วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทางนฤพาน บทที่ ๒๗

บทที่ ๒๗  ประกวดภาพ

 อ่านบทความที่แล้ว


    แพตรีเพิ่งกลับจากโรงเรียน ขณะที่มติก้าวพ้นออกมาจากประตูรั้วพอดี ทั้งสองเห็นอีกฝ่ายและสบตาในระยะห่างพอเห็นรอยยิ้มทักทายที่ส่งถึงกันได้ เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายเดินเข้าหา ขณะที่หญิงสาวยืนเฉย ด้วยคิดว่าถ้าเสวนาปราศรัย ก็น่าจะนั่งคุยกันที่บ้านหล่อน

    “เพิ่งกลับเหรอฮะ?”

    “ฮื่อ กำลังจะเข้าบ้านเนี่ย”

    แพตรีตอบยิ้มๆ มติมาหยุดยืนห่างหล่อนเพียงก้าวเดียว เหลียวซ้ายเล็งแลรถยนตร์ที่จอดนิ่งใต้ร่มไม้ ปกปิดรูปโฉมและป้ายแดงด้วยผ้าคลุมผืนใหญ่ อดถามไม่ได้

    “ซื้อรถแล้วทำไมไม่ขับล่ะฮะ ผมเดินผ่านทีไรเห็นจอดอยู่อย่างนี้ทุกที เดี๋ยวก็พังหรอก”

    หญิงสาวเงียบ ลดรอยยิ้มลงนิดหนึ่ง และดูทีเหมือนจะคอแข็งหน่อยๆ มติจึงทราบว่าคงมีความนัยเป็นส่วนตัวที่หล่อนไม่ต้องการพูดถึง เลยเสเปลี่ยนเรื่อง

    “ไม่เจอกันเป็นอาทิตย์ๆเลย ตอนนี้แต่งชุดครูแล้ว”

    เด็กหนุ่มอมยิ้มและมองกวาดเครื่องแบบครูสาว เสื้อน้ำตาลอ่อนแขนยาว และกระโปรงน้ำตาลเข้มเลยเข่า กับรองเท้าส้นสูงสีเข้ากัน ไหล่สะพายกระเป๋าใบย่อม ขับความมีสง่าราศีของแพตรีให้ยิ่งดูงดงามน่าเลื่อมใสขึ้นอีกมาก เด่นจนน่าไหว้แต่ไกลทีเดียว

    “เธอล่ะ สบายดีหรือเปล่า?”

    มติลอบหัวเราะในใจ เพราะอดรู้สึกไม่ได้ว่าหล่อนคงชินกับวิธีพูดและการใช้สุ้มเสียงกับเด็กๆ ดูทีสายตากำลังมองเขาเป็นนักเรียนไปด้วย

    “สบายดีครับคุณครู”

    ตอบอย่างสุภาพอ่อนโยน แต่แฝงสำเนียงล้อนิดหน่อย แพตรีมองน้องชายด้วยท่าทีพินิจลึกซึ้งกว่าเดิม แล้วบอกตนเองว่าหล่อนสัมผัสได้ถึงกระแสรอบตัวเขาที่แปลกใหม่ ถ้าอธิบายเป็นภาษา ก็คงคล้ายๆเคยเห็นถูกตีตรวนแล้วหลุดออกมาเปลาะหนึ่ง ดูเขามีความเบากายสบายใจ โล่งหัวอก ใบหน้ากระจ่าง สมองแจ่มใสผิดต่างจากเดิม

    “เพิ่งไปเที่ยวไหนมาหรือเปล่า?”

    มติสั่นศีรษะ ทำตาฉงนนิดหนึ่งเพราะนึกว่าแพตรีเข้าใจผิดอะไร

    “เปล่านี่ฮะ อยู่บ้านตลอด ทำไมหรือ?”

    แพตรีเบี่ยงเบนมาอีกทาง

    “แล้วงานประกวดภาพพระพุทธศาสนาไปถึงไหนแล้วล่ะ คงส่งเรียบร้อยแล้วซี”

    “หมดเขตมะรืนฮะ ผมกะจะไปส่งพรุ่งนี้แหละ กลั่นจนวินาทีสุดท้ายเลย เผื่อคิดเปลี่ยนอะไรอีกนิดอีกหน่อย”

    หญิงสาวเบิกตาเล็กน้อย นึกขึ้นได้ว่าตนเคยแนะนำแนวคิดภาพ ‘ตรัสรู้’ ให้เขาไป จึงอยากเห็นขึ้นมา

    “งั้นตอนนี้ก็ยังอยู่ที่บ้านสินะ ขอดูมั่งได้ไหม?”

    “อ๋อ…ได้เลย พี่แพรออยู่นี่แหละ เดี๋ยวผมไปเอามาให้”

    “เธอกำลังจะออกไปธุระที่ไหนไม่ใช่เหรอ?”

    “จะซื้อของกินใส่ตู้เย็นเท่านั้นแหละ รออีกพักก็ได้”

    พอเห็นน้องชายหันหลังกลับดุ่มเดินจะไปเอาของมาให้ แพตรีก็ตัดสินใจเดินตาม

    “อ้าว…รอที่บ้านเถอะฮะพี่แพ ไม่ต้องเหนื่อยหรอก”

    “ให้เธอแบกย้อนมาย้อนกลับได้ไง”

    เมื่อพี่สาวแสดงเจตจำนงเช่นนั้น มติก็ไม่ว่าอะไรอีก

    เข้าบ้าน มาถึงห้องของศิลปินหนุ่มผู้เสมอน้องแท้ๆ แพตรีเป็นคนเปิดไฟไล่ความสลัวของยามเย็น และก้าวเข้าไปในนั้นก่อนอย่างถือวิสาสะ เห็นภาพใหญ่โดดเด่นในกรอบบนขาตั้งทันที

    เป็นรูปทรงตั้ง คือด้านสูงยาวกว่าด้านกว้าง สิ่งที่กระทบใจเป็นอันดับแรกคือแสงเจิดจ้า ณ ใจกลาง แวดล้อมด้วยคลื่นวนสีม่วงมืด ดูทีแรกเหมือนแสงสว่างที่ปลายทางอุโมงค์ ทว่าเมื่อพิศแล้วรู้สึกถึงการสื่อพลังชนิดหนึ่งที่ทำให้ขนลุก…

    มติอยากให้แพตรีชมผลงานของตนเงียบๆ จึงขอปลีกตัว

    “ดูไปก่อนนะพี่แพ เดี๋ยวผมเอาอะไรมาให้ทาน”

    ว่าแล้วก็ถอยเท้าจากห้อง ปล่อยพี่สาวไว้ตามลำพัง

    แพตรีอึ้งงันเป็นครู่คล้ายถูกสะกด ก่อนถอนสายตาไปยังแผ่นกระดาษแข็งใต้รูปที่มีหมึกดำลงเป็นอักษรอ่อนช้อย

    ชื่อภาพ ‘แสงนฤพาน’

    ล่างลงไปคือคำกลอนแด่การตรัสรู้ธรรม หรือที่เรียก ‘ธรรมาภิสมัย’

    ใจแพตรีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความดีจนสามารถสัมผัสถึงสิ่งที่อยู่เหนือความดีได้ เพียงเห็นภาพนิ่งที่ดูมีพลังเคลื่อนไหวประหลาด รวมทั้งอ่านถ้อยคำในบทกลอนขยายความนั้น ก็บังเกิดปีติ ใจอนุโมทนาเป็นล้นพ้นกับความสำเร็จของน้องชาย

    เขาเป็นคนเคารพธรรม ฉะนั้นจะไม่สื่อด้วยวิธีบรรยายจากประสบการณ์ตรงเช่นนี้แน่ ถ้าหากไม่ผ่านมาจริง เดิมทีที่คุยกับหล่อนเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน แนวคิดในการสื่อภาพและร้อยกรองจะออกไปทางการกล่าวอ้างเนื้อหาการตรัสรู้ ซึ่งเป็นมุมมองของผู้พยายามอธิบายเปรียบเทียบจิตอันร้อนด้วยอุปกิเลสกับจิตที่สว่างโพลงไร้มลทินแล้วเท่านั้น

    อยู่ใกล้ชิดกับปู่ชนะแต่อ้อนแต่ออกจนคุ้นกับกระแสความเป็นอริยบุคคล เมื่อหล่อนถามว่าใช่หรือเปล่า ท่านก็เคยเผยตรงๆในฐานะคนสนิทที่รู้เห็นพฤติกรรมกันมากพอควรแก่การเชื่อ

    ท่านใช่ และขณะนี้ก็เป็นถึงพระสกทาคามีแล้วด้วย!

    ปู่เคยถ่ายทอดภาวะขณะการบรรลุแต่ละชั้นให้หล่อนฟังอย่างละเอียด เมื่อธาตุรู้เดิมแท้ผุดขึ้นแสดงตัวสัมผัสนิพพานครั้งหนึ่ง ก็คือเกิดลูกไฟล้างกิเลสหนึ่งหน คำบอกเล่านั้นเมื่อนำมาเทียบเคียงกับภาพและร้อยกรองที่ปรากฏตรงหน้า ก็ทำให้ทราบได้ว่าขณะนี้มติเข้ากระแสแล้ว เป็นคนในแล้ว เป็นของจริงแล้ว เป็นหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งของพุทธศาสนาที่ยังไม่เสื่อมสูญไปจากโลกมนุษย์

    หล่อนเพิ่งนึกออกว่า ‘แสงเปิด’ และกระแสแปลกใหม่ในมติ ก็เหมือนกับที่สัมผัสได้จากปู่ชนะมาแต่เล็กนั่นเอง ผิดกันคือความเข้มข้น ตบะธรรมของมติยังอ่อนแผ่ว แม้สว่างสดใสซ่านแรง แต่ก็เหมือนมีคลื่นความเคลื่อนไหวรบกวนอยู่บ้าง ไม่รวมแน่วนิ่งหนักแน่น ก่อความรู้สึกว่างและบรรยากาศเบาบางจากกิเลสได้เท่าครึ่งของปู่ชนะ

    อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นโสดาบันบุคคล แม้หากจะทอดธุระ ประมาทไม่เคี่ยวเข็ญตนเองให้ถึงที่สุดในชาติปัจจุบัน ก็เที่ยงที่จะถึงพระนิพพานภายในเจ็ดชีวิตข้างหน้า พูดง่ายๆคือเวลาล่วงไปมีแต่จะพัฒนาขึ้นสูง ไม่มีการถอยลงต่ำ หล่นลงคลองอีก เพราะเมื่อเห็นของที่เที่ยงสนิท น่าพอใจสูงสุดมาแล้ว จะกลับมาเห็นของไม่เที่ยงและสิ่งกวัดแกว่งทั้งหลายเป็นความน่าแหนงหน่าย จิตย่อมเก็บเล็กประสมน้อย มีพฤติกรรมภายในคือตีจาก ผละออกไปเรื่อยๆ จนปฏิรูปเลื่อนชั้นสูงขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป

    ส่วนเมื่อเป็นพระอนาคามีแล้ว จิตเป็นสมาธิ ดำรงสติมั่น ไม่ค่อยจะทอดธุระโดยสภาพของจิตเอง อย่างช้าที่สุดเกิดอีกชาติเดียวบนพรหมโลกก็เป็นอันตรัสรู้ขั้นสุดท้าย

    รู้สึกถึงความเงียบเหงาบางประการในภายใน แล้วหล่อนล่ะ อีกกี่ชาติ?

    โคลงเคลงอยู่ในหัวอก หล่อนติดตามเขาคนนั้นมานานเท่าไหร่ แล้วอีกนานแค่ไหนจึงจะสิ้นสุด?

    ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับเขาคนเดียว หล่อนได้แต่อยู่ในฐานะบาทบริจาริกา ติดตามพระโพธิสัตว์ไปจนกว่าจะถึงฝั่ง

    บดริมฝีปาก…ถ้าโบกมือบอกศาลา ฐานะอย่างหล่อนต้องทำยังไงนะ?

    สายตาเหลือบไปปะกับกองหนังสือที่สุมไว้แบบมักง่ายตรงมุมห้อง แพตรีก้าวเนือยๆเข้าหาด้วยความตั้งใจจะช่วยมติจัดให้เป็นระเบียบ หล่อนไม่เคยทนเห็นอะไรรกหูรกตาได้ โดยเฉพาะที่เป็นร่องรอยแสดงความชุ่ยของน้องชายคนนี้

    จับซ้อนกันไปซ้อนกันมาเรียงลำดับจากใหญ่ขึ้นมาหาเล็ก กระทั่งมือไปคว้าสมุดขนาดพ็อกเก็ตบุ๊คเล่มหนา หน้าปกสีชมพูเล่มหนึ่ง ย่นคิ้วเล็กน้อยด้วยความรู้สึกคุ้นเคยว่าเป็นสมบัติเก่าของตน

    เปิดหน้าปกพบลายมือตัวเองเมื่อเกือบสิบปีก่อน ผะผ่าวไปทั้งหน้าเมื่อรู้แน่ว่าใช่

    ใจเต้นแรงด้วยความคาดไม่ถึง บวกกับความอับอายเมื่อนึกว่านี่น่าจะเป็นเล่มเดียวกับที่ตนบันทึกเรื่องราวแสลงใจและ ‘ไม่ปกติ’ เอาไว้มากมาย ชนิดที่ต้องการเก็บซ่อนไว้อ่านเองคนเดียวอย่างแท้จริง หล่อนเข้าใจว่าทิ้งมันรวมกับ ‘ขยะ’ อื่นที่ต้องการฝังลืมไปแล้วด้วยซ้ำ เหตุใดจึงมาอยู่ในมือมติได้ เขาขโมยมาหรือ?

    รีบพลิกลวกๆดูหน้าบันทึกต่างๆ ตายจริง! ใช่ด้วยซี!

    เป็นความเผอิญที่มาสะดุดเอากับย่อหน้าหนึ่ง กระทบใจในยามนี้เข้าพอดี…

    

    เมื่อออกมาส่งเขากับคุณพ่อกลับ ฉันตั้งใจไหว้เขาสวยที่สุด เขาจะเห็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่พร้อมกับไหว้ครั้งนั้น คือการคิดตัดใจ ทุกอย่างที่ผ่านมาขอให้เหมือนฝันไป นับแต่ชาตินี้ขอให้ต่างคนต่างแยกกันไปตามทางของตัวเอง เคยอธิษฐานร่วมกันแต่มีคนเดียวได้รับผลอธิษฐาน จะหมายความว่าอย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนเดียวที่ทำไปด้วยใจจริง

    

    น้ำตาซึมออกมาจนต้องกะพริบกั้นไม่ให้ล้นขอบ กล้ำกลืนความรู้สึกเจ็บคำรบสองลงคออย่างยากเย็น เดี๋ยวนี้รู้คำตอบแล้วว่าเพราะเหตุใดหล่อนจึงระลึกจำได้อยู่เพียงคนเดียว…

    เขาเป็นคนมีใจจริง…หลายดวง

    คนไม่ปักใจหนึ่งเดียวแน่วแน่จะจำอะไรแนบแน่นข้ามภพข้ามชาติได้อย่างหล่อนเล่า

    เชื่อแหละว่าเขารักหล่อน เสียแต่ว่าไม่ใช่รักเดียว นั่นทำให้คุณค่าของทุกสิ่งที่มอบให้ดูด้อยความหมายลงแทบไม่เหลือ

    รู้สึกว่าตนเองโง่งมงายอยู่ตามลำพัง รักแท้ รักเดียวมันมีที่ไหน หล่อนน่าจะเห็นความเป็นมนุษย์มานานพอจะซึ้งว่าหญิงชายทุกรูปนามต่างมากรักหลายใจกันทั้งนั้น มีใครไหนกันที่เกิดมาพร้อมกับดวงจิตอันเด็ดเดี่ยวที่จะรอพบคู่แท้เหมือนอย่างหล่อน

    แต่ก็เกิดความขัดแย้งขึ้นมาเมื่อตรึกนึกถึงปางก่อน เขาทุ่มเทจนหมดตัวเพื่อพยายามพยุงชีวิตหล่อนไว้จากโรคร้ายเรื้อรัง เมื่อสิ้นสมบัติเงินทอง เห็นแน่ว่าหล่อนต้องตาย ก็สาบานว่าจะเข้าป่าบำเพ็ญพรต รักษาพรหมจรรย์จนกว่าจะตายตามหล่อนไป เพื่อไม่ต้องพบกับหญิงอื่น รอพบกับหล่อนทุกภพทุกชาติเพียงคนเดียว…

    เขาทำให้หล่อนไม่สงสัยในความรักข้ามภพภูมิ และหล่อนเองขอร้องให้ร่วมเปล่งวาจาอธิษฐานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือพระพุทธรูปในบ้าน ขอความซื่อสัตย์ต่อกันดลให้จำกันได้เสมอเมื่อพบกันอีก

    ยังจำได้สนิทเมื่อนอนมองตาเขา ที่เฝ้ารอดูความตายของหล่อนอย่างไม่ทอดทิ้งไปไหน ทำให้หล่อนเผชิญความตายด้วยยิ้มกล้า และเข้าสู่สุคติด้วยใจเป็นกุศล เพราะระลึกถึงกุศลที่ก่อร่วมกันได้ตลอดสาย

    เขาทำจริงดังพูด จากบ้านจากเมือง เข้าป่าหาฤาษีชีไพร ฝากตัวเป็นศิษย์ บำเพ็ญพรตถือพรหมจรรย์กระทั่งสำเร็จฌานสมาบัติขั้นสูงในเวลาอันสั้น เหตุเพราะมีบารมีทางนี้มาแก่กล้า เคยเป็นฤาษีใหญ่มานับภพชาติไม่ถ้วน

    ด้วยภูมิจิตที่สูงพอของเขา เปิดโอกาสให้หล่อนซึ่งครองภาวะเทพลงมาเยี่ยมเยียนและฟังธรรมตามโอกาส ปลูกสัมพันธภาพที่ใสสะอาดต่อกัน กระทั่งเขาละสังขารสู่พรหมโลก และกลับมาเกิดในโลกมนุษย์อีก

    การเกิดของเขามีกระแสดึงภาวะของหล่อนให้ตามลงมาด้วย หล่อนจำช่วงจุติลงมาเป็นมนุษย์ได้เพียงรางเลือน ทราบแต่ว่ามีพลังอย่างหนึ่งกระชากภาวะเทพยดาของหล่อนก่อนถึงอายุขัย ต่อเมื่อเป็นเด็กหญิงแพตรีอายุหกขวบ จึงเหมือนใจต่อได้ติดกับความเป็นตนเองในหนหลัง เห็นอดีตติดต่อกันเป็นเรื่องเป็นราวยาวยืดเพียงชั่วอึดใจที่นั่งสวดมนต์มองพระปฏิมาในโบสถ์วัดทางนฤพาน

    เคยรู้สึกว่าหล่อนเป็นคนพิเศษ มองเห็นความเป็นจริงแตกต่างจากมนุษย์ธรรมดา ทำอะไรแต่ละอย่างลงไปจะคำนึงถึงผลที่ตามมาในกาลข้างหน้าเสมอ ไม่ใช่สักแต่คิด พูด ทำไปตามอำนาจความพอใจเฉพาะหน้าอย่างชาวบ้านชาวเมือง

    แถมมีความหนักแน่น เยือกเย็นยิ่ง อย่างรู้ว่าตนเกิดมาเพื่อใคร หล่อนเข้าใจชีวิตตนเองกระจ่างแจ้งแทงตลอด

    แล้วก็ตระหนักว่าระลึกได้แค่ชาติเดียวนั้น ยังรู้จักสังสารวัฏน้อยไป…

    หล่อนจำเขาได้แม่นมั่น แต่ฝ่ายเขาไม่แสดงท่าทีรู้เรื่องอะไรด้วยเลย หนำซ้ำทำหน้าไม่แยแส จงใจมองเมินเย็นชาอย่างจะแกล้งให้เจ็บ ให้หล่อนสำนึกถึงความเป็น ‘คนละชั้น’ ระหว่างกันอีกต่างหาก หล่อนไม่ไร้เดียงสา อ่านออกกระจะแจ้งตั้งแต่นาทีแรก

    คนระลึกชาติได้จริงไม่ใช่หมายความว่ารู้เรื่องหนหลังทั่วถึงทั้งหมด อย่างมากก็มีมุมมองกว้างกว่าคนทั่วไปหน่อยเดียว ที่แท้ยังมีแขนงสาขาของเหตุผลเบื้องหลังความซับซ้อนมโหฬารของสังสารวัฏอีกมากนักถูกปิดบัง แฝงฝัง เร้นซ่อนอยู่

    แม้ช่วงนั้นหล่อนยังเด็กอยู่มากทางกาย แต่ทางใจแล้วเติบโต รู้คิดอ่านเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เมื่อปู่ชนะและหลวงตาแขวนสอนอรรถธรรมจนเข้าใจพอ ก็บังเกิดความสลดสังเวช เหนื่อยหน่ายการเตร็ดเตร่เกิดตายกับ ‘คนแปลกหน้า’ ขึ้นมาสุดใจ บันดาลให้เขียนข้อความในไดอารี่ ขอ ‘แยกทาง’ อย่างเด็ดขาด เขาอยากไปให้ถึงไหนก็เรื่องของเขา หล่อนจะไม่ตามไปด้วยอีก

    ปรารถนานิพพานเลยดีกว่า

    ใจสงบมาได้เรื่อย และสำคัญว่าสามารถตัดเยื่อเถือใยจากเขาขาดสิ้นแล้ว ด้วยอิตถีมานะอันมั่นคง บวกกับความอิ่มเย็นพอใจในกระแสธรรม

    กระทั่งวันที่เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

    ยอมรับกับตนเองประสาซื่อว่ามีความวูบไหวเอาการ ความกระตือรือร้นออกหน้าออกตาของเกาทัณฑ์นำมาซึ่งความปลาบปลื้มและอารมณ์ถวิลหาอาวรณ์เก่าๆให้กลับคุขึ้นอีก ความช่างยั่วแหย่และเสน่ห์คมคายต้องตาต้องใจของเขาเร่งให้หล่อนอ่อนลงรวดเร็วอย่างน่าอาย ขนาดตอบรับการขอหมั้นอย่างเผลอไผลด้วยการพยายามตีสนิทของเขาเพียงชั่วเวลาหนึ่งเดือนเท่านั้น

    แต่ชั่วข้ามคืนเดียวเช่นกัน ที่เขาทำให้หล่อนร้องไห้และเจ็บหัวอกจนซึ้งว่าภาวะการตรอมใจตายเป็นอย่างไร เสียดแสบร้อนร้าวขนาดไหน

    ในเมื่อเป็นคู่แท้ พบกันแล้ว ตอบรักกันแล้ว แต่ยังไม่ทันอยู่ครองเรือนก็มีใครอีกคนมาแบ่งใจ ทำให้เขายอมรับออกมาว่า ‘รัก’ อย่างหน้าซื่อ จะหมายความว่าอย่างไร?

    ถ้าภาวะบุพเพสันนิวาสของผู้หญิงคนนั้นไม่แรงพอกับหล่อน จะเกิดเรื่องอย่างนี้ได้หรือ?

    ยิ่งเจ็บหนักขึ้นเมื่อทราบว่าอีกคนของเขามาก่อนหล่อน

    ข้ามชาติตามสายใยรักมาพบกัน เพื่อดูให้เห็น ฟังให้ได้ยินอย่างนี้หรือว่าเขายังมีใครอีกคนหนึ่งเป็นที่รัก

    นาทีที่เขาสารภาพ หล่อนตระหนักว่าตนเองไม่รู้อะไรเลย การระลึกชาติหนก่อนได้ เป็นเพียงเรื่องขี้ปะติ๋ว เป็นกลหลอกฉ้อฉลชิ้นหนึ่งของห้วงมหาทุกข์ที่เรียก ‘สังสารวัฏ’ นี้เท่านั้น

    วันสุดท้ายที่พบกัน หลังจากหล่อนเอ่ยยกโทษจนเขาถือเป็นสิทธิ์ดึงตัวหล่อนไปกอดประโลม แพตรีจำได้ถึงความรู้สึกสับสนและขัดแย้งกับตนเองอย่างหนัก เกาทัณฑ์กดร่างหล่อนนอนลงกอดแนบอกนิ่งเนิ่นนานโดยไม่เอ่ยคำใด เขานิ่งจนหล่อนซึมซับรับรู้ราวกับได้ยินเสียงหัวใจที่ไร้คำตอบ ปราศจากการตัดสินใจอย่างไรทั้งสิ้นของเขา

    ยิ่งรักเท่าไหร่ ยิ่งเสียดแสลงทุกข์ร้อนมากขึ้นเป็นเงาตามตัวเมื่อผิดหวัง น้อยใจและอ่อนแอลงทุกครั้งเมื่อรู้ว่านับวันคอยเขาไม่เคยเลิก และเหมือนเขาใจไม้ไส้ระกำที่ตัดการติดต่อกับหล่อนอย่างสิ้นเชิงมานับอาทิตย์แล้ว

    หากไม่ทราบข่าวมรณกรรมอันน่าสลดสังเวชของเรือนแก้ว คงเป็นที่น่าเข้าใจว่าเขาตัดสินใจทอดทิ้งหล่อน และเลือกเรือนแก้วเป็นคู่ชีวิต…

    เดาว่าที่มัวช้าก็คงเพราะเล่นแง่กันมานาน ต่อเมื่อไปต่างประเทศ คงประสบเหตุเห็นหัวใจกันแจ่มแจ้ง เลยค่อยถึงเวลา สบจังหวะปลงใจ

    ท่าทางคงไว้ทุกข์ให้กับคนรักของเขาจนไม่มีแก่ใจคิดถึงหล่อนอีกเลย นี่ยิ่งเป็นการประกาศคุณค่าระหว่างผู้หญิงสองคนของเขา คนตายมีความหมายยิ่งกว่าคนเป็นเสียอีก อย่างนี้ถ้าเรือนแก้วยังอยู่ จะยิ่งมีความหมายเหนือหล่อนสักขนาดไหน?

