งลงมาตามผิวแก้ม กระทั่งระลอกหลังตามมาเป็นสายยาวหลั่งรินลงเปียกเสื้อเขา เกาทัณฑ์กอดรับและยืนตรงแน่นิ่งดุจเสาหลักที่พร้อมจะให้หล่อนเกาะยึดตลอดกาล

    สัมผัสภาวะความเป็นคู่ครองอันแน่นแฟ้นไม่เป็นอื่นต่อกัน สูงเหนือกระแสรักสว่างไสวพื้นๆ เพราะประกอบพร้อมด้วยความตระหนักตามจริงว่าอัตภาพอันสานรับเข้ากันสนิทนี้ สืบเนื่องมาจากสายสัมพันธ์ในอดีตเช่นไร บุพเพสันนิวาสมิได้ปรากฏเป็นเพียงคลื่นความสะเทือน สะกิดใจเพียงแผ่วเลือนเหมือนคู่แท้อื่นๆ ทว่าหนักแน่นด้วยการรองรับทางความรู้แจ้งและปัญญากระจ่างถึงเบื้องหลังเป็นมาเป็นไป

    เสพรสอมฤตอันทอดเงายาวเป็นอมตะ ดุจจะชนะความตายได้…

    ความรักชนิดนี้มิได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่ต้องผ่านความเจ็บ ผ่านทะเลน้ำตา ผ่านสารพัดทุกข์สุขร่วมกัน ร่วมบุญร่วมอธิษฐานจนเกินจะนับ

    ใจเก่าในร่างใหม่ ความรักเดิมบนพื้นเพผิดแผก สนิทคุ้นเคยท่ามกลางความแปลกเปลี่ยนซับซ้อน ทรงมนต์ขลังดึงดูดให้ปฏิพัทธ์สุดต้าน

    ธรรมชาติของผู้ระลึกได้เพียงภพเดียวที่ผูกพันสุดใจนั้น เมื่อมีบุคคลหรือสถานที่มาสะกิดเตือนให้หวนนึกถึง จะสำคัญไปว่าตนยังมีความเป็นเช่นนั้น ไม่ตายจากความเป็นเช่นนั้น ยิ่งถ้าหากนิสัยใจคอใกล้เคียงกับตัวตนเดิม ก็แทบได้ความกำหนดหมายทั้งหมดกลับคืนมา ถึงแม้รูปร่างหน้าตาจะแปลกเปลี่ยนไปมากก็ตาม

    เช่นสำหรับหญิงสาวยามนี้ ไม่เห็นเป็นอื่นเลยนอกจากตนเป็นเมียเขา…

    เกาทัณฑ์ช้อนร่างอ่อนเหมือนหยดน้ำลอยขึ้นเดินเนิบมาวางบนเตียง ชุดนอนแม้รัดกุมก็ยังแบบบางยวนสัมผัส เนียนเนื้ออัดอิ่มของหล่อนช่างน่ากอดรัดไปทั้งตัว เกินหักใจทน เขาโน้มหน้าลงเยี่ยงภมรที่ปรารถนารสหวานจากเกสรดอกไม้

    ทีแรกแพตรีเคลิ้มในรสรักสนิทใจแห่งความเป็นคู่แท้ไปกับเขา จะยอมโอนอ่อนผ่อนตามเช่นผู้ไม่อาจทนกระแสสังสารวัฏอันวิจิตรพิสดารพันลึก ทว่าเมื่อนึกได้ถึงคำสอนของปู่ ที่ว่างานแต่งเป็นพิธียกระดับจิตใจให้มองการได้เสียกันเป็นเรื่องสูงกว่าความต้องการทางเพศธรรมดา เมื่อเริ่มต้นด้วยการให้เกียรติ เห็นเหมือนสมบัติที่ได้มายาก การมองชีวิตคู่จะเป็นไปแบบผู้ใหญ่เต็มตัว ต่างจากเด็กที่ชิงสุกก่อนห่ามเป็นคนละเรื่อง

    คิดเช่นนั้นแพตรีจึงกระถดตัวหลบ พร้อมผลักมือเขาทิ้งจากเรือนกายอันเป็นเขตต้องห้ามไปทุกตารางนิ้ว และใช้เสียงเข้มเตือน

    “ไหนสัญญาแล้วไงคะว่าก่อนพิธีแต่งจะไม่ทำอะไร”

    เกาทัณฑ์งุนงงเล็กน้อย เพราะแน่ใจว่าในภาวะอารมณ์ดูดดื่มแน่นแฟ้นเห็นปานนี้ แพตรีคงเลิกขัดขืนแล้ว ที่ไหนได้ ยังหวงตัวจนวินาทีสุดท้าย ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆอย่างพยายามทำความเข้าใจ เดิมทีก็ไม่คิดลงมือจริงจังนัก เพราะผ่านทุกรสมาหมดแล้ว ไม่สงสัยแสวงอยากรุกร้อนอันใดสิ้นแล้ว เมื่อหล่อนปรามจึงยั้งไว้แค่นั้น แต่ก็ยังคิดกล่อม

    “แคร์ใคร ในเมื่อเราเป็นของกันและกัน เข้าพิธีกันมาตั้งเท่าไหร่”

    “ปู่ไงคะ ถึงตอนนี้แพทำงานแล้ว นับว่าปกครองตัวเองได้ ไม่ถือว่าพี่ผิดลูกใครเขา ก็น่าจะเกรงใจ เพราะแพยังอาศัยเรือนท่านอยู่ และนี่ก็ไม่ใช่เรือนหอของเรา”

    ชายหนุ่มยิ้มเบะ

    “ปู่น่ะเหรอ? รู้ว่าพี่มาเอาแพไปเสียทีก็โล่งอกเท่านั้น ก็พี่เป็นคนฝากแพกับมือนี่! ทุกวันนี้ท่านก็รอพี่มาเอาภาระคืนจากอกท่านไปนั่นแหละ เพิ่งมองออกว่าปู่รู้อะไรไปหมดมาตั้งแต่ต้น อย่างที่ท่านไม่อยู่วันนี้น่ะ นึกว่าบังเอิญเหรอะ?”

    แพตรีอึ้ง เชื่อแล้วว่าเขารู้กระจ่าง พอเกาทัณฑ์เห็นหล่อนนิ่งก็สำทับอย่างเป็นต่อ

    “เอาล่ะ มีเหตุผลอีกไหม จะเสียเวลารอพิธีไปเพื่ออะไร?”

    หญิงสาวกะพริบตาคิด ก่อนพูดวอน

    “เพื่อสามัญสำนึก เพื่อเกียรติภูมิของความเป็นมนุษย์ผู้หญิง และเพื่อแสดงให้รู้ว่าพี่เห็นค่าของแพสูงกว่ากรวดทรายในบ้านเก่า ที่เก็บเล่นหรือปาทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ ไว้เราเกิดในภูมิที่ต่ำกว่านี้ ถ้าพี่อยากใช้สัญชาตญาณนำความรู้สึกให้เกียรติ เวลานั้นแพคงไม่ว่า”

    ชายหนุ่มฟังแล้วแกล้งทำตาโตอ้าปากค้าง พอแพตรีหัวเราะขบขันท่าแสร้งอึ้งของเขา เกาทัณฑ์ก็จับคางหล่อนสั่นไปมา

    “ช่างพูดนักนะ”

    แล้วเขาก็ลงนอนเท้าศอกตะแคงข้าง ยุติท่าทีรุกรานลงสนิท เหลือแต่การดึงมือน้อยมากุมไว้อย่างแสนถนอมดุจกำกลีบกุหลาบโดยระวังมิให้เสียรูป

    “คิดถึงแพมากเลย”

    “พี่ไปไหนมาล่ะ?”

    หญิงสาวถามด้วยสำเนียงเง้างอน

    “เข้าป่า”

    “จริงเหรอ?”

    “จริง”

    แพตรีปิดตาลง ยอมให้เขาประทับริมฝีปากลงบนหน้าผาก ก่อนลืมขึ้นมองด้วยแววพิศวง และพอจะได้คำตอบว่ากระแสจิตที่ดูเข้มขลังผิดปกติของเขาในยามนี้มีที่มาอย่างไร และเหตุใดจู่ๆจึง ‘จำ’ เรื่องราวหนหลังเข้าได้

    นั่นเป็นประเด็นที่หล่อนจะเอาไว้ถามทีหลัง เบื้องแรกที่อยากรู้มากกว่าคือภัยที่จ่อติดประชิดตัวในบัดนี้

    “ที่ออกมาแปลว่าแน่ใจในความปลอดภัยแล้วหรือคะ?”

    “ยัง…”

    คราวนี้น้ำเสียงเขาออกวิตก หัวคิ้วขมวด หน้าเคร่งลงนิดหนึ่ง

    “เรื่องเป็นยังไง เล่าให้แพฟังบ้าง”

    เกาทัณฑ์เม้มปากอยู่พักใหญ่เพื่อเรียบเรียงถ้อยคำ มองตาหล่อน เกิดความตื้นตันล้นอกเมื่อเห็นแพตรีมองตอบนิ่งๆ ปราศจากวี่แววกริ่งเกรงเงื้อมเงาภัยร้ายที่เกาะติดหลังเขามาแต่อย่างใดทั้งสิ้น

    “พี่มาเพราะทนคิดถึงแพไม่ได้ และค่อนข้างแน่ใจว่าคืนนี้ เดี๋ยวนี้ ที่นี่ จะยังคงปลอดภัย”

    “ที่ตามล่าพี่อยู่ คือคนร้ายที่ตำรวจบอกว่าแหกคุกหนีมาได้ใช่ไหม?”

    ชายหนุ่มพยักหน้า แพตรีถามอีก

    “พี่แน่ใจได้ยังไง?”

    เกาทัณฑ์ยิ้มมุมปาก ตอบเท่าที่จะสามารถตอบ

    “เรือนแก้วไม่มีศัตรูกับใคร ทรัพย์สินก็อยู่ครบ แสดงถึงเจตจำนงแก้แค้น แค่นั้นน่าจะเพียงพอแล้ว“

    เว้นจังหวะครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปลงๆ

    “และเหตุการณ์รุนแรงในห้องพักคืนนั้น คนที่ก่อความแค้น สร้างความเจ็บกายเจ็บใจให้กับไซ…ฆาตกรที่เรากำลังพูดถึงกัน น่าจะเป็นพี่โดยตรง ไม่ใช่เรือนแก้วหรอก”

    “แล้วทำไมเป้าหมายแรกถึงเป็นพี่เรือนแก้ว?”

    เกาทัณฑ์โคลงศีรษะ

    “เรือนแก้วถูกเอาชีวิตก่อน เป้าหมายก็คือพี่เองนั่นแหละ”

    พูดจบก็ดึงตัวขึ้นนั่ง ทำให้แพตรีลุกขึ้นนั่งพับเพียบตาม ความอยากรู้เรื่องตลอดสายทำให้ลืมไปชั่วคราวว่าเรือนแก้วมีความสำคัญอย่างไรต่อคนรักของหล่อน

    “ยังไงคะ?”

    ชายหนุ่มโคลงศีรษะอีกครั้ง ทอดตาออกสู่ความมืดนอกหน้าต่าง

    “พี่รู้สึกถึงกระแสความอาฆาตที่รุนแรงมาก กระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ยังรู้สึก เหมือนมีกระไอวิญญาณร้ายห่อหลังอยู่ตลอดเวลา เวรกรรมเหลือเกินที่ไปเจอพวกนรกนี่เข้า แถมเรือนแก้วยิงขาตัวหัวหน้าจนหวิดจะพิการ คงยิ่งเร่งความแค้นเป็นทวีคูณ ตลอดชีวิตที่สะอาดหมดจดของแพคงไม่เคยเฉียดใกล้พวกนี้หรอก ผู้หญิงไม่มีทางสู้มันยังยิงได้อย่างเลือดเย็น เพียงต้องการเป็นตัวอย่างให้พี่รู้ตัวว่าจะถึงฆาตบ้าง คงอยากลอบมองพี่ทรมานอยู่กับความหวาดผวา เป็นโรคประสาท หรือเหตุผลสะใจบ้าๆสักอย่างของมัน”

    แพตรีนึกสงสารเรือนแก้วขึ้นมาจับใจด้วยความเป็นเพศอ่อนแอด้วยกัน เกาทัณฑ์ก้มหน้า ก่อนเงยขึ้นพูดต่อ

    “ถ้าให้สันนิษฐานจากการปะติดปะต่อ ไซคงรู้ที่อยู่เรือนแก้วจากสื่อมวลชน เพราะเรือนแก้วให้สัมภาษณ์ไปค่อนข้างละเอียด ส่วนพี่ปฏิเสธการให้ข่าวแต่แรก เพราะฉะนั้นถ้าไซจะรู้อะไร ก็คงรู้แต่ว่าทำงานที่ไหน เพราะอยู่ที่เดียวกัน แต่เมื่อกล้าฆ่าเรือนแก้วที่เป็นสะพานเชื่อมโยงมาถึงพี่ ก็คงแน่ใจแล้วว่าต้องเสร็จมันแน่

    พี่อยู่ในที่สว่าง ไซอยู่ในที่มืด ไม่รู้ว่าถูกดักจับจดจ้องรอสบโอกาสเหมาะที่ไหนอย่างไรบ้าง นั่นเป็นเหตุผลให้ไม่กล้าติดต่อใครเลย คนแหกคุกออกมาได้ในเวลาแค่ไม่กี่สิบชั่วโมงน่ะ น่าจะเก่งจนทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น พี่ถึงตัดสินใจเนรเทศตัวเองออกไปไกลๆ ถ้าถูกติดตามก็ขอให้โดนคนเดียวพอ ตลอดทางก็ได้แต่ปลงชีวิต ถ้าจะตายคงต้องสุดแล้วแต่เวรกรรม”

    แล้วชายหนุ่มก็หัวเราะเมื่อย้อนนึกถึงขณะหนีหัวซุกหัวซุน

    “พี่ออกมากับกระเป๋าเล็กใบเดียว เกือบตัวเปล่าเลยนะ ต้องทำตัวลึกลับเหมือนในหนัง เริ่มจากลงทางบันไดหนีไฟ ใส่แว่นดำ สวมชุดทับหลายๆชั้นจนหนาเตอะ ไปถอดชั้นนอกในห้องน้ำของร้านก๋วยเตี๋ยว ปีนออกทางประตูหลัง ตัดออกทางช่องแคบระหว่างตึกแถว ลัดเลาะจนถึงอีกฝั่งถนนแล้วถึงโบกแท็กซี่ไปส่งเอกมัย และคิดเอาสดๆเดี๋ยวนั้นว่าจะหนีให้ไกลถึงไหน…”

    เกาทัณฑ์เลิกคิ้วเมื่อย้อนระลึกถึงนาทีวิกฤตในอดีต

    “ตอนคนเราไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนี่ เหมือนกำลังโง่ที่สุด ไม่มีตาหลังก็ไม่รู้ว่ามีใครตามมาข้างหลังบ้างหรือเปล่า จะเข้าหาเพื่อนขอพักพิงเสียหน่อยก็กลัวเขาจะเดือดร้อน แพคงนึกออกนะ เราไม่รู้ว่าขณะหนี มีเงาใครประกบติดอยู่บ้าง รู้แต่ว่าตอนนั้นมีศัตรูที่โหดเหี้ยมและมีความสามารถไล่ล่าได้แบบพลิกแผ่นดินอยู่คนหนึ่ง หรืออาจจะกองทัพหนึ่ง…”

    “ทำไมพี่ไม่ขอความช่วยเหลือจากตำรวจ?”