    น้ำตาหยดใส่หน้ากระดาษสมุดบันทึกเป็นดวงใหญ่ แพตรีถอนสะอื้น ปิดไดอารี่เล่มนั้นลงเมื่อได้ยินเสียงมติเดินใกล้เข้ามา

    “ทานชมพู่กันพี่แพ”

    ชวนแล้วก็ชะงักกึกเมื่อเห็นแพตรีเหลือบแลมาทางตนด้วยสายตาขึ้งเคียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ดวงตาช้ำและคราบน้ำตาสองสายยิ่งทำให้รู้สึกช็อก แต่เมื่อเหลือบเห็นไดอารี่ในมือพี่สาวก็พอเข้าใจเป็นเลาๆ

    นึกตำหนิตนเองที่ลืมสนิทว่าวางไดอารี่เก่าแก่เล่มนั้นไว้สะเปะสะปะ เป็นโอกาสให้แพตรีไปพบ มติกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆด้วยความใจไม่ดี  เดาได้ว่าหล่อนคงมีเรื่องระหองระแหงอะไรกับเขาคนนั้น เมื่อมาอ่านเรื่องเก่าเข้า จึงเกิดความคับแค้นปะทุขึ้นได้ รีบวางถาดผลไม้ลงบนโต๊ะเล็กใกล้ตัว แล้วหันมาเผชิญหน้ากับพี่สาวอย่างพร้อมจะกล่าวขอโทษ

    แต่แค่เผยอปาก แพตรีก็ขยับไดอารี่ถามตัดหน้า

    “ใครให้เอามาน่ะ?”

    เป็นระดับเสียงธรรมดาที่แฝงอารมณ์เกรี้ยวลึก ชนิดที่มติได้ยินแล้วถึงกับจุกปากจุกคอ แพตรีเห็นอาการยืนทื่อของพ่อน้องคนดีแล้วยิ่งเหมือนถูกเร่งให้เดือดกว่าเก่า

    “อ่านกี่รอบแล้ว? สนุกมากไหม?”

    มติได้แต่ยืนกะพริบตาอั้นอึ้ง ก้มหลบพี่สาวที่จ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นหล่อนแสดงความโกรธ ดูแปลกตาและทำความรู้สึกผิดให้เขาอย่างรุนแรง เนื่องจากตระหนักว่าตนเป็นต้นเหตุ จะว่าเป็นบาปกรรมเก่าก่อนนานเนก็คงไม่เต็มปากเต็มคำ เพราะเร็วๆนี้เพิ่งเปิดอ่านใหม่ไปอีกเที่ยว

    “ผมขอโทษนะพี่แพ”

    เอ่ยด้วยเสียงสำนึก ทว่าก็พยายามไม่ให้อ่อยจนเป็นการยั่วโมโหทางอ้อม

    แพตรีจ้องมองน้องชายที่รักและไว้ใจ ทั้งขัดเคือง ทั้งอับอาย ไม่ใช่อะไร ถ้าไดอารี่เล่มนี้บันทึกเรื่องธรรมดาเหมือนคนอื่นก็แล้วไป แต่นี่…

    หวิวๆคล้ายจะเป็นลม จนต้องทรุดกายลงนั่งพับเพียบกับพื้น พอรู้สึกตัวว่ายังไม่ปวกเปียกขนาดมืออ่อนเท้าอ่อน ก็ออกแรงทึ้งหน้ากระดาษสมุดบันทึกเล่มนั้นมาฉีก ฉีก ฉีกเป็นชิ้นๆ มติเห็นพี่สาวหน้าแดงก่ำ หายใจหอบแรง ก็ละล้าละลังเก้ๆกังๆ ขยับจะเข้าไปใกล้ก็รู้สึกถึงรัศมีความกริ้วที่ยังคงแผ่มาถึงตน จึงเอาแต่ยืนมองหล่อนฉีกสมุดกระจุยกระจายโดยไม่ทราบจะทำอะไรได้ดีไปกว่านั้น

    แม้ปกหุ้มพลาสติกก็ถูกถอดพลาสติกออกขยำ ดูราวกับว่างานนั้นแพตรีต้องใช้กำลังไปมากมายจนอ่อนเปลี้ยมือสั่น มติชักเห็นท่าไม่ดีก็ตอนหล่อนหน้าซีด เหมือนจะโงนเงนชอบกล จึงตัดสินใจไปนั่งใกล้ๆ อยากประคับประคองด้วยความเป็นห่วง

    หญิงสาวกำลังจุกอกและหน้ามืดด้วยถูกอารมณ์ชิงชังครอบงำ เพียงเห็นเป็นผู้ชายมานั่งตรงหน้า จึงเผลอยกมือขึ้นสะบัดซัดฉาดไปเต็มแรงจนมติถึงกับหน้าหัน

    มีอะไรชนิดหนึ่งเป็นปฏิกิริยาตอบวูบกลับมาปะทะความรู้สึก คล้ายแรงผลักไร้ตนที่ทำให้ผงะ แพตรีคืนสติ กลับเปลี่ยนจากความกริ้วเป็นตกตะลึงใจหาย เมื่อนึกได้ว่าโทสะเพิ่งบันดาลให้หล่อนตบใครลงไป เกิดความรักตัวกลัวบาปสนอง เพราะตระหนักมานานว่าทำอะไรไว้กับอริยบุคคลแรงๆ ก็มักเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม คือให้ผลทันตาในชาติปัจจุบัน และรุนแรงเป็นสิบเท่าร้อยเท่า ไม่ว่าจะดีหรือร้าย

    โดยเฉพาะขณะผู้เป็นอริยะไม่มีกิเลสห่อหุ้ม หรือยิ่งถ้าอยู่ในขณะทรงฌานด้วยแล้ว แรงสะท้อนจะหนักหน่วงเป็นทวีคูณเกินประมาณ ด้วยเหตุที่ธรรมชาติจิตของอริยบุคคลมีพลังบริสุทธิ์แฝงอยู่ พลังชนิดนั้นมีอำนาจขยายผลเจตนาอันเป็นกุศลและอกุศลที่เข้ากระทบให้เกิดเงาวิบากใหญ่แบบลัดลำดับวิบากอื่น เหมือนนักเลงโตที่ใช้กำลังเข้าแทรกแซงผู้มีกำลังน้อยอื่นๆในแถว

    หญิงสาวรีบเอื้อมมือจับต้นแขนอีกฝ่ายแน่น กล่าวทั้งตัวสั่นระริก

    “มติ พี่ขอโทษ”

    เด็กหนุ่มค่อยๆหันหน้ากลับมา สบตาหล่อนแล้วตอบเสียงนิ่ม

    “ไม่เป็นไรฮะ ถือเป็นการไถ่โทษที่ผมทำให้พี่แพเป็นทุกข์” แล้วก็อธิบายว่า “สมุดเล่มนี้ติดมากับกองหนังสือที่ผมขอยืมช่วงไปช่วยพี่แพย้ายห้อง ยอมรับว่าอดใจไม่อยู่ เสียมารยาทอย่างมากที่แอบอ่านโดยพลการ”

    แพตรีจ้องมองเขาชัดๆในระยะใกล้ เหลือบเล็งแก้วตาซ้ายขวาของมติทีละข้างสลับกันสองสามหน มีความผูกพันไม่เป็นอื่นอยู่ที่นั่น สัมผัสได้ถึงสัมพันธภาพบริสุทธิ์ปราศจากความน่าคลางแคลงระหว่างกัน เขาคนนี้จะไม่มีวันทำร้ายหล่อนเลย จะด้วยกรณีใดๆก็ตาม

    “ช่างเถอะ…พี่ไม่น่าจะมีอะไรต้องปิดบังเธอหรอก”

    เกิดความอ่อนแอขึ้นมาอย่างผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีคำพูดมากมายเก็บกดไว้รอเวลาพรั่งพรูทะลักทลาย

    “พี่เคยคิดว่าตัวเองรู้ว่าเกิดมาเพื่อรออะไร แต่ตอนนี้เห็นตัวเองเป็นยายโง่คนหนึ่งเท่านั้น จะเป็นคนธรรมดาที่จำเรื่องเก่าๆของตัวเองไม่ได้ หรือคนพิเศษที่มีความระลึกรู้เกี่ยวกับชีวิตก่อน ก็ไม่ช่วยให้ทุกข์ร้อนน้อยลงเลย”

    มติพยักหน้า

    “ผมก็รู้สึกอย่างนั้น พี่แพอาจน่าสงสารกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ ในแง่ที่ใจต้องแบกรับอุปาทานในตัวตนถึงสองชาติไว้พร้อมกัน”

    แพตรีลดมือลง เม้มปากกล้ำกลืนรสขม พยายามควบคุมจิตใจให้เป็นปกติ กระแสใจสงบเย็นของเขาทำให้คำพูดง่ายๆนั้นสะกิดสติหล่อน คิดต่อได้เองว่าขาดอุปาทานตัวเดียว ก็ไม่มีทุกข์ของชาติไหนๆให้แบกอีกเลย

    อย่างที่หล่อนเคยคิดจนปลงใจชัดมาแล้ว และนึกเข้าใจซ้ำอีกทีว่าการระลึกชาติเป็นไปได้หลายแบบ ถ้าเข้าทางปัญญาก็อาจเป็นคุณในแง่ความเห็นภัยการเกิดตายอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ถ้าเข้าทางโมหะก็อาจเป็นโทษในแง่ความยึดมั่นถือมั่นไม่รู้จบรู้สิ้น ทั้งที่จบจากความเป็นเช่นนั้นไปแล้ว คลี่คลายมาสู่ความเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ยังอุตส่าห์แบกของเดิมไว้ในใจอยู่ได้

    แพตรีระบายยิ้ม พยายามเปลี่ยนเรื่องให้แจ่มใสขึ้น

    “อ่านทั้งเล่มอย่างนี้ก็รู้ความในใจหมดสิว่าพี่คิดและเขียนเกี่ยวกับเธอไว้ยังไงบ้าง”

    “ฮะ…จำได้สนิทติดหัวอยู่ประโยคหนึ่ง ตอนพี่แพเขียนว่าตอบคำถามเด็กช่างซักจนชักอยากเป็นครูขึ้นมาแล้วซี…” เว้นวรรคมองเครื่องแบบหล่อนด้วยตาเป็นประกายลึกซึ้ง “วันนี้ได้เป็นจริงๆ”

    หญิงสาวกะพริบตา มองน้องชายด้วยยิ้มค้างอยู่พักหนึ่งก่อนเอ่ย

    “แต่วันนี้เด็กช่างซักก็กลายเป็นบัณฑิตผู้รู้และได้ดีเกินพี่ไปแล้ว คงต้องสลับบทกันบ้างล่ะ อย่าลืมพาพี่ไปด้วย คงไม่ทิ้งกันนะ”

    มติฟังแล้วเบนหน้าไปมองภาพแสงนฤพานเป็นครู่ จึงหันกลับมา

    “อาบน้ำบ่อใหญ่แล้วต้องขออาบบ่อเล็กทำไมฮะ พี่แพอยู่กับปู่มาตั้งกี่ปี”

    “พี่มันไม่เอาไหน ยังเอาดีไม่ได้เลย”

    เด็กหนุ่มเปลี่ยนสายตาไปทางโต๊ะเล็ก ซึ่งมีจานแอ๊ปเปิ้ล ชมพู่ และของหวานวางอยู่ ก่อนชวนว่า

    “ทานผลไม้กันเถอะ”

    แพตรีเหลียวตาม เห็นผลไม้ยังไม่ถูกผ่าสักชิ้น เพียงถูกล้างน้ำหมาดเท่านั้น แถมไม่มีมีดเตรียมมาด้วยอีกต่างหาก มติคงกะให้กัดกินเอาทั้งลูกนั่นเอง หล่อนส่ายหน้านิดหนึ่ง บอกเขาว่า

    “เดี๋ยวพี่เอามีดมาผ่าซีกให้”

    ว่าแล้วก็ลุกเดินออกจากห้อง ล้างมือและหามีดจากในครัว ทำพริกเกลือจานเล็กอยู่เดี๋ยวเดียวก็เดินกลับเข้ามา จัดแจงกดคมมีดผ่าแอ๊ปเปิ้ลอย่างบรรจง มติทอดตามองตามพลางถามเรื่อยเปื่อย

    “ได้ลงโทษเด็กให้คาบไม้บรรทัด กางแขนยืนขาเดียวเหมือนที่เคยทำกับผมหรือยัง?”

    แม่ครูสาวหัวเราะ

    “เคยเหรอ เอ…ตอนนั้นทำไมพี่ให้เธอทำอย่างนั้นล่ะ?”

    คุ้นๆว่าเคยเล่นบทสมมุติเป็นครูลงโทษนักเรียนกับมติ แต่ลืมแล้วว่าเหตุจูงใจคืออะไร

    “พี่แพพยายามหัดให้ผมท่องคาถากรณียเมตตสูตรไงฮะ ผมท่องไปก็บ่นกลุ้มใจทำไมจำไม่ได้ ไม่มีสมาธิ บ่นคำเดิมทุกจบวรรคทบต้น สองเที่ยวสามเที่ยวพี่แพคงรำคาญ เลยสั่งคาบไม้บรรทัดจะได้เลิกบ่น และบอกให้กางแขนยืนขาเดียวสักพัก เดี๋ยวใจสงบเป็นสมาธิไปเอง”

    แพตรีหัวเราะร่วน หล่อนเป็นคนหัวเราะน่ารักน่าใคร่ และชวนให้คนได้ยินเกิดอารมณ์ผ่องใสตามอย่างฉับพลันทันที ให้มตินึกอยากอัดเทปไว้เปิดฟังเวลาเครียดเสียจริงๆ

    “งั้นเหรอ เออ…จำได้แล้ว”

    พูดทั้งกลั้วหัวเราะ หล่อนผ่าแอ๊ปเปิ้ลสามลูกเอาแกนออกจนหมด จึงหยิบจากจานส่งป้อนเข้าปากมติชิ้นหนึ่งอย่างไม่คิดอะไรมาก

    “อ้ะ…”

    เด็กหนุ่มเผยอปากรับ พอเคี้ยวกลืนจนหมดก็ว่า

    “ห้านาทีหลังจากกางแขนยืนขาเดียว ผมรู้สึกว่ามีสมาธิกว่าเดิม กลับมาท่องจำได้ดีจริงๆด้วย ตั้งแต่นั้นเลยเข้าใจว่าถ้าจะเกิดสมาธิได้ ใจต้องพยายามเพ่งเลี้ยงตัวให้เท่ากับที่ยืนขาเดียวแบบถูกทำโทษคราวนั้นเอง”

    แม่ครูคนงามยิ้มเรียบ หยิบชมพู่มาก้มหน้าก้มตาผ่าต่อ มติมองดวงหน้างามละมุนเบื้องใกล้แล้วอดหลงรักไม่ได้ แต่พอรู้ตัวว่ามีอะไรกรุ่นในอก ก็จุดแสงโอภาสขึ้นกลางใจ ส่งตัวรู้ตามดูความปรุงแต่งทันที เห็นเหมือนสายหมอกหนาทึบเริ่มคืบคลานเข้าเกาะกุมหัวใจ จึงขับไล่ให้สลายได้ทันทีที่แสงรู้ส่องเห็นนั้นเอง

    การจุดแสงรู้ขึ้นเสียก่อนมืดคลุ้มคลุมมิดนั้นสำคัญมาก โดยเฉพาะกับจิตที่ยังมีกำลังไม่เที่ยง ไม่ทน หากปล่อยให้ใจถูกคลุกเคล้าจนไม่อาจใช้กำลังรู้เข้าแยกระหว่างจิตกับอารมณ์แล้ว จะให้สลัดทิ้งภายหลังนั้น นับว่ายากเย็นแสนสาหัส สู้ตัดไฟแต่ต้นลมไม่ได้ ยังง่ายอยู่มาก

    จดจำและระลึกเตือนตนเองว่ารสชาติของการรักข้างเดียวแสบร้อนปานใด แพตรีไม่ใช่ผู้หญิงของเขา และจะไม่มีวันใช่

    จู่ๆมติเปรยขึ้นมาคล้ายต้องการแก้เก้อกับตนเอง มากเสียกว่าอยากให้แพตรีได้ยิน

    “พี่แพคงเคยเป็นพี่สาวของผมมาก่อนแน่ๆเลย เสียแต่ว่าชาตินี้ไม่ได้เกิดจากท้องแม่เดียวกันเท่านั้น”

    หญิงสาวผ่าชมพู่เฉยเป็นครู่ ก่อนตอบทั้งสายตาเหลือบต่ำจับความเคลื่อนไหวที่มือ

    “เธอโตทันพี่แล้วนี่ ฐานะและความรู้สึกทางใจเป็นอนิจจัง เปลี่ยนแปลงได้เสมอ…”

    เพราะสติยังคม มติจึงรู้ว่าตนเองหูไม่เฝื่อน แต่ความหวั่นไหวจะทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนหรือเปล่านั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    “ผม…คงทำให้พี่แพไม่สบายใจเกี่ยวกับรูปที่เคยวาดด้วยความฟุ้งซ่าน หวังว่าพี่แพคงไม่ถือสากับความเหลวไหลชั่วครู่ชั่วยามของผมนะฮะ”

    “ก็ไม่เห็นเหลวไหลตรงไหน คิดไปคิดมา ชักอยากให้เธอวาดอีกเหมือนกันแหละ”

    ว่าแล้วก็นำซีกชมพู่ชิ้นหนึ่งจิ้มพริกเกลือ ยื่นจะป้อนมติอีก แต่คราวนี้มติใช้มือรับแทน ย่นคิ้วจ้องมองแพตรีด้วยความสงกา สานตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่หญิงสาวจะเป็นฝ่ายหลบ

    “แพกลับบ้านดีกว่า”

    ว่าแล้วแม่หญิงแสนงามก็หยิบกระเป๋าขึ้นสะพายไหล่ ดึงตัวลุกก้าวจากห้อง สรรพนามที่ผิดไปจากเดิมยิ่งย้ำให้รู้สึกถึงเจตนาบอกความแปลกเปลี่ยนในสัมพันธภาพ มตินั่งกะพริบตางงเป็นครู่ ก่อนโยนชิ้นชมพู่ทิ้ง ลุกตามหล่อนออกมาทั้งยังเคว้งกับพฤติกรรมอันน่าฉงนของเพศที่มีความไม่แน่นอนเป็นเจ้าเรือน

    ทันกันที่หน้าประตูบ้านซึ่งไม่ได้ล็อกไว้ แพตรีเป็นฝ่ายเปิดเอง และหันมาทิ้งหางตาคมหวาน

    “ปู่บ่นหามติหลายหนแล้ว ไม่ไปเยี่ยมท่านเลย อ้อ…ก่อนถึงวันงานประกวดอย่าลืมเตือนล่วงหน้านะ จะได้ทำตัวให้ว่าง”

    แล้วหล่อนก็กะพริบตาเบะยิ้มให้เขานิดๆเป็นการส่งท้าย ก่อนผินหน้ากรายเท้าห่างออกไปเรื่อยๆ มติมองตามจนแพตรีถึงบ้าน และราวกับรู้ว่าเขายังจับตามองอยู่ หล่อนหันมาโบกมือหย็อยๆก่อนก้าวหายเข้ารั้วลับตาไป ปล่อยให้เขายืนนิ่งขึงอยู่กับที่ราวกับถูกสะกดด้วยมนตร์ขลังอันยากจะต้านของนางฟ้า

    

    ช่วงสาย ในหอประชุมขนาดยักษ์ที่ถูกดัดแปลงเป็นหอแสดงศิลปะชั่วคราว คลาคล่ำด้วยผู้เข้าร่วมชมนิทรรศการ ซึ่งมาชุมนุมหลายร้อยคน เพราะทราบจากประกาศทางหนังสือพิมพ์และวิทยุโทรทัศน์ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา

    นั่นเป็นนิทรรศการภาพประกวดทางพุทธศาสนาที่เก็บผลการตัดสินของกรรมการไว้ในซองลับ และจะประกาศเผยผลในช่วงบ่าย ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ชมตระเวนดูผลงานกันโดยปราศจากอคติและลำเอียงเสียก่อน จะได้รับสารจากศิลปินต่างๆเต็มที่ ส่วนจะวิพากษ์วิจารณ์ชอบชังกับผู้มาด้วยกันอย่างไร อยากให้ใครได้เหรียญทอง เหรียญเงิน หรือเหรียญทองแดงนั้น ก็สุดแล้วแต่นานาจิตตัง

    ความหลากหลายของผลงานเกือบห้าร้อยชิ้น ประดับบนแผงกั้นชั่วคราวที่เรียงรายเบียดเสียดอยู่ในบริเวณแสดง แล่นเลยไปถึงส่วนอื่นของอาคารนับแต่ทางเดินขึ้นมา ก่อให้เกิดมิติใหม่สมใจเจ้าภาพ นั่นคือได้มีการรวบรวมประสบการณ์ มุมมอง และความคิดสร้างสรรค์เด่นแปลกของจิตรกรทั่วประเทศ นำมาไว้ในที่เดียวกัน เพื่อแสดงสาระธรรมในพุทธศาสนาอย่างพร้อมเพรียง งานส่วนใหญ่มองออกง่าย ยิ่งเมื่ออ่านร้อยกรองกำกับก็ยิ่งเกิดความเข้าอกเข้าใจทะลุปรุโปร่ง

    หลายคนที่เข้าชมงาน ถึงกับถูกอกถูกใจ พึมพำกันเซ็งแซ่ว่าเป็นงานที่ดีเหลือเกิน แต่ละภาพมีความชัดในตัวว่าถูกถ่ายทอดมาจากสายตามองโลกอย่างละเอียดอ่อน ถ้อยคำที่ผูกขึ้นเป็นร้อยกรองหลายชิ้นมีแรงสะเทือนกระทบใจสูงมาก ยิ่งเดินชม เดินอ่านผ่านไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งดิ่งจมเข้าไปในเนื้อหาอันเป็นชนวนให้เกิดกุศลจิต หรือกระทั่งจิตปล่อยวางอย่างเยี่ยม

    นี่เป็นผลของแรงจูงใจอย่างใหญ่ แน่นอนรางวัลก้อนโตมีส่วนดึงหัวกะทิและมือทองทั่วประเทศเข้ามารวมตัวกันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

    แม้เริ่มต้นด้วยความโลภ ทว่าเมื่อจะรังสรรค์งานเพื่อชิงชัย เหล่าศิลปินทั้งหลายก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาศึกษาเนื้อหาธรรมะกันระดับหนึ่ง เมื่อเกิดความเข้าอกเข้าใจ หรือเกิดแรงบันดาลใจเด็ดๆแล้ว จึงลงมือละเลงเส้นสายลายสีกันสุดเดช เพื่อบรรลุจุดประสงค์ของแนวคิดประกวดคือเข้าใจง่าย และมีผลกระทบแรง

    องค์ประกอบที่ใช้พิจารณานั้น เทน้ำหนักให้ความเข้าใจง่ายทัดเทียมกับความงามในเชิงวิจิตรศิลป์ ภาพที่สมบูรณ์พร้อมทั้งผลกระทบทางใจและความสวยงามเข้าตา จะมีภาษีเหนือภาพอื่นทั้งหลาย

    แรงจูงใจสำคัญยิ่งไม่ให้เหล่าศิลปินทดท้อก็คือ รางวัลมิได้มีเพียงสำหรับสามภาพคือเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดงเท่านั้น ยังมีภาพที่ท่านเจ้าภาพจะใช้ความพอใจส่วนตัว มอบรางวัลชมเชยให้สี่แสนบาทถึงสิบภาพ รวมทั้งรางวัลปลอบใจแบบไม่จำกัดจำนวนอีกต่างหาก กล่าวคือขอเพียงทำให้ท่านเจ้าภาพพอใจ ก็รับไปเลยเหนาะๆสี่แสน หรือลดหลั่นลงไป แต่อย่างต่ำตีค่าเป็นเลขห้าหลักไล่กันขึ้นมาทั้งสิ้น

    นั่นทำให้ทุกคนทุ่มเทกันสุดตัว บางคนลงทุนไปนั่งวิปัสสนาตามสำนักดังเพียงเพื่อให้ได้แรงบันดาลใจประดิษฐ์งานส่งเข้าประกวดโดยเฉพาะ!

    ผลที่ได้อย่างใหญ่คือเนื้อหาธรรมะง่ายๆที่เข้าหูเข้าตาผู้ร่วมชมจำนวนมหาศาล เพราะภาพที่ ‘สอบผ่าน’ ทั้งหมดจะถูกตระเวนแสดงทั่วประเทศ รวมทั้งเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนสายหลัก บรรดาศิลปินจะจริงใจกันแค่ไหนก็ช่าง ขอแค่แคะเอาศักยภาพสูงสุดของพวกเขามารวมกันเป็นใช้ได้ การระดมศักยภาพของหัวกะทิหลายร้อยย่อมก่อผลสะเทือนอันกว้างใหญ่อย่างแน่นอน

    นับเป็นงานสืบทอดพระศาสนาอันสำคัญยิ่งงานหนึ่ง

    ทีฆายุจูงมือฟองชลแฟนสาวของเขาแวะเวียนชมภาพโน้นภาพนี้ สายตาก็สอดส่ายหาพรรคพวก ซึ่งคาดว่าน่าจะเดินเกร่อยู่ใกล้ละแวกบ้าง

    ชมได้เพียงสองสามภาพก็ปะเพื่อนนักศึกษาร่วมรุ่น โดยทีฆายุเป็นฝ่ายถูกเรียกทักก่อน

    “ตุ้ย!”

    เพื่อนร่วมคณะยืนอยู่ที่ภาพหนึ่งไกลออกไป ทีฆายุพยักพเยิดให้ หันดูรูปที่ค้างอยู่ อ่านกาพย์กำกับภาพครู่หนึ่งจนจบ จึงดึงแขนแฟนสาวชักชวนไปหา

    “เพิ่งมาถึงเหรอะ?”

    ตั้งทัพถามและหันไปยักคิ้วให้คนน่ารักของทีฆายุอย่างสนิทคุ้น

    “เออ” ตอบแล้วก็หันมองภาพ ผงะนิดหนึ่ง “ของใครวะ?”

    “นี่แหละงานกู”

    ตั้งทัพบอกด้วยยิ้มโอ่ ทีฆายุเหลือบลงอ่านโคลงสี่ที่เปรียบเหมือนบทบรรยายขยายความ
    

    เท็จ  นั้นคนพูดย่อม       ทิ้งรอย

    จริง  แล้วไม่เคยลอย      เลื่อนเปื้อน

    สิ่ง    เดียวในหนึ่งร้อย    เล่ห์ลิ้น ลมคน

    ลวง  ด้วยคำเอ่ยเอื้อน    อาจย้อนรัดคอ
    

    อ่านเสร็จก็เหลือบขึ้นมองภาพซ้ำ เป็นภาพชายคนหนึ่งถูกดึงลิ้นอันยาวเหยียดเหมือนสายยางฉีดน้ำออกมาพันรัดคอจากเบื้องหลัง โดยผู้กระทำการดึงลิ้นแต่งชุดครุยแบบเนติบัณฑิต หน้าตาถมึงทึงแบบจะฆาตกรรมให้ตายด้วยลิ้นของชายเคราะห์ร้ายนั้นเอง

    เผอิญทีฆายุกับฟองชลหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างเก็บความขำไม่อยู่ ตั้งทัพหน้าเสีย

    “ตลกเหรอะ?”

    ถามแบบใจไม่ดี ทีฆายุพยายามเม้มปากกลั้นเพื่อไม่ให้เพื่อนเสียน้ำใจว่าถูกเยาะ ความจริงโคลงที่แต่งไว้แม้ขาดความรัดกุมหนักแน่น ก็พอกล่าวว่าเข้าท่าอยู่หรอก ภาพก็วาดไว้ใช้ได้ การวางตำแหน่งและการเล่นสีได้จังหวะจะโคนเด่นตา มีความคมชัดสมจริง แฝงความน่ากลัวไว้สมเจตนาดี ทว่าสื่อที่ออกมา บวกๆกันระหว่างภาพกับโคลงแล้ว ดูจี้เส้นชอบกล โดยเฉพาะอาการตาเหลือกตาปลิ้น ยกมือกุมคอหอยของเจ้าของลิ้น

    “กูนึกว่ามึงตั้งใจให้ขำนี่หว่า” ว่าแล้วก็ฝืนเชียร์ “ใช้ได้โว้ย ต่อไปนี้กูคงไม่อยากพูดจาโป้ปดมดเท็จอีกแล้ว กลัวเจอทนายความสาวไส้ ลากลิ้นออกมารัดคอแบบที่เห็น”

    ฟองชลหัวเราะกิ๊ก แต่แล้วก็ยิ้มรื่น ตีหน้าตายชม

    “ซีว่าน่าประทับใจจนลืมไม่ลงเชียวล่ะ”

    ตั้งทัพฟังยังไงก็รู้ว่าเพื่อนทั้งสองแค่เสพูดให้กำลังใจเท่านั้น จึงยิ้มกร่อย

    “อยากจะว่าภาพมันเอ๋อๆก็พูดตามตรงเหอะ หน้าตากับสุ้มเสียงฟ้องเชียว” แล้วเขาก็เบี่ยงความสนใจมาถามถึงงานของเพื่อนสาว “ซีล่ะ วาดภาพอะไรไว้ เห็นหรือยังว่าตั้งอยู่ตรงไหน?”

    "ยัง"

    “เดินหาดูกันไหม?”

    “อย่าดูเลย เดี๋ยวเธอแหกปากหัวเราะ อายเขา”

    “อ้าว! อาจารย์ สวัสดีครับ”

    ทีฆายุเห็นชายผมสีดอกเลาเดินเข้ามาในทางตาก็ยกมือไหว้ด้วยความเคารพ

    “เออ ว่าไง”

    สมบูรณ์พาร่างผอมเกร็งมายังกลุ่มนักศึกษา ตบหลังทีฆายุศิษย์โปรด

    “อาจารย์มานานแล้วหรือยังคะนี่?”

    ฟองชลยื่นหน้าถามยิ้มๆ

    “ก็พักใหญ่ แต่เพิ่งดูไปได้หน่อยเดียว” โคลงหัวเล็กน้อยบ่น “มึน มันเยอะจัด นี่ของฉันเองยังหาไม่เจอเลย น่าจะติดเบอร์แล้วมีบัญชีชื่อระบุไว้ให้เห็นหน่อย”

    “แล้วอาจารย์เห็นที่พอเข้าเค้ามั่งรึยังฮะ?”

    ตั้งทัพถาม

    “อือ เห็นเข้าท่าอยู่หลายเหมือนกัน แต่ละคนท่าทางคั้นกันสุดฤทธิ์…” แล้วก็เบิกตาคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ “เมื่อกี้เพิ่งเห็นงานของมติ เขาทำเข้าทีนะ”

    “เหรอครับ ภาพเป็นยังไง?”

    ทีฆายุซักด้วยความอยากรู้ เนื่องจากพูดถึงฝีมือแล้ว มตินับเป็นคู่ปรับสำคัญในรุ่นเดียวกัน แต่ออกงานใหญ่อย่างนี้คงไม่มีใครเด่นเป็นช้างเผือกได้ง่ายนัก

    “ชื่อภาพแสงนฤพาน อ่านกลอนแล้วรู้สึกยังกับมันไปบรรลุอะไรมา”

    สามหนุ่มสาวหัวเราะเบาๆ มติไม่อยู่ในกลุ่มเด็กรวย การคบหาจึงออกจะห่างเหิน นับหน้าถือตากันแค่ฝีมือชนิดหวิดๆจะไร้เทียมทานเท่านั้น นิสัยใจคอหรือพื้นความชอบใจทางด้านศาสนาไม่ค่อยเป็นที่รู้เห็นของเพื่อนเท่าไหร่

    สมบูรณ์เพิ่งเหลียวมองภาพด้านใกล้ มองชื่อเจ้าของแล้วจึงรู้ว่าเป็นงานของตั้งทัพ ก้มหน้าอ่านโคลงด้านล่าง ย้อนสายตาขึ้นมองภาพแล้วหัวเราะออกมาดังๆ นั่นยิ่งทำให้ตั้งทัพหน้าเจื่อน ด้วยรู้แน่แล้วว่างานของตนถูกมองเป็นสื่อชวนหัวมากกว่าจะหวังชนะใจกรรมการ

    ขณะนั้นสองเด็กหนุ่มเดินเข้ามาสมทบ ต่างยกมือไหว้อาจารย์ และทักทายกันเองขรม พอรู้ว่าอาจารย์สมบูรณ์เพิ่งพูดถึงผลงานของมติ หนึ่งในนั้นก็โพล่งว่า

    “เมื่อกี้ก็ทัก วันนี้มันพกนางฟ้ามาประดับบารมีด้วยล่ะ”

    ตั้งทัพตาตื่น

    “คนที่เราเคยเห็นเดินด้วยกันในศูนย์การค้าเมื่อหลายเดือนก่อนหรือเปล่า?”

    บางกอกยักคิ้ว

    “เออ…มันมีเสน่ห์อะไรของมันก็ไม่รู้ ควงสาวสวยขนาดนั้นยั่งยืนได้ไง สงสัยจริง”

    ทีฆายุเบิกตาหน่อยๆด้วยความอยากรู้

    “สวยขนาดไหนวะ?”

    บางกอกอมยิ้ม ถ้าฟองชลไม่ยืนอยู่ตรงนั้นก็อาจกระทุ้งเล่นว่า ‘เด็กมึงชิดซ้าย’

    “เดี๋ยวดูเองดิ้ มันพาเดินกระต้วมกระเตี้ยมไปรอบๆน่ะ คงเวียนมาเจอกันเข้าเองหรอก”

    “งานนี้หลากหลายดีว่ะ” วิเวกซึ่งมาพร้อมบางกอกเอ่ย “ศิลปินทั้งไฮโซและต๊อกต๋อยมาชุมนุมกัน เมื่อกี้อ่านชื่อเจ้าของผลงานคนหนึ่ง เป็นหมอด้วย ชื่ออะไร…แพทย์หญิงไอยริน ฝีมือร้ายทีเดียว”

    อาจารย์สมบูรณ์เบิกตาหน่อยๆ

    “อ๋อ หมอไอยริน เมื่อยังเด็กเคยกวาดรางวัลเยาวชนนานาชาติมาแล้ว ดังออกจะตาย เธอไม่รู้จักเขารึ?”

    “ไม่รู้ครับ” วิเวกเท้าเอวสารภาพ “เทคนิคการสะบัดสี การปัดแปรง การระบายอะไรนี่แนบเนียนชั้นอ๋องเลย แต่กาพย์ที่เขาแต่งยังแปร่งๆ ลงเอกโทไม่เข้าที่พิกล”

    “บางรายว่าไว้สุดสยอง” ตั้งทัพเอ่ยพลางหัวเราะ “กลอนว่าไงลืมแล้ว แต่สรุปว่าบางคนเกิดมาในโลกนี้เพื่อทิ้งไว้แต่อึกับฉี่ ไม่มีร่องรอยความดีหรือผลงานทิ้งไว้ให้เห็นเลย ฮ่ะๆ”

    “นี่แหละน้า โดนด่าแล้วยังไม่รู้ตัว…มีหน้าไปชมเขาอีก”

    บางกอกแซว พอทุกคนพากันหัวเราะและเห็นตั้งทัพหันมาทำตาขวาง บางกอกก็เบนหน้ามาเสถามเป็นเชิงขอความเห็นจากอาจารย์

    “อาจารย์ว่าไหม ที่เขาไม่สงวนชื่อ ยอมให้ซ้ำกันได้นี่มั่วพิกล เมื่อกี้เดินผ่านมาเจอเพียบเลย อย่างชื่อภาพ ‘อริยสัจจ์’ กับ ‘อวิชชา’ อะไรเนี่ย เกร่อแท้”

    “อ๋อ…เขาว่าถ้าไปจำกัดแล้วเดี๋ยวคนคิดตั้งชื่อให้เหมาะสมลงตัวกันไม่ออก เพราะข้อธรรมในพุทธศาสนามีอยู่ตายตัว ถ้าใครอยากสื่อข้อหนึ่งแล้วเผอิญไปขัด ไปซ้ำกับคนที่จองไว้แล้ว เลยต้องคิดคอนเซ็ปต์ใหม่ ทั้งที่อาจสื่อข้อธรรมเดิมได้ดีกว่าคนอื่น”

    ทีฆายุยิ้มเผล่ เพราะช่วงพยายามศึกษาเนื้อหาธรรมะค้นแรงบันดาลใจ เขาคิดว่าเขาเพิ่งทราบชัดว่าคนยุคนี้หยิบยืมศัพท์มาใช้กันผิดเพี้ยนจากความหมายเดิมมาก จึงออกความเห็นเสริม

    “แต่ก็ทำให้เขวได้เหมือนกันนะครับ ที่มีอยู่ภาพหนึ่งตรงทางเดิน ไอเดียกระฉูดเชียว วาดเป็นกล้องดูดาวฮับเบิ้ลสเปซบนอวกาศน่ะ ลอยเท้งเต้งเป็นสัญลักษณ์การขยายขอบเขตความรับรู้ทางประสาทตาได้กว้างไกลที่สุด ให้ข้อมูลไว้ในกลอนเสียด้วยว่าอยู่สูงเหนือพื้นขึ้นไปหกร้อยกิโลเมตร เห็นไกลจนย้อนกลับไปในอดีตเกือบถึงขณะกำเนิดจักรวาล แต่ยิ่งเห็นยิ่งเกิดคำถามไกลออกไปกว่าสิ่งที่เห็น บทสรุปคือรู้วิชาที่ยืดยาวยื่นไกลหาที่จบไม่ได้นั้นเป็นอวิชชา ส่วนวิชาที่รู้แล้วจบถึงจะถือเป็นวิชชา อยู่บนโลกนี่เอง”

    “แล้วอวิชชาตามความหมายเดิมว่าไงล่ะ?”

    ฟองชลขยับถามแฟนหนุ่ม เป็นผลให้ทีฆายุยืดอกเบ่งเล็กน้อย ก่อนตอบด้วยความมั่นใจ

    “อวิชชาเล็งไปตรงจิตที่ถูกห่อหุ้มด้วยกิเลส ทำให้ไม่รู้อริยสัจสี่ ไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง รวมทั้งไม่รู้เหตุปัจจัยให้เกิดสิ่งที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้า แต่เดี๋ยวนี้คนเอาอวิชชามาใช้กันในความหมายทำนองไม่รู้จริง หรือมีอคติอย่างแรงกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ถ้าพูดๆกันทั่วไปก็ไม่เป็นไรหรอก แต่อย่างในงานนี้ที่ต้องการสื่อธรรม มันน่าจะระวังให้ตรงทางกว่าที่ใช้อยู่ผิวเผิน

    อย่างภาพที่ว่านี่ แทนที่จะตั้งชื่อเป็น ‘อวิชชา’ ถ้าแผลงเป็นอื่นก็คงจะดูเข้าเค้าดีหรอก เช่น ‘รู้เพื่อต่อ’ หรือไม่ก็ ‘รู้เพื่อจบ’ อะไรทำนองนี้ แล้วสรุปแนวคิดของภาพว่ารู้แบบโลกนั้นไม่จบ ไม่น่าพอใจ ต้องรู้แบบธรรม เพราะไปถึงจุดหนึ่งแล้วจบ ไม่ต้องต่ออีก”

    “วาว…” ฟองชลครางเสียงต่ำ เบิกตาล้อแฟนหนุ่ม “วันนึงเธอต้องได้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการแน่ๆเลย”

    “ได้เป็นสมีด้วย”

    วิเวกเสริม เพื่อเรียกความครื้นเครงในหมู่ เกือบทุกคนหัวเราะ ยกเว้นทีฆายุที่ทำหน้างง

    “สมีคืออะไรวะ?”

    วิเวกตะแคงหน้ามองเพื่อน ทีแรกนึกว่าแกล้ง แต่พอดูตาแล้วท่าทางไม่รู้จริงๆ ตามประสาคนเพิ่งเริ่มศึกษาพุทธศาสนา ความรู้ยังแหว่งๆวิ่นๆ บางทีเหมือนรู้ลึกจนเกินตัว แต่บางทีก็เหมือนปลาตายน้ำตื้นอย่างนี้

    เห็นเพื่อนอยากรู้ วิเวกจึงยกมือตบบ่าและยิ้มขรึมสงเคราะห์

    “ถ้าอยากรู้ว่า สะ-หมี คืออะไรก็ลองบวชดูนะ บวชแล้วหมั่นให้สีกาซีไปเยี่ยมบ่อยๆ อ้อร้อฉอเลาะกันสักพัก ภาวะท่านสมีจะเกิดขึ้นเอง”

    “บ้า!”

    ฟองชลร้องเสียงแหลม ตีแขนวิเวกเผียะใหญ่แล้วทำตาคว่ำ หน้าเง้า ทีฆายุหัวเราะออกมาได้ กลุ่มศิษย์อาจารย์ยืนถกอภิปรายครู่หนึ่งก็แยกย้ายไปชมภาพประกวดตามอัธยาศัย รอเวลาประกาศผลที่กำลังจะมาถึงในเวลาไม่นานข้างหน้า

    

    บ่ายสองโมงตรงอันได้เวลาแจกรางวัล ผู้คนเริ่มทยอยเข้ามากันมากขึ้นกว่าช่วงเช้า หลายรายกะจะเข้ามาชมพักเดียวในระยะแรก กลับติดใจอยู่ต่อรอฟังผล โดยเฉพาะบรรดาศิลปินเจ้าของผลงานทั้งหลาย พาญาติสนิทมิตรสหายพ่วงมาด้วยเห็นอุ่นหนาฝาคั่ง เนื่องจากเป็นงานฟรี คนหลามไหลเข้ามาได้ตลอด จำนวนเก้าอี้ที่จัดไว้เหลือน้อยเต็มที แน่นอนว่าเมื่อถึงเวลาประกาศผล ก็เห็นทีจะต้องยืนกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะยังเกร่ชมภาพอยู่มาก

    “สวัสดีครับพี่น้องชาวพุทธที่รักทุกท่าน…”

    เสียงพิธีกรดังขึ้น เป็นสัญญาณว่าวาระสำคัญมาถึงแล้ว นั่นเองจำนวนผู้เข้าชมจึงเทมาทางที่นั่งมากขึ้น

    พิธีกรกล่าวถึงความเป็นมาของงานประกวดภาพ รวมทั้งแนวคิดการส่งผลงานเข้าร่วม เกณฑ์การตัดสิน ตลอดไปจนกระทั่งรายชื่อคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งทำหน้าที่ตัดสิน

    จากนั้นกล่าวพอสังเขปเปิดตัวเจ้าภาพ ผู้ริเริ่มงาน และออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด คือคุณโภไคย วิเศษเวคิน นักธุรกิจใหญ่คนหนึ่งของไทย แล้วเรียนเชิญเจ้าตัวขึ้นมาบนเวที เสียงปรบมือรับลั่นไปทั่วบริเวณ กล้องโทรทัศน์ของผู้สื่อข่าวจากหลายสถานีเบนไปเล็งติดตามเป้าหมายพร้อมเพรียงกัน

    คุณโภไคยเป็นชายร่างท้วมใหญ่วัยใกล้ชรา ท่วงทีกิริยาสง่างามชวนให้เกิดความเคารพยำเกรง ริ้วรอยแห่งวัยบนใบหน้าแทบไม่ปรากฏ หากปราศจากราศีฉายกล้าเยี่ยงผู้มีบารมีในธนาจักรอันรุ่งเรืองแล้ว ก็ชวนให้นึกว่าเป็นหนุ่มฉกรรจ์หน้าอ่อนวัยไม่เกินสี่สิบเป็นแน่

    “สวัสดีครับท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย”

    น้ำเสียงของคุณโภไคยแจ่มชัดเป็นกังวาน ไม่ช้าไม่เร็ว มีทั้งน้ำหนักอันทรงอำนาจเยี่ยงผู้กุมชะตาชีวิตพนักงานเรือนพัน กับทั้งเจือกระแสความเมตตาเยี่ยงผู้เข้าถึงความไม่เบียดเบียน

    “ผมรู้สึกดีใจ และต้องกล่าวว่าเกินความคาดหมาย สำหรับจำนวนศิลปินฝีมือดีที่ส่งงานเข้าร่วมประกวด กับจำนวนประชาชนที่ให้ความสนใจแวะเวียนมาชมกันในวันนี้”

    คุณโภไคยมองกราดไปกว้างๆ หญิงชายทุกวัยมาประชุมอย่างน่าชื่นใจ ชื่นใจที่พร้อมกันมารับสาระธรรมจากศิลปินผู้มีความสามารถในการสื่อสาร

    “หลายสิบปีที่ผมอาศัยแผ่นดินไทย แผ่นดินธรรมของเราเป็นแหล่งพำนักพักพิง และทำมาหากินเยี่ยงสุจริตชนคนหนึ่ง นอกจากความภูมิใจที่มีส่วนสร้างงานให้สังคม เสียภาษีให้กับรัฐอย่างถูกต้องแล้ว ก็ได้แก่การทำนุบำรุงพระศาสนาของชาวไทยและชาวโลกนี่เอง

    ผมทำบุญทำทาน สร้างพระไตรปิฎก สร้างพระ สร้างวัดวาอารามมาก็มาก แต่ไม่ค่อยเป็นที่อึกทึกครึกโครมเหมือนอย่างครั้งนี้ ถ้าให้เล่าถึงเกร็ดประสบการณ์ในการทำบุญกับพุทธศาสนา ผมมีทั้งเรื่องควรยินดีและเรื่องน่าเศร้าจะบอกมากมาย เอาเป็นสรุปว่าสิ่งที่ผมรู้เห็น สิ่งที่ผมคาดหวัง และสิ่งที่เป็นแนวโน้มในรอบรั้วพระศาสนาของเรา รวมกันเป็นแรงบันดาลใจให้คิดจัดงานนี้ขึ้นมา

    อย่างในงานสมโภชครั้งหนึ่งของวัดที่ผมสร้างเพื่ออุทิศส่วนกุศลกับคุณแม่ผู้ล่วงลับ เมื่อผมไปถึงนั้น เป็นจังหวะพอดีกับที่กลุ่มวัยรุ่นซึ่งมาในงานเกิดผิดใจกัน ต่อยตีกันโกลาหล นอกจากทำให้เสียฤกษ์ เสียความรู้สึกแล้ว ยังกัดกร่อนภาพลักษณ์ของสังคมพุทธ ที่ปรากฏต่อสายตาคนทั่วไปเป็นอย่างมาก นั่นสะกิดให้ผมเกิดความรู้สึกว่าเรามีส่วนสร้างวัดให้พระท่านจำพรรษามามากแล้ว แต่อาจจะยังไม่ได้มีส่วนเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาธรรมะสู่คนทั่วไปสักเท่าไหร่

    ผมเองเป็นคนชอบสะสมงานศิลปะทุกประเภทมาแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะพุทธศิลป์ ผมชอบมองเข้าไปในความละเอียดอ่อนของศิลปินแต่ละคน ชอบมองโลกผ่านสายตาของพวกเขา บางคนสร้างงานที่เข้าใจยาก ต้องศึกษาสั่งสมความรู้กันระดับหนึ่งจึงจะเข้าถึง บางคนสร้างงานที่มีผลสะเทือนทางอารมณ์สูง เช่นภาพพระพุทธในลีลาต่างๆที่มีความงดงามโน้มน้าวจิตใจให้เป็นกุศล และบางคนก็สร้างงานที่สามารถสื่อเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ซึ่งอันนี้ทำให้ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ในวงกว้าง ก่อให้เกิดความเคารพพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์มากกว่าประเภทอื่นหมด

    ผมมองเห็นขึ้นมาอย่างหนึ่งว่าปัจจุบันนี้ ศักยภาพในการสื่อสารของบรรดาศิลปินในบ้านเมืองเรา รวมทั้งบ้านอื่นเมืองไกล ถูกนำไปทิ้งขว้าง หรือช่วงใช้กันในทางที่เหลวไหล หรือฉุดศีลธรรมให้ตกต่ำลงกันเป็นอันมาก นับแต่การออกแบบแฟชั่นล้ำยุคที่ย้อนกลับไปสู่การเปิดเปลือยแบบยุคหิน ไปจนกระทั่งการสร้างโฆษณา สร้างละคร สร้างภาพยนตร์ที่หมิ่นเหม่ ล่อแหลม และกระทั่งยั่วยุให้คนเราเห็นกงจักรเป็นดอกบัว

    พี่น้องที่รักครับ การไหลตามกระแสของยุคสมัยอาจเริ่มมาจากแรงจูงใจคือเงิน ศิลปินผู้มีความสามารถทั้งหลายขุดเอาศักยภาพที่มีมารับใช้กิเลสกันเป็นหลัก เรียกว่าต่อกิเลสด้วยกิเลส ช่วยเร่งกิเลสให้แรงขึ้นที่สุดเท่าที่จะสามารถ ดูเหมือนยิ่งผลลัพธ์เป็นกิเลสพุ่งแรงเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำเงินได้มากเท่านั้น

    ผมต้องกล่าวขออภัย หากคำพูดของผมทำให้หลายคนในที่นี้สะดุ้ง เพราะทราบว่าหลายท่านทำงานอยู่ในขอบข่ายดังกล่าว แต่นี่เป็นกาลเทศะอันดี ที่เราจะมานั่งยืนคุยกันให้เกิดการมองกว้างไปในภาพรวม ว่าผู้มีพรสวรรค์รังสรรค์สร้างมิติใหม่ทั้งหลายนั้น กำลังใช้ศักยภาพของตนเองให้เกิดผลสะเทือนในทางใดบ้าง

    ผมไม่ตำหนิ หรือกำลังพยายามพูดกระทบว่าท่านเลวร้าย หรือมีส่วนทำให้สังคมเสื่อมทราม เพราะจุดเริ่มมาจากความต้องการสิ่งเร่งกิเลสของคนทั้งหลายในสังคม ไม่ใช่คนใดคนหนึ่งชักนำ แต่ผมอยากพูดว่างานนี้คือตัวอย่างในการใช้ความสามารถเชิงสื่อสาร ทำเรื่องยากให้เป็นที่เข้าใจง่าย ฉายให้เห็นศักยภาพอีกแง่มุมหนึ่งของศิลปิน หลายคนที่มีส่วนเป็นแม่งานมากระซิบกับผมว่านึกไม่ถึง ว่าผลลัพธ์จะช่วยให้ตัวเขาเองเกิดความกระจ่างในเนื้อหาธรรมะมากกว่าเดิมขนาดนี้