    “เป็นผู้ต้องหาคดียาเสพย์ติดที่สิงคโปร์ ยังหลบหนีออกมาได้อย่างนี้ แพคิดว่าเป็นมือระดับไหน แล้วใครจะยอมส่งตำรวจมือดีคุ้มกันพี่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”

    หญิงสาวอึ้งไปอึดใจ ก่อนพยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงขอให้เล่าต่อ

    “ตอนนั้นพี่ว้าวุ่นเหมือนคนประสาท อยู่ๆก็เกิดคิดขึ้นมาว่าเข้าป่าดีกว่า…”

    แพตรีเป็นคนมีสัมผัสละเอียดอ่อน หล่อนสำเหนียกได้ถึงวี่แววพิรุธบางอย่างในประโยคนั้น เพียงแต่อ่านไม่ออกว่าเกาทัณฑ์กำลังมีความในใจอย่างไร

    “ถ้าเข้าป่าถูกฆ่าหมกอยู่ในนั้นก็ไม่เดือดร้อนใคร อีกอย่างถือเสียว่าได้เวลาเก็บตัวบำเพ็ญเพียร เพราะตั้งใจมานานแต่ไม่มีโอกาสเสียที เลยหาซื้ออุปกรณ์ เสบียง แล้วตัดสินใจเด็ดขาดทำตามที่คิด พี่เคยเดินป่ามาบ้าง มีความรู้พอเอาตัวรอดได้นานแหละนะ กระทั่ง…”

    เกาทัณฑ์ยักไหล่

    “นึกไม่ถึง ว่านั่นกลายเป็นจังหวะทองไปได้ พี่ได้ใช้ชีวิตอย่างฤาษีชีไพร ทำสมาธิ เป็นอยู่สมถะปราศจากความรบกวนจากโลกภายนอก เพียงเก้าวันเท่านั้น ก็รู้จักการผนึกรวมกระแสจิตอย่างใหญ่เป็นครั้งแรก”

    เขาหมายถึงปฐมฌาน อันมีการหน่วงนึกและเกาะติดอารมณ์เช่นลมหายใจสายยาว เกิดปิติแหลมซ่าน สุขสงบเหมือนล่องทะเลทิพย์ไพศาล จิตฉายเด่นจัดจ้าดุจดวงไฟใหญ่กลางฟ้า

    “ตอนนั้นลืมโลกหมดเลย กินแต่น้ำ ข้าวกินมือเดียว แล้วลดลงเป็นวันเว้นวัน เอาแต่เพลินอยู่ในสมาธิสลับกับเดินจงกรม ขนาดลืมตายังเห็นสว่างได้

    พอจิตถึงฌานแรก ทรงตัวเป็นปกติแล้ว ก็เกิดความรู้เองเห็นเอง จิตในชาติก่อนมาสอนตัวเองตอนหลับบ้าง หรือตอนเพิ่งออกจากสมาธิใหญ่ลงมาอยู่ในสมาธิกลางบ้าง อย่างเช่นเรื่องระลึกชาติ…”

    เขาเม้มปาก ตาเป็นประกายก่อนสืบต่อ

    “หลวงตาแขวนท่านเคยเมตตาให้ทางลัดไว้แล้ว พอถึงจุดหนึ่งจิตมันฉายหนังให้ดูเองเลย ไม่ต้องเสียเวลาฝึกไล่ย้อนเอาเหมือนคนอื่น ส่วนหนึ่งเพราะเราเคยชำนาญของพรรณนี้มาก่อน พอเข้าล็อกก็จำแม่นว่าต้องกำหนดจิตยังไงถึงจะดึงภาพเก่าๆให้ไหลย้อนกลับมาเป็นสาย”

    แพตรีกะพริบตาสองครั้ง

    “ยินดีด้วยค่ะ เหตุการณ์ร้ายบังคับให้พี่กลับเข้าลู่ดีที่สุดของตัวเองอย่างนี้ได้”

    เกาทัณฑ์พยักหน้า

    “อยากให้แพเห็นเหมือนที่พี่เห็นนะว่าเราผูกพันกันมานานขนาดไหน เผชิญเรื่องดีร้ายแปลกประหลาดเกินจินตนาการมามากเท่าไหร่ มันทำให้โลกทัศน์เดิมที่เคยมีมาตลอดชีวิตพลิกเปลี่ยนไปหมด ตอนนี้รู้สึกเหมือนอยู่ในห้องหนึ่งเท่านั้น มีห้องก่อนหน้าที่เรากระโดดผ่านมานับไม่ถ้วน และมีห้องถัดไปอีกมากมายที่จะต้องกระโดดเข้าไป แต่ละห้องมีฉากและสีสันของตัวเองที่รวมๆกันแล้วพิสดารจนเหลือจะเชื่อให้หมด”

    หญิงสาวเบนวิถีสายตาไปทางอื่น

    “แพน่าจะไม่ได้ตามพี่ไปทุกห้องใช่ไหมคะ? คงมีใครอีกเยอะที่ผลัดกัน”

    ชายหนุ่มฝืนกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ไม่กล้าโกหกทำนองว่ามีแต่หล่อนคนเดียวที่เขาผูกพันอยู่ด้วย เพราะทราบด้วยจิตว่ามีใครต่อใครอีกมากมายในเส้นทาง ส่วนใหญ่เข้ามาแล้วหายไป บางรายชาติหนึ่งเป็นหญิง อีกชาติเป็นชาย มีก็แพตรีกับเรือนแก้วนี่แหละเป็นหญิงตลอดและสลับกันอยู่กับเขามาเรื่อย

    ส่วนใหญ่อยู่กับแพตรี

    โลกทัศน์และมุมมองเกี่ยวกับชีวิตเคยแปลกเปลี่ยนอย่างรุนแรงมาแล้วนับแต่ครั้งแรกที่ฝึกกรรมฐานกับหลวงตาแขวน ทว่าคราวนี้ยิ่งกว่านั้น ความรู้สึกเกี่ยวกับตัวตนไม่ได้ผูกไว้กับร่างปัจจุบันอีกต่อไป ทว่าผูกอยู่กับสายอัตภาพอันยืดยาวที่คลี่คลายมาตามลำดับกรรมวิบาก นับจากหนหลังที่เกินจะประมาณกาลได้ถูก ย้อนไปกี่พันชีวิตก็ไม่ทราบ

    น้ำหนักความผูกพันจึงวัดชั่งกันด้วยจำนวนครั้งที่พบเจอและเหตุการณ์ดีร้ายร่วมกัน

    ทราบจากตำราและครูบาอาจารย์ว่ายังมีชาติภพให้ย้อนอีกเรื่อยๆ มีกำลังเพ่งไปได้เท่าไหร่ก็เห็นไปได้ไกลเท่านั้น เพราะสังสารวัฏไม่มีต้นกำเนิด เนื่องจากตกอยู่ใต้กฎปฏิจจสมุปบาท กล่าวเพียงสั้นคือชาติภพเกิดจากอวิชชา ส่วนอวิชชาก็ไหลมาจากความมีชาติภพ ทำนองเดียวกับปัญหาอจินไตยเช่นไก่กับไข่อันไหนเกิดก่อนกัน คิดแล้วหัวแตกเปล่า

    แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงพยากรณ์ต้นกำเนิดของสังสารวัฏ เมื่อใครถามถึง จะทรงให้คิดตามสายปฏิจจสมุปบาทว่าเริ่มจากอวิชชา เรียกว่าห้ามคิดเป็นเวลาซึ่งไม่มีทางประมาณ ไม่มีใครหยั่งได้ถึง แต่ให้คิดเป็นวงกลมเหตุปัจจัยอาศัยกันและกันเกิด และสามารถพิสูจน์ได้ด้วยญาณหยั่งรู้อันเกิดแต่วิปัสสนากรรมฐาน

    ในระดับที่เกาทัณฑ์ปฏิบัติได้ ยังไม่เคยถึงจิตแท้ที่ปราศจากอวิชชา แต่ก็เคยถึงจิตที่เห็นกายทั่วพร้อมและตระหนักชัดถึงความเป็นชาตินี้ภพนี้ หนึ่งชาติคือหนึ่งกายนี้เอง และกายก็แตกดับเป็นขณะๆ จิตที่เฝ้าดูเองก็แตกดับเป็นขณะๆเช่นกัน นั่นทำให้เขามีมุมมองต่อสังสารวัฏเป็นสายความแตกพังของรูปนามเช่นกายใจที่กำลังปรากฏอยู่ ไม่ใช่สายมโนภาพชาติก่อน ชาตินี้ ชาติหน้าในจินตนาการเหมือนอย่างนักศึกษาธรรมทั่วไป

    สังสารวัฏถูกเรียกเป็น ‘วังวน’ ไม่ใช่เพราะเกิดเหตุการณ์ซ้ำไปซ้ำมา แต่เพราะมีเหตุปัจจัยวนเวียนให้เกิดทุกข์ในภพชาติอันสลับมาเป็นเหตุให้เกิดอวิชชาห่อหุ้มจิตเดิมแท้ เป็นไปไม่ได้ที่จะหาจุดเริ่มต้น แต่เป็นไปได้ที่จะตัดตนเองออกจากวงจรอุบาทว์

    สังสารวัฏไม่มีหลักประกันความแน่นอน เพราะความคิดเกี่ยวกับตัวเองในอัตภาพหนึ่งๆ พร้อมจะแปรเป็นอื่นที่อาจตรงข้ามสุดขั้ว ชาติหนึ่งเป็นนักบุญ ชาติถัดๆมาอาจเป็นคนบาป ดังเช่นพญามารนั้น ก็เป็นนิยตโพธิสัตว์ผู้เคยให้ความเคารพพระพุทธเจ้าในอดีตขนาดบั่นศีรษะตนเองถวายได้ แต่เมื่อเกิดเป็นเทวดาก็กลับลืมศรัทธาเดิม พบพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันกลับรบกวน เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ก่อบาปมหันต์เป็นภัยใหญ่แก่ตนเอง

    สังสารวัฏเป็นสิ่งน่ากลัว เพราะเวลาส่วนใหญ่ที่วิญญาณท่องเที่ยวเกิดตาย หมดเปลืองไปกับกิเลสและความไม่รู้ ก่อกรรมทำเข็ญจนชุ่มบาป ต้องทนทุกข์ประการต่างๆ ผลักไสให้ตกต่ำลงเป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรกในอบาย น่าสังเวชตรงที่ส่ำสัตว์ต่างถูกสังสารวัฏแกล้งปิดหูปิดตา ถูกกดให้ลืมสนิท ขนาดเคยผ่านร้อนผ่านหนาวมากันถ้วนหน้าแท้ๆ ยังอุตส่าห์หัวเราะเยาะ เห็นนรกสวรรค์เป็นเรื่องหลอกเด็กไปได้

    สังสารวัฏจัดเตรียมความทุกข์ไว้ให้ทุกรูปแบบ ทุกชั้นภูมิ แม้ในภพอันประณีตเช่นเทวโลก ไร้ทุกข์เท่าเศษเสี้ยวยองใย ก็มีความแปรปรวนจากพรากจากภพภูมินั่นเองเป็นทุกข์ร้อนสาหัสสากรรจ์ เคยครอบครองสุขชวนหลงถวิลเพียงใด เมื่อต้องหลุดมือไปก็โหยหาอาลัยใจจะขาดเพียงนั้น อย่าต้องนับมาในชั้นภูมิมนุษย์ จะเป็นบุคคลระดับแนวหน้า เสวยสุขในสายตาภายนอกเพียงใด เจ้าตัวย่อมรู้แก่ใจว่ามีรูปแบบทุกข์พิสดารชนิดต่างเกาะกุมชีวิตตนอยู่บ้างเสมอ

    สังสารวัฏยืดเยื้อไร้ที่จบสิ้น เพราะแน่นอนว่ามีสัตว์ประเภท ‘นิยตมิจฉาทิฏฐิ’ หรือวิญญาณกลุ่มหนึ่งซึ่งเที่ยงต่อการเวียนว่ายตายเกิดตลอดกาล ไม่มีสิทธิ์ดิ้นหนีเข้านิพพาน เนื่องจากทุ่มเถียงคัดง้างอริยบุคคลเกี่ยวกับสวรรค์-นิพพานไว้มาก กับทั้งมีวิญญาณกลุ่มใหญ่ที่ไม่เคยพบพานพุทธศาสนา ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องสังสารวัฏและการหนีสังสารวัฏ แม้พระพุทธองค์ใช้กำลังสัพพัญญุตญาณอันมีขอบข่ายกว้างขวางสูงสุดในอนันตจักรวาล ก็ยังตรัสว่าที่สุดของสังสารวัฏไม่ปรากฏให้เห็นเลย

    เกาทัณฑ์นั้นแม้ย้อนระลึกได้นับพันชาติ ก็ไม่หลงคิดว่าจุดที่หมดกำลังระลึกต่อนั้นคือชาติแรก เหตุเพราะศึกษาพระไตรปิฎกไว้ก่อน เหมือนดูแผนที่มาล่วงหน้า ต่างจากผู้มีพรสวรรค์ในการระลึกธรรมดา ที่หยุดแค่ไหนก็คิดว่าชาตินั้นคือชาติแรก ถ้าระลึกได้ร้อยชาติแล้วหยุดก็บอกว่าตนเกิดมาร้อยชาติ ระลึกได้สิบชาติก็บอกว่าตนเกิดมาสิบชาติ

    และเพราะตั้งความเห็นไว้ชอบแล้วนั้นเอง ทำให้ตระหนักว่าสิ่งที่ตนประจักษ์ เป็นเพียงคาบเวลาช่วงใกล้ มิใช่สิ่งยืนยงมาอย่างนี้แต่แรก ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นด้วยกรรมร่วมกัน รับผลร่วมกัน ประจบกันบ้าง แยกจากกันบ้างตามเหตุปัจจัยอันเหมาะสมยุติธรรมทั้งสิ้น

    “พี่รักแพ…”

    ศีลที่ค้ำคอทำให้ไม่อาจหยอดท้ายว่า ‘มากกว่าใครทั้งหมด’ ตามที่เห็นว่าควรจะกล่าวในจังหวะนั้น

    “ขอความเห็นใจเกี่ยวกับเรื่องของเรือนแก้วเถอะนะ เป็นเหตุสุดวิสัยที่พี่รู้จักเขามาก่อน แต่ต่อไปนี้จะอยู่ในวิสัยควบคุมได้ สาบานว่าจนตายจากกัน พี่จะมีแพเพียงคนเดียว!”