    ผมคงดีใจถ้าได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการรวมคนเก่งมาทำประโยชน์กันมากๆ จะก่อให้เกิดคุณค่าขึ้นในสังคมไทยเราอย่างไร หากได้รับเสียงสะท้อนในทางดีมากพอ ผมก็จะพยายามทำให้งานนี้มีขึ้นทุกปี และอาจพยายามขยายขอบเขตการประกวดให้มีความหลากหลายกว่าเดิม ถึงแม้ปีไหนปัจจัยความพร้อมของผมอ่อนลง ก็จะได้ติดต่อขอความร่วมมือจากเพื่อนฝูง หรือหน่วยงานของรัฐที่เห็นค่าต่อไป

    อยากเรียนให้ทราบว่างานประกวดนี้ไม่ได้เล็งเอาเฉพาะเหรียญทอง หรือเพื่อประกาศให้ทราบว่าใครคือผู้ชนะ ใครคือผู้มีความสามารถสูงสุดประจำปี เราต้องการพุทธศิลป์ที่มาจากการรังสรรค์สุดฝีมือจำนวนมากต่างหาก และอย่างน้อยถ้าผมไม่อาจทำให้ท่านรู้สึกว่างานทางศาสนามีค่าเกินกว่าจะตีเป็นราคา ก็ต้องทำให้เห็นว่าเมื่อตีค่าเป็นเงินแล้ว ต้องเหนือกว่างานศิลปะธรรมดาที่ท่านผลิตส่งแกลเลอรี่ทั่วไป เรียกได้ว่าเป็นสิบเป็นร้อยเท่า

    เงินจำนวนหลายล้านบาทสำหรับรางวัลที่หนึ่งอาจทำให้แตกตื่นในวงกว้าง และยิ่งสำทับความรู้สึกกันมากขึ้นเมื่อมีการประกาศเจตนารมณ์ชัดว่าถ้าเข้าตาผมแล้ว สะเทือนความรู้สึกผมได้แล้ว เป็นอันว่าต้องได้รางวัลเงินตอบแทนอย่างแน่นอน ผมมีความยินดีจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเลยครับว่าปีแรกนี้ มีรางวัลชมเชยสี่แสนบาทสิบรางวัล และรางวัลปลอบใจอีกถึงยี่สิบเจ็ดรางวัล ซึ่งอัตราต่ำสุดตามความพอใจของผมคือเจ็ดหมื่นบาท”

    เกิดเสียงครางฮึมไปทั่ว แล้วมีใครคนหนึ่ง คาดว่าน่าจะเป็นหนึ่งในกลุ่มศิลปินผู้ส่งผลงานเข้าร่วมประกวด ตบมือนำขึ้นมา ยังผลให้เกิดเสียงปรบมือตามอย่างกราวเกรียว เพราะนึกไม่ถึงว่าหัวหน้างานประธานพิธีจะใจป้ำดุเดือดขนาดนั้น

    คุณโภไคยกล่าวต่อเมื่อเสียงปรบมือซาลง

    “หลายคนอาจกังขาว่าผมเอาเกณฑ์อะไรมาตัดสิน ก็ขอบอกไว้ ณ ที่นี้เลยว่าเกณฑ์ของผมอาจแตกต่างจากคณะกรรมการที่พิจารณามอบเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดงไปเล็กน้อย ผมเองแม้ไม่แตกฉานอรรถธรรมสักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นชาวพุทธที่พอมองออกว่าใครถ่ายทอดธรรมะที่สุกแล้วหรือยังดิบอยู่

    ที่ยังดิบอยู่คือการสักแต่เอ่ยอ้างเนื้อธรรมในพระคัมภีร์ หรือผู้มีชื่อเสียงมาพูด หรือดัดแปลงเอาด้วยความฉลาดคิด ส่วนที่สุกแล้วคือประสบธรรม รู้รสธรรมแล้ว และสามารถใช้คำพูดง่ายๆของตัวเองมาสื่อกับคนอื่น ทั้งนี้ต้องไม่ไขว้เขวออกนอกลู่นอกทาง อวดเก่งเลยกรอบที่พระท่านบัญญัติไว้ด้วย

    ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องยากที่จะหาใครถ่ายทอดความรู้ธรรมที่สุกแล้วออกมาได้ด้วยเงื่อนไขและข้อจำกัดดังกล่าว แต่ความจริงก็คือ เมื่อได้สัมผัสเข้าถึงธรรม จะเห็นเองว่ามันง่ายครับ และผมก็คัดตัวอย่างให้พวกท่านดู ทั้งรางวัลชมเชย และรางวัลปลอบใจรวมแล้วสามสิบเจ็ดชิ้นในวันนี้”

    จากมุมมองบนเวที คุณโภไคยเห็นหลายคนหันหน้าซุบซิบพึมพำจ้อกแจ้ก อาจเพราะเกิดความรู้สึกเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเกณฑ์ตัดสินดังกล่าว อย่างไรก็ตาม คุณโภไคยสบายใจได้ว่านี่เป็นงานของเขาเอง เงินของตนเอง ใครจะเห็นด้วยหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของคนอื่น

    “พี่น้องที่รัก ผมมานึกเสียดายที่คิดจัดงานประกวดภาพนี้ได้ช้าไปหน่อย ท่านอาจไม่ทราบว่างบประมาณประจำปีให้กับโฆษณาสินค้าบางชิ้น ยังมากกว่าทุนทั้งหมดที่จัดงานอันเป็นมหากุศลครั้งนี้เสียอีก…”

    ทั้งห้องเงียบกริบ บางคนที่เคยกังขา หรือตั้งข้อสังเกตว่าเบื้องหลังเจตนาจัดงานใหญ่ของคุณโภไคยครั้งนี้คืออะไรแน่ ก็ชักเชื่อ และเกิดความเลื่อมใสจากการฟังความที่ท่านกล่าวล่าสุด บนเวทีไม่มีโฆษณา ไม่มีภาพของสินค้าใดๆปรากฏอยู่ทั้งสิ้น ช่วยยืนยันให้เห็นภาพลักษณ์อันโปร่งใสอย่างไม่น่าคลางแคลงเท่าไหร่ และว่าที่จริงถึงแม้งานนี้ถูกอุปถัมภ์ด้วยสปอนเซอร์ที่ต้องการเครดิตทางสังคม ก็จะเป็นเรื่องธรรมดาและน่าสรรเสริญ น่าให้เครดิตอยู่ดี

    “ถ้าความเคลื่อนไหวครั้งนี้ก่อผลในจิตใจของพวกท่าน ถ้าความเคลื่อนไหวนี้เป็นข่าว สิ่งที่ผมใคร่อยากจะฝากไว้ก็คือ แนวคิดในการทำให้จิตใจผู้คนยุคนี้เจริญขึ้นอย่างกว้างขวางนั้น เป็นไปได้ครับ แต่ไม่ค่อยจะมีใครคิด ทั้งที่โอกาสทำได้จริงนั้นมีอยู่มากมายหลายวิธี และพวกเราต้องร่วมมือพร้อมๆกัน จะหวังให้ใครเก่งเป็นพระเอกหรือนางเอกตามลำพังไม่ได้

    ความอ่อนแอของพระศาสนาเริ่มขึ้นจากความอ่อนแอในจิตใจของผู้รู้ตัวว่ามีหน้าที่สืบทอด คิดกันแต่ว่ามือเราคนเดียวจะทำอะไรได้ เอาตัวรอดตามลำพังดีกว่า มาช่วยกันเถอะครับ ถ้อยธรรมของศาสนาพุทธยังกระจายสร้างความร่มเย็นให้เกิดขึ้นอยู่ทั่วโลก ผมเดินทางไปประจักษ์มาด้วยตนเอง พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดกับเพื่อนพุทธศาสนิกชนด้วยกันมาเป็นสิบปี ทราบดีว่าไม่ใช่ไทยเราเท่านั้นที่เป็นเครื่องชี้ว่าพระศาสนาจะอยู่หรือไป แต่ไทยเรานี่แหละที่มีส่วนสำคัญในการทำให้พระศาสนาแกร่งขึ้นหรืออ่อนลง

    ก่อนถึงวันนี้ ระหว่างที่บรรดาศิลปินผู้เก่งกาจของเรากำลังสร้างสรรค์งานอยู่ ผมไม่ทราบว่าญาติพี่น้องของพวกเขาได้รับส่วนแบ่งประโยชน์ไปแค่ไหนแล้วบ้าง แต่ที่มั่นใจก็คือวันนี้และวันต่อๆไป ผลงานอันทรงคุณค่าที่ปรากฏต่อสายตาพวกเรา จะได้ทำประโยชน์ให้กับคนหมู่มากอย่างแน่นอน

    ต่อไปก็คงถึงเวลาอันเหมาะสมที่เราจะประกาศเกียรติคุณของผู้สร้างสรรค์งานจิตรกรรมอันทรงค่า หวังว่าตำแหน่งที่หนึ่ง สอง สามคงสร้างอนุโมทนาจิตอันยิ่งใหญ่แก่พวกเรา และขณะเดียวกันคงไม่เป็นสิ่งบาดใจ เสริมอัตตาให้แก่ผู้ได้รับจนเติบโตเกินพอดี ท้ายนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราคงมีโอกาสพบกันด้วยบรรยากาศเข้าใจเนื้อหาสาระธรรมเช่นนี้อีกทุกปีครับ”

    ท่านประธานหยุดคำกล่าวเปิดพิธี ทุกคนในหอประชุมพร้อมใจกันปรบมือเป็นอันหนึ่งอันเดียว คุณโภไคยยิ้มรับแล้วผละจากตำแหน่งขาตั้งไมโครโฟน ก้าวไปนั่งลงกับโซฟาด้านหลังเพื่อรอมอบรางวัลให้กับผู้ชนะการประกวด

    “แหม จับใจนะครับ”

    พิธีกรกล่าวยิ้มย่องผ่องใสประสาลูกน้องที่ดี เป็นกองเชียร์ให้เจ้านาย

    “ผมเองช่วยงานท่านมาแต่ต้นก็เพิ่งทราบเจตนารมณ์ที่ชัดเจนพร้อมกับพวกท่านเดี๋ยวนี้เอง เห็นความชื่นชมในตาของพวกท่านแล้วก็แน่ใจว่าความปรารถนาของท่านประธานจะถูกสืบสานอย่างต่อเนื่องเรื่อยไป…เอาล่ะครับ ต่อไปนี้ผมจะฉายภาพขึ้นจอ เรียงตามลำดับรางวัลเหรียญทองแดง เหรียญเงิน และเหรียญทอง หลังจากการประกาศเสร็จสิ้น ท่านยังสามารถตามไปดูของจริงได้ถึงที่นะครับ เราจะแปะโบว์ใหญ่ไว้เด่นๆเห็นแต่ไกลเลยทีเดียว

    และตามที่เราได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้า ศิลปินท่านใดเห็นผลงานของตัวเองปรากฏ ก็โปรดก้าวขึ้นมาบนเวทีนี้ เพื่ออ่านร้อยกรองประกอบภาพของท่านเอง และรับรางวัลจากมือท่านประธานด้วย ถ้าท่านใดติดขัดมาในวันนี้ไม่ได้ ผมก็จะอ่านแทน และเก็บรางวัลไว้รอมารับต่อไป”

    เว้นระยะกระแอมก้มมองกระดาษที่เพิ่งถูกแกะจากซองในมือ เรียกความระทึกจากศิลปินทุกคน รวมทั้งญาติๆที่รอลุ้นว่าลูกหลานจะได้รางวัลมาแบ่งสักเท่าไหร่ หลายคนอยากได้ยินชื่อตนเองเดี๋ยวนั้น แต่อีกหลายคนก็หวังไว้ว่าคงชะลอไปก่อน เพราะเหรียญทองแดงได้แค่ล้านเดียว สู้รอของใหญ่สามล้านไม่ได้

    ไฟใหญ่ถูกหรี่ลงจนมืดสลัวไปทั่วอาณาเขตโดยรอบ เพื่อเตรียมฉายภาพจากเครื่องเล่นสไลด์แรงสูง เหลือเพียงสปอตไลท์ขนาดเล็กจับเฉพาะที่ คือตำแหน่งยืนของพิธีกร

    “เหรียญทองแดงในปีแรกนี้นะครับ ได้แก่ผลงานชื่อ ‘ขณะแห่งการรู้’ ของร้อยตำรวจเอกขวัญหล้า จิรังฤาสาย”

    เสียงปรบมือกราวดังขึ้นพร้อมกับปรากฏภาพฉายสีสันสดใสเหมือนจริงบนสกรีนขนาดมหึมา เยื้องหลังพิธีกรไปทางด้านขวา สิ่งที่เข้าสู่สายตาผู้ชมนั้น เห็นผิวเผินคล้ายผาน้ำตกแห่งหนึ่ง แต่เมื่อเพ่งพิศแล้ว จะเห็นสายน้ำตกมีสองด้าน ลักษณะเป็นรูปยูคว่ำ คล้ายเอาผ้าพันคอสีขาวผืนยาวพาดราวตากเอาไว้

    เหนือน้ำตกขึ้นไป เห็นใบไม้ปลิวว่อนมากมาย คละไปกับสัตว์มีปีกคือกาและหงส์ กระพือบินสวนกันไปมาเป็นกลุ่ม

    องค์ประกอบอื่นของภาพถูกทำให้จางลงอย่างจงใจ ไม่ว่าจะเป็นผาน้ำตกที่มีร่องรอยรูปกระดูกซี่โครง หรือท้องฟ้าเปิดโล่งเบื้องไกล สายน้ำตกถูกขับเน้นให้เด่นชัดเป็นอันดับหนึ่ง เห็นวาวขาวดุจประกายมุกใส ตามมาด้วยฝูงกาและหงส์เหนือยอดโค้งของสายน้ำตก ซึ่งวาดไว้สมจริงยิ่ง หงส์เป็นหงส์ กาเป็นกา กับทั้งจับตาชวนมองด้วยวิธีวางตำแหน่งองค์ประกอบสอดรับกัน

    เจ้าของผลงานคือนายตำรวจที่ชื่อขวัญหล้า พาร่างสูงสมชายในวัยหนุ่มแน่นของเขาขึ้นมาบนเวที เค้าหน้าหล่อเหลาดูเคร่งขรึม มองตรงแบบคนจริง บอกยี่ห้อกองปราบได้อย่างดีแม้จะอยู่ในชุดลำลองแขนสั้น ใครต่อใครแปลกใจกันใหญ่ที่ผู้รับรางวัลรายแรกมิได้คร่ำหวอดในวงการกลิ่นสี แต่กลับกลายเป็นร้อยตำรวจเอกผมเกรียน ผิวดำล่ำสัน อกผายไหล่ผึ่ง มาดนิ่งคมคายสะดุดตาพอจะเรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆได้จากทุกมุมถนนที่ย่างเท้าผ่านไป ถ้าแสดงหนังก็ทำให้เชื่อเลยว่าเป็นทั้งพระเอกและตำรวจมือพระกาฬ จับผู้ร้ายเก่ง พอกับที่จับหัวใจสาวได้ทั้งเมือง

    แสงไฟแฟลชกะพริบวูบวาบ ชักภาพบนเวทีกันใหญ่ ถ้าฟังดีๆมีเสียงหวิวหวาวจากสาวหลายคนที่เห็นรูปร่างหน้าตาของขวัญหล้าชัด ลักษณะภายนอกของเขาไม่บอกเท่าไหร่ว่าเป็นคนมีจิตใจละเอียดอ่อนลึกซึ้งขนาดจับพู่กันสร้างสรรค์งานศิลปะได้งดงามขนาดนี้

    ขวัญหล้าพนมมือไหว้ประธานพิธีอย่างอย่างคนมืออ่อน แต่ก็ไม่เสียบุคลิกเข้มแข็งเยี่ยงชายชาตรี เมื่อคุณโภไคยพยักหน้ารับแล้ว นายตำรวจหนุ่มจึงหันมาไหว้พิธีกรอย่างเคารพในอาวุโสอีกคน

    “สวัสดีครับ โอ…นับเป็นความน่าแปลกใจของพวกเราที่ได้เห็นผู้กองมายืนรับรางวัลเป็นรายแรก ผมคงต้องขอสัมภาษณ์ด้วยความสนใจหน่อยล่ะ”

    พิธีกรทำท่ากระตือรือร้น เขายืนเผชิญหน้ากับร้อยตำรวจเอกหนุ่มอย่างใกล้ชิด จึงได้เห็นดวงตาดำใหญ่เป็นประกายเข้มลึกที่ทรงนิ่งแบบราชสีห์ ดูมีสมาธิอย่างผู้เคร่งครัดในวินัยและการซ้อมรบ ขณะเดียวกันก็พบกระแสความอ่อนโยน รักสงบ และเปี่ยมด้วยความรู้ความเข้าใจอันยากจะหยั่งแฝงอยู่ในแววตาคู่นั้นควบคู่ไปด้วย

    “ผู้กองคงปฏิบัติธรรมมานานนะครับ”

    ขวัญหล้าก้าวมายืนหน้าขาไมโครโฟนของผู้รับรางวัล กล่าวตอบด้วยเสียงห้าวต่ำอันเจือด้วยความนุ่มนวลเยี่ยงผู้มีชีวิตกร้านกร้าวที่ถูกขัดเกลาความคิดเข้ากรอบสนิทแล้ว

    “พอสมควรครับ”

    นายตำรวจหนุ่มรับ

    “ท่าทางผู้กองคงมีมิติในตัวหลากหลายทีเดียว ต่อไปนี้ใครๆคงเห็นกันอย่างกว้างขวางว่าคนใช้ชีวิตสมบุกสมบัน เป็นตำรวจท่าทางจับผู้ร้ายเก่ง แท้จริงอาจซ่อนความละเอียดประณีตชนิดที่ศิลปินอาชีพต้องอายอย่างนี้”

    “ผมคงไม่มีฝีมือขนาดที่เรียกว่าเป็นศิลปินได้หรอกครับ แค่จิตรกรสมัครเล่นคนหนึ่งเท่านั้นเอง”

    พิธีกรหัวเราะฮ่าๆ หันมากล่าวกับคนฟังที่นั่งหน้าสลอนในเงามืด

    “ไม่ใช่ศิลปินยังได้รับรางวัลเป็นคนแรกนะครับ สงสัยจะเป็นมือปราบหลายขอบฟ้า ผู้ร้ายหงอไม่พอ ต่อไปช่างเขียนทั้งหลายเห็นผู้กองเดินมาคงต้องตัวสั่นไปด้วย”

    มีเสียงหัวเราะครืนแผ่วจากฝ่ายคนฟัง

    “ถามนิดเถอะครับ ดูท่าทางผู้กองคงอยู่ฝ่ายปราบปราม ผมเห็นตำรวจหลายคนชอบนั่งวิปัสสนาแล้วอดสงสัยไม่ได้ว่าบางครั้ง เอ่อ…ปกติในหน้าที่การงาน พวกท่านต้องใช้ความรุนแรงบ้าง เพื่อกำจัดคนพาลอภิบาลคนดี อันนี้จะมีจุดขัดแย้งอยู่ในใจบ้างไหมครับ?”

    “แทนที่จะคิดในแง่นั้น มาลองนึกดูในแง่ที่ว่างานของตำรวจก่อความรู้สึกเครียดหนักให้เจ้าหน้าที่ได้ขนาดไหน แล้วจะมีสิ่งใดมาช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้บ้าง ผมโชคดีที่เมื่อจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เริ่มทำงานใหม่ๆ ก็ได้ผู้บังคับบัญชาที่ดีเป็นครู ช่วยฝึกอบรมทั้งสมาธิและวิปัสสนาให้ จนเกิดความเห็นว่ายาดีที่สุดสำหรับอาชีพแบบผมก็คือสมาธิและวิปัสสนานี่เอง ไม่เห็นจุดขัดแย้งเลยครับ

    การจับกุมคนร้ายเป็นเรื่องของหน้าที่ทำลายความอยุติธรรม ตอนนั้นใจเราเป็นตำรวจ แต่การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องส่วนตัวที่เราพอใจทำลายทุกข์ ตอนนั้นใจเราเป็นจิตรู้สากล ไม่มียศ ไม่มีการแบ่งแยกเราเขา

    ตำรวจที่ดีอาจทำบุญปนบาปด้วยน้ำใจเสียสละ อย่างไรเราก็มีกุศลนำอกุศลเสมอ นั่นทำให้ตำรวจไม่จำเป็นต้องห่างพระอย่างที่หลายคนเข้าใจครับ”

    “เป็นคำตอบที่ทำให้หูตาของผมกว้างขึ้นมากจริงๆ ได้ยินมานานแล้วว่าทหารกับตำรวจนี่ทำสมาธิสำเร็จกันได้ไวนัก เพราะมีพื้นจิตใจหนักแน่นมั่นคงและเด็ดขาดเป็นทุน…อยากให้ผู้กองช่วยเล่าแนวคิดและความเป็นมาของภาพคร่าวๆ ก่อนที่จะอ่านร้อยกรองด้วยครับ”

    “ภาพนี้คล้ายกับสิ่งที่ผมเห็นจากภายใน ขณะปฏิบัติสมาธิตามแนวอานาปานสติ หรือกำหนดสติรู้ลมหายใจเข้าออกแบบที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนนะครับ เมื่อจิตมีความพร้อมเห็นลมหายใจอันเป็นสิ่งละเอียดอ่อนคมชัดพอ เรียกการเห็นนั้นว่า ‘นิมิต’ ก็จะเริ่มเห็น ‘ตัว’ ความคิดไปด้วย มันชัดเจนเหมือนมีอะไรบินว่อนอยู่ในหัวเรายิบยับเลยทีเดียว พอนิมิตความคิดที่คละคลุ้งในหัวปรากฏให้เห็นนี่ ถึงรู้ครับว่าเราคิดทั้งดีและชั่วสลับคละกัน ผมจึงใช้สัญลักษณ์แทนง่ายๆ ที่คล้ายนิมิตความคิดในความเป็นจริงด้วย และทั้งที่เป็นเชิงอุปมาอุปไมยด้วย นั่นคือหงส์แทนความคิดฝ่ายกุศล และกาแทนความคิดฝ่ายอกุศล ส่วนใบไม้ที่ปลิวว่อนก็เปรียบเป็นความคิดกลางๆ ไม่ชั่วไม่ดีไป

    ขณะแห่งการรู้ในระดับภาวนาของผมไม่มีอะไรมากกว่านี้ ขอเพียงกำหนดรู้นานพอจนเห็นลมหายใจก็สามารถเห็นความคิดได้เช่นกัน และเมื่อเราเห็นความคิดจนรู้สึกถึงความเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนของเราผูกติดอยู่ ก็จะพบว่ามันคล้ายสัตว์ปีกที่บินว่อนจากความว่างเปล่าสู่ความว่างเปล่าเท่านั้น”

    ริมฝีปากหนาเตอะของพิธีกรแย้มออกเป็นรอยยิ้มกว้าง เช่นเดียวกับคนฟังข้างล่างหลายต่อหลายคน

    “ท่าทางผู้กองเป็นผู้เชี่ยวชาญอานาปานสติเป็นอย่างดีทีเดียว เหมาะเลยครับ ขอคำแนะนำเป็นการส่วนตัวหน่อยเถอะ ผมเองก็หัดใช้อารมณ์ภาวนามาหลายรูปแบบ ทั้งภาวนาสัมมาอรหัง เพ่งรูปวงกลม รวมทั้งลมหายใจอย่างที่ผู้กองใช้ เรียนตามตรงว่ายังกะพร่องกะแพร่งอยู่มาก รู้ลมไปฟุ้งซ่านไป บางทีก็นึกสงสัยว่าได้สมาธิหรือยัง เราทำสมาธิไปเพื่ออะไร อันนี้ขอผู้กองให้คำแนะนำด้วยครับ”

    ผู้กองหนุ่มมาดเท่ให้คำตอบทันทีแบบไม่ต้องเสียเวลาตรึกตรองเรียบเรียงคำพูด

    “ลมหายใจเป็นสิ่งไม่มีความคิด ไม่มีความฟุ้ง ไม่มีความสงสัย เพราะฉะนั้นถ้าใจเรารวมเป็นอันเดียวกับลมหายใจได้จริง ก็จะไม่เปิดช่องให้ความคิดหรือสงสัยฟุ้งซ่านแน่ๆ

    การที่รู้ลมไป ฟุ้งซ่านไปจึงยังไม่ถึงภาวะจิตรวมกับลมหายใจ ยังอยู่ในขั้นฝืนใจนึก เรียกว่ามี ‘วิตก’ แล้ว แต่ยังไม่คลุกเคล้าเป็นอันเดียวอย่างที่เรียก ‘วิจาร’ อันนี้ต้องพยายามทำความชอบลมหายใจไปเรื่อยๆครับ สังเกตและรักมันไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตจะยึดลมหายใจเป็นหลักจับด้วยความเต็มใจ”

    พิธีกรมองนายตำรวจคนเก่งทึ่งๆ

    “นักทำสมาธิทั่วไปคงเคยคุ้นกับศัพท์คำนี้นะครับ คำว่า ‘วิจาร’ ที่ไม่มี ณ. เณรการันต์นี่น่ะ หมายถึงการแนบจิตเป็นอันเดียวกับอารมณ์ หรือแปลตรงตัวคือพิจารณาอารมณ์ ตามติดอารมณ์ซึ่งใช้ยึดเหนี่ยวจิตให้อยู่กับที่ ทีนี้ผมอยากให้ผู้กองบรรยายความรู้สึกภายใน หรือภาพในใจที่เห็นลมหายใจขณะเกิดวิจารหน่อยเถอะครับ เอาเป็นคำพูดง่ายๆที่พวกเราฟังถนัดหน่อย”

    ขวัญหล้าผงกศีรษะเล็กน้อย

    “เหมือนกับตอนที่เราเขียนจดหมายส่งถึงใครที่กำลังคิดถึงอย่างมากนะครับ เราคิดถึงเขาจนมีคำพูดมากมายเรียงรายในหัว ขณะที่เขียนคำหนึ่งๆ รู้สึกชัดเลยว่าประโยคต่อๆไปจะเขียนว่าอย่างไร เราทำได้อย่างรวดเร็ว จิตใจจดจ่ออยู่กับเนื้อความที่ถูกถ่ายทอดลงกระดาษแล้ว และที่ยังรออยู่ในหัวอีกมาก ไม่ข้องแวะกับเรื่องอื่นเลย นั่นแหละครับลักษณะจิตที่เกิดวิจาร

    เมื่อมาเทียบกับสมาธิแบบอานาปานสติ เราพยายามนึกถึงลมหายใจ นั่นคือวิตก พอนึกไปจนใจชอบ ฝักใฝ่อยู่แต่ความเป็นลม แม้ขณะพักรอลมหายใจเข้าออกใหม่ จิตก็ยังไม่ไปไหน เพ่งอยู่กับความเห็นลมหายใจตลอดสายครั้งต่อไปอยู่อย่างนั้น เหมือนกับที่เรารอจะเขียนข้อความซึ่งยังคั่งค้างอยู่ในหัวนั่นเองครับ”

    “ที่ผู้กองว่า ‘เห็นลมหายใจตลอดสาย’ นี่อยากให้ขยายความสักนิดได้ไหมครับ?”

    “ในความเห็นของคนปกติที่ยังไม่เกิดตัววิจาร สายลมออกกับสายลมเข้าดูเหมือนเป็นคนละอันกัน แยกสายกันเป็นต่างหากเหมือนสายน้ำขาเข้ากับสายน้ำขาออก แต่เมื่อเกิดตัววิจารแล้ว จะเกิดความเห็นเหมือนเราจับปลายเชือกแต่ละด้านไว้ด้วยมือซ้ายขวา แล้วเอาไปพาดกับราว จากนั้นใช้สองมือสลับดึงขึ้นลงเหมือนชักรอก พูดง่ายๆว่าเห็นสายลมออกและเข้าเป็นเชือกเส้นเดียวกัน ไม่แยกเป็นต่างหากจากกันครับ ตัวสติที่เฝ้ารู้ของเราจะคล้ายนายช่างผู้ขยันและฉลาดชักเชือกกลึงอย่างรู้ว่าควรยาวสั้นตามจริงเช่นไรในขณะหนึ่งๆ”

    “พวกเราก็ได้ความรู้ในการทำสมาธิจากเจ้าของภาพ ‘ขณะแห่งการรู้’ กันเต็มอิ่มเลยนะครับ ไม่ทราบผมสรุปแก่นของภาพนี้ถูกหรือเปล่า คือคุณขวัญหล้าต้องการให้ทุกคนเห็น ‘ขณะรู้’ เป็นลมหายใจและความคิดพร้อมกัน”

    “ลมหายใจเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสแนะให้พยายามเห็นมากๆเข้าไว้ ทรงสรรเสริญคุณเป็นอเนก นับแต่ทำให้อยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ไปจนกระทั่งใช้เป็นสะพานนำไปสู่พระนิพพาน

    แม้วันนี้ผมยังไปไม่ถึงพระนิพพาน ก็ได้ประจักษ์กับตัวเองว่าพระพุทธองค์ตรัสไว้ เป็นความจริงทั้งนั้น เมื่อเห็นลมหายใจผมก็เห็นลึกเข้ามาในความเป็นกาย เห็นสัณฐานคร่าวๆของโครงกระดูก เมื่อเห็นโครงกระดูกฉาบเนื้อ ก็ได้แกนอ้างอิงว่าเกิดผัสสะกระทบเข้าที่ไหนบ้าง และมีความคิดปรุงแต่งขึ้นตรงส่วนไหนของกาย

    เมื่อเห็นตัวความปรุงแต่งชัดแล้วว่าเกิดขึ้นในหัว ก็เฝ้าตามดูต่อได้ว่าสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นจะดับไปเป็นธรรมดา พอเห็นความเกิดดับบ่อยๆ หนักเข้าก็เกิดความเห็นความปรุงแต่งทุกอย่างในกายและใจนี้เป็นสมมุติไปหมด เช่นเมื่อใจรู้ว่าความคิดเกิด ทันทีนั้นก็เห็นเป็นนิมิตลอยล่อง ผ่านมาแล้วผ่านไปเหมือนอย่างที่ผมพยายามสื่อด้วยภาพนี่

    บทบาทอันสำคัญของสมาธิอยู่ตรงนี้ เราอาศัยจิตที่มั่นคง เห็นอะไรตรงไปตรงมา เห็นแล้วเชื่อจริง ไม่กลับกลอก เราไม่ต้องเสียเวลาถกเถียงกันในเชิงปรัชญาหรืออภิปรัชญาว่าอะไรเป็นอะไร เราคือตัวตนหรือเปล่า ความคิดเป็นเราหรือเปล่า ทุกอย่างเปิดเผยต่อจิตที่มีแต่ความเห็นหนักแน่นเป็นหนึ่งเอง ทราบได้เองในทุกขณะแห่งการรู้ครับ”

    พิธีกรมองผู้กองหนุ่มรุ่นลูกด้วยแววชื่นชม วาทะเหล่านั้นแสดงชัดในตัวเองถึงความแตกฉานในการปฏิบัติ ไม่เสียทีที่ได้รับรางวัลเลย

    “ผมเองเคยมองควันไฟที่ลอยคลุ้งขึ้นอากาศหายไป รู้สึกว่านั่นไม่ใช่ตัวเรา แล้วน้อมมาเห็นความคิดในหัวก็ปรากฏเป็นอย่างนั้น ไม่ต่างจากควันไฟ แล้วก็รู้สึกถึงความไม่ใช่ตัวตนของความคิด เสียดายที่ไม่ทำความเห็นให้เกิดขึ้นต่อเนื่อง เพิ่งมาระลึกได้อีกก็ด้วยภาพของผู้กองนี่เอง เอาล่ะครับ คราวนี้ผมคงต้องขอฟังร้อยกรองจากปากของผู้กองเอง…เชิญ”

    พิธีกรยื่นแผ่นกระดาษให้กับผู้รับรางวัลเหรียญทองแดง ขณะเดียวกันเครื่องฉายอีกตัวก็ยิงลำแสงขึ้นสกรีนขนาดย่อมลงมาด้านข้างสกรีนใหญ่ เห็นตัวหนังสือคมชัดเพื่อให้ผู้ชมได้ใช้สายตาอ่านไปพร้อมกับหูฟังจากปากขวัญหล้า


    เมื่อไม่รู้ก็ดูมัวทั่วไปหมด              จะคิดคดลดเลี้ยวเที่ยวทางไหน

    จะเร็วช้าพาตัวไปทางใด               เอาแต่ใจใคร่อยากกระดากจริง

    เวลาอยากปากแห้งลงแดงง่าย        ยิ่งบาปหนาบ้าได้เหมือนผีสิง

    ชะรอยรักอัตตาจึงกล้าทิ้ง               หมดทุกสิ่งเว้นอยากลำบากนาน

    เมื่อเข้ารู้จะดูออกไม่ยอกย้อน          เริ่มจากง่ายหายใจก่อนเป็นพื้นฐาน

    รู้เข้าออกนอกในให้สำราญ             เมื่อเนิ่นนานละเอียดลงค่อยปลงใจ

    จับสนิทติดความคิดนิมิตหมาย        อยู่ในกายคล้ายว่างกระจ่างใส

    เห็นเป็นจุดสมมุติหนึ่งซึ่งไหลไป      ไม่ปล่อยปละปฏิวัติเป็นอัตตา


    อุปมาจิตคิดร้าย             ดังกา

    คิดดีงามเลิศฟ้า             พญาหงส์

    สักแต่เรียงโบกบินร่า      ครู่หนึ่ง สลายตัว

    แลชุมกลับวายโล่ง         อนาถแท้อนัตตา


    มือปราบแห่งกองปราบเงยหน้าขึ้น เพื่อได้ยินเสียงปรบมือให้เกียรติอย่างกึกก้องจากผู้ชมทั้งหมด พิธีกรยิ้มแล้วผายมือเชิญรับรางวัลจากท่านประธาน

    คุณโภไคยลุกขึ้นยืนก่อนนายตำรวจหนุ่มจะก้าวมายืนตรงหน้า หยิบซองเช็กพร้อมกล่องใส่เหรียญบุกำมะหยี่จากพานทองซึ่งเด็กสาวข้างกายประคองถืออยู่ แล้วยื่นมอบ ขวัญหล้าพนมมือไหว้อย่างนอบน้อมก่อนช้อนรับรางวัลด้วยทีท่าคุ้นเคยกับพิธีรับมอบจากมือผู้ใหญ่

    “ดีใจที่ได้รู้จักกับคนที่จะช่วยให้กรมตำรวจแข็งแกร่งและสะอาดขึ้น”

    ท่านเจ้าของงานกล่าวพึมพำยิ้มแย้มเป็นส่วนตัวกับร้อยตำรวจหนุ่มพร้อมกับยื่นมือให้จับ ขวัญหล้าถือของไว้ในมือซ้าย และใช้มือขวาจับมือคุณโภไคยด้วยความเคารพ

    “ผมก็ปลื้มใจที่ได้รับความกรุณาเช่นนี้จากท่านครับ”

    คุณโภไคยยิ้มกว้างขึ้น ผู้กองหนุ่มถอนมือออกแล้วโค้งอย่างงามอีกทีหนึ่ง จึงก้าวเดินลงจากเวทีไป จังหวะระทึกจึงเยี่ยมเยียนมาอีกครั้ง เพราะถึงเวลาประกาศรางวัลเหรียญเงิน แน่นอนเงินรางวัลทวีตัวเพิ่มเป็นสองเท่าของรางวัลก่อนย่อมทำให้หัวใจเต้นรัวไม่เป็นส่ำ

    ฟองชลเอียงหน้ากระซิบกับแฟนหนุ่ม

    “ใจจะวาย”

    ทีฆายุหัวเราะหึๆ ทำเป็นเฉยทั้งที่ใจกำลังจะวายอยู่เหมือนกัน เขาหันไปมองหน้ารูปหัวใจในความมืดสลัวแล้วกระซิบตอบ

    “ไม่รู้กรรมการเทน้ำหนักให้พวกนำเสนอในแนวปฏิบัติหรือเปล่า ไอ้หมอเมื่อกี้มีลูกเล่นแพรวพราวน่าดู ให้ฉันพูดอย่างนั้นหมดสิทธิ์เลย”

    “ขอให้เหรียญเงินเป็นของเธอ เหรียญทองเป็นของซี”

    เด็กสาวอวยพรให้ตนเองและแฟนหนุ่มเสร็จสรรพ ทีฆายุฝืนยิ้มกว้างทั้งใจแห้งชอบกล ก็ขนาดเหรียญทองแดงยังดู ‘แข็ง’ อย่างนี้ มีหรือผลงานของคนไม่เข้าใจธรรมะลึกซึ้งอย่างศิลปินทั่วไปจะกินเหรียญรางวัลที่สูงขึ้นได้ลง

    “รางวัลเหรียญเงินของปีแรกนี้ครับ ได้แก่ผลงานชื่อ ‘งานศพ’ ของคุณทีฆายุ ธารเมธา”

    คล้ายหัวใจหยุดทำงานไปวูบหนึ่ง ชาดิกไปหมดทั้งร่าง ในวินาทีแรกแทบไม่รู้สึกรู้สากับเสียงกรี๊ดลั่นของแฟนสาวและเสียงปรบมือเป็นสายยาวจากรอบด้าน ต่อเมื่อสติเข้าที่ในวินาทีต่อมา ทีฆายุจึงยิ้มร่าและลุกพรวดด้วยเรี่ยวแรงของผู้ชนะ เดินลิ่วสู่เวทีด้วยการสูบฉีดเลือดแรงพล่านในกาย ปีติซ่านจัดเหนือฝันดีที่สุดที่ผ่านมาตลอดชีวิต

    ก้าวมายืนบนยกพื้นเคียงข้างกับพิธีกร เกือบลืมหันไปยกมือไหว้ท่านประธาน นาทีนั้นชักตกประหม่ากับแสงไฟแฟลชและการจับเล็งของกล้องจากสถานีโทรทัศน์ต่างๆ

    พิธีกรมองปราดเดียว เห็นเป็นหนุ่มหน้าใส รักสนุก ผิวพรรณสะอางแบบลูกผู้ดีเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ นัยน์ตาล่อกแล่กเล็กน้อยอย่างคนไม่เคยผ่านการควบคุมตนเองด้วยมหาสติ ก็รู้ได้ว่าหมอนี่ไม่ใช่นักปฏิบัติธรรม อย่างดีก็แค่มีแรงบันดาลใจจากเงินรางวัลให้ศึกษาข้อธรรมะ และใช้ทักษะความสามารถขั้นสูงของจิตรกรถ่ายทอดออกมาได้ลุ่มลึก ชนะใจกรรมการเท่านั้น

    ไม่ใช่ตัวแทนของพุทธศาสนา

    คิดด้วยความเห็นเช่นนั้นจึงตั้งใจจะตีวงการสัมภาษณ์ให้แคบเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับรูปที่เขาวาด ทีฆายุถูกทักทายตามธรรมเนียม เช่นถามว่ายังเรียนหรือเปล่า อยู่มหาวิทยาลัยไหน ปีอะไร แล้วก็วกเข้าเรื่องทันที

    “ไม่ทราบว่าภาพนี้ได้แรงบันดาลใจจากงานศพจริงๆหรือเปล่าครับ?”

    “ครับ…”

    ปลายหางเสียงแกว่งนิดหนึ่ง ทีฆายุพยายามสะกดอารมณ์ แต่เงาตะคุ่มของคนดูร่วมพัน บวกกับเครื่องมือบันทึกเหตุการณ์สารพัดชนิดที่จ่ออยู่หน้าเวที อันช่วยกันยืนยันถึงเกียรติที่จะกลายเป็นประวัติหนึ่งของเขา ก็ทำให้ตกอยู่ในภาวะสั่นไม่เลิก ความจริงเขาเคยขึ้นเวทีใหญ่ที่มหาวิทยาลัยมาหลายต่อหลายหนจนเกือบเจน ทว่านั่นผิดกันลิบลับกับการตกอยู่ในสภาพแวดล้อมอันทรงอิทธิพลกดดันชนิดนี้

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งความที่เป็นเวทีพุทธซึ่งเขาเห็นชัดจากผู้รับรางวัลคนก่อน เมื่อมาเปรียบเทียบกับตนแล้ว เขาแทบไม่รู้อะไรสักกระผีกริ้น จึงเกิดความหนาวขึ้นมาว่าเดี๋ยวจะเจอคำถามตอบไม่ได้ให้เป็นที่อับอายขวยเขินหรือเปล่า

    ก่อนมายืนบนนี้รู้สึกชื่นมื่นเพราะนึกแต่จะขึ้นรับรางวัลใหญ่ แต่พออยู่บนเวทีต่อหน้าคนดู พิธีกรและท่านประธานจริงๆกลับเปลี่ยนไปอีกอย่าง คือรู้สึกผิดที่ผิดทางเป็นอย่างยิ่ง อยากเดินหนีลงจากเวทีไปดื้อๆเสียเดี๋ยวนั้น

    “คุณทีฆายุผ่านงานศพมามากไหมครับ? แล้วงานศพที่เป็นแรงบันดาลใจของภาพนี้ อยู่ใกล้ตัว ใกล้เวลาหรือเปล่า?”

    ใกล้ตัวของพิธีกรหมายถึงเป็นญาติสนิทหรือไม่ ทีฆายุโล่งใจ เพราะเตรียมพูดถึงความเป็นมาของภาพไว้พรักพร้อมเพียงพอ

    “ผมอายุยังน้อย เอ่อ…สารภาพตามตรงครับว่าผ่านงานศพมาไม่มากนัก แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เข้าใจก็คือถ้าศพที่อยู่ในโลงนั้นเป็นญาติของเรา เราจะรับรู้ความหมายของการตายได้ดีว่าหมายถึงอะไร…”

    ทีฆายุทราบได้ว่าหางเสียงของตนยังเพี้ยน เปล่งคำไม่เต็มปากเพราะขากรรไกรอ้ายาก เหตุมาจากจิตใจอยู่ในสภาพถูกกด ร่างกายเลยติดขัดยักแย่ยักยันตามไปด้วย แต่พอเอ่ยจบกระทงความแรก ได้กระแอมเสียหน่อย กับทั้งเห็นทุกคนเงียบฟังอย่างตั้งใจเป็นอันดี ก็กล่าวต่อชัดถ้อยชัดคำขึ้น ความคิดในหัวถูกเรียบเรียงเป็นระเบียบขึ้น

    “ผมเคยมีเพื่อนคนหนึ่ง ที่ชอบแข่ง ชอบเข่นกับผมมาก อย่างเล่นหมากรุกชนะผมสักกระดานนี่จะเอาไปโพนทะนาทั่วว่าผมเล่นไม่เอาไหน หรือถ้ามีของดีชิ้นใหม่ก็เอามาอวด มาประชันกันสุดฤทธิ์ ให้อีกฝ่ายรู้สึกด้อยกว่า ต้องหาของแบบเดียวกันมารบจนกว่าจะแพ้ความรู้สึก พูดง่ายๆว่าเพื่อนคนนี้ทำให้ผมเรียนรู้ว่า ความหมายของ ‘เพื่อน’ อาจเป็นใครบางคนในชีวิตที่เรามีไว้สร้างความเจ็บใจให้แก่กันและกัน ผลัดกันอาศัยบ่าอีกฝ่ายให้เหยียบขึ้นไปยืนชูคอทะนงสักครู่

    ต่อมาเพื่อนคนนั้นประสบอุบัติเหตุจากการเล่นกีฬา หัวกระทบเสาเหล็กอย่างแรง อยู่ในสภาพความจำเลอะเลือนและเคลื่อนไหวอวัยวะหลายๆส่วนไม่ได้ ผมก็ไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล เกิดความรู้สึกเศร้าและเสียใจแทนญาติของเขา นั่นทำให้รู้ตัวว่าผมเห็นเขาเป็นเพื่อนมาตลอด ไม่อย่างนั้น ถ้าเห็นเป็นศัตรูอย่างเดียว คงรู้สึกสมน้ำหน้าเข้าไส้แน่ๆ

    แต่อีกความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อมองร่างนอนครึ่งเป็นครึ่งตาย หมดสภาพเก่งกาจเก่าๆของเขา ตัวตนของเขาก็เหมือนสาบสูญไปแล้ว และเหมือนส่วนหนึ่งในตัวผมหายไปด้วย ตอนนั้นแยกแยะไม่ออกเท่าไหร่นัก ต้องค่อยๆคิดอย่างละเอียดในเวลาต่อมาถึงทราบว่าเขาเป็นแกนอ้างอิงที่สำคัญหนึ่งในชีวิตผม นับแต่เขาล้มลงแล้ว ถ้าผมคิดหมากกลในเกมหมากรุกได้ หรือเอาของเด็ดชิ้นใหม่ไปอวดเขา ผมก็จะไม่เกิดความสะใจอีกแล้ว ความสะใจที่ได้เข่นเพื่อนผู้มีความเป็นอริอย่างเขา มันเกิดขึ้นไม่ได้อีกเลย

    นั่นเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เข้าใจความหมายของการตายได้ดีเป็นครั้งแรก ในสภาพหนึ่งที่พวกเรากำลังเป็นอยู่ ถ้ามีอันต้องสาบสูญไป จะหายวับไปกับตาแบบที่เห็นเผากันบนเมรุ หรือจะหายไปจากความรู้สึก เพราะเหตุคาดไม่ถึงใดๆ นั่นคือตายจากความเป็นตัวตนเก่าทั้งสิ้น คนตายไม่ได้พาแต่ตัวเองไปตามลำพัง เขาพาความรู้สึกส่วนหนึ่งของผู้เคยใกล้ชิดไปด้วยเสมอ เมื่อคนข้างหลังทบทวนอดีตและเห็นเหลือแต่ความว่างเปล่า ก็มักเกิดภาพของชีวิตขึ้นภาพหนึ่ง…นั่นคือได้ทุกสิ่งมาเพื่อเสียทุกสิ่งไป”

    พิธีกรอมยิ้ม

    “เป็นแง่คิดที่ชัดเจนมากเลยครับคุณทีฆายุ สมแล้วที่สื่อภาพออกมาอย่างเลิศจนได้รับรางวัลเหรียญเงิน เมื่อกี้ระหว่างฟังคุณทีฆายุพูด ผมได้เหลือบมองภาพที่ฉายบนสกรีนชัดๆ รู้สึกตกใจหน่อยหนึ่ง เพราะพบว่าใบหน้าของชายในภาพที่คุณทีฆายุต้องการสื่อนั้น ดูเหมือนเป็นตัวคุณเอง อันนี้ขอให้ช่วยแจงด้วยครับว่าผมเข้าใจผิดพลาดคลาดเคลื่อนหรือเปล่า”

    “ไม่คลาดเคลื่อนหรอกครับ อย่างที่เล่าให้ฟังแล้ว ว่าผมเห็นภาพความตายไว้ในใจอย่างไร ทุกวันนี้เพื่อนผมที่สติเลอะเลือน พูดรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างนั้น ยังมีชีวิตอยู่ อาการครบสามสิบสอง แต่เขาเป็นคนแรกที่ทำให้ผมรู้จัก และรู้สึกเกี่ยวกับความหมายของการตาย และความตายชนิดนั้นก็สะกิดให้ผมรู้สึกว่าวันหนึ่งผมก็อาจตายเช่นเดียวกับเขา นั่นทำให้ผมถามตัวเองว่าอยากทำอะไร อยากใช้ชีวิตเพื่อเรียนรู้หรือทดลองสิ่งใดบ้าง ก่อนที่เวลาจะมาพรากเอาตัวตนนี้ของผมไป

    มีเรื่องที่เป็นเกร็ด จะเรียกความบังเอิญหรืออย่างไรก็แล้วแต่ เมื่อเร็วๆนี้ผมเพิ่งสูญเสียญาติผู้ใหญ่ ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงแท้ๆไป ช่วงนั้นผมกำลังอยู่ในระหว่างขัดเกลา ตกแต่งผลงานนี้เพื่อส่งคณะกรรมการอยู่พอดี ผมได้พบและนั่งคุยกับลูกสาวของลุง ซึ่งก็คือลูกผู้พี่ที่เคยคุ้นกันมาในสมัยเด็ก

    ผมพูดคุยกับพี่เขาเกี่ยวกับงานประกวดภาพนี้ และผลงานที่ผมต้องการนำเสนอด้วย พี่เขายังมีส่วนทำให้ผมได้ไอเดียในการเกลาบทกลอนกำกับภาพช่วงหลัง…”

    เสียงของทีฆายุขาดหายไป เพราะคำพูดที่กำลังจะต่อตามมาปรากฏแล้วในหัว อันทำให้สะอึกกับห้วงความทรงจำอันลึกซึ้งบางประการ เป็นอาการที่ออกมาโดยปราศจากการเสแสร้ง ครู่หนึ่งเมื่อรวบรวมสติได้จึงลำดับความต่อ

    “นึกไม่ถึงว่าผมเป็นคนสุดท้ายที่ได้คุยกับพี่เขา…”

    เงียบกริบทั้งห้อง เพราะทีฆายุกล่าวด้วยความรู้สึกสะเทือนอารมณ์อย่างแท้จริง เขาระลึกถึงเรือนแก้ว หล่อนเป็นคนมีเสน่ห์ตรึงตรา ทั้งสำหรับญาติพี่น้องและคนที่อยู่นอกวงศ์วาน

    พิธีกรไม่อยากให้มีการดึงเอาเรื่องส่วนตัวมากล่าวมากนัก กับทั้งเห็นได้เวลาอันควร จึงตัดบทด้วยประโยคเชื่อมต่อที่สนิทกันกับถ้อยคำล่าสุดของทีฆายุ

    “คงเป็นลูกผู้พี่ที่คุณทีฆายุสนิทด้วยพอสมควร หากอยากจะกล่าวอุทิศให้กับลูกผู้พี่ก่อนอ่านร้อยกรองก็เชิญได้นะครับ พวกเราจะได้ช่วยกันเป็นพยาน ร่วมแรงกันสะกิดให้เขารับรู้”

    ทีฆายุพยักหน้า อารมณ์ในขณะจิตนั้นทำให้นึกรักพี่สาวผู้ลาจากชั่วนิรันดร์ ดลใจให้คิดเอ่ยถึงหล่อนให้สาธารณชนเป็นพยาน ทั้งที่ไม่คิดเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า และไม่เคยเชื่อเรื่องของปรภพเลยแม้แต่นิดเดียว

    ประสานมือ เหลือบตาขึ้นสูง เปล่งคำด้วยท่าทีสงบแสดงความคารวะต่อสิ่งที่มองไม่เห็น

    “ถ้าผลดีของภาพนี้จะได้เป็นประโยชน์ เตือนให้คนเลิกประมาทในชีวิตอย่างน้อยสักขณะจิตหนึ่ง ก็ขอให้พี่แอ้ร่วมรับรู้ และมีส่วนในกุศลด้วยอย่างเต็มที่”

    ยังไม่ทันขาดคำ ทุกคนก็ต้องสะดุ้งเฮือก เพราะไฟดับพรึ่บลงกะทันหัน กระชากความสว่างทั้งหมดลงสู่ความมืดมิด!