    คำพูดหนักแน่นชนิดนั้นสะเทือนเข้าไปถึงไหนต่อไหน แพตรีอั้นอึ้งด้วยความตื้นตันอยู่พักใหญ่ ก่อนจะถูกเขารวบมือทั้งสองขึ้นกุม และแตะริมฝีปากลงที่ปลายข้อนิ้วเพียงแผ่ว

    “เชื่อพี่…”

    แพตรีถอนใจ มีความรู้สึกค้างคาบางอย่างเกินกว่าจะอ้อยอิ่งให้เขาอ้อนเพลิน

    “แล้วจะทำอย่างไรต่อไปคะ ถ้าศัตรูพี่ยังตามไม่เลิกจริงๆ?”

    เกาทัณฑ์ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างบานหนึ่ง ทอดสายตามองยาวไกล

    “อย่างที่บอกแต่แรก พี่ออกจากป่าเพราะทนคิดถึงแพไม่ได้ ก่อนออกมาก็ตั้งสัจจาธิษฐาน ว่าที่เข้าป่าก็เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของคนรอบข้าง กับทั้งเข้าป่าแล้วสามารถเปลี่ยนวิกฤตของชีวิตให้กลายเป็นมหัคตกุศล บำเพ็ญสมาธิจนเข้าถึงฌานสมาบัติ ขอความจริงทั้งหมดจงกลายเป็นพลังช่วยชี้อนาคตว่าถ้าออกจากป่าจะตายเร็วเพราะน้ำมือศัตรูหรือเปล่า หากจะต้องตายเร็วหรือทำความเดือดร้อนให้ญาติพี่น้องและคนรัก ก็ขอให้จงอางกัดตายในวันนั้นไปเลย…”

    แพตรีมองแผ่นหลังเป็นปึกวีสมส่วนเข้ารูปของอีกฝ่าย คิดตามแล้วเบิกหน่วยตากว้าง

    “พี่ไปอยู่ใกล้เขตจงอางหรือ?”

    ชายหนุ่มพยักหน้า

    “เผอิญเป็นจงอางที่กำลังวางไข่เสียด้วย! ตอนนั้นหมดอาลัยไยดีชีวิตจริงๆ คิดว่าขอตายชดใช้เจ้ากรรมนายเวรไปเสียให้หมดเรื่อง แต่ขณะเดียวกันก็แผ่เมตตาให้งู อโหสิไว้ล่วงหน้าคือถ้ามีเวรต่อกันมา ก็จงเอาชีวิตเราไป หมดเวรเท่านี้ พี่นั่งหลับตาดักใกล้ปากทางเข้าออกของมันอยู่หนึ่งวัน ทำสมาธิเจริญมรณสติเต็มกำลัง กระทั่งสัจจาธิษฐานให้ผลในขณะทรงจิตเป็นสมาธินั้นเอง พี่เห็นนิมิตซึ่งจิตบอกว่าเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต…”

    เกาทัณฑ์ยกมือกอดอก นึกย้อนไปถึงนิมิตที่ชัดเจนดุจภาพในห้วงฝัน แต่สัญชาตญาณทางสมาธิบอกว่าเป็นจริงเป็นจัง เสมือนเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่ต้องรอการคลี่คลายไปถึงตามลำดับกาลเท่านั้น

    เขาเห็นตนเองแขนซ้ายหัก เลือดชุ่มโชก สะบักสะบอมและเหนื่อยอ่อนเต็มทน แต่มือขวาถือปื้นสั้นขึ้นจ่อเล็งไปยังคู่อาฆาตที่นั่งกองอยู่กับพื้น นัยน์ตาลุกโชนด้วยประกายฉานจ้าเยี่ยงปรปักษ์ผู้สมัครใจจองเวรไปชั่วกัปป์ชั่วกัลป์

    นั่นเป็นภาพที่น่ากลัวและไม่อยากให้เกิดขึ้นจริงเลย แต่ตัวรู้ในสมาธิก็บอกว่านั่นแหละที่จะต้องเกิดขึ้น เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องทางแยกในชีวิตก็ในบัดนั้นเอง หากเขาเลือกบำเพ็ญพรตอยู่ในป่าไปเรื่อยๆ ก็จะได้วิถีทางให้เกิดสายเหตุการณ์แบบฤาษี หมดความข้องเกี่ยวกันอย่างสิ้นเชิงกับศัตรูในชาตินี้ แต่หากออกจากป่าเข้าเมือง ก็ไม่แคล้วต้องถูกตามราวีในวันหนึ่ง

    ไซคงไม่ยอมให้เขาตายง่ายเหมือนที่ส่งเรือนแก้วขึ้นสวรรค์ อาจมีลีลาทรมานคู่อาฆาตตามแรงแค้นคั่งอก ทว่าพลาดเสียเอง จับพลัดจับผลูกลับกลายเป็นฝ่ายเขายืนจังก้าเตรียมฆ่าเสียแทน ตามความรู้สึกในนิมิต ดวงเขาแข็งกว่าไซเป็นคนละชั้น แม้ไซจะเกิดใต้ฤกษ์เพชฌฆาต ก็หาได้มีตบะข่มขี่มากพอจะเอาชีวิตเขาสำเร็จ

    เมื่อปะติดปะต่อเข้ากับคำเตือนของเรือนแก้ว ผู้บัดนี้อยู่ในภาวะเห็นล่วงหน้าด้วยอภิญญาแห่งเทวดา ขอร้องให้เขาตั้งจิตอโหสิแก่ศัตรู อย่าฆ่าแกงผูกเวรต่อเนื่อง ก็ยิ่งเกิดความเชื่อมั่นว่าภัยถึงชีวิตจะไม่มีแก่ตน แต่เขาเองนั่นแหละจะมีสิทธิ์เลือกระหว่างให้อภัยทาน กับทำตนเป็นมัจจุราชล้างกังวล

    เมื่อพ้นกำหนดเสี่ยงชีวิตตามสัจจาธิษฐาน เขายังไม่ถูกจงอางทำร้าย ทั้งที่นั่งดักใกล้ทางเข้าออกแท้ๆ ก็เชื่อมั่นว่าหากกลับเมืองแล้วจะต้องเจอะเจอกับไซ ญาติพี่น้องและคนรักคงไม่พลอยติดร่างแหบาปเคราะห์ไปด้วยเป็นแน่

    เห็นเกาทัณฑ์นิ่งเงียบอยู่นาน แพตรีก็เตือนว่า

    “กำลังรอฟังอยู่นะคะ พี่เห็นนิมิตอะไร?”

    ชายหนุ่มหันกลับมา เคยได้ยินมาว่าถ้าบอกเล่านิมิตในอนาคต เหตุการณ์จะเคลื่อน จึงตัดบท

    “เอาเป็นว่าสิ่งที่พี่รับรู้นั้นอยู่เหนือสังหรณ์ธรรมดา แต่ไม่ถึงอนาคตังสญาณหยั่งรู้อนาคตเต็มขั้น พี่เชื่อว่ากลับมาครั้งนี้ปลอดภัยพอสำหรับตัวเองและคนรอบข้าง”

    ทอดถอนใจด้วยความหนักอก

    “พี่ทิ้งทุกร่องรอยที่ไซน่าจะใช้สืบสาวมาถึงตัวได้ งานก็จะหาใหม่ ห้องพักเดิมก็จะไม่กลับไปอีก นั่นน่าจะเพียงพอแล้ว”

    กล่าวจบก็เม้มปาก ค่อยๆก้าวเดินกลับมานั่งเคียงคนรัก สีหน้าวิตกขณะดึงมือหล่อนมากุม

    “เราเกิดมาเพื่ออยู่ด้วยกัน…”

    พูดด้วยนัยน์ตาทอดสนิททรงอิทธิพล ขนาดที่แพตรีใจอ่อนให้อีกจนต้องหลบ

    “ถึงแม้มั่นใจในความปลอดภัยพอ พี่ก็ยินดีให้แพเลือกทุกอย่าง จะเร้นหายไปอยู่ไกลๆด้วยกัน จะอยู่ที่เดิมอย่างเปิดเผย หรืออยากไล่พี่ไปให้พ้น ก็จะไม่ขัดเลย ทุกอย่างให้แพเลือกด้วยสิทธิ์เด็ดขาด สัญญาว่าถึงแพเลือกขอให้จากลี้หนีหาย พี่ก็จะรักและซื่อสัตย์กับแพคนเดียวอยู่อย่างนี้ พี่จะเข้าใจว่าแพก็ปรารถนามีชีวิตเพื่อหน้าที่ที่ตัวเองต้องการเหมือนกัน ไม่ใช่เอาแต่จมจ่อมกับพี่จนลืมสิ่งอื่นหมด”

    หญิงสาวก้มหน้าคิด ในเมื่อเลือกอยู่กับเขาก็ต้องพร้อมจะรับทั้งเงามืดและเงาสว่างที่ตามติดตัวเขามาด้วย เห็นจากหางตาและสัมผัสด้วยใจ เขามีสติบริบูรณ์ที่ฉายบารมีแก่กล้า น่าอบอุ่นไร้กังวลพอจะบันดาลใจให้หล่อนกล่าวนิ่มๆ

    “รู้คำตอบดีอยู่แล้วก็อย่าทำเป็นแกล้งลองใจเลย”

    

    มติตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความชุ่มชื่นใจ อาบน้ำแต่งตัว อารมณ์แจ่มใสเป็นล้นพ้น เห็นอะไร ได้ยินอะไรดูน่าบันเทิงเริงรื่นไปหมด นับแต่เสียงนกร้อง สายน้ำจากฝักบัว หรือกระทั่งกิริยาเคลื่อนไหวกระฉับกระเฉงของตนเอง

    เขาเลือกใส่เสื้อเชิ้ตสีเหลืองสดที่มักใช้ไปเที่ยวหรือออกงานเลี้ยงกับเพื่อนฝูง ยิ้มมุมปากให้เงาในกระจกขณะหวีผมอย่างบรรจง ตั้งใจเต็มที่ว่าวันนี้จะทำให้แพตรีหัวเราะเบิกบาน จะพาหล่อนไปนั่งดูขอบฟ้าจรดน้ำ เดินเล่นช่วยกันสร้างรอยเท้าบนผืนทรายสวย

    ก้าวออกจากบ้านด้วยความยิ้มกริ่มมาดหมาย พลิกข้อมือดูนาฬิกา เห็นเข็มบอกเวลาเจ็ดโมงเป๊ะ

    มายืนกดกริ่งและชะเง้อหาหล่อนที่ประตูหน้า เห็นเงาหล่อนไหวๆอยู่บนเรือนคล้ายติดธุระบางอย่างง่วนอยู่ แต่เพียงครู่หนึ่งก็เปิดประตูมุ้งลวดก้าวลงมาหา

    แปลกใจที่เห็นหล่อนอยู่ในชุดเสื้อกระโปรงยาวลำลอง ท่าทางยังไม่เตรียมตัวแต่อย่างใด

    “สงสัยตื่นสาย”

    มติทักด้วยการทาย แต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างประกาศว่าพร้อมจะรอสักกี่ชั่วโมงก็ได้

    แพตรียิ้มรับทักซึมๆ มาถึงประตูและไขกุญแจเปิดกว้างให้น้องชาย

    “นั่งก่อน มติ…”

    แพตรีเชื้อเชิญเขามาที่โต๊ะหินใต้ร่มไม้ใหญ่ซึ่งใช้เป็นมุมสนทนาเสมอนับแต่อยู่ในวัยเยาว์ หญิงสาวก้มหน้าตลอดเวลา และไม่สบตาเขาแม้แต่แวบเดียว ทว่ามติเห็นสีหน้าเซียวซีดแล้วก็คิดเพียงว่านั่นคงเป็นเพราะหล่อนเพิ่งตื่น

    “ผมรอได้ฮะพี่แพ อาบน้ำทานข้าวตามสบายนะ อย่ารีบ”

    แพตรีผินหน้าไปแสนไกล ดูหล่อนเศร้า ไม่ชอบตอนจิตใจหล่อนมัวหมองเลย ราวกับเขาต้องร่วมรับผิดชอบแก้ไข แต่ก็ขาดกำลังที่เพียงพอ จะในอดีตหรือปัจจุบันก็ตาม

    “มีอะไรหรือเปล่าฮะ?”

    เด็กหนุ่มเอ่ยแผ่วอย่างเริ่มจับได้ถึงความไม่ชอบมาพากลอันมีผลกระทบมายังตน หญิงสาวนิ่งไปนาน ก่อนพยักหน้ารับ

    “ใช่…มี”

    แพตรียันศอกเท้าคาง อันเป็นลักษณาการเหม่อซึมที่ยากจะเกิดขึ้น สายตาของหล่อนยังทอดไปในทิศที่ไม่มีเขา มติกังขา จะเป็นอุปาทานไปเองหรือเปล่าที่รู้สึกว่าหล่อนกำลังสงสารเขา สงสารจนต้องหรี่ซ่อนแม้แต่แววในตา

    ขณะแห่งความเงียบอันมึนซึม เดาทางยาก เงาร่างใครคนหนึ่งปรากฏใกล้ประตูบนเรือนมาต้องหางตาเขา มติเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็ตกตะลึงจังงังค้างเมื่อพบร่างสูงเด่น แลผงาดเงื้อมหลอกตาในบัดนั้น

    เกาทัณฑ์ยืนนิ่งกับที่ครู่ใหญ่ สบตากับมติเขม็งในระยะไกล ก่อนผละจากไปแบบเลิกแยแสสน ทิ้งความพิศวงงงงวยไว้กับผู้เห็นเบื้องล่างที่ยังค้างนิ่งในท่าเดิม

    เป็นนานกว่าที่มติจะดึงหน้ากลับมามองแพตรีอย่างไม่เข้าใจอะไรเลย หรือเข้าใจแต่ก็เกินกว่าจะคิดเชื่อว่าเมื่อครู่มิได้ตาฝาด แพตรียังคงนั่งนิ่ง จับสายตา ณ จุดเดิมที่เลื่อนลอยไร้หลัก ทั้งรู้ว่าน้องชายเพิ่งเห็นใครไป รังสีทรงอำนาจจากจิตตานุภาพของเกาทัณฑ์ที่แผ่ความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของครอบครองมายังหล่อนนั้น เข้มจัดเสียจนสัมผัสได้ราวกับใครเอาผ้านวมหนาหนักมาห่มหลัง

    “พี่แพ…”

    มติห่อปากครางเสียงสูง

    “มติ…พี่ขอโทษ”

    แพตรีหลุดคำออกมาผะแผ่ว เศร้าเพราะรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏได้ทำความเจ็บให้กับน้องชายขนาดไหน

    ”ขอโทษจริงๆ”

    เด็กหนุ่มยังจ้องตะลึงงันจับใบหน้าซีดขาวคล้ายคนเป็นไข้ของอีกฝ่าย

    “เมื่อคืน…พี่อยู่กับเขาทั้งคืน?”

    หญิงสาวกะพริบตาทีหนึ่ง ความคิดแรกอยากแก้ความเข้าใจของน้อง แต่แล้วก็เปลี่ยนเข็ม เพียงพยักหน้าทีหนึ่งแล้วนิ่งเป็นดุษณี ปล่อยให้มติสรุปเอาจากภาพที่ปรากฏตามครรลองโลก

    มติรู้สึกคล้ายมีมือไร้ตนผลักหน้า พยายามยันให้ล้ม เขาได้แต่ขืนตัวต้าน จึงผงะแล้วคืนกลับ แต่ก็เหมือนจะผงะอีกทั้งที่อยู่ท่ามกลางความเงียบและอากาศเซาซึมระหว่างตนกับหญิงสาว มิได้มีสิ่งใดออกแรงผลักเขาเลย

    หัวเราะออกมาทั้งถอนสะอื้น พยายามหักห้าม สะกดอารมณ์ตนเองจนสุดฤทธิ์ ส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น

    “ทำไมถึง…ถึงคืนดีกับเขาง่ายนักล่ะฮะ ทำไมถึงไม่จำว่าเจ็บมายังไง?”

    พูดแล้วเท้าศอกยกมือยันหน้าตนเองไม่ให้คว่ำล้มลง

    “เธอไม่เข้าใจหรอกมติ”

    แพตรีหน้าม่อย พึมพำตอบเพียงเท่านั้น

    “ใช่ฮะ! ผมไม่เข้าใจพี่แพเลย!!”

    แผดเสียงตะโกนใส่หล่อนอย่างเหลืออด เลิกเกรงว่าใครบ้านไหนจะได้ยินบ้าง เผอิญมีเพื่อนร่วมซอยสองคนเดินผ่านหน้ารั้วและเข้าทางตาแพตรี ทั้งคู่เหลียวมาอย่างสนใจเหตุการณ์ผิดปกติของชาวบ้าน โดยเฉพาะเรื่องขึ้นเสียงระหองระแหงในเขตบ้านปู่ชนะที่สงบสุขมาช้านาน ดูมีความดึงดูดให้หันชมเป็นพิเศษ แพตรีต้องก้มหน้าหลบหน่อยๆเพราะอายเป็น แต่ก็อยากให้มติระบายความโกรธถึงที่สุด จะตบตีหล่อนก็ยอม เพราะรู้ตัวว่าเมื่อคืนให้ความหวังกับเขาไว้มาก เสร็จแล้วมากลับหัวเป็นก้อย กลับฝันเป็นตื่นในชั่วเวลาข้ามหนึ่งนิทราอย่างนี้

    มติหูตาแดงก่ำ จุกอก หน้ามืดด้วยแรงอัดของโทสะ ร้อนวูบวาบไปทั้งตัว เห็นตนยอมโง่ให้ผู้หญิงหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จักเข็ดเสียที

    ที่สุดก็ลุกพรวดราวกับดีดขึ้นด้วยระเบิดไฟแห่งโทสะ แต่แล้วต้องแปลกใจตนเองที่จู่ๆไฟในอกมันมอดดับวูบหายไปเฉยๆ คล้ายเทน้ำทั้งกะละมังลงราด หรือทะลึ่งตัวโผล่ขึ้นพ้นบ่อตมสกปรก แม้ยังคงมีความขุ่นระคายเป็นสายกรุ่น ความคิดปั่นป่วนระส่ำระสายไม่เลิก ก็เห็นชัดว่าตัวโกรธมันจางจืดลง ขนาดที่รู้สึกว่าถ้าเขายังขืนแสดงท่าทีฮึดฮัดต่อ ก็จัดเป็นการแสดงละคร เป็นเรื่องเสแสร้งไปแล้ว

    มติถอนใจยาว พอถึงธรรมแล้วก็ดีอย่างนี้เอง เมื่อครู่เขาไม่ได้ออกแรงข่มใจแม้แต่นิดเดียว จิตแค่เห็นอาการพลุ่งพล่านเกินขีดขึ้นมา ทุกอย่างก็คืนตัวสงบลงโดยอัตโนมัติ เหมือนน้ำพุร้อนที่พุ่งพรวดจนสุดแรงส่ง แล้วก็ได้เวลาตกกลับสู่แผ่นน้ำอันราบเรียบตามเดิม

    ยิ้มให้หล่อน แม้ใจยังสั่นหวิว หน้าหมองจนรู้สึกได้จากภายในอยู่บ้าง

    “พี่แพ…”

    แพตรีเงยหน้าขึ้น และนั่นเป็นครั้งแรกที่ขลาดเมื่อต้องสบตากับน้องชาย

    “ผมไม่รู้ว่าเขาทำร้ายจิตใจพี่แพไว้ยังไงบ้าง แต่ขออวยพร ขออย่าให้เขาทำอย่างนั้นอีก…”

    เวลาที่ควรโมโหโกรธาที่สุด มติกลับเยือกเย็นมีเมตตาเจืออยู่ในน้ำเสียงอย่างนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนักสำหรับผู้ก้าวล่วงความเป็นปุถุชนไปแล้ว

    สอบผ่านชั้นแรกไปแล้ว

    แพตรีหันหลบไปซ่อนหน้านิดๆ เม้มปากเงียบ

    “ผมไปก่อนนะ”

    หญิงสาวยังคงนิ่งอยู่ในมุมของหล่อน ทั้งที่ใจอยากกล่าว อยากแสดงกิริยาอย่างใดอย่างหนึ่งออกไปบ้าง แต่เจ้ากรรมร่างกายไม่กระดุกกระดิกแม้แต่น้อย ร่ำติเตียนตนเองอยู่ในภายในว่าไม่ควรด่วนให้ความหวังกับเขาอย่างที่แล้วไปแล้วเลย

    

    เกาทัณฑ์รู้สึกได้ว่านอนกอดแพตรีเฉยๆโดยไม่ล่วงเกินแม้แต่น้อย ก็เพียงพอแล้วที่จะก่อความเพลินสุขได้ทั้งวัน

    เหมือนชีวิตถูกยกระดับขึ้นเมื่อเข้าใจภาวะนั้น ก่อนสวมกอดแพตรีไว้ในอ้อมแขนจากเบื้องหลัง เขารู้สึกถึงแรงปรารถนาอันแสนสะอาด ปราศจากหยากเยื่อแห่งราคี และขณะกระชับกอด ใจก็สัมผัสรสสุขที่ซ่านฉายถึงกัน ราวกับผิวเนื้อแต่ละฝ่ายแปรสภาพเป็นปุยหิมะนุ่มที่ปกคลุมธารปีติอันไหลรินๆเบื้องใต้ไว้เพียงบาง

    ฝังจมูกลงบนกลุ่มผมหอมริมกระหม่อม สูดกลิ่นรื่นชื่นใจล้นอก แล้วดันศอกตะแคงข้าง เหลือบมองเสี้ยวหน้าชาเฉยที่มองเลยไปไกล เห็นเค้ากังวลไม่สร่างเสียที แม้เด็กหนุ่มคนนั้นจะออกจากบ้านไปนานนับชั่วโมงแล้ว

    นึกในใจว่าหล่อนก็มีคนของหล่อนให้เวทนาอาทรอยู่ข้างหลัง ถือว่าเสมอภาคกันกับเขา

    รักแท้น่ะมีจริง แต่ที่จริงกว่านั้นคือกิเลส

    กิเลสมากก็ทุกข์มาก กิเลสน้อยก็ทุกข์น้อย สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่าที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์

    เขารักหล่อน นั่นคือใจจริง ของแท้ มิใช่สิ่งลวง แสร้งหลอกด้วยมายา แต่ขณะเดียวกันก็รักเรือนแก้ว และหลงใหลได้ปลื้มกับอัตภาพใหม่ของหล่อนชนิดโงหัวไม่ขึ้นนับจากคืนแห่ง ‘ฝันเนรมิต’ ครั้งนั้น

    เรื่องทั้งหมดที่เล่าให้แพตรีฟัง ล้วนตรงตามจริง ไม่ถูกบิดเบือนแม้เพียงนิดน้อย แต่เกาทัณฑ์ก็ไม่ได้แย้มเลย ว่าเหตุบันดาลใจแท้จริงให้เลือกเข้าป่าเพื่อบำเพ็ญตบะเยี่ยงฤาษีชีไพรนั้น…

    ก็เพราะเขาปรารถนาที่จะละอัตภาพหยาบของมนุษย์ ไปเสวยสุขในวิมานทิพย์ร่วมกับเรือนแก้วบนสรวงสวรรค์!

    ธรรมดามนุษย์ที่เห็นนิมิตเทวนารีอันเป็นของจริงโดยปราศจากกำลังอุเบกขาชั้นสูงคุ้มครองนั้น เท่ากับเจอเคราะห์ร้ายประการหนึ่ง คือใจจะถอนจากความลุ่มหลงแทบเป็นบ้าเป็นหลังไม่ได้ ยิ่งนี่บวกเข้าด้วยบุพเพสันนิวาส ให้ตระหนักถึงสิทธิ์อันชอบธรรมแห่งตนที่จะครอบครองร่างทิพย์อันแสนโสภานั้น ด้วยจิตที่ยังปฏิพัทธ์ต่อกันชัดเจน เนื่องจากเพิ่งพรากกันสดๆร้อนๆ

    ใจเก่าในร่างใหม่ดึงดูดเหลือทนอยู่แล้ว นี่สะสวยเหนือโลกเข้าไปอีก

    การดึงดันเรียกร้องขอเห็นสภาพทิพย์ นับเป็นความผิดมหันต์ แต่ตระหนักได้ก็สายเสียแล้ว เขาเคยรู้จักความฟุ้งซ่านจ่อจดคิดถึงผู้หญิงมานักต่อนัก ทว่ายังพอคุมสติกระทำการทั่วไปในชีวิตประจำวันได้บ้าง แม้กระพร่องกระแพร่งก็เถอะ แต่ใจที่ติดอยู่กับนางฟ้าตัวจริงนั้น แนบแน่นจนแกะอย่างไรก็ไม่ออก แทบหูตาพร่าเลือน หมดความคิดอ่าน หมดความสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งรอบตัวไปอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว

    เคยฟังตำนานโบราณที่มนุษย์เผยออาจเอื้อมขอเห็นเทพ พอสมใจแล้วเป็นบ้าเป็นบอ เขายังหัวเราะเยาะ ด้วยเห็นขันว่าถ้าเทพมีจริงก็คงเป็นแค่ภาพๆหนึ่ง วิจิตรพิสดารปานใดก็คงไม่ถึงขนาดเป็นศรเสียบใจให้คลุ้มคลั่งขนาดนั้น

    แต่นี่รู้ด้วยตัวเองทีเดียว จิตอันมีกิเลสนี่เอง เมื่อถูกปรุงแต่งครอบงำถึงขีดหนึ่งแล้ว มันปั่นตัวได้ยิ่งกว่าคลื่นม้วนอลเวง ก็ขนาดผู้หญิงธรรมดาที่ครองกายหยาบ ปราศจากรัศมีอาภาพิลาส ยังมีตัวอย่างนางมนุษย์ผู้อาจแกล้งให้ชายคลุ้มคลั่งได้เพียงด้วยการชม้ายชำเลืองตา หรือเจ้าหญิงในอดีตบางองค์ที่งามรัดรึงใจ กระทั่งแม้ประทับนิ่งอยู่กับที่เฉยๆ ยังลากเอาบุรุษโง่มากมายมายอมตายต่อพระพักตร์ ขอเพียงได้ลักยลโฉม ทั้งรู้ว่าโทษถึงประหารก็ช่าง

    นางฟ้าชั้นสามัญนั้น แน่งน้อยและงามงอนเกินเจ้าหญิงทุกองค์ในโลกหล้าอยู่แล้ว เกินกว่าจะห้ามใจทนอยู่แล้ว ต่อให้ราชินีในตำนานที่เลื่องชื่อลือชาว่าเชิดองค์ในเครื่องทรงวิจิตรได้หวานชัดปานไหน ก็หาบาดตากินใจเทียบไม่มีเท่าเลย แต่นี่เขาดันเจอเทวนารีระดับกลาง สว่างมายาฤทธิ์ล่วงอิตถีชั้นฟ้าสามัญขึ้นไปอีก จะยังมีตบะอะไรเหลือไว้ต้านไหวเล่า?