    เกิดเสียงอุทานหึ่งด้วยความงงงัน เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องถึงกับขนลุกเกรียว เพราะในอาคารนี้มีระบบไฟสำรอง ถ้าไฟหลักถูกตัด จะเห็นไฟฉุกเฉินฉายจ้าทันที แต่นี่ทุกอย่างตกอยู่ในความมืดมนอนธการราวกับ…

    สิ่งที่จะต้องกล่าวขานกันอีกนานก็คือแม้อุปกรณ์ซึ่งมีแบตเตอรี่เลี้ยงเองของกลุ่มผู้สื่อข่าว ก็พลอยดับมืดไปด้วย แม้แต่ไฟสัญญาณบอกฟังก์ชั่นเล็กๆก็ไม่ปรากฏให้เห็นเลยในชั่วขณะนั้น

    อึดใจใหญ่ที่คล้ายถูกขังในก้นถ้ำ แต่ไม่นานจนเจ้าหน้าที่ต้องวิ่งวุ่นขาปัด ไฟก็กลับสว่างขึ้นตามเดิม ทีฆายุรู้สึกคล้ายถูกแช่ตัวอยู่ในก้อนน้ำแข็ง เขากะพริบตาปริบๆ เพ่งมองไปในอากาศด้วยความรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างฝันกับตื่น เกือบทุกคนมองหน้ากันเองเลิ่กลั่กด้วยความรู้สึกอันพรรณนาไม่ถูก คล้ายความเยียบหนาวชนิดหนึ่งหลั่งลงสู่หัวใจอันเงียบงันโดยถ้วนหน้า

    พิธีกรผู้ผ่านประสบการณ์มาโชกโชนกว่าครึ่งชีวิต พบเห็นเรื่องลี้ลับทั้งลึกและตื้น ทั้งจริงและเก๊ ยังผลให้ไม่ตระหนกอกสั่นกับเหตุการณ์เฉพาะหน้าเท่าใดนัก เขาพูดกับทีฆายุต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นการชักความรู้สึกของคนทั้งหอประชุมให้กลับสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว

    “หวังว่าลูกผู้พี่ของคุณทีฆายุคงรับรู้และยินดีกับความสำเร็จด้วยนะครับ ผมชักอยากฟังร้อยกรองของภาพนี้เสียแล้ว โดยเฉพาะท่อนหลังที่ผู้พี่ของคุณทีฆายุมีส่วนอยู่ด้วย”

    จิตรกรหนุ่มมือสั่น เงอะงะไปชั่วขณะ แม้ความรู้สึกบอกตนเองว่าเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะไฟดับกับวิญญาณปรากฏนั้นห่างไกลกันสุดกู่ เขารับแผ่นกระดาษบันทึกคำกลอนที่ตนแต่งมาจากมือพิธีกร เกิดความรู้สึกข้นหนักในอกให้ต้องเม้มปากแน่น ก่อนเริ่มเปล่งคำอ่านออกมาได้ ท่ามกลางความเงียบเป็นอันหนึ่งอันเดียวของคนนับพัน

    

    เห็นคนตายก็หมายรู้เดี๋ยวกูด้วย             อีกไม่ช้าชราป่วยแล้วม้วยสูญ

    ศพวางนอนอย่างขอนไม้คล้ายอิฐปูน       รอขึ้นเผาให้เอาศูนย์มานับกาย

    เหลือเพียงชื่อให้ลือจำทำไมเล่า            เขาก็รอคอขึ้นเขียงเรียงจากหาย

    เหมือนกับเราเฝ้าจดจำแล้วกลับตาย      ชื่อก็วายกายก็วางว่างหมดกัน…

    

    รู้สึกตื้นขึ้นมาในอก ขนทั้งแผงคอตั้งชันขึ้น กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น เพราะกังวานเสียงของตนฟังมีอำนาจสะกดผิดปกติ ร่างกายคล้ายติดล็อกกับที่แทบไม่อาจขยับเขยื้อนไหวติง สัมผัสบางสิ่งที่เรียกว่า ‘ความขลัง’ ที่ประชุมยังคงเงียบต่อเป็นนาน กว่าเสียงปรบมือจะเริ่มทยอยดังขึ้น และดังต่อเนื่องราวกับฝนตกลงมาห่าใหญ่เป็นเวลานานมาก

    “ขอบคุณมากครับ เชื่อเลยว่าคุณทีฆายุไม่ได้แต่งขึ้นด้วยแรงบันดาลใจธรรมดา ฟังแล้วผมหายประมาทลงจริงๆ เอาล่ะครับ ขอเชิญรับรางวัลจากท่านประธาน…”

    ทีฆายุถอนใจโล่งอก เพราะรับทราบว่าภาระอันน่าขยาดของตนสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านั้น

    ก้าวเดินเข้าหาคุณโภไคย ซึ่งยืนยิ้มใสรอยื่นของรางวัลให้อยู่พร้อมแล้ว

    “ภาพและร้องกรองของคุณเคยเป็นประโยชน์มาแล้วจริงๆ ขอให้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ไปในทางที่สร้างสรรค์ต่อไปนะ”

    เด็กหนุ่มเงยหน้ามองสีหน้าอิ่มเอิบของผู้พูด บังเกิดความสะบัดร้อนสะบัดหนาวพิกล ได้แต่รับว่า ‘ครับ’ สั้นๆ และรับกล่องเหรียญเงินพร้อมซองมาถือ เมื่อท่านยื่นมือให้จับก็จับตามธรรมเนียม เสร็จแล้วโค้งนิดหน่อย รีบดุ่มเดินงุดๆลงจากเวทีไปด้วยท่วงทีไม่สง่าผ่าเผยนัก

    เพราะเขาสำเหนียกได้ว่าคลื่นความกลัวตายแผ่ไปทั่วหอประชุมในนาทีนั้น

    แพตรีเอนกายไปทางมติ กระซิบว่า

    “ฝีมือร้ายกาจเชียว แต่เฉือนเธอไม่ขาดหรอก”

    มติหัวเราะอย่างรู้ว่านั่นเป็นกำลังใจให้ลุ้นรางวัลที่หนึ่ง เขาเอียงหน้ามาทางหล่อนเล็กน้อย

    “ทีฆายุนี่เพื่อนผมเอง”

    “เหรอ”

    “ตอนเดินดูภาพช่วงสายเจอกันทีหนึ่งแล้วไงฮะ หนึ่งในสองสามคนที่เข้ามาทักผม แต่ตั้งหน้าตั้งตาทำความรู้จักกับพี่แพจนโดนแฟนหยิกน่ะ”

    แพตรีลืมหน้าเพราะไม่ได้ตั้งใจมองเต็มตานัก แต่รู้ว่ามติหมายถึงใคร

    หมดความสนใจจะพูดถึงเพื่อนหนุ่มของมติ แต่ติดใจเตือนเขาในลักษณะเอียงหน้ากระซิบคุยกันนั้น

    “ตกลงแล้วไง เลิกเรียกพี่ได้แล้ว”

    มติยิ้มเจื่อน อ้อมแอ้มรับ

    “ครับ ต่อไปจะพยายามไม่พลั้งเรียกอีก ผมตามใจพี่แพเสมอ”

    แพตรีหัวเราะเล็กน้อย ตีหลังมือมติเบาๆอย่างรู้ว่าเขาแกล้งเผลอ

    “ถึงตาเธอขึ้นไปรับรางวัลแล้วล่ะ ลุกสิ”

    ตีขลุมคะยั้นคะยอแบบกึ่งเย้าและกึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นความจริง มติยิ้มเฉย เขายังเหมือนคนทั่วไป หวังจะได้รางวี่รางวัลมาชื่นชมบ้าง เห็นผลงานตนเองถูกยกให้มีค่าบ้าง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่างานของตนเกี่ยวข้องกับอะไร ใจอยากก็กลับราบคาบลงสนิท

    ความแช่มชื่นเบิกบานเมื่อใจนึกถึงพระนิพพานนั้น ไม่มีสิ่งใด หรือรางวัลจากมนุษย์คนไหนมาเทียบเสมอได้ เขาลิ้มรสรางวัลของตนเองอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว ทำไมจะต้องไปรออะไรข้างหน้าอีก

    “และต่อไปคือรางวัลแด่ผู้ทำประโยชน์ สื่อสารเนื้อธรรมผ่านงานจิตรกรรมได้ดีที่สุดในสายตาของคณะกรรมการปีนี้…”

    พิธีกรประกาศก้องกว่าปกติ กับทั้งทอดระยะเป็นการก่อความตื่นเต้นเล็กน้อยตามธรรมเนียม เพราะถ้าโพล่งเร็วๆเดี๋ยวจะไม่เหมือนรางวัลใหญ่

    แพตรีเอื้อมฝ่ามือนุ่มอ่อนอุ่นมาวางบนท่อนแขนมติ ราวกับจะใช้สัมผัสละมุนแทนคำพูดว่าในนาทีที่สำคัญ เขามีหล่อนเคียงข้างอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เสมอมาและจะเสมอไป

    “ผมแว่วเสียงกระซิบมาครับว่าเป็นผลงานที่น่าพิศวงมาก ซึ่งเดี๋ยวก็จะได้เห็นพร้อมพวกท่านนั่นแหละครับว่าควรแก่การพิศวงอย่างไร”

    หยุดกระแอมคั่นจังหวะ บรรดาศิลปินเจ้าของภาพเกือบห้าร้อยคนพากันเบิกจ้องพิธีกรตาค้างเหมือนผีดิบ คล้ายรุ่มร้อนในอกและอยากเค้นคอให้พิธีกรเอ่ยชื่อผลงานและนามของตน แต่ผลการตัดสินก็ปรากฏอยู่ในแผ่นกระดาษในมือพิธีกรใบนั้นแล้ว เปลี่ยนแปลงแก้ไขเป็นอื่นไม่ได้แล้ว ถึงตั้งตาลุ้นเคร่งเครียดเพียงใด เกร็งเนื้อเกร็งตัวจนบิดตะกูดแค่ไหนก็ไม่มีผลให้การตัดสินพลิกผันเป็นอื่น

    พิธีกรเอ่ยเนิบชัดในที่สุด

    “เหรียญทองปีนี้ ได้แก่ผลงานชื่อ ‘ทวิลักษณ์’ ของคุณกฤติยา มหิทธาบดี…ขอเรียนเชิญครับ”

    เหล่าศิลปินไหล่ตกวูบกันเป็นทิวแถว สิทธิ์และโอกาสทั้งปวงหลุดลอยไปแล้วกับเสียงประกาศผลงานและชื่อเจ้าของนั้น

    มติก็มีส่วนเหมือนกับปุถุชน เขายังมีความคาดหมาย คาดหวัง ลงหวังแล้วก็ย่อมมีผลเป็นสมหวังหรือผิดหวังอย่างใดอย่างหนึ่ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน ชื่อผู้รับรางวัลซึ่งเข้ากระทบหูไม่ใช่ ‘มติ’ ตามที่หวัง ผลจึงเป็นความผิดหวัง อันมีลักษณะเดียวกันดาษๆ คือใจแป้วไป ความคิดตีบตันไปชั่วขณะ ใบหน้าเหมือนจะเหี่ยวลงมาวูบหนึ่งตามความมืดมนของจิตใจ ท่าทางหาอะไรปรุงแต่งให้ฟูขึ้นได้ไวๆยากเสียด้วย

    แต่มติก็มีความแตกต่างจากคนอื่น ก่อนหน้ารับฟังผล จิตเขาจับอยู่ที่ความสว่างของตัวรู้อันไร้หน้าตา ไม่ข้องแวะกับชื่อเสียงหรืออัตตาอันใด และเขาก็ยังคงพยายามจับจิตรู้ความสว่างว่างกลางอกนั้นไว้ไม่ปล่อย กับทั้งรักษามิให้เสียศูนย์ ตรงข้ามยิ่งเร่งความรู้ตัวว่างให้ชัดขึ้นจนเบิกบาน เอาชนะความรู้สึกเป็นทุกข์ที่ปรากฏในรูปของความวูบไหวทางกายและใจยามนี้

    ยิ่งกำลังสมาธิดีเท่าไหร่ จิตจับความสว่างเย็นในตนเองได้คล่องแค่ไหน ใจยิ่งโปร่งเบาเป็นสุข ไม่เดือดร้อนกับความปรุงแต่งที่ห่อหุ้มได้เร็วขึ้นเพียงนั้น

    เขาได้เปรียบปุถุชนก็ตรงนี้

    หญิงสาวในชุดขาวนางหนึ่ง ปรากฏกายเดินจากช่องว่างตอนกลางของที่นั่ง ตัดตรงไปเบื้องหน้า อ้อมซ้ายขึ้นบันไดเวทีไปยกมือพนมไหว้ท่านประธานแบบถอนสายบัว แล้วจึงหันมาไหว้พิธีกรตามธรรมเนียม

    ร่างหล่อนค่อนข้างผ่ายผอมอย่างคนทานน้อย ใบหน้าสะอาดสะอ้านปราศจากเครื่องสำอางประทินโฉม ผิวเกรียมแบบคนทำงานหนักและตากแดดตากลมบ่อย เค้าหน้าสงบในลักษณะของผู้เคร่งครัดในวินัยเกินสตรีธรรมดา นัยน์ตาดำคมกล้า ฉายความนิ่งผิดปกติ ชนิดที่ถ้าไม่มีบารมีอยู่บ้าง มองแล้วอาจสะท้านเยือกและนึกอยากหลบในทันที

    ความนิ่งตลอดร่างของกฤติยาทำให้คนเห็นนึกถึงเครื่องกำเนิดพลังขนาดใหญ่ หล่อนมีรัศมีแรงสูงชนิดที่อาจตรึงให้ผู้ใกล้ชิดถึงกับอึ้งเงียบในบัดดล พิธีกรกลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกฝืดฝืน ตระหนักว่าตนยืนอยู่ต่อหน้าผู้หญิงที่ออกจะพิเศษเอามาก

    ภาพที่ถูกฉายบนสกรีนก็ทำความงุนงงให้กับผู้ชมพอควร เพราะที่ผ่านมาล้วนเป็นงานจิตรกรรมซึ่งเน้นทั้งความคมชัดของรูปทรง ความงดงามของการให้สี รวมทั้งความชัดเจนง่ายต่อการเข้าใจ แต่นี่กลับเป็นวงกลมวงหนึ่ง ที่มีเส้นสายลายเหลี่ยมซับซ้อนลายตาอยู่ภายใน ดูไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไรในแวบแรก

    จิตรกรหลายคิดว่านั่นเป็นศิลปะใหม่แห่งศตวรรษที่ยี่สิบในแนวอ็อพอาร์ตซึ่งเน้นการเล่นกับสายตาผู้ชม คือลวงตาด้วยลายเส้นประกอบสีให้เห็นคล้ายว่าภาพเคลื่อนไหวได้อย่างมีพลัง โดยอาศัยความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติการเห็นของมนุษย์ที่มีต่อเหลี่ยมมุมเรขาคณิตเหลื่อมซ้อนและแสงเงาสร้างชั้นมิติตื้นลึกหนาบาง ประสานกันอย่างกลมกลืนเพื่อหลอกให้เกิดความพิศวงใจ

    แต่บางคนก็รู้สึกว่ามีอะไรพิเศษแฝงซ่อนไว้อย่างลี้ลับยิ่งกว่าความเป็นศิลปะอ็อพอาร์ตขึ้นไปอีก เพียงยังแยกแยะไม่ออกในเวลาอันสั้น ประกอบกับที่แสงสีที่ตกบนสกรีนขาดความชัดกริบเหมือนของจริง ยิ่งทำให้ลำบากกับการเดาเจตนาของผู้สร้างสรรค์มันขึ้นมา

    พิธีกรกะพริบตาปริบๆ ผินหน้ามองภาพบนสกรีนครู่หนึ่ง แล้วย้อนกลับมาสบตากับผู้ชนะเลิศประจำปี ยอมรับว่ากำลังจิตของผู้หญิงคนนี้แข็งเสียจนเขาไม่กล้าต่อตาด้วยนานนัก อีกทั้งทำให้รู้สึกฝืนจนต้องกลืนน้ำลายบ่อยๆ ขาดความเป็นตัวของตัวเองลงเยอะ

    คะเนจากแววรู้คิดในตา อายุหล่อนน่าจะเลยสามสิบมาพอควรแล้ว แต่ดวงหน้าเมื่อดูผาดยังอ่อนราวกับยังเป็นสาวน้อยที่เพิ่งเฉียดจะบรรลุนิติภาวะเท่านั้น

    เขารู้จักนักเลงสมาธิมามาก เคยพบเจอแม้ผู้มีตบะแก่กล้าที่เล่นกีฬาสมาบัติเป็นอาชีพในป่าลึก จึงแยกแยะออกว่าใครเป็นใคร กฤติยาน่าจะเก่งกาจเกินตัว แต่ยังอยู่ในขั้นเก็บพลังไม่อยู่ มีเท่าไหร่ปล่อยให้ฉายออกมาหมด พลิกจิตให้เก็บพลังไว้เงียบๆไม่เป็น ซึ่งแบบนี้คลุกคลีอยู่กับคนในเมืองแล้วจะขาดความกลมกลืน

    ชุดกระโปรงเสื้อแขนสั้นที่หล่อนแต่งเป็นฝ้ายอย่างดี เครื่องประดับแม้น้อยชิ้น ทว่าก็บ่งถึงรสนิยมชั้นเลิศ ลักษณะการปรากฏของหล่อนจึงออกจะมีความขัดแย้ง คือจะดูเหมือนแม่ชีตามถ้ำก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นคนเมืองที่เป็นแต่นั่งระเหิดระหงในคฤหาสน์ก็ไม่เชิง

    แวดวงพุทธมีคนประหลาดๆอยู่เยอะ เพราะพุทธสาวกนั้น ถ้าสั่งสมวาสนาบารมีมาในรูปแบบเฉพาะตัวถึงจุดหนึ่ง ก็อาจเป็นอะไรได้ทั้งนั้น ด้วยเหตุที่ปัจจัยบันดาลรูปนามมีอยู่หลายชั้นหลายซ้อน ทั้งกำลังบุญ กำลังจิตของเจ้าตัว รวมทั้งกำลังปฏิกิริยาแห่งพระไตรสรณาคมน์ที่ช่วยขยายผล จึงเกินวิสัยคณนาว่าถ้าผู้ใดอาจหาญบำเพ็ญตนกว้านบุญกิริยาอย่างเต็มที่แล้ว ผลออกมาจะพิสดารพันลึกปานใด

    พิธีกรต้องกระแอมกุ๊กหนึ่งก่อนไถ่ถาม

    “ปัจจุบันนี้คุณกฤติยาทำงานในแวดวงศิลปะหรือเปล่าครับ?”

    “ค่ะ ดิฉันทำเกี่ยวกับการออกแบบเครื่องประดับ”

    “โอ ดีทีเดียวนะครับ งานในวันนี้ รวบรวมเอาผู้ปฏิบัติธรรมซึ่งอยู่ต่างสาขา ต่างอาชีพมาอยู่ด้วยกัน ให้พวกเรามีโอกาสเห็นว่าพระสัทธรรมแผ่กว้างครอบคลุมชนทุกหมู่เหล่าอย่างไร ปกติที่เราเดินตามถนนไม่ค่อยเจอ ไม่ได้แปลว่าผู้เก่งกล้าในธรรมมีเพียงจำนวนน้อยเลย เราแค่ไม่ค่อยพบเห็น เพราะมีโอกาสชุมนุมสังสรรค์ผู้ร่วมแนวอยู่น้อยครั้งเท่านั้นเอง

    ไหนผมถามตรงไปตรงมาเลยนะครับคุณกฤติยา ดูจากภายนอกแล้ว ผมว่าคุณกฤติยาไม่ได้นั่งออกแบบเครื่องประดับอยู่ในห้องแอร์ทั้งปีเป็นแน่ ง่า…คุณกฤติยาใช้เวลาส่วนใหญ่ปฏิบัติธรรมอยู่ตามป่าเขาหรือเปล่าครับนี่?”

    หญิงสาวยิ้มเล็กน้อย พิธีกรอดรู้สึกเสียดายไม่ได้เมื่อสังเกตเห็นรอยลอกรอยด่างบางแห่งบนใบหน้าอันเกิดจากการกรำแดดลม ด้วยเค้ารูปหน้านั้น หากหล่อนเป็นนักปรุงโฉมเหมือนสาวเมืองทั่วไป ก็คงเป็นแม่โฉมตรูได้คนหนึ่ง

    “โดยมากแล้วดิฉันจะเก็บตัวอยู่กับสำนักชีทางภาคอีสานหรือภาคใต้ไกลๆค่ะ”

    หล่อนขยักไว้ ไม่กล่าวว่ามรดกและรายได้ที่หล่อนหามาเกือบทั้งหมด มักใช้ไปในการสร้างหลักแหล่งที่มีการอารักขาอย่างปลอดภัยสำหรับผู้หญิงที่ต้องการปฏิบัติธรรมด้วยกัน สิ่งนั้นเองคืออาชีพแท้จริงของชีวิตหล่อนในชาตินี้

    น้อยคนจะล่วงรู้ความลึกลับของหล่อน กฤติยาอยู่เบื้องหลังการออกแบบเครื่องประดับชิ้นงามระดับโลกที่ร่ำลือกันว่า ‘เหมือนสมบัติเทพ’ ด้วยความเข้าใจอันลึกซึ้งในรูปความงามเพริดแพร้วที่มีมากับคุณสมบัติและอำนาจแห่งอัญมณีแต่ละชนิด หล่อนรังสรรค์เครื่องประดับกายที่ให้สัมผัสแนบเนียน บันดาลความรู้สึกประณีตสูงส่งประหลาดล้ำในทันทีที่สวมใส่ ใส่แล้วจะเกิดความหวงแหนสุดชีวิตราวกับเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่มีค่ายิ่งในกายตนทีเดียว

    ปรัชญาของหล่อนบินสูงเหนือค่าของอัญมณีที่เข้ามารวมตัวกันเป็น ‘เครื่องประดับ’ บุคคลสำคัญระดับประเทศที่ว่าจ้างหล่อนออกแบบให้กับ ‘ชีวิต’ ของตนสามารถรู้สึกถึงสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเอง โดยเฉพาะในแง่บารมี ความสง่างาม ตลอดไปจนกระทั่งการรักษาความคิดอ่านให้อยู่ในร่องในรอย บางคนสวมใส่เครื่องประดับของหล่อนแล้วอุปาทานว่าตนฉลาดปราดเปรื่องขึ้นก็มี

    สรุปคือเครื่องประดับชิ้นใดก็ตามที่มาจากหล่อน จะต้องสวย ชวนให้ตาลุก เกิดความโลภโมโทสัน อยากครอบครองด้วยความหวงแหน และมีพลังพิเศษในตัวเสมอ

    เพราะหล่อนไม่ได้ใช้สมองในการออกแบบ

    กฤติยาขายลิขสิทธิ์อันแสนแพงให้กับบริษัทเลื่องชื่อ พวกเขาได้ความรุ่มรวยมหาศาลจากยอดขายพร้อมกับความวุ่นวายในตลาดเครื่องประดับแถวหน้าของโลก ขณะที่หล่อนได้เงินก้อนมหึมาพร้อมกับความสงบในแดนพุทธ จาริกไปโดยปราศจากการเกาะแกะรบกวนจากกระแสธุรกิจอันเชี่ยวกราก เนื่องจากการเข้าถึงตัวหล่อนต้องผ่านหลายด่านหลายชั้นนัก ธรรมชาติงานทำให้หล่อนไม่จำเป็นต้องปรากฏตัวตามงานหรูหรา หรือเป็นข่าวฟู่ฟ่าในสื่อต่างๆ

    บัดนี้แน่นอนแล้วว่ารางวัลที่หนึ่งในงานประกวดภาพพุทธศาสนาเป็นของหล่อน ด้วยผลงานอันประหลาดและวิเศษเกินจินตนาการจิตรกรธรรมดา อย่างไรก็ตาม ให้ค่าตอบแทนหล่อนสามล้านบาทกับไม่ให้เลยแทบจะมีความหมายเท่ากัน หล่อนมาเพราะปรารถนาที่จะมา ไม่ใช่เพื่อรางวัลใหญ่หรือชื่อเสียงจอมปลอมชั่วครู่ชั่วคราวใดๆทั้งสิ้น

    “คุณกฤติยาครับ ผมเองยังไม่ได้อ่านร้อยกรองกำกับภาพของคุณ แล้วก็ยังเดินดูภาพได้ไม่ทั่ว เพิ่งเห็นภาพของคุณพร้อมกับผู้มีเกียรติท่านอื่นๆในหอประชุมเดี๋ยวนี้เอง ยอมรับครับว่าค่อนข้างแปลกใจกับรูปแบบการนำเสนอ ผมยังงงอยู่ว่าภาพสื่ออะไร คงต้องขอคำอธิบายจากคุณกฤติยาเลยดีกว่า…เริ่มจากคำว่า ‘ทวิลักษณ์’ นะครับ อันนี้มีคำแปลว่าอะไร?”