    นับเป็นเคราะห์อันซ้อนเข้ามาในเคราะห์ ให้เขาต้องเจอเข้ากับศรเสียบแทงใจถอนยากที่สุดในสังสารวัฏ ได้เห็นแล้วมีแต่จะคลุ้มคลั่งถ้าไม่เห็นอีก

    เขาเข้าป่า ใจหนึ่งก็หวังไปตายเอาดาบหน้าหนีโจร แต่อีกใจก็มาดหมายบำเพ็ญตบะแบบยอมอดตาย เพื่อว่าเมื่อละร่างแล้ว จะกำหนดจิตอันทรงกุศลหนักเลือกที่เกิดได้

    ดาวดึงส์เทวโลก! และต้องอยู่ในฐานะสูงเหนือเรือนแก้วด้วย!

    เพราะเหตุแห่งเจตนาอันไม่เป็นไปเพื่อดับทุกข์ ช่วงแรกแห่งการภาวนาจึงนับเป็นมิจฉาสมาธิโดยแท้ ความเงียบของป่า ความน่าสะพรึงกลัวของความเปลี่ยว และมรณภัยอันเรียงรายอยู่รอบด้าน เป็นตัวบีบบังคับให้จิตตกสู่กระแสสมาธิได้เร็ว ได้นานก็จริง ทว่าเมื่อถอนสมาธิแล้วก็ยังวันและคืนให้ล่วงไปด้วยความหมกมุ่น หวังขอให้เรือนแก้วมาปรากฏเป็นกำลังใจตลอดเวลา

    ผลคือทำให้กำลังใจตก แทนที่เวลาล่วงไปจิตจะยิ่งแนบแน่นเข้าสู่องค์ฌาน ก็กลับกลัดกลุ้มรุ่มร้อนยิ่งขึ้นทุกที เพราะไม่ได้รับการสนองตอบจากเบื้องบน เพียรเพ่งจี้จิตนึกถึงรูปทิพย์ของหล่อนกระทั่งหน่วงแน่วเข้าขั้นอุคคหนิมิต คือเห็นชัดไม่คลาดเคลื่อนก็แล้ว อ้อนวอนเพียงใดเรือนแก้วก็ไม่มาปรากฏ ทั้งต่อตาเนื้อและตาใน

    ตอนที่รู้ตัวว่ามาผิดทาง ก็หวิดๆจะวิปลาส ตะโกนเรียกเรือนแก้วในความสงัดของราวไพรเป็นวรรคเป็นเวร โทษหล่อนที่ใจร้าย ด่าว่าเป็นนางวัวลืมตีน อยู่สูงหน่อยก็หมดแก่ใจห่วงใยเหลียวหลัง เขาสู้บากบั่นบำเพ็ญเพียรเพื่อให้พบหล่อน ยังใจดำเฉยเมยไม่เห็นค่าได้ลงคอ

    ทันทีที่ก่นด่าด้วยจิตอันทรงกำลัง กับทั้งแน่นหนาด้วยโทสะและโมหะ ปฏิกิริยาตีกลับจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนจึงกล้าแข็ง เหมือนตีกลองเพลไปตุ้งหนึ่งในอากาศว่างที่สะท้อนความครึ้มมืดสวนวาบมาปะทะ กว่าจะสำนึกได้ก็เกือบสาย เมื่อเป็นไข้ หนาวสั่น อย่าว่าแต่ทำสมาธิให้แข็ง เอาแค่ตั้งสติบังคับไม่ให้มือไม้สั่นก็ยากเต็มทน นั่นเองความกลัวจึงเข้าครอบงำ หวาดหวั่นว่าจะต้องตายทั้งระบมพิษไข้ จิตจะแกว่งไปทางหัวหรือก้อยก็ไม่รู้ เขาเคยเฉียดประตูมรณะมาแล้ว ทราบดีว่าจิตเหมือนเรือที่ถูกทำลายหางเสือ ต้องปล่อยแล่นไปตามยถาในห้วงทะเลกรรมที่สั่งสมมาตลอดทั้งชาติ

    ในความครึ่งหลับครึ่งตื่นมัวมน เขาเห็นเหมือนหลวงตาแขวนมานั่งตรงหน้า เขาพยายามพนมมือจะกราบ แต่ชาดิกไปหมด ขยับเขยื้อนเคลื่อนที่ไม่ได้ หลงเหลืออยู่ก็แต่สติพอจะฟังท่านเทศน์ดุ

    “ชีวิตเป็นของสูง มนุษย์ทั่วไปไม่ผิดที่เห็นเป็นของเล่น ใช้ชีวิตกันเล่นๆ อยากได้อะไรก็ดึงดันเอามันอย่างนั้น แต่เอ็งน่ะรู้อรรถรู้ธรรมขนาดนี้ ยังทำเป็นเล่นบ้าใบ้อยู่อีก สมควรจะไปนรกรึยัง?”

    เกาทัณฑ์บังเกิดความสลดสุดประมาณ แต่ก็รู้สึกเหมือนสายเกินแก้เสียแล้ว

    “บำเพ็ญตบะหวังสวรรค์น่ะ เขาไม่ได้ทำกันอย่างนี้ เขาหวังไว้ตอนเริ่มอธิษฐาน แล้วมุ่งมั่นเอาความสะอาดบริสุทธิ์ หนักแน่นเป็นอารมณ์เดียวของจิต สลัดวางกิเลสให้หมด เพียรเรื่อยไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่เองตามอายุขัย”

    ในนิมิตนั้น เกาทัณฑ์สำเหนียกว่าหลวงตาท่านเอ็ดเอาด้วยความอ่อนใจเหลือจะกล่าว เขาได้แต่หดหู่ในความเขลาของตนเองอยู่เช่นนั้น

    “กลับลำซะใหม่นะ เอ็งมาไกลจนเกินถอนตัว เหมือนขี่หลังเสือแล้ว ต้องคุมเสือให้เชื่อง เดี๋ยวพอตื่นขึ้นไข้จะสร่างลง มุ่งมั่นทำสมาธิให้แก่กล้าขึ้นมาด้วยใจบริสุทธิ์ แล้วไข้จะหาย อย่าไปร่ำร้องหาใครเขาอีก”

    พอตื่นขึ้นก็ทุเลาป่วยลงจริงๆด้วยกำลังปีติอันเกิดจากสัมมาสมาธิ เพราะคราวนี้เขามุ่งมั่นเอาความบริสุทธิ์ในขณะยังดำรงชีวิต มิใช่พร่ำเพ้อละเมอหาสวรรค์เหมือนแต่แรก

    เห็นด้วยความสังเวชอย่างแท้จริง ว่าใจมนุษย์นั้นร่ำร้อง จะเอา จะเอา แบบเด็กๆไปจนชั่วลมหายใจเฮือกสุดท้าย เมื่อกายเติบใหญ่ขึ้นก็สนองความร้องร่ำพร่ำเพ้อด้วยวิถีต่างๆ นักธุรกิจแสวงวิธีดูดเงิน นักการเมืองแสวงอำนาจ ฤาษีแสวงตบะ กระทั่งปลงเห็นหน้าตาความอยากชัดเจนว่าเหมือนทารกน้อยทั้งนั้น จึงเลิกอยากเลิกเพ้อได้หมดทุกรูปแบบ

    เมื่อทุกอย่างเข้าทาง เลิกปฏิบัติแบบละเมอๆ ของเก่าก็ปรากฏ จิตอ่อนควรแก่การเข้าถึงฐานสมาธิอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นฌานลาภีบุคคล หรือบุคคลผู้มีสิทธิ์ถึงฌาน อีกทั้งเคยสำเร็จฌานสมาบัติมาก่อนนับภพนับชาติไม่ถ้วน จึงไม่แต่มีสิทธิ์เท่านั้น ยังง่ายยิ่งอีกด้วย

    และแม้จะทำถึงเพียงปฐมฌาน ยังไม่ใช่ฐานของอภิญญาที่แท้จริง อภิญญาอันแก่กล้าที่ติดจิตติดวิญญาณมาก็ปรากฏแสดงตัว เขาเห็นกลุ่มญาณแต่ละประเภทวางเรียงเป็นชั้นๆห่อหุ้มดวงจิต พอเลือกหยิบฉวยเอาได้บ้างด้วยกำลังในขณะนั้น อย่างเช่นความสามารถดึงอดีตมาสู่สำนึกปัจจุบัน เพียงตรึกระลึกถึงอัตภาพฤาษีเก่าที่หลวงตาแขวนเคยเมตตาฉายให้ดูทีหนึ่ง ก็เหมือนทำนบเขื่อนพังภินท์ ภาพเหตุการณ์ของตัวตนมากมายทะลักหลั่งทยอยเรียงลำดับมาให้เห็นจนจำแนกแทบไม่ทัน คล้ายคนธรรมดาระลึกได้แบบเร็วๆว่าเมื่อวานเกิดเหตุการณ์ใดบ้าง โดยคัดเฉพาะที่ประทับขึ้นใจ ต่างแต่ความหมายรู้คมชัดเป็นนิมิตและทราบเนื้อความละเอียดลออนัก

    บัดนี้เขาเป็นผู้หนึ่งที่ประจักษ์ว่าสังสารวัฏนั้นพิสดารพันลึกเสียจนเล่าไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ไม่มีใครเป็นผู้สร้าง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ทุกคนเดินทางอย่างโดดเดี่ยวไปตามยถากรรมแห่งตน ทำอะไรไว้ก็รับผลอย่างนั้น ปรับเปลี่ยนภาวะหยาบประณีตของวิญญาณไปเรื่อย ขึ้นลงเหมือนลูกคลื่น ไม่มีใครรักษาสภาพสูงส่งไว้ได้ตลอด เพราะแรงเหวี่ยงทั้งดีร้ายนั้นซับซ้อนนัก อีกทั้งกิเลสแต่ละขณะก็ไม่แน่นอน เดี๋ยวบันดาลให้ประเสริฐ เดี๋ยวกดดันให้ชั่วชาติ

    วิญญาณที่แล่นคู่กันมา หรือเกาะกลุ่มกันมา ก็ล้วนต่างคนต่างก้มหน้าเสวยกรรมของตน มิใช่จะตีคู่กอดคอร่วมทุกข์ร่วมสุขเคียงข้างกันจากต้นทางยันปลายทาง ความสัมพันธ์ในฐานะสูงต่ำล้ำเหลื่อมที่แน่นอนก็ไม่มี รักกันหวานซึ้งตรึงใจแบบมาราธอนข้ามชาติก็ไม่มี ทุกอย่างถูกบีบคั้นให้แปรไปเรื่อยตามเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า หรือเฉพาะชาติ

    เอาแค่โลกมนุษย์นี่ เมื่อเปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัยไป หรือข้ามวัฏจักรเผ่าพันธุ์แต่ละครั้ง ก็เล่าให้เชื่อยากแล้วว่ามีความแตกต่างในรายละเอียดน่าอัศจรรย์อันใดบ้าง

    ขนาดอยู่ในโลกใบเดียวกัน ร่วมสมัยเดียวกัน แค่ข้ามพรมแดนคนจนคนรวยเข้าหน่อย ก็ตะลึงตาค้างหลุดปากอุทานกันแล้วว่า ‘มีอย่างนี้ด้วยหรือ’ หากได้เห็นถ้วนทั่วครอบคลุมเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีวิทยาการสูงส่ง หรือที่มีศีลสัตย์เป็นสรณะ หรือที่มีอายุยืนยาวพันปี ก็คงเลิกอุทานแบบเดิม และเปลี่ยนความเห็นกันแบบปฏิวัติ นั่นคือสังสารวัฏนี้ ‘มีทุกแบบ’

    ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระองค์ประทานใบไม้เพียงกำมือเดียว จากสิ่งที่พระองค์รู้ทั้งหมดเท่าใบไม้ในป่า เขาอนุมานได้แล้วว่าเป็นอย่างไร เพราะแม้ฌานญาณอันคับแคบจำกัดของฤาษีธรรมดา ก็อาจแทงทะลุเข้าไปเห็นหน้าเห็นหลังอันสุดจะรวบรวมมากล่าวได้หมดขนาดนี้ แล้วพระสัพพัญญุตญาณแห่งองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่ใหญ่หลวงจนเปิดแจ้งแทงถึงตลอดสายอนันตภาพเล่า จะเอาความมโหฬารของสื่อชนิดใดมาบันทึกหรือถ่ายทอดได้

    ถอนใจเฮือกใหญ่ ทบทวนแล้วนึกรู้ว่าชาตินี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาลิ้มรสหวานในรักได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย บันเทิงในสติปัญญาและความสามารถรอบด้านอย่างถึงพริกถึงขิง แต่ก็ต้องประสบพบเจอกับศัตรูเก่า รู้จักความขมขื่นแห่งการจากพราก ป่วยไข้ปางตาย เฉียดจะลงนรกมาก็แล้ว

    ชาติอื่นที่วิบากดีให้ผลน้อยกว่านี้มิยิ่งทรมานทรกรรมเป็นสิบเท่าร้อยเท่าหรอกหรือ?

    เห็นชัดๆแล้วว่าภาพสังสารวัฏยืดเยื้อน่าหวาดผวาเพียงใด ใครจะอยากอยู่ต่อเข้าไปลง ใครบอกว่าชีวิตฉันดี เป็นปกติสุขราบรื่น คนนั้นยังรู้จักพระอนิจจังน้อยไป

    แต่ก็นั่นแหละ บารมีอันน้อยนิดในปัจจุบันชาติที่คู่ควรเป็นกำลังแก่พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเบื้องหน้า ก็เห็นอยู่เพียงหนึ่งเดียว คืออธิษฐานบารมีที่กระทำไปต่อหน้าพระอภิญญา ทั้งรู้ว่าจะต้องฝ่าร้อยสวรรค์พันนรก ก็ยืนยันจะดั้นด้นไปอย่างปราศจากความเกรงกลัว ด้วยหวังกรุณาโปรดเวไนยสัตว์ให้พ้นจากสังสารวัฏด้วยกำลังตน ส่วนบารมีอื่นนับว่ายังอ่อน ไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล การออกจากกาม ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ เมตตา และอุเบกขา

    ยังต้องเพียรสั่งสมอีกยาวยืดสุดหยั่งในขบวนอัตภาพหยาบละเอียดที่จะสืบเนื่องต่อไป ซึ่งก็คงเวียนวนซ้ำซากเหมือนเช่นที่เห็นแล้วในอดีตกาล

    จำสภาวจิตที่ ‘ไม่ใช่มนุษย์’ ได้ชัดเจน เขาเคยเป็นอสุรกายชนิดที่ไร้สติคิดอ่านเป็นเหตุเป็นผล เนื้อตัวเต็มไปด้วยหนามแหลม มีสำนึกอยู่อย่างเดียวคือวิ่งอาละวาดบ้าเลือดด้วยความคึกคะนองในกำลังอันยิ่งยง ในภาวะนั้นเมื่อจะเอ่ยปากร้องก็ได้ยินแผดออกมาเป็นเสียงกรีดแบบคลุ้มคลั่ง เมื่อขยับเขยื้อนไหวกายก็กรอบแกรบเจ็บเสียดไปทั่วสรรพางค์อันเทอะทะ อาศัยในสภาพแวดล้อมอึมครึมหม่นมืดเหมือนยามโพล้เพล้อยู่ตลอดเวลา อยากหนีหรือคิดจบชีวิตแบบที่คนในโลกทำกันง่ายๆก็ไม่ได้

    แต่เมื่อก่อนเกิดเป็นมนุษย์นี้เอง เขาเคยเป็นอะไรอย่างหนึ่งที่ประณีตลออองค์สุดพรรณนา เป็นตรงข้ามสุดขั้วกับอัตภาพอสุรกายเมื่อหลายร้อยชาติก่อน

    พระพรหม!

    สภาพนั้นจิตผนึกเป็นดวงใหญ่อย่างฌานอยู่ทุกขณะ ทว่าแยกชั้นกันเป็นต่างหากจากสำนึกคิดอ่าน เป็นความคิดอ่านอีกแบบแตกต่างจากระบบความคิดของมนุษย์อย่างสิ้นเชิง พ้นวิสัยจะบรรยายด้วยภาษาใดๆ แม้เทพยดาเช่นเรือนแก้วก็ดูกระจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับอัตภาพอันน่าปรารถนายิ่งชนิดนั้น

    ผ่านภูมิต่ำ ภูมิสูง คลี่คลายมาเป็นอัตภาพนี้ ขยับแขนขาในกายหยาบนี้ เกิดมาแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่เยี่ยงมนุษย์ ทรงฤทธิ์ทางโลกและทางธรรม เหิมเกริมตามประสากิเลสแบบมนุษย์

    เขาเพลิดเพลินอยู่ในความรู้เห็นเร้นลับได้เพียงอาทิตย์เศษ ใจก็เริ่มพะวงถึงแพตรีขึ้นมา เมื่อคืนหนึ่งฝันเห็นตนเองดุ่มเดินไปตามทางรอบไหล่เขา หนทางเต็มไปด้วยหินแล้งแห้งผาก หอบหิ้วเสบียงติดตัวพะรุงพะรัง ข้างกายคือแพตรีสีหน้าอิดโรย ขะมุกขะมอมมอซอ เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนและมีริ้วรอยฉีกขาดเยี่ยงคนเพิ่งผ่านป่าหนามมาหยกๆ

    ในฝันบอกตนเองว่าหล่อนสู้ทนลำบากติดตามเขามาด้วยความภักดี ยอมผ่านร้อนผ่านหนาวบุกน้ำลุยไฟ ก็เพราะใจเดียวบูชารัก เขาเสียอีกมีความแข็งแรงบึกบึน ทนฝ่าฟันก็ด้วยความมุ่งมั่นของตนเอง

    ครั้งหนึ่งในฝัน เขาเงยหน้าขึ้นมองยอดเขาที่กำลังดุ่มเดินขึ้นไป รู้สึกคล้ายเลือดเข้าตา ดูเหมือนตนกำลังบ้าบิ่นแกมดันทุรังทำในสิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อแหงนหน้าดูดีๆแล้ว เบื้องสูงที่สุดนั้นเสียดขึ้นไปถึงยอดฟ้าชัดๆ!

    ยังจำภาพนั้นติดตา ปลายทางอยู่ที่ยอดฟ้า

    เขาต้องดั้นด้นอีกกี่กัปป์กี่กัลป์ไม่อาจรู้ได้ รู้แต่ว่าตอนนี้ยังไกลแสนไกล เกินที่จะเอื้อมถึง ทว่าใจในขณะนั้นเหิมหาญ บอกตนเองว่ายอดฟ้าก็ยอดฟ้า แสนกัปป์เหมือนเดือนเดียว ดั้นเดิน ปีนป่าย ใช้กำลังบุกบั่นไม่หยุดหย่อน เดี๋ยวก็ลุแล้ว

    สงสารก็แต่ผู้ติดตามเขามา แพตรีดูอ่อนโรยระโหยแรงเต็มทน ไม่ได้มีกำลังใจอย่างใหญ่ ไม่ได้เห็นแสนกัปป์เหมือนเดือนเดียวอย่างเขา ทว่าเส้นทางวิบากนั้นไกลเกินหวนกลับ และสูงเกินโดดดิ่งข้างทางเหมือนทิ้งตัวจากรถไฟ จะให้หล่อนขี่หลังเขาสบายๆหรือก็เหลือวิสัย ได้แต่ช่วยฉุด ช่วยประคองตามมีตามเกิด จูงมือกระชับชิดบ้าง ปล่อยมือต่างคนต่างเดินบ้างสลับกัน

    สำนึกว่าแพตรีเป็นความชุ่มชื่นกลางทางกันดาร เป็นทะเลกว้างกลางโลกแคบ เป็นความงดงามกลางความน่าชัง เป็นความสว่างสบายกลางค่ำคืนเยือกหนาว เป็นความร่ำรวยกลางความขัดสน เป็นความหรรษากลางความน่าเหน็ดหน่าย เป็นดนตรีอ่อนหวานกลางความเงียบงันวังเวงใจ เป็นเพื่อนคู่ทุกข์แต่เพียงเดียวกลางความอ้างว้างรอบราย…

    หล่อนเป็นทุกสิ่งที่ดีที่สุด

    ช่วงหนึ่งเขาเกิดเหม่อ เผลอสติอย่างไรชอบกล เหมือนหลงๆลืมๆไปว่ามีแพตรีตะเกียกตะกายตามมา ยินหล่อนอุทานคล้ายสะดุดหินล้มกลิ้งลง โหยไห้เสียงหลงร้องเรียกเขาอยู่ที่เบื้องหลัง แต่เรียกเท่าไหร่ๆเขาก็มัวเพลินเดินรุดไปไม่เหลียวแล อันเนื่องจากมีวิหคนกฟ้าบินโฉบลงมาล่อตาชักชวนให้หลงเข้าสู่อุทยานอันร่มครึ้มด้วยแมกไม้เขียว สดชื่นบรรเจิดตาด้วยหลากไม้ดอกหลากสีนานาพันธุ์

    เพลินอยู่นานพอดู กว่าจะนึกขึ้นได้ก็เมื่อดอกไม้ในสวนพร้อมใจกันเหี่ยวเฉา เบื้องสูงมืดครึ้ม ยินเสียงฟ้าคำรณจากระยะไกลแล้วสะดุ้ง คล้ายตื่นจากภวังค์ลึก เหลียวหาแพตรีก็ไม่เห็นเสียแล้ว รู้สึกผิดอย่างแรงว่าตนได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญของหล่อน แต่คล้ายแกล้งไม่ได้ยิน เอาหูทวนลมอย่างคนใจดำ ทิ้งลืมไว้ข้างหลัง ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้

    ไวเท่าความคิด เขาใช้กำลังทั้งหมดที่มีสาวเท้าวิ่งย้อนทางกลับมาโดยเร็ว เห็นภาพทางว่างหายไร้แพตรีแล้วเศร้าจนสะอึกอั้นอยู่ในฝัน เสียใจที่ทอดทิ้งหล่อน คิดว่าถ้ามีโอกาสแก้ตัวจะยอมเหนื่อยแบกขึ้นหลัง ไม่ปล่อยให้ห่างหายไปไหนอีกแล้ว

    ลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ก็แล่นกลับกรุงเทพฯทันที!

    เขามาพบหล่อนแล้ว โล่งใจไปถึงไหน…

    ฌานสมาบัติเป็นของเสื่อมง่าย โดยเฉพาะเพิ่งตั้งเข้าที่เพียงอาทิตย์เดียว เมื่อโดนกิเลสครอบงำก็สลายหายสูญไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

    แต่ความจดจำเกี่ยวกับสังสารวัฏ การเวียนเกิดตายสลับสูงต่ำดำขาวยังคงอยู่ ยังรู้ความน่าขนพองสยองเกล้าอยู่ และตระหนักว่าสิ่งใดยึดเขาไว้กับการเกิดตายแล้วๆเล่าๆ ไร้ต้นไร้ปลายนี้

    ก้มลงหอมแก้มนวลตรงหน้า กลิ่นเนื้อแพตรียวนใจนัก

    สำรวจความติดตรึง ความอยากอันโหมแรงที่เกิดขึ้นภายใน บอกตนเองว่าสิ่งนี้เองผูกยึดส่ำสัตว์ไว้กับสังสารวัฏ พยายามมองให้เห็นโทษภัย

    เห็น…

    แต่ตัดไม่ได้

    ก็ในเมื่อใจยังบอกอยู่ว่าร่างสาวน้อยอันเป็นที่รักตรงหน้า ทั้งสวยหวาน ทั้งละมุนน่าชิดเชย อยู่ใกล้แล้วเยือกเย็นเป็นสุขอย่าบอกใครขนาดนี้

    นางฟ้าเดินดินนั้นคล้ายของขวัญสำหรับผู้แน่วแน่ในเส้นทางหฤโหดสายพุทธภูมิ เป็นธรรมดาของผู้บำเพ็ญเพียร สั่งสมบารมีไว้มาก ยิ่งผลักดันให้คู่บารมีสูงส่งขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้มีสิทธิ์ชื่นเชยสมบัติวิเศษอันสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองเท่านั้น เพราะการลากจูงกันมานานโดยเจตจำนงอันเป็นกุศลยิ่งใหญ่ ย่อมก่อร่างสร้างสังขารโดยยืนพื้นบนยานกุศลนั่นเอง

    หล่อนเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว!

    ภาคหนึ่งของใจเห็นว่านั่นเป็นอุปาทานที่โง่มาก หล่อนเองยังไม่ใช่ของตัวเอง ก้อนธรรมชาติต้องตายอย่างไรกายหล่อนก็ต้องแตกดับตามนั้น

    แต่เนื้อที่แนบเนื้ออยู่อย่างนี้ ใจรู้ค่าความเป็นหล่อนอยู่อย่างนี้ มีหรือจะยอมปล่อยหล่อนได้ วางหล่อนได้ เห็นหล่อนเป็นอนัตตาได้?

    เกิดความคิดวูบๆวาบๆขึ้นมาว่าเจ้าเด็กหนุ่มที่ชื่อมตินั่นพลาดโอกาสเชยชมอัญมณีล้ำค่า หรือโชคดีที่แคล้วคลาดจากบ่วงรัดของอสรพิษร้ายแห่งมหาสังสารวัฏกันแน่? ภาพผิวเผินภายนอกที่ปรากฏต่อกิเลส กับภาพลึกซึ้งภายในที่ปรากฏต่อปัญญานั้น ช่างขัดแย้งกันสุดขั้วได้อย่างนี้

    “กังวลอะไรอยู่หรือแพ?”

    เขาเอ่ยถามทั้งรู้ว่าใครกำลังมีบทบาทรบกวนจิตใจหล่อน ช่วงที่เขาหายไป แพตรีอาจประชดรักด้วยการหันไปทอดสนิทคืนความสัมพันธ์อันดี ให้ความหวังลมแล้งกับหนุ่มหน้าอ่อนคนนั้นจนเกือบเป็นบ้า โดยเฉพาะเมื่อพบว่าเขากลับมาครอบครองจองตัวหล่อนตามเดิม มิได้หายขาดไปอย่างที่คิดกัน

    ยินเสียงถอนใจแผ่ว หญิงสาวเอ่ยกระซิบจนเขาต้องจ่อหูเข้าไปใกล้แทบแก้มแนบแก้ม

    “แพทำกรรมหนักเหลือเกิน ต่อไปคงต้องเจอคนหลอกให้ดีใจ ร้องห่มร้องไห้แทบคลุ้มคลั่ง”

    เกาทัณฑ์ย่นคิ้ว เขาไม่รู้เรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับมติเท่าไหร่นัก จึงคาดเดาแบบปะติดปะต่อโดยมีเจตนาปลอบโยน

    “แพไม่ได้มีเจตนาหลอกลวงเขานี่”

    “แต่แพก็ไม่รักษาคำพูด ทำให้เขาเสียใจ”

    ชายหนุ่มลอบยักไหล่ แอบคิดเงียบๆว่าช่างปะไร ก็แค่ไอ้หนุ่มหน้าจืดคนหนึ่ง…

    “เขาไม่เหมาะกับแพหรอก คนเราเข้ากันไม่ได้ แต่พยายามจับคู่กันในฐานะผิดจากที่ควร ก็เกิดความวิบัติขึ้นในเบื้องปลายอย่างนี้เอง ถือว่าแพกับเขาผิดกันคนละครึ่งนะ แบ่งความเสียใจกันแล้วก็แล้วไป”

    แม้ช่วยปลอบเช่นนั้น ก็ดูหล่อนไม่หลุดจากอาการกังวล ราวกับเห็นเป็นอาชญากรรมใหญ่โตขั้นเข้าคุกเข้าตะราง ขี้เกียจคิดมากเลยปลอบซ้ำไปแกนๆ ทั้งรู้ว่าโอ้โลมปฏิโลมอย่างไรก็ป่วยการ

    “ความรักเหมือนกีฬา ต้องมีได้มีเสีย มีสมหวังผิดหวัง วิถีโลกน่ะ อย่าวิตกเกินเหตุเลย”

    หญิงสาวกะพริบตาทีหนึ่ง

    “พี่ไม่รู้อะไรหรอก”

    เกาทัณฑ์ชะงักเล็กน้อย ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาวาบหนึ่ง เพราะทราบตามจริงว่าเวลานี้เทียบระหว่างเขากับหล่อนแล้ว หล่อนรู้น้อยกว่าอย่างเรียกได้ว่าอนุบาลกับอุดมศึกษาทีเดียว

    แต่ที่สุดก็ฝืนยิ้ม แพตรีกำลังโศก เขาควรทำให้หาย

    “ใช่” เอาปลายนิ้วเกลี่ยชายผมที่ระแก้มหล่อนให้เข้าที่ “อย่างเช่นไม่รู้ว่าทำยังไงแพถึงจะหันมายิ้มกับพี่เสียที”

    แพตรีดึงกายขึ้นนั่ง ทำท่าคล้ายจะลุกจากเตียง แต่เกาทัณฑ์เอาแขนคล้องเอวยึดไว้ หญิงสาวพยายามแกะ

    “ปล่อย”

    “จะไปไหนล่ะ?”