    “แปลอย่างง่ายที่สุดก็คงได้ว่าลักษณะปรากฏได้สองอย่างในสิ่งเดียวกันนะคะ โดยทั่วไปเจาะจงเอาคุณสมบัติที่ขัดแย้ง แต่กลับมารวมอยู่ในสิ่งเดียว อย่างเช่นคุณสมบัติของแสง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ว่าเป็นได้ทั้งคลื่นและอนุภาคพร้อมๆกัน ลำแสงเดียวกันนี่เอง เราจะมองให้เห็นเป็นคลื่นซึ่งมีลักษณะเคลื่อนไหวต่อเนื่องเหมือนระลอกน้ำในทะเล หรือจะเป็นอนุภาคซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนแยกจากกันเป็นเอกเทศเหมือนเม็ดทรายก็ได้ สองลักษณะนี้ขัดแย้งกัน แต่กลับกลายเป็นสิ่งเดียวกันได้ ถ้าศึกษาลึกๆและรู้มากอย่างนักวิทยาศาสตร์แล้ว จะเห็นว่าอธิบายยาก หรือเป็นเรื่องเหลวไหลไม่น่ายอมรับเอาทีเดียว”

    “ครับ ผมก็เคยทราบล่ะว่าถ้าเราใช้เครื่องมือทดลองมองแสงต่างกัน เราจะเห็นเป็นคลื่นหรืออนุภาคก็ได้”

    แล้วพิธีกรก็ผินหน้าไปทางภาพวงกลมที่ฉายค้างบนสกรีนยักษ์ ก่อนหันกลับมาขอ

    “ทีนี้คงต้องขยายความล่ะครับว่าวงกลมที่พวกเราเห็นกันอยู่นี้ มีความเป็นทวิลักษณ์อย่างไร และมีค่าควรพิจารณาเป็นข้อธรรมไหน”

    กฤติยายิ้มเย็น สิ่งที่ฉายชัดออกมาทางสีหน้าสงบ แววตานิ่งลึกจัด และรอยยิ้มซ่อนเลศขณะนั้น ทำให้พิธีกรรู้สึกราวกับหล่อนเห็นเข้ามาถึงไส้พุง ไม่ว่าจะเคยทำสิ่งใด หรือกำลังคิดอย่างไร เป็นถูกอ่านออกหมดเหมือนตัวเขากลายเป็นหน้าหนังสือที่ถูกแบแล้ว และไม่อาจปิดปกลงซ่อนข้อความได้

    หญิงสาวเบนหน้าไปทางด้านล่างเวที แล้วเอ่ยเป็นกังวานเช่นเดิม

    “คงต้องรบกวนทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่นั่งอยู่ด้านหลังๆ ไปดูภาพจริงด้วยตาตนเองนะคะ เพราะเมื่อฉายขึ้นสกรีนอย่างนี้ รายละเอียดที่สำคัญจะขาดหายไป ดิฉันคงกล่าวได้แต่เพียงว่าเมื่อเพ่งศูนย์กลางของรูปวงกลม คุณอาจเห็นได้ทั้งวงเวียนลงสู่ก้นหอย หรือเกล็ดเพชรระเกะระกะก็ได้ ขึ้นอยู่กับความตั้งใจปรับสายตา

    ความสำคัญของภาพไม่ใช่อยู่ที่การซ่อนลายซ้อนกันเพื่อให้มองได้สองมิติเท่านั้น เมื่อคุณมองออกมาเป็นวงกลมก้นหอย คุณจะรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดให้ดิ่งจมลงไปในความลึกของจินตนาการแปลกใหม่ เพ้อฝันเหนือจริง และให้ความสุขไม่ต่างกับจ้องอัญมณีที่มีค่า แต่เมื่อคุณมองเป็นเกล็ดเพชร ความรู้สึกจะแปรไปเป็นอีกแบบ คือเหมือนอยู่ในพงหนามน่าระคายเคือง

    สิ่งที่อยากให้สังเกตคือความคิดที่ก่อขึ้นในหัว ขณะเพ่งมองภาพนี้ อาจเกิดความคิดด้านดีหรือด้านร้ายก็ได้ เมื่อเรียนรู้แล้วเช่นนั้น จะพบว่าสิ่งที่ควบคุม หรือปรับให้เกิดการเห็นเป็นแบบใดๆ ก็คือความตั้งใจของเราเอง สรุปว่าความเป็นบวกและลบแฝงอยู่ในเนื้อหาของภาพในแบบทวิลักษณ์นี่เอง สิ่งที่จะรับความเป็นบวกหรือลบคือจิตใจของเรา นี่เหมือนเมื่อเรามองโลก สัมผัสโลกในความเป็นจริง ไม่แตกต่างกันเลย”

    เสียงฮือฮาระงมไปทั่ว แม้แต่พิธีกรก็รู้สึกตกใจกับคำเฉลยที่ไหลรินออกมาจากริมฝีปากบางเฉียบ ถึงกับหันหน้าไปทางประธานอย่างจะเป็นนัยเรียนถามท่านว่าปีแรกมีเรื่องน่าตื่นใจขนาดนี้เชียวหรือ

    “ดิฉันใช้รูปธรรมสื่อได้อย่างมากที่สุดแค่คู่สอง คือมองอะไรให้เกิดสุขหรือทุกข์ในใจก็ได้ แต่แท้จริงธรรมที่เป็นทวิลักษณ์มีอยู่ทั่วไป เช่นความเป็นกายที่ปรากฏได้ทั้งงดงามหอมหวลและน่าเกลียดเหม็นหืนในก้อนเดียวกัน

    เป้าหมายสูงสุดของภาพทวิลักษณ์นี้ไม่ใช่เพื่อให้เห็น หรือก่อความรู้สึกขัดแย้งว่าอย่างไหนถูกอย่างไหนผิด สิ่งใดจริงสิ่งใดลวง แต่เพื่อให้รู้สึกว่าหน้าตาของอุปาทานในใจเราเป็นอย่างไร ความรู้สึกนึกคิดมันแปรไปได้ตามวิธีมองของเราจริงๆ”

    พิธีกรเปลี่ยนวิถีสายตาไปจับภาพเขม็ง เขาว่าเขาเริ่มเห็นสิ่งที่หล่อนพูดแล้ว วงกลมอันเกลื่อนไปด้วยเส้นสายสับสนนั้น เมื่อมองจับศูนย์กลางดีๆ ปรับสายตาเสียหน่อย อาจเห็นเป็นวงกลมในลักษณะเวียนเข้าก้นหอยก็ได้ หรือจะให้เป็นเกล็ดเพชรดาษๆก็ได้ นับเป็นเทคนิคซ้อนลายเส้นหลอกตาอันควรทึ่งสุดขีด เพราะนอกจากเห็นภาพเปลี่ยนแล้ว ยังสามารถแปรอารมณ์จากหน้ามือให้คว่ำเป็นหลังมือได้อีกด้วย!

    “เชื่อแล้วครับ…” พิธีกรคราง “นี่สมควรเป็นผลงานอันดับหนึ่งประจำปี เพราะทำให้ผมได้ซึ้งว่ากิเลสไม่ได้อยู่ที่โลก แต่อยู่ที่วิธีมองของเรา”

    พักครู่หนึ่งเหมือนจะให้ทุกคนลิ้มรสความเข้าถึงชนิดนั้นเช่นเดียวกับตน ก่อนเอ่ยสืบต่อ

    “ตัวภาพเองก็สมควรแก่รางวัลแล้วครับ คราวนี้คงต้องขอฟังร้อยกรองจากคุณกฤติยา เพื่อดูเนื้อหาเสริมกันหน่อย เชิญครับ”

    กฤติยารับกระดาษจากพิธีกร ก้มลงเปล่งคำอ่านอย่างสงบเสงี่ยม

    

    สนิทนิ่งมิติงไหวไร้ความคิด                  ไร้ดวงจิตผิดถูกอะไรไหน

    ไร้สุขทุกข์จุกอกสะทกใจ                      ไร้สิ่งใดใกล้กล้ำให้ธรรมเมา

    เป็นรูปวาดจึงอาจต้องครรลองตา           ผิวนอกหน้าดูสมกลมเสลา

    แต่เมื่อเพ่งเล็งหยุดจุดกลางเข้า            ก็กลับเร้าให้เราคิดผิดแผกกัน

    เพราะอาจเห็นเป็นก้นหอยถอยทางลึก    ตรึงใจนึกรู้สึกหวานปานสายฝัน

    แต่ปรับตาหาเกล็ดเพชรก็เสร็จกัน         จะกลับคั้นฟั้นใจให้ระคาย

    เป็นตัวอย่างทางดูให้รู้แน่                     ว่ารูปแค่แหย่ตาหาความหมาย

    ใช่บาปบุญคุณโทษแต่โดดดาย              จะดีร้ายขึ้นกับเลศกิเลสคน

    

    สิ้นคำอ่าน และกฤติยาเงยหน้าแล้ว ทุกคนในหอประชุมก็พร้อมใจกันปรบมือให้เกียรติอึกทึกครึกโครมยิ่งกว่าที่ปรบให้ผู้รับรางวัลที่ผ่านมาทั้งหมด แทบว่าหอประชุมจะถล่มทลายทีเดียว

    “น่าประทับใจครับ น่าประทับใจจริงๆ” พิธีกรกล่าวเสริมเสียงปรบมือของผู้ชมข้างล่าง “และน่ายินดีที่ปีแรกนี้ เราได้คนที่มีความรู้อรรถธรรม ซึ่งประกอบพร้อมไปด้วยความสามารถเช่นผู้รับรางวัลทั้งสามท่าน หวังว่าคงได้เกียรติเช่นนี้จากพวกท่านทุกปี…เชิญคุณกฤติยารับรางวัลจากท่านประธานครับ”

    กฤติยายิ้มให้คนดู แล้วหันมายิ้มลาพิธีกร จากนั้นกลับหลังก้าวไปรับรางวัลจากคุณโภไคย

    “ขอบใจมากที่มาช่วยเหลือกัน” ท่านประธานกล่าวยิ้มแย้ม “น่าเสียดายนะ หนูรู้ถูก รู้ชอบแล้ว แต่ไม่พยายามทำให้มาก มัวแต่เสียเวลาคิดขยายความ อยากให้คนอื่นรู้ตาม จนตัวเองไปไม่ถึงไหนสักที อย่างนี้เดินทางอ้อมไปสายพุทธภูมิแล้วนะ”

    หญิงสาวเบะปากยิ้มหมิ่นนิดหนึ่ง เพราะสัมผัสทางใจบอกว่ากระแสจิตท่านประธานไม่ได้เข้มข้นสักเท่าไหร่ ที่พูดเตือนเหมือนสั่งสอนหล่อนก็คงด้วยวัยวุฒิและความรู้สึกแบบผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็ก หล่อนเจอมานักต่อนักแล้ว ถึงทำดี พูดเก่ง หรือรู้มากขนาดไหน ก็ยังมีกิเลสหนาปัญญาหยาบอยู่ทั้งนั้น ชนิดที่สมองกับหัวใจทำงานตรงกันเพื่อลดละกิเลสอย่างถูกทาง ถูกพุทธิปัญญาน่ะ หาแล้วเจอยากเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรดีๆนี่เอง

    อย่างไรก็ตาม เมื่อเหลือบสบกัน เห็นแววตาคุณโภไคยฉายนิ่งกว่าคนมีการศึกษาธรรมดาทั่วไป กฤติยาก็ชักอยากรู้ว่าท่านมีดีสักแค่ไหน คนธรรมดา ‘ดูใจ’ กันด้วยการคบหาระยะหนึ่ง เห็นกิริยาและปฏิกิริยา เจรจาพาทีกันจนซึมซับความเป็นอีกฝ่าย หากจะยอมรับนับถือก็คือเห็นการแสดงภูมิรู้ ภูมิคิดได้ฉลาดปราดเปรื่องเป็นพิเศษ มีความประพฤติน่าเลื่อมใสกว่าใครๆ เช่นในแวดวงธรรมะก็มักดูกันว่าใครมีวาทะเฉียบคม ทรงความรู้จากพระไตรปิฎกแตกฉาน ถามอะไรตอบได้หมด หรือมีจริยาที่เหนือกว่าปุถุชน คนนั้นก็ถูกมองแล้วว่าธรรมะแก่กล้า พูดอะไรน่าเชื่อถือไปหมด ทั้งที่จริงข้างนอกสุกใสข้างในอาจเป็นโพรงก็ได้

    แต่สำหรับหล่อนไม่ต้องเสียเวลารอดู รอฟังอะไรทั้งนั้น ถ้าอยากดูก็ว่ากันเดี๋ยวนั้นเลยตรงๆ เห็นกันจะจะโดยไม่ให้โอกาสซ่อนเงื่อนเบือนบิดด้วยวาทะชักแม่น้ำทั้งห้าใดๆ หากยังอยากแต่อำพรางว่าหมดอยาก หากยังเอาแต่อำพรางว่าไม่เอา หล่อนดูปราดเดียวก็รู้แล้ว เห็นแล้ว

    สำรวมจิตเปิดใจว่างและกำหนดว่าจะ ‘รับ’ กล่าวคือถอดความรู้สึกตัวเองออกไปข้างนอกชั่วขณะ เหลือไว้แต่สภาพคล้ายกระจกเงาพร้อมรับกระแสตัวตนของบุรุษผู้ยืนประจันหน้า

    โดยทั่วไป หากมีอารมณ์หรือความรู้สึกนึกคิดผุดขึ้นในใจของฝ่ายตรงข้าม หล่อนก็จะสัมผัสคล้ายเกิดการปรุงแต่งอย่างนั้นๆขึ้นกับใจหล่อนเอง และสิ่งที่กฤติยาสัมผัสในปัจจุบันคือความเงียบว่างสว่างไสวในจิตใจของท่านประธานผู้ใจบุญ จึงเชื่อว่าเป็นคนมีเมตตากรุณาโดยปราศจากจริตมายาลวงโลก

    ความชำนาญในการเข้าออกสมาธิของกฤติยาทำให้สภาพรู้ดังกล่าวเกิดขึ้นในชั่วครึ่งทางลมหายใจเข้าเท่านั้น พอรู้แล้วว่าคุณโภไคยดีจริง ก็ชักเห็นว่าคุ้มถ้าจะออกแรงเพิ่มอีกนิดเพื่อดูว่าท่านดีทนสักเท่าใด วัดจากพลังจิตอันเป็นฐานกุศลนั่นเอง

    รวมความเข้มทั้งหมดของกระแสจิตตนส่งไป ‘ผลัก’ กระแสของอีกฝ่ายเบาๆ คล้ายเหวี่ยงหมัดลองเชิงว่าจะมีพลังต้านอยู่แค่ไหน คาดหมายว่าจะมีแรงสวนกลับเพียงแผ่วแบบผู้ใหญ่ที่ล้นอำนาจและบารมีทางโลกทั่วไป ซึ่งในระดับนั้น ฝ่ายคุณโภไคยผู้ถูกคุกคามจะสะท้านเยือกคล้ายเจอไอน้ำแข็งแผ่กระทบ สบตาหล่อนแล้วจะเกิดความครั่นคร้ามอย่างไม่อาจหยัดตั้งสติทน

    แต่แล้วกฤติยาก็ต้องสะดุ้งไหวอยู่ภายในเสียเอง หน่วยตาเบิกขึ้นเล็กน้อย เพราะแทนที่จะพบกำแพงพลัง ณ ตำแหน่งกายยืนของท่านประธานให้เกิดปฏิกิริยาสะท้อนตอบดังคาดหมาย กลับพบแต่ความว่างเปล่ารออยู่ จึงเหมือนนักมวยที่เหวี่ยงหมัดอย่างนึกว่าจะกระทบกระสอบทราย เพราะเห็นแขวนอยู่ตรงหน้าแท้ๆ กลับวืดไปในอากาศว่างอย่างเหลือเชื่อ ทำให้หัวซุนคะมำถลำไปด้วยความเสียศูนย์

    และพร้อมกันกับอาการซวนเซของกำลังจิต หญิงสาวก็สำเหนียกได้ถึงปฏิกิริยาแห่งกรรมที่ตนก่อ คือเป็นวูบปะทะกลับอย่างรุนแรงของอะไรอย่างหนึ่งที่ละเอียดเป็นคนละชั้นกับพลังจิต

    ลักษณะปล่อยจิตว่างเป็นสุญญัง อันทำให้ผู้อื่นกำหนดหาตำแหน่งที่ตั้งไม่ได้เช่นนี้ มีอยู่ในผู้เข้ากระแสนิพพานแล้วเท่านั้น หล่อนทราบจากครูบาอาจารย์ กับทั้งผ่านพบผู้ถึงสุญญังมาแล้วหลายท่าน

    ประกอบกับความจริงที่ว่าหล่อนทำกรรมแค่นิดเดียว คือส่งกำลังจิตเข้าปะทะคุณโภไคยด้วยความคิดปรามาสดูแคลนเพียงเล็กน้อย แต่กลับสำเหนียกได้ถึงการขยายผลเป็นกรรมหนัก กฤติยาก็แน่ใจทันทีว่าผู้ยืนอยู่ตรงหน้าหล่อนนี้ ไม่ใช่ปุถุชนธรรมดาดังที่ตนทึกทักเอาแต่แรกเสียแล้ว

    ยังดีที่เมื่อครู่ท่านไม่รวมกำลังจิต ‘ผลักกลับ’ เพราะจะเหมือนหล่อนขี่จักรยานประสานงากับรถกระบะที่วิ่งสวน หล่อนอาจถึงขั้นบาดเจ็บ คืออ่อนเปลี้ยรวมจิตไม่ติด ฟุ้งซ่านกระเจิง กำหนดตั้งสมาธิไม่ได้ไปอีกนาน

    หญิงสาวหน้าถอดสีด้วยตระหนักในโทษแห่งบาปอันก่อขึ้นโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หล่อนพลาดไปถนัด เหมือนมีตาไร้แวว เห็นท่านใช้ชีวิตในเมือง คลุกกิเลสโลกย์อย่างใกล้ชิด คงไม่ได้ดีทางธรรมเท่าไหร่นัก ที่แท้สูงลิ่วทั้งมหากำลังและภูมิธรรมอันประเสริฐอย่างนี้

    “อโหสิให้เด็กโง่อย่างหนูด้วยเถอะค่ะ”

    พึมพำพอได้ยิน และไม่กล้าสบตาคุณโภไคยตรงๆอีกเลย

    “ไม่เป็นไร ขอให้โทษมีแก่ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่ผ่านพ้นไปแล้ว อย่าได้มีต่อหนูแม้แต่นิดเดียว ทั้งในปัจจุบันและอนาคต”

    กฤติยายิ้มไม่สนิทนัก พนมมือไหว้ ถอนสายบัวอย่างงามด้วยความคารวะอย่างสูงพร้อมขอลุแก่โทษในตัว ผู้ปฏิบัติจิตที่เป็นสัมมาทิฏฐิไม่ได้เคารพนับถือกันด้วยความเฉลียวฉลาด ฐานะทางสังคม หรืออายุอานามเป็นหลัก แต่ดูกันตรงคุณธรรมชั้นสูงที่เข้าถึงแล้ว แจ่มชัดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นฌานสมาบัติหรือมรรคผล

    ผู้เป็นที่หนึ่งประจำปีก้าวเลี่ยงลงจากเวทีไปด้วยท่วงทีเจียมตัว ต่างจากขาขึ้นที่เปี่ยมด้วยความทะนงในภูมิ สำคัญว่าตนเป็นผู้มีคุณวิเศษสูงสุดของงาน

    คุณโภไคยมองตามด้วยสายตาชื่นชมน้ำใจเพราะอ่านออกว่ากฤติยามุ่งพุทธภูมิ ทว่าความชื่นชมนั้นก็ระคนอยู่ด้วยความเป็นห่วง เนื่องจากหล่อนครองอัตภาพหญิง ซึ่งชี้ชัดว่ายังไม่ใช่นิยตโพธิสัตว์ มีอนาคตให้พลิกผัน กลับร้ายเป็นดี กลับดีเป็นร้ายอีกยืดยาว ไม่มีใครพยากรณ์ได้ว่าจะจบลงเอยที่สุดเป็นอะไรแน่

    ส่ายหน้าเล็กน้อยกับตนเอง ผู้ปรารถนาพุทธภูมินั้นมากเท่าน้ำในบ่อ แต่ผู้ดีพอ ดีทนจะดั้นด้นไปถึงฝั่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้น น้อยเท่าน้ำเพียงหยดเดียว ที่เหลือตกม้าตายระหว่างทาง ลาพุทธภูมิกันระนาว เขาเห็นด้วยตานอกและตาในมานักต่อนัก เหมือนอยากเป็นผู้ปกครองหมายเลขหนึ่งของประเทศนั้นใครๆก็อยากได้ แต่ส่วนใหญ่พยายามจนแก่ตายก็ไปไม่ถึงดวงดาว เพราะต้องสร้าง ต้องทำ ต้องเพียรกันเลือดตากระเด็น

    เวลาในการบำเพ็ญบารมีเพื่อพระโพธิญาณนั้น วัดได้เพียงประมาณด้วยหน่วยอสงไขยมหากัปป์ จะนับจำนวนชาติเป็นตัวเลขให้เชื่อไม่ได้ ทำนองเดียวกับระยะทางในห้วงว่างของจักรวาล ที่ใช้หน่วยไมล์หรือกิโลเมตรนั้นเล็กเกินกว่าจะทำความเข้าใจ ต้องใช้หน่วยปีแสงจึงพอฟังง่าย

    จำนวนชาติที่ใช้บำเพ็ญเพื่อตรัสรู้ชอบเอง และมีกำลังบารมีพอจะก่อตั้งพระพุทธศาสนานั้น มากมายจนเป็นอจินไตย คือคิดคะเนคำนวณไม่ไหวว่าเท่าไหร่แน่ ท่านจึงให้นับเป็นอนันตชาติ…

    พิธีกรหันมาทางผู้ชม ซึ่งยังคงนั่งกับที่ แม้สามรางวัลใหญ่จะผ่านไปแล้ว เนื่องจากรางวัลชมเชยของที่นี่ สูงกว่ารางวัลใหญ่ของที่ไหนๆทั้งหมด สิ่งน่าสนใจจึงยังคงวางอยู่ตรงหน้าอีกมาก

    “ย้ำอีกครั้งว่าท่านที่เหลือต่อไปนี้ทั้งหมด ล้วนมีผลงานเป็นที่พอใจของคุณโภไคยแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมเชื่อถือและเลื่อมใสในวิจารณญาณของท่านเป็นที่สุด ดังนั้นขอกล่าวว่า ผู้รับรางวัลชมเชยน่าจะภูมิใจในผลงานของตัวเองไม่แพ้ผู้รับรางวัลใหญ่สักเท่าไหร่ครับ”

    แพตรีหันมาหามติ

    “ท้าเลย ถ้าเธอพลาดรางวัลชมเชยนะ ให้ปรับยังไงก็ได้”

    เสียงนุ่มเย็นนั้นก่อความรู้สึกอบอุ่นใจกับเขายิ่ง แค่มีหล่อนอยู่ข้างๆ ก็ยิ่งกว่าได้รางวัลที่หนึ่งแล้ว…

    “มั่นใจฝีมือผมขนาดนั้นเลยเหรอ คนเก่งกว่ามีอยู่หลายร้อยฮะ รู้สึกจะสู้ไม่ไหวหรอก ช่วงเช้าเดินดูได้แค่เกือบครึ่ง ก็เห็นแล้วว่าที่ร่วมประกวดนี่หัวกะทิและมือทองกันทั้งนั้น”

    “นี่ไงล่ะ แพรับประกันอยู่นี่ไงว่าเธอก็หนึ่งเหมือนกัน และต้องได้แน่ๆ ถึงยอมให้ปรับถ้าผิดจากที่พูด”

    มติเห็นดวงตาหล่อนขึ้นประกายในเงามืด จนสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มซุกซนที่ผุดพรายใต้ดวงตา รวมทั้งรู้ใจตนเองว่าถลำลงหลุมรักแพตรีลึกขึ้นทุกที

    “ก็ดีฮะ ถ้าพลาดทุกรางวัลจะได้มีอะไรปลอบใจมั่ง ถ้าพี่แพเดาผิด ผมอดรางวัลชมเชย พี่แพต้อง…ต้องไปนั่งดูทะเลกับผมนะ”

    จิตรกรหนุ่มเอ่ยขอตะกุกตะกักด้วยความขลาดกับปฏิกิริยาอันไม่เป็นที่รู้ของแพตรี

    “ตกลง!”

    หล่อนตอบง่ายราวกับเขาฝันไป มติใจชื้นจนกล้าถามอีก

    “แล้วถ้าผมได้รางวัล จะฉลองกับผมหรือเปล่า?”

    “ฉลองยังไง?”