    “โทร.หามติ”

    หล่อนตอบตามตรง

    “จะพูดอะไรกับเขาอีก?”

    “อยากขอโทษ ขอคำอโหสิ และฟังเสียงว่าตอนนี้ดีขึ้นหรือยัง”

    เกาทัณฑ์ทำหน้าเมื่อย แต่ก็ยอมปล่อยแขน

    โทรศัพท์วางอยู่บนโต๊ะทำงานห่างจากเตียงหน่อยเดียว ทีแรกแพตรีอยากขอให้เกาทัณฑ์ออกไปข้างนอก แต่แล้วก็เห็นว่าทำอย่างนั้นดูมีลับลมมากไปหน่อยสำหรับฐานะอันชิดเชื้อยามนี้ จึงปล่อยให้เขาอยู่ด้วยอย่างนั้น ตนเองยืนนิ่งกับที่ ทำใจตระเตรียมคำพูด

    ชายหนุ่มตะแคงหน้าไปยังจุดที่แพตรียืนอยู่ หล่อนกอดอกหลวมๆหันข้างให้ เห็นเสี้ยวหน้าสวยและเส้นผมเหยียดตรงยาวจรดแผ่นหลังในอาการนิ่งเป็นดุษณีนั้นแล้ว ทำให้นึกถึงนางในฝัน เหมือนหล่อนเป็นรุ่งอรุณที่สาดแสงละไม ส่องใจให้อบอุ่นปรีดาล้ำลึก

    แพตรียกหูโทรศัพท์ขึ้นกดเบอร์เนือยๆทั้งรู้ว่าเขากำลังจับตามองและเงี่ยหูฟัง หล่อนรอสัญญาณเพียงสองครั้ง ก็มีเสียงเรียบเบาตอบมาจากปลายสาย

    “สวัสดีครับ”

    “มติ…” ทั้งที่เตรียมคำพูดไว้พร้อม ก็ไม่วายติดขัด “กลับถึงบ้านนานหรือยัง?”

    เด็กหนุ่มเงียบเพียงครู่เดียว ก็ตอบกลับมาด้วยสุ้มเสียงนุ่มนวลเป็นปกติทุกอย่าง สมแล้วที่เป็นบัณฑิตทางธรรม

    “ตรงกลับเข้าบ้านเลยฮะ ไม่ได้แวะที่ไหน” แล้วเขาก็ดักคอ “เป็นห่วงกลัวผมจะไปเดินหาทำเลดิ่งพสุธาหรือ?”

    แพตรีหัวเราะออกมาได้ สบายใจขึ้น

    “เปล่า…” หล่อนทำตาเป็นประกายใสในการเฝ้าสังเกตของใครอีกคนใกล้ตัว “รู้น่าว่าเก่ง ถ้าเดินก็คงหาทำเลปักกลดทำสมาธิมากกว่า”

    “เขากลับไปแล้วหรือถึงโทร.มา?”

    “ยังอยู่” ตอบโดยมิได้ระวังออมเสียงนัก “ทำไม โทร.หาเธอต้องรอใครกลับเสียก่อนด้วย?”

    มติทำหน้างงอยู่ที่ปลายสาย สำเนียงคล้ายหยิกประชดนั้นบอกอยู่ในทีว่าคนรักของหล่อนห่างออกไปแค่เอื้อม ได้แต่ทอดถอนใจว่าโลกนี้ยุ่งจริงหนอ ขัดข้องจริงหนอ หวังว่าคงไม่ใช่แง่งอนระหองระแหงกันแล้วจับเขามาขึ้นเขียงสับแทนอีก เพราะคราวนี้เข็ดจนตาย ไม่ยอมหลงเหยื่ออีกแล้ว

    เด็กหนุ่มยอบกายลงนั่งพิงผนังห้อง ส่งเสียงเนือยๆ

    “พูดอย่างนี้ถ้าพี่เขาฟังอยู่ เขาหน้ามืดตามมาอัดผมถึงบ้านก็เสร็จซี่”

    แพตรีอมยิ้ม ปรายตามาทางเกาทัณฑ์

    “ใครกล้าอัดเธอ น่ากลัวตายล่ะ พี่จะขวางเอง”

    มติหัวเราะเอื่อยทั้งคร้านที่จะมีอารมณ์ขัน

    “นี่…พี่แพ” บอกทั้งหน้าชื่นอกตรม “ไปให้เขากอดต่อเถอะไป”

    หญิงสาวสะดุ้ง แต่ก็ทำหน้าเฉยอย่างรวดเร็ว

    “นี่…น้องชาย! อย่าทำเป็นรู้ดีนักเลย ชักปากคอเราะร้ายนะเราน่ะ”

    “ผมจะวางล่ะ”

    “เดี๋ยว…” เม้มปากกล้ำกลืนก้อนขมลงคอ และเริ่มตั้งใจพูดมากขึ้น “มติ พี่อยากขอโทษเธอ พี่ไม่ตั้งใจให้…”

    “พี่แพฮะ” มติขัด “ระหว่างทางกลับบ้าน ผมเบาตัว สบายใจ และปลอดโปร่งโล่งตลอดอย่างที่สุด ตอนยังนึกว่าพี่แพไม่เป็นสิทธิ์ของใคร ยังไงๆก็แอบหวังอยู่ในส่วนลึก แต่นี่หมดอยาก หมดหวังอย่างเด็ดขาดเสียที ตั้งแต่นาทีที่รู้ว่าพี่เป็นของเขาแล้ว”

    แพตรีอึกอัก หน้าแดงขึ้นมาด้วยความอาย อยากแก้ความเข้าใจผิดของน้อง แต่เหมือนถูกค้ำคอ เพราะมติบอกกับปากว่าความเข้าใจผิดนั้นเองปลดเปลื้องเขาเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ หล่อนจะใจร้ายคล้องห่วงบางๆกลับไปมัดเขาอีกได้อย่างไร

    “สิ่งที่เห็นวันนี้ไม่ใช่แค่พระเอกตัวจริงของพี่ แต่ยังได้เห็นทุกข์ในอกของตัวเอง เห็นต้นเหตุทุกข์คืออาการที่จิตจับยึดพี่แพเป็นความหวังอย่างเลื่อนลอย พอเห็นอาการยึด เลยรู้ว่าจะปล่อยได้ท่าไหน แต่ก่อนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาการยึดแบบนี้เป็นต้นเหตุทุกข์ ไม่รู้ว่าเรามีทุกข์ในอก พอถูกขยายผลชัดๆเป็นก้อนใหญ่ขึ้นมา เลยจับถนัด ก็นับเป็นบทเรียนฝึกดับไฟทุกข์กองเล็กอีกบทหนึ่ง ต้องขอบคุณเสียอีกที่พี่แพกับเขาทำให้ผมเห็นได้อย่างนี้

    ผมคิดได้ตั้งไม่รู้กี่ปีดีดัก ว่าตัวเองเป็นอย่างมากแค่น้องของพี่น่ะสมควรที่สุดแล้ว แต่ก็อดรักอดหลงไม่ได้ ทรมานนานแค่ไหนขี้เกียจจำ เอาเป็นว่าตอนนี้เหมือนพันธนาการถูกปลดทิ้ง อย่ากังวลเพราะผมเลย ควรยินดีด้วยมากกว่า เราสนิทกันเสียจนไม่จำเป็นต้องอำพรางหรือพูดอ้อมค้อมให้คาใจใช่ไหม คุยกันห้านาทีเสร็จดีกว่าอ้ำอึ้งเป็นชั่วโมงโดยไม่ลงเอยอะไร พี่ฟังเสียงผมก็ได้ ผมไม่ใช้คำเลี่ยงแม้แต่นิดเดียว ผมเคยนับถือ เคยรัก เคยหลง แต่ถึงตอนนี้เหลือแค่ความนับถือเท่านั้น ดีด้วยกันทุกฝ่าย”

    เงียบพักใหญ่ ก่อนมติจะถามแบบตบท้าย

    “สบายใจรึยัง?”

    แพตรีกะพริบตาปริบๆ

    “สบายแล้ว ขอบใจมาก” แล้วหล่อนก็ขอเสียงสั่น “เหมือนพี่หลอกเธอให้ดีใจ อโหสิด้วยนะ”

    มติสูดลมหายใจเข้าปอดลึก เกือบๆบอกตามตรงว่าหล่อนทำให้เขาโตขึ้นเพราะมองเห็นและอยากละวิถีโลกเสียที คนเรานั้นทั้งยุ่ง ทั้งกลับไปกลับมาน่าระอาขนาดไหน เขาเกิดปัญญาเห็นชัดว่าเมื่อเอาชนะตนเอง จิตพิพากษาเสร็จสิ้นแล้วไม่มีกลับไม่มีเปลี่ยน ต่างจากการเอาชนะใจผู้หญิง ที่ให้ผลเรรวน เหมือนชนะได้ในวันหนึ่ง แต่แค่ข้ามวันก็เปลี่ยนผลเสียแล้ว

    ทว่าพูดอย่างนั้นจะออกนอกกรอบไปหน่อย แพตรีฟังแล้วคงไม่นึกชื่นชมนัก เพราะเป็นเรื่องเข้าตัว มติจึงคิดคำอโหสิให้ฟังปราศจากความกระทบกระทั่งหรือเป็นเหตุให้เก็บไปคิดข้องติดใจในภายหลัง

    “อย่างที่บอกนะฮะ ขอให้ถือว่าพี่แพมอบความปลอดโปร่งสบายใจกับผม ความไม่รู้ใดๆของพี่แพที่ถือเป็นบันไดขั้นต้นให้ไต่มาถึงจุดนี้ ต้องนับเป็นคุณ ไม่ใช่โทษ เพราะฉะนั้น…ผมอโหสิครับพี่แพ และกราบขอบพระคุณด้วยใจจริงกับการใส่ผมลงลู่ทางที่เหมาะสุดสำหรับภาวะปัจจุบัน”

    ประโยคท้ายของเขาสะกิดให้หล่อนนึกถึงนิมิตที่เกิดขึ้นเมื่อนั่งสมาธิอยู่หน้าพระประธานในโบสถ์วัดป่าสาละวัน

    หล่อนกับเกาทัณฑ์ช่วยกันพายเรือพาเขาส่งขึ้นฝั่ง!

    “เธอจะบวชหรือ?”

    แพตรีโพล่งถามทั้งที่เขายังไม่เคยเอ่ยเฉียดไปทางนั้นสักคำ

    “ถ้ายังไม่เป็นพระก็จะยังไม่บวชหรอกฮะ” มติตอบกลางๆ “วางเถอะ อย่าคุยกับผมนานเลย เดี๋ยวพี่เขารู้สึกไม่ดี”

    “มติ…เราเป็นพี่เป็นน้องกันตลอดไปนะ”

    “ฮะ”

    ตอบเรียบสั้นแล้วก็วางกระบอกโทรศัพท์ลงกับแป้นตัดสายไป แพตรียืนถือหูนิ่งงันอยู่อีกครู่ ก่อนวางลงตาม หัวอกเบาโล่ง ระบายยิ้มพนมมืออนุโมทนากับน้องชายผู้เป็นที่รัก

    เกาทัณฑ์ลุกเดินมาหา แพตรีรู้เชิง หล่อนยังไม่อยากโดนแตะเนื้อต้องตัวนัก จึงขยับก้าวหลบไปทางหนึ่ง แต่เขาไวกว่าและคว้าเอวได้ด้วยปลอกแขนล่ำสัน พาร่างหล่อนมาที่เตียงอีก โดยลงนั่งก่อนแล้วเหนี่ยวหล่อนนั่งบนตักขวาของเขา

    “ออกไปเที่ยวข้างนอกกันบ้างเถอะค่ะ อยู่ในนี้อุดอู้จะตาย”

    แพตรีเอ่ยชวนกระเง้ากระงอดเพราะเบื่อสภาพสองต่อสองที่หล่อนเสียเปรียบเหมือนลูกไก่ในกำมือเขาเต็มแก่ สัญชาตญาณระแวงภัยของผู้หญิงเตือนว่าผู้ชายถ้าเห็นโอกาสจนน้ำลายหกได้ที่ขึ้นมาเมื่อไหร่ สัญญาไว้แค่ไหนก็ลืมหมด

    “แปลกแฮะ พี่น่าจะเป็นฝ่ายชวนแพเที่ยวมากกว่านะ”

    “จะไปไหมล่ะ?”

    “เที่ยวไหน?”

    “เที่ยววัดไง หาที่นั่งสมาธิกัน”

    เกาทัณฑ์หัวเราะเอิ้ก

    “เคยไปเที่ยวไหนมั่งหา เราน่ะ ใช้คำว่า ‘เที่ยว’ ผิดที่ผิดทางหรือเปล่า? ต่อไปนี้คงต้องปรับความเข้าใจกันหน่อยมั้ง”

    “แบบไหนคือที่ที่ควรใช้คำว่า ‘เที่ยว’ ของพี่ล่ะคะ?”

    “โรงหนัง ศูนย์การค้า แหล่งตากอากาศชายเขา ชายทะเล”

    “เอาเถอะ อยากไปไหนก็ไป”

    “ตอนนี้อยากอยู่ที่นี่แหละ ยังไม่เบื่อน่ะ”

    แพตรีกะพริบตา เบนหน้าเนิบช้ามามองเขา

    “อย่างพี่น่ะเบื่อง่าย แพรู้ ที่ไม่รู้คือพอแต่งแล้ว เบื่อแพแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

    เกาทัณฑ์เห็นท่าจะวกเข้าเรื่องเครียด ก็รีบฉีกไปอีกทาง

    “เออ…ว่าจะคุยด้วยพอดี หลังแต่งงานเราสองคนน่าจะหาโอกาสไปนมัสการสังเวชนียสถานในอินเดียกันนะ คงจะดี เป็นมงคลกับชีวิตสมรสมากทีเดียว”

    แพตรีเงียบไป สังเวชนียสถานคือสถานที่ต่างๆซึ่งเตือนให้รำลึกถึงพระพุทธคุณ ขณะเดียวกันก็บันดาลให้เกิดความสังเวชใจในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อันได้แก่ลุมพินี-สถานที่ประสูติ พุทธคยา-สถานที่ตรัสรู้ สารนาถ-สถานที่แสดงธรรมครั้งแรก กุสินารา-สถานที่เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ทั้งหมดอยู่ในอินเดีย ยกเว้นลุมพินีแห่งเดียวที่อยู่ในเนปาล

    ครั้งที่คุณย่ายังมีชีวิต ปู่ชนะเคยพาย่ากับหล่อนตระเวนท่องนมัสการพุทธสถานที่สำคัญในแดนกำเนิดและเผยแผ่พระสัทธรรมขององค์ตถาคตมาแล้ว หล่อนยังจดจำบรรยากาศต่างๆได้ติดใจ เพราะมีแรงประทับลึกซึ้งยิ่ง

    ภาพในความทรงจำโดยมากคือหลักหินที่ให้เงาครึ้ม สงบวิเวก ร่มเย็น และเต็มไปด้วยพลังความศักดิ์สิทธิ์ขรึมขลัง ชวนให้เกิดใจระยอบลงเคารพและสักการะด้วยธรรมภายในอันกระจ่างไสว

    ในครั้งนั้น ตลอดการรอนแรมยาวไกลเพื่อข้ามสังเวชนียสถานแต่ละถิ่น จะอยู่ในราตรีอันมืดมิดหรือทิวาอันสว่างแจ้ง มองข้างทางเห็นแต่ทุ่งนาเวิ้งว้าง ดูเงียบเหงายาวนานเหมือนไร้ที่สิ้นสุด ภาพความอ้างว้างเคยทำให้หล่อนคิดถึงเขาอย่างจับใจ อยากให้เขาเป็นผู้พาหล่อนข้ามน้ำข้ามดินไปทุกแห่ง แทนที่จะปล่อยให้เหมือนอยู่ตามลำพังอย่างนั้น

    นั่นเป็นก่อนหน้าที่จะพบกับเขาเป็นครั้งแรก เพื่อทราบว่าเขาไม่แม้แต่อยากชายตาเหลียวแล…

    แต่วันนี้ เดี๋ยวนี้ น่าแปลกนัก เป็นความบังเอิญ เป็นการอธิษฐานที่ให้ผลสมหวังหรืออย่างไร เขาจึงเป็นฝ่ายชักชวนขึ้นมาได้

    “คิดยังไงถึงชวนคะ?”

    “ปู่เคยเล่าให้ฟังน่ะแพ ฟังแล้วอยากไปบ้าง เห็นปู่ว่าระหว่างเดินทางข้ามเมืองนี่ จิตใจเยือกเย็น สงบสุข ทำสมาธิได้มีพลังเป็นพิเศษ เหมือนร่มฟ้ายังมีเงากาสาวพัสตร์ของพระพุทธองค์แผ่ให้สัมผัส พี่คิดว่าเมื่อเราแต่งงานกัน เดินทางไกลร่วมกัน คงก่อสายใยผูกพันได้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น”

    “ค่ะ ไกล…ไกลมากนะคะ ต้องใช้เวลามากทีเดียว”

    “ดีสิ ยิ่งไกล ยิ่งใช้เวลา เราก็ยิ่งใกล้ชิดกันในร่มกุศลมากขึ้น เมื่อเสร็จจากการนมัสการครบทุกถิ่นแล้ว น่าจะอธิษฐานขอให้เป็นพลวปัจจัย ร่วมเที่ยวไปในสังสารวัฏบนทางมหากุศลเช่นนี้ตราบเข้าถึงพระนิพพาน”

    แพตรีนิ่งงัน เพราะรอยระคายยังไม่จางหายดีนักจากเรื่องน่าเข็ดที่ผ่านมา แต่ก็เกรงว่าเมื่อเขาชักนำเรื่องบุญเรื่องกุศลแล้วหล่อนทำเพิกเฉยไม่ยอมรับรู้หรือร่วมโมทนา เดี๋ยวจะเป็นการจุดชนวนให้เกิดความไม่ลงรอยเป็นลูกโซ่ จึงจำใจระงับความรู้สึกด้านลบ แปรความคิดเป็นยินดีคล้อยตามในทำนองโมทนาสาธุการ

    “ค่ะ”

    รับคำเพียงสั้นเหมือนบอกว่ารับรู้แล้ว และไม่ขัด ทว่ายังรู้สึกฝืนๆอยู่ในภายใน เพราะคนเรามีกำแพงทิฐิจากความเจ็บกันเสมอ แพตรีจึงคิดเอาชนะทิฐิตนเองด้วยการออกความเห็นเสริมเสียหน่อย

    “ความจริงสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาในอินเดียยังมีอีกหลายแห่งนะคะ และถ้ามีโอกาส คนที่ไปก็มักจะไม่พลาด อย่างเช่นที่อยู่ใกล้ลุมพินีก็ได้แก่สาวัตถี ที่ตั้งของพระเชตวันมหาวิหารซึ่งพระพุทธองค์ประทับอยู่สิบเก้าพรรษา และยังมีบุพพารามที่พระองค์ประทับอีกหกพรรษา ซึ่งรวมแล้วเกินครึ่งของเวลาที่พระองค์ใช้โปรดสัตว์ ถ้าไปกับกลุ่มทัวร์จะมีกำหนดการค่อนข้างครอบคลุมอยู่แล้ว”

    เกาทัณฑ์เบิกตานิดหนึ่ง

    “แพเคยไปมาแล้วเหรอ? รู้ดีจริง”

    “ปิดเทอมช่วงสิบขวบปู่เคยพาไปค่ะ”

    “อ้าว…ดีสิ ไปอีกรอบคราวนี้เป็นไกด์ให้พี่” เขาพูดด้วยตาตื่นสดชื่น “พระพุทธเจ้าท่านประทับอยู่สาวัตถีนาน คงมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมาก หลักหรือร่องรอยสถานที่ต่างๆคงมีมากตามไปด้วยสินะ”

    “ค่ะ ยังเห็นร่องรอยและซากโบราณวัตถุหลายแห่ง เช่นวัดเชตวัน พระราชวังของพระเจ้าปเสนทิโกศล เจดีย์บอกตำแหน่งพระพุทธองค์แสดงยมกปาฏิหาริย์ มูลคันธกุฎีที่ประทับ หรือกระทั่งจุดเกิดเหตุสำคัญเช่นตำแหน่งแผ่นดินสูบพระเทวทัตต์และนางจิณจมาณวิกา กุฎีพระเถระต่างๆก็มาก”

    “บรรยากาศเป็นยังไง รกร้างหรือเปล่า?”

    “ตอนนี้เขาพัฒนาหรือปล่อยปละอย่างไรไม่ทราบนะคะ แต่เมื่อสิบปีก่อนนี่เขียวครึ้มไปหมด ทั้งหญ้า ทั้งแมกไม้ใหญ่ พื้นที่ในอินเดียโดยมากยังเห็นวัตถุสมัยใหม่น้อย เขตโบราณสถานยังคงบรรยากาศยุคเก่าไว้ บางแห่งก็วิเวกวังเวงเหมือนป่า”

    “เห็นเขาว่าอินเดียขอทานเยอะเหรอ?”

    ถามพลางยื่นมือเอาปลายนิ้วแตะไล้ริมฝีปากล่างอย่างขอลองว่าที่เห็นอิ่มเต็มนั้นจะนุ่มแค่ไหน แพตรีโยกศีรษะหลบนิดๆ ขึงตาห้าม พลางตอบเป็นปกติ

    “ค่ะ ตลอดทางเลย บางทีลูกชาวบ้านไม่ได้อดอยาก ก็วิ่งมาขอเงินจากนักท่องเที่ยวสนุกๆ ประชาชนส่วนใหญ่อดอยากยากจนกันจริงๆ กระทั่งการขอทานแทบจะกลายเป็นประเพณีไปทุกหัวระแหง”

    “ที่พักสะดวกหรือเปล่า?”

    “ตามจุดต่างๆก็มีโรงแรมอย่างดีเหมือนประเทศอื่น ไม่ต้องนอนกระต๊อบหรอก”

    “ได้แวะคงคาบ้างไหม? เห็นว่าชาวพุทธไปอาบน้ำขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นั่นกันมาก”

    “ไม่ใช่ค่ะ คงคามหานทีเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ในความศรัทธาของชาวฮินดู แต่กล่าวอ้างอิงในหลายพระสูตร หลายคนเลยคิดว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธ ชาวฮินดูยังศรัทธากันมั่นคงมากนะคะ เด็ก หนุ่มสาว ผู้เฒ่า ยากดีมีจนมาอาบน้ำรวมในที่เดียวกันหมด แพเห็นทั้งขอทานแก่ๆที่ปากหุบไม่ได้ แมลงวันเข้าไปตอมหนอง ไปจนถึงสาวท่าทางผู้ดี สวมใส่เสื้อผ้ามีราคา ต่างมาลงอาบอย่างไม่มีการรังเกียจกัน”

    เกาทัณฑ์เบ้หน้า นึกในใจว่าจ้างสักแสนเขาก็คงไม่เอาด้วย

    “รวมแล้วพอจบการเดินทางรู้สึกยังไง ชื่นใจมากไหม?”

    “ได้เห็นอนุสรณ์สถาน ที่แม้จะเป็นเพียงซากปรักหักพัง ก็ยังทรงพลังยิ่งใหญ่ให้สัมผัสได้ การไปพบสถานที่จริงที่เกิดเหตุการณ์ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เปิดใจเราให้รับบรรยากาศของพุทธดั้งเดิมอย่างเต็มกำลัง เหมือนเราย้อนกลับไปอยู่ในยุคเดียวกับพระพุทธองค์และพระสาวกทั้งหลาย”

    ชายหนุ่มพยักยิ้ม สรุปด้วยความมาดหมายเต็มเปี่ยม

    “คงต้องเลือกเวลาพร้อมทั้งสองคนให้เร็วที่สุดแล้วล่ะ”

    อย่างรวดเร็วและนุ่มนวลแทบไม่ทันให้รู้สึกตัว เกาทัณฑ์ช้อนร่างหล่อนเลื่อนไปนั่งขอบเตียง แล้วล้มตัวลงพาดศีรษะหนุนตักนิ่ม แพตรีเกือบงุนงงในพลกำลังและความว่องไวฉับพลันชนิดนั้น ด้วยถูกสลับเปลี่ยนจากการนั่งตักเขามาเป็นให้เขานอนตักง่ายดายในพริบตา ราวกับหล่อนเป็นเพียงหุ่นปั้นเล็กเบาที่อาจนำไปวางหรือจัดตั้งที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้

    ครู่หนึ่งในความนิ่งงันท่ามกลางความไม่เป็นอื่น แพตรีก้มลงมองหน้าเขา เห็นกำลังเหลือบจ้องขึ้นจับหล่อนอยู่ก่อนแล้ว และพยายามส่งยิ้มให้หล่อนยิ้มตอบ แต่แพตรีเฉย เพราะอย่างไรก็ยังมีความขุ่นอยู่จางๆในอก ลักษณาการที่มองสานลงมาจึงออกตัดพ้อเสียมากกว่าร่วมอารมณ์ใสๆไปกับเขา

    “แพ…”

    “หือม์?”

    "เคยให้ใครหนุนตักไหม?"

    หางตาคมตวัดเฉี่ยวหน้าเขา ออกเคืองเพราะคล้ายเกาทัณฑ์เริ่มทวงถามความบริสุทธิ์สะอาดจากหล่อน ในขณะที่หล่อนรู้ว่าเขาเองผ่านใครต่อใครมาจนเจน

    "เคยมั้ง"

    คำตอบห้วนแบบประชดทำให้เกาทัณฑ์ยิ้มเอ็นดู

    "เคยมั้ง..."

    ทำเสียงเล็กเสียงน้อยล้อเลียน แพตรีเลยยิ่งเชิดหน้าหนีไกลออกไปอีก

    เกาทัณฑ์เล็งตาขึ้นมองกิริยาเง้างอนของหญิงสาวด้วยความเพลินสุข แล้วครู่หนึ่งก็พลิกหน้า พริ้มตาสูดกลิ่นระเหยจากตักหอมอย่างแสนรัก

    “ไปเที่ยวที่อื่นกันเถอะค่ะ อย่าอยู่อย่างนี้เลย”

    เกาทัณฑ์ยังอยากแนบสนิทชิดใกล้หล่อนเช่นนี้ แต่คร้านที่จะปฏิเสธซ้ำหลายหน จึงยักไหล่ดึงตัวขึ้นนั่ง

    “ก็ได้”

    รับคำแต่นั่งเฉย แพตรีจึงไล่

    “ก็ได้ก็ออกไปรอข้างนอกสิคะ”

    ชายหนุ่มหัวเราะเงียบ แบมือ

    “เอากุญแจรถมาซิ เดี๋ยวจะไปตรวจสภาพหน่อย ท่าทางคลุมผ้าปล่อยทิ้งไว้เฉยๆเป็นอาทิตย์เลยใช่ไหมนี่?”

    แพตรีเดินไปหยิบมาให้จากลิ้นชักโต๊ะทำงาน เกาทัณฑ์รับแล้วลุกเดินออกนอกห้องเพื่อให้หล่อนแต่งตัวตามที่ขอ


    โลกสว่าง ทางดูโล่งใสยิ่งนักแล้ว


ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น