    “ไปนั่งดูทะเลด้วยกัน”

    หญิงสาวหัวเราะเบาใส

    “ก็ได้…”

    เหมือนมีกระแสเย็นรื่นมาช้อนหัวใจเขาลอยขึ้นสวรรค์ กังวานวิเวกหวานในสายเสียงตอบรับนั้นจุดรอยยิ้มเผลอไผลขึ้นที่ริมฝีปากของมติ ไปอยู่ในที่ที่มีแต่เขากับแพตรีสองคนคือความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวเสมอมา รองจาก…

    รองจากอะไรลืมแล้ว…

    มติกับแพตรี รวมทั้งคนอื่นในหอประชุมต่างเงียบเสียงตั้งใจฟัง เมื่อพิธีกรกำลังจะเอ่ยชื่อบุคคลแรกที่ได้รับรางวัลชมเชย

    “ขอแสดงความยินดีกับท่านแรกครับ เจ้าของผลงาน ‘แสงนฤพาน’ คุณมติ ภูริพัฒน์”

    เสียงปรบมือดังขึ้นอีกระลอก สองหนุ่มสาวหันมาแลตากัน แพตรีแย้มริมฝีปากเห็นประกายไรขาววาวแวว แล้วยกสองมือขึ้นตบ เห็นไหวๆราวกับจะแทนรูปช่อดอกไม้แสดงความยินดีเยี่ยงคนใกล้ชิดสนิทที่สุด

    มติถอนสายตาจากหญิงสาว ลุกขึ้นเดินขึ้นเวทีเพื่อรับรางวัล แต่แปลก ใจไม่คิดสิ่งอื่นใดเลย นอกจากอยากเดินกลับที่นั่งเร็วๆ กลิ่นอายของแพตรีติดตามมาครอบงำจิตใจทุกฝีก้าว ความหอมหวานของหล่อนเหมือนมนตร์สะกดให้หลงลืมทุกสิ่ง แม้ความดีใจตรงหน้าก็ถูกข่มรัศมีลงจนเกือบมิด เงินรางวัลก้อนโตถูกมองอย่างเดียวว่าจะแปรเป็นของขวัญอันแสนวิเศษสำหรับหล่อนอย่างไร ให้สมกับที่หล่อนเป็นของขวัญแสนวิเศษสำหรับชีวิตเขาในยามนี้

    รู้สึกเหม่อๆจนต้องเตือนตนเองให้ตั้งสติเมื่อก้าวขึ้นมาอยู่บนเวทีต่อหน้าคนเรือนพัน เขาพยายามมองหาแพตรี อยากยิ้มให้หล่อนสักนิดหนึ่ง แต่แสงจ้าของสปอตไลท์ที่แยงตาลงมาจากด้านบนบดบังทุกสิ่งเบื้องล่างไว้ให้เหลือเป็นเพียงเงาตะคุ่มเลือนราง

    ถึงคิวนี้พิธีกรชักเริ่มรู้ว่าตนเองน่าจะอ่านร้อยกรองของผู้รับรางวัลไว้ล่วงหน้าบ้าง เวลายิงคำถามจะได้เข้าเป้าเร็วขึ้น แทนที่จะใช้ความเก๋าเฉพาะตัวเพียงอย่างเดียวเหมือนที่ผ่านมา ระหว่างมติเดินขึ้นเวที จึงแอบชำเลืองไว้แล้ว

    พิธีกรขบริมฝีปากหน่อยๆ มองหน้าเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับผู้รับรางวัลเหรียญเงินเมื่อครู่ ดูอาจจะอ่อนกว่าเสียด้วยซ้ำ นึกกังขาว่าพ่อหนุ่มน้อยนายนี้พยายามจะสื่อประสบการณ์ตรงหรือจินตนาการนึกคิดฉลาดปรุงแต่งกันแน่

    ท่าทางผู้รับรางวัลคนนี้คงรักสันโดษอยู่ บุคลิกของความเป็นคนเก็บตัวเงียบฉายชัดออกมาทางกิริยาเดินเหินและกระแสนิ่งรอบตัว แต่หากให้วิจารณ์ตรงไปตรงมา ก็อยากบอกว่าน่าจะยังเป็นนักปฏิบัติกระดูกอ่อน หรือแค่มือใหม่หัดเดินจงกรม เหตุเพราะมองนัยน์ตาและรอยยิ้มแล้ว ยังส่อแววช่างคิดช่างฝันอยู่มาก แทบน่าฟันธงไปเลยด้วยซ้ำว่ากำลังเคลิ้มอยู่ในอารมณ์รัก แววชนิดนั้นใครๆก็ดูออก เพราะเป็นของสมวัย สมวิถีโลกอยู่แล้ว

    ทว่าภาพและบทกลอนขยายความของมติก็ทรงพลังหนักแน่นเกินกว่าจะลงความเห็นปรามาสเสียแต่ต้นมือ

    ฉะนั้นหลังจากทักทายปราศรัยเกี่ยวกับสถานภาพปัจจุบันเล็กน้อย แทนที่จะถามถึงแรงบันดาลใจหรือความเป็นมาของภาพ พิธีกรกลับเลือกยิงหมัดแย็บเป็นการสอบภูมิเสียก่อน

    “คุณมติครับ ผมทราบมาว่าการจะบรรลุมรรคผลได้นี่ต้องใช้กำลังใจระดับหนึ่งเพื่อตัดกิเลส เหมือนเราต้องมีทั้งใบเลื่อยที่คมแข็ง และทั้งแขนที่แกร่ง ถึงจะตัดต้นไม้ได้ อันนี้คุณมติพอจะมีคำแนะนำดีๆและง่ายๆในการสะสมกำลังให้พร้อมจะตัดกิเลสบ้างไหมครับ?”

    มติกะพริบตาถี่ๆ เดิมทีเขาไม่ใช่คนพูดคล่อง โดยเฉพาะการพูดในที่ชุมชน ว่ากันตรงไปตรงมาก็คือเขาเป็นคนขี้อาย ขาดความเชื่อมั่นเมื่ออยู่ต่อหน้าคนจำนวนมาก ถ้าจะให้ขยายความรู้ความฉลาดได้นี่ต้องอยู่ในที่สงบเป็นสัดส่วนกับคนใกล้ชิดเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม เมื่อขึ้นมายืนบนเวทีนี้แล้ว ความขลาดในการเผชิญหน้ากับหมู่ชนดูเหมือนขาดสายหายหนไปได้อย่างแปลกประหลาด เขารู้สึกถึงพลังอัดที่รออยู่ในแก้วเสียง พร้อมจะแปรสภาพเป็นถ้อยกระทงพรั่งพรูออกไปเต็มปากเต็มคำ กับทั้งรู้สึกสบายๆ หายใจปกติได้เท่ากับอยู่ในห้องนอน ไม่ต้องเกร็งเนื้อตัว ไม่ต้องตระเตรียมสติเพื่อเค้นความคิดในหัว เพราะแน่ใจว่ามีคำตอบอยู่หมดแล้ว จะเรียกจากในกายหรือนอกกายเดี๋ยวนี้หรือเดี๋ยวไหนก็ได้ทั้งนั้น

    พิธีกรถามถึงเรื่องการสะสมกำลังเพื่อตัดกิเลส ว่าเข้าไปถึงภาวะจิตที่พร้อมบรรลุมรรคผลเลยทีเดียว โดยเฉพาะตั้งโจทย์เล่นแง่เฉพาะเสียด้วย คือต้องดีและง่าย แน่นอนหากถามคนเพิ่งศึกษาธรรมะจากหน้าหนังสือ ไม่เคยลงสนามจริงมาก่อน ก็คงตกตะลึงจังงัง เพราะคำตอบมิได้ปรากฏอยู่ในตำราทั่วไป ต้องว่ากันสดๆ สืบหาเอาจากสมบัติภายในตนเอง หยิบยืมจากใครหรือคัมภีร์เล่มไหนไม่ได้

    ชั่วพริบตาก่อนขยับปากพูด มติรู้สึกถึงตัวตนใหม่อันเกิดจากสภาพภายในที่เปลี่ยนแปลงฉับพลัน หลังตรง คอตั้ง ทรงอยู่ด้วยแกนรู้ว่างสว่างขาวเยี่ยงผู้เบาบางแล้วจากกิเลสหยาบ ใจที่เคารพธรรมอันสูงส่งย่อมถูกยกส่งขึ้นสูงตามไปด้วย เขากำลังจะพูดออกมาจากธรรม มิใช่จากตัวตน ในหัวยามนี้จึงดูเงียบเชียบ สงบสงัดจากความคิดแบบเดิมๆ เขากลายเป็นธรรมทั้งแท่งไปชั่วครู่ที่เอ่ยถ้อยอันเป็นธรรม

    “อันนี้พอเปรียบเทียบได้กับนักยกน้ำหนัก ที่เพาะกล้าม เพาะกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนเหมาะกับจานเหล็กหนักขนาดต่างๆ วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือรู้กำลังตัวเอง ว่าควรเริ่มที่น้ำหนักเท่าไหร่

    สภาพจิตที่พร้อมบรรลุมรรคผลเพื่อตัดกิเลสนั้น เราเล็งไปที่กำลังในการเพ่งเห็นอนัตตาจนจิตหมดอาการยึดสิ่งใดๆแม้จิตเองเป็นตัวเป็นตน จิตมีลักษณะปล่อยวางว่างสนิทจนตัวรู้ถูกเหนี่ยวนำด้วยความบริสุทธิ์ของพระนิพพาน ให้โพล่งขึ้นฉายเป็นอิสระ หมดการกำหนดหมายใดๆ

    เพราะฉะนั้นลักษณะจิตในแบบที่เราต้องการ ควรปราศจากความยึดติด พร้อมจะปล่อยวางทุกสิ่ง และมีน้ำอดน้ำทนพอจะเพ่งเผาอุปาทานได้แห้งสนิท ไม่ใช่เดี๋ยวเดียวก็คลายอาการเพ่งลง จนจิตไม่ทันดิ่งลงซึ้งถึงความว่างไร้การปรุงแต่ง

    ถ้าหากยึดลักษณะจิตเช่นนี้เป็นหลักแล้วน้อมเข้ามาดูใจเราเอง จะเห็นครับว่าตัวเองมีกำลังพร้อมแค่ไหนกับการบรรลุมรรคผล บางคนอาจมีใจปล่อยวาง เบาโกรธ เบาโลภ เบาหลงอยู่แล้ว รวมทั้งมีกำลังจิตดีพอจะเพ่งรู้เข้าไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานๆ อย่างนี้ก็อาจใช้ปัญญาพิจารณาธรรมในแง่อนิจจัง ทุกขัง หรืออนัตตาได้เลย เป็นการมุ่งลัดตัดตรงทีเดียวเหมือนเช่นผู้มีบารมีพร้อมบรรลุมรรคผลเร็วทั้งหลาย

    แต่สำหรับคนทั่วไป ถ้ายอมรับได้ในขั้นแรกว่าตัวเองยังโกรธแรง โลภแรง ก็จะได้เริ่มเพาะกำลังกันจากจุดนั้น คือทำจิตให้เป็นทานบ่อยๆ เสียสละแจกจ่ายได้หมดทุกแง่ ไม่ว่าจะเป็นใจให้ทรัพย์สินเงินทองเป็นประโยชน์กับคนอื่น หรือเป็นใจให้อภัยในความผิดพลั้งของคนอื่น หรือเป็นใจให้หลักธรรมในการพัฒนาชีวิตกับคนอื่น คุณของใจที่ให้ทานจนชำนาญแล้ว จะถอดเกราะอันหนาเตอะลงวางเสียได้ กำจัดโรคสงสารตัวเองอันเป็นเจ้าเรือนใหญ่ของอุปาทานในอัตตา นอกจากนั้นพฤติกรรมทางจิตยังเป็นแบบเดียวกับขณะก่อนบรรลุมรรคผล คือสลัดตัดวาง ปล่อยออกได้หมดทุกอย่าง ทิ้งได้หมดทุกสิ่ง

    ทานจึงไม่ใช่ของเล็กอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่มีความหมายในระดับแบบฝึกหัดเบื้องต้นเพื่อการเข้าถึงธรรมเป็นพระอริยบุคคลทีเดียว ถ้าใครให้ทานมากจนจิตติดทาน ขนาดคิดปรารถนาอุทิศตนเป็นประโยชน์กับสาธารณชน หรือนึกว่าแม้กายนี้ เมื่อไม่ใช้แล้วก็อยากบริจาค จะเข้าใจได้ดีครับ ความรู้สึกปราศจากความหวงแหน อยากบริจาคดวงตา บริจาคอวัยวะ บริจาคเลือดแบบไม่อาลัยไยดีนั้น ใกล้เคียงกับ ‘จิตทิ้ง’ เมื่อจะบรรลุมรรคผลมาก

    กำลังจิตที่ได้จากการบำเพ็ญทานเป็นนิตย์ วัดกันได้จากความสุขแรง สงบสว่างเยือกเย็นในขั้นหนึ่ง เราสามารถใช้ความสุขระดับนั้นเป็นกำลังใจในการต่อยอดขั้นต่อไปคือรักษาศีล ซึ่งธรรมดาคนทั่วไปบอกว่าศีลรักษายาก แต่เมื่อได้กำลังจากจิตที่เป็นทานหนุนหลังแล้ว จะเห็นว่าไม่ยากเลยกับการเลิกฆ่าสัตว์ เลิกลักทรัพย์ เลิกผิดลูกเมีย เลิกโกหก และเลิกเสพสิ่งมึนเมา

    คนทั่วไปถูกยวนยั่วให้ผิดศีลกันเป็นปกติ เพราะฉะนั้นชีวิตธรรมดาๆนี่เองเป็นแบบฝึกหัดสำหรับการถือศีล การถือศีลคือต้องตั้งใจไว้ล่วงหน้าว่าเจอเหตุการณ์ยั่วให้ศีลขาดแล้วจะไม่ไหลตามน้ำ จะทวนกระแส เช่นเมื่อตั้งใจจะไม่โกหก พบเหตุการณ์ที่ยั่วยวนให้โกหก ก็ตัดสินใจเลือกพูดความจริงทันที ไม่ชะงักลังเลใดๆ อย่างนี้จึงจะเรียก ‘ถือศีล’ ยิ่งถือมากเท่าไหร่ยิ่งใกล้ความเป็นผู้ทรงศีลถาวรเท่านั้น

    กำลังที่ได้จากการถือศีลคือความมั่นคงทางใจ กับทั้งรู้สึกสูงพร้อมพอจะต่อยอด เพราะใจกับความดีกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน ความดีอันมั่นคงนี้พัฒนาเป็นสมาธิได้ง่าย เพ่งจับสิ่งไหนก็ไม่ฟุ้งซ่านซัดส่ายจากสิ่งนั้น และเมื่อจิตมีกำลังเหลือเฟือ ก็สามารถใช้เวลาทุกนาทีให้มีค่าได้ด้วยการพิจารณาธรรมอย่างต่อเนื่อง ยิ่งมีความต่อเนื่องเนิ่นนานเท่าไหร่ ยิ่งก่อกระแสเหนี่ยวนำมรรคผลได้มากขึ้นเท่านั้น

    ถึงจุดนี้เอง เราได้มหากำลังที่พร้อมต่อการเข้าถึงมรรคผล ลักษณะภายในจะเป็นจิตใหญ่ เหมือนผู้มีมัดกล้ามย่อมรู้สึกพร้อมจับยึดสิ่งต่างๆอย่างแน่นหนา หรือยกของมีน้ำหนักมากได้อย่างมั่นใจ นั่นคือเอาจิตไปพินิจสิ่งต่างๆ นับเริ่มจากความเป็นกาย ความเป็นผัสสะกระทบกาย ไปจนกระทั่งตัวของจิตผู้รู้เอง เห็นทุกสิ่งพร้อมกัน และแทงตลอดไปถึงความเป็นปัจจัยของกันและกัน ไม่มีตัวตนอยู่ในที่ใดๆ

    ฉะนั้นเบื้องต้นแล้ว ต้องเล็งให้เห็นว่ากำลังในระดับทาน ศีล สมาธิ ปัญญามีอยู่ในเราหรือยัง ถ้ามีมีอยู่ที่ตรงไหน อันนี้สำคัญมาก ยิ่งมีกำลังสูงขึ้น ก็จะมองย้อนกลับไปเห็นครับว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ถูกแล้ว ทางลัด ทางง่ายกว่าทาน ศีล สมาธิ และปัญญา ไม่มีอีกแล้ว ใครเข้าปฏิบัติธรรมแบบด่วนได้ ก็อาจเหมือนนักยกน้ำหนักใจร้อนที่ผลีผลามพยายามเกินกำลัง ถ้าผลเสียไม่ถึงขนาดกล้ามเนื้อฉีกขาด อย่างน้อยก็เสียกำลังใจ ไม่ชวนให้อยากกลับมาฝึกฝนต่อให้สำเร็จ”

    มติตอบยืดยาว เพราะลักษณะธรรมอันเป็นคำตอบของคำถาม บังคับให้ต้องเป็นไปเช่นนั้น

    และอันเนื่องจากจิตทรงตัวเป็นสมาธิสว่างไสวตลอดเวลาสาธยายธรรม น้ำเสียงที่เปล่งออกไปจึงชวนฟัง เหนี่ยวนำให้จิตใจสงบลงใกล้ธรรม ใกล้นิพพาน ซึ่งนั่นย่อมต่างกับคนที่พูดถึงธรรมะชั้นสูงด้วยใจที่ยังไม่ถึงธรรม ฟังแล้วเกิดความขัดแย้ง อยากหน่ายหน้าหนี

    สาระของการสาธยายธรรมจึงไม่ได้อยู่ที่สั้นหรือยาวเท่าไหร่ ต้องใช้ปัญญาลึกซึ้งอัศจรรย์เพียงใด แต่อยู่ที่พูดจากใจที่เย็นแค่ไหน ส่งตรงจากสัจจะความจริงที่มีในตนหรือไม่

    พิธีกรเห็นได้ด้วยตาเปล่า ว่ายิ่งพูด เด็กหนุ่มก็ยิ่งมีสีหน้าผ่องใสขึ้น และมีกระแสใจสงบเย็นลงเรื่อยๆ กับทั้งธรรมที่เปล่งจากปากกลมกลืนเป็นเนื้อเดียว ไม่ส่อเค้าขัดแย้งกับใจ จึงชักเริ่มเอนเอียงข้างเชื่อ ว่ารายนี้ของจริง

    ด้วยความเป็นสัมมาทิฏฐิผู้มีปัญญา พิธีกรจึงเห็นสบโอกาสเหมาะ ไถ่ถามข้อข้องใจของคนทั่วไปเสียเลย ถามเอาจากตัวจริง เสียงจริงอย่างนี้แหละเหมาะที่สุด เพราะคำตอบย่อมเป็นตัวสรุปให้เชื่อว่านำไปสู่มรรคผล ต่างจากผู้รับรางวัลใหญ่ทั้งสามที่ผ่านมา ซึ่งชัดว่ายังเป็นผู้ข้อง ผู้สงสัยอยู่ว่านิพพานมีจริงหรือไม่ ในเมื่อยังไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัสโดยตรงมาก่อน

    ผู้ยังไม่ถึงธรรม พูดแล้วย่อมแกว่งที่ปลายทาง เพราะยังหาข้อยุติแน่ชัดไม่ได้

    แต่ผู้เข้าถึงธรรมแล้ว ย่อมเป็นมติแห่งธรรม พูดเข้าจุด เข้าธรรมแท้ถ่ายเดียว

    “คุณมติครับ เราจะพยายามบรรลุมรรคผลกันไปทำไม?”

    มตินิ่งอยู่ในอาการสมาธิอึดใจหนึ่ง ตัวคำตอบก็ผุดขึ้นในหัว

    “เบนคำถามเป็นอย่างนี้ดีกว่าครับ เราจะละกิเลสไปทำไม เพราะการบรรลุมรรคผลที่แท้ไม่ใช่เพื่อความสูงส่งหรือหวังสมบัติสวรรค์ชั้นไหน แต่เป็นไปเพื่อดับกิเลส ทำลายกิเลสนั่นเอง หัวใจของพุทธศาสนาคือเห็นกิเลสเป็นตัวก่อทุกข์ ก่อความเร่าร้อนขึ้นในใจ ฉะนั้นดับกิเลสก็คือดับต้นเหตุของทุกข์

    กิเลสเป็นไฟที่ดับด้วยน้ำไม่ได้ ใช้เจตนาหรือแม้กำลังจิตอันแก่กล้ามาดับก็ไม่ได้ นี่เองเป็นเหตุให้คนทั้งหลายมองว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะดับโกรธ ดับโลภ ดับหลง จะเก่งกาจจากไหนก็ตาม ในเมื่อเชื่อเสียแล้วว่าเป็นเรื่องธรรมชาติก็ไม่คิดจะดับ อย่างมากแค่คิดควบคุมให้อยู่ในร่องในรอยเท่านั้น

    แม้มีคนบางพวกที่เห็นภัยของกิเลส และพยายามหาทางดับกิเลส แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ถึงแม้ทำสมาธิได้จนถึงขั้นสูงสุด จิตก็ยังตก ยังคืนกลับมาแสดงกิเลสได้อีก กระทั่งพระมหาบุรุษเช่นพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก จึงมีการค้นพบว่าต้องใช้ไฟล้างคือมรรคผลในการตัดกิเลส และพระองค์ก็ประกาศธรรม ประกาศทางคือมรรคแปด หรือทางสายกลางที่เรารู้จักกัน เพื่อจุดไฟล้างดังกล่าว ใครล้างกิเลสได้ขาดแล้วก็รับรองตามพระพุทธเจ้าได้ครับ ว่าเพียรพยายามเพื่อบรรลุมรรคผลนั้นดีแน่ หมดทุกข์แน่”

    “เมื่อกี้คุณมติพูดถึงทางสายกลางที่จะนำไปสู่การจุดไฟล้างกิเลส จะกล่าวโดยย่นย่อได้ไหมครับว่าทางสายกลางคืออะไร”

    “ทางสายกลางคือการเป็นอยู่ที่เสพผัสสะชนิดไม่แรงเกินไป ทั้งด้านที่จะเป็นทุกข์และเป็นสุข เรารู้สึกได้เองว่าดำเนินชีวิตอย่างไรแล้วไม่เกิดราคะ โทสะ โมหะครอบงำใจ สามารถเตรียมใจให้พร้อมเป็นมรรคแปดง่ายๆ

    ตัวมรรคแปดเองคือจิตดวงเดียวที่มีความสว่างอันเกิดจากศีล สมาธิ และปัญญาประชุมพร้อมเข้าด้วยกัน ในภาวะจิตแบบนั้น เมื่อคลื่นความคิดสงบตัวลง จะมีความเห็นถูก เห็นชอบผุดขึ้นแทน เรียกว่า ‘ทิฏฐิวิสุทธิ์’ เห็นทุกสิ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นโทษเป็นภัยน่าหน่ายแหนง ยิ่งมีพฤติกรรมทางจิตผละออกเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหนี่ยวนำให้ใกล้เกิดกระแสล้างกิเลสขึ้นเท่านั้น”

    พิธีกรยังติดใจ อยากซักอยากถามให้ทะลุตลอดสาย เสียแต่เห็นว่าได้เวลาอันสมควร เพราะยังมีผู้รับรางวัลข้างหลังรออยู่ จึงหันมาสรุปด้วยน้ำเสียงแสดงความปีติ

    “ท่านผู้มีเกียรติครับ คุณมติทำให้ผมเห็นตัวอย่างว่าถ้าจับเส้นทางชีวิตได้ถูกจุดตั้งแต่วัยแรกเริ่ม ก็เป็นอันลัดทาง เข้าถึงประโยชน์ของชีวิตได้แต่เนิ่นๆอย่างนี้เอง เอาล่ะครับ…ขอเชิญอ่านร้อยกรองประจำภาพ ‘แสงนฤพาน’ ของคุณมติให้พวกเราฟังเถิด”

    มติรับแผ่นกระดาษจากมือพิธีกรมา และเริ่มอ่านบทกลอนของตน ทีแรกก็อ่านไปเรื่อยๆไม่สะดุดอะไร แต่พอผลัดช่วงจากกลอนหกเป็นกลอนแปด ตอนจบบาทแรกนั่นเอง เขาก็เห็นคำสะกดผิดคือ
    

    ทำไมเหวยไม่เคยซึ้งจนวันนี้      วันที่มีพระผู้ชี้จนกูทาย
    

    คำว่า ‘กูหาย’ กลายเป็น ‘กูทาย’ คงเพราะคนคัดลอกเห็น ห. หีบเป็น ท. ทหาร ขาดความระมัดระวังตรวจพิสูจน์ให้ละเอียดเนื่องจากจำนวนผลงานที่ได้รับรางวัลมีอยู่เยอะ

    นั่นทำให้อึ้งงัน สะดุดการอ่านไปอึดใจ มติรู้สึกตัวว่าย่นคิ้วด้วยความขัดเคือง โทสะแล่นขึ้นแทรกซึมเข้าสู่หัวใจเป็นริ้วๆ เพราะทราบว่าที่ฉายขึ้นสกรีนเล็กก็คงเหมือนกับที่อยู่ในกระดาษนี่เอง และอาจแพร่กระจายไปในวงกว้างผ่านสื่อมวลชนด้วยอีกต่างหาก ความหละหลวมของคณะดำเนินการทำให้งานของเขาพลอยมัวหมองไปด้วย

    นี่เป็นเรื่องออกจะแรงเอามากสำหรับศิลปินทั่วไป ซึ่งมักเข้มงวด อยากให้งานของตนไร้ที่ติ อัดแน่นด้วยความสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะเมื่อปรากฏต่อสายตาสาธารณชน

    บนเวทีแห่งนี้ ถ้ามีใครเอาของแข็งมาฟาดท้ายทอยเขาเปรี้ยงหนึ่งโดยไม่ทันรู้ตัว เขาอาจไม่โกรธ และเป็นบทพิสูจน์ความมีโทสะน้อยของผู้เป็นหลักฐานการบรรลุมรรคผล ปรากฏน่าเลื่อมใสแก่สายตานับพันคู่

    แต่นี่เกิดเหตุบันดาลโทสะจี้ถูกจุด ถึงกับทำให้เขาชักสีหน้า และหยุดอ่านไปชั่วขณะอย่างนี้

    เพราะ ‘กู’ ของจริงยังไม่ ‘หาย’ สนิท

    เมื่อสติกลับคืนจึงเกิดความรู้สึกละอาย เพราะเพิ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทน พูดแทนพระธรรม ยังไม่ทันไรสำแดงกิเลสเฉพาะตัวออกมาอวดเสียแล้ว

    ก่อนขึ้นเวทีเขาปล่อยให้ราคะแผลงฤทธิ์จนเกือบตั้งสติทำหน้าที่ไม่ได้ พออยู่บนเวทีก็ปล่อยให้โทสะสำแดงเดชเข้าอีก น่าอับอายขายหน้าเหลือเกิน ใครไม่เห็นก็เขาเองนี่แหละที่เห็น

    กิเลสทุกชนิดมีลักษณะเหมือนกันหมด คือบดบังปัญญาเห็นธรรม ปัญญารักษาธรรม และปัญญาปรารถนาธรรมเอาไว้ เมื่อราคะยังไม่ดับก็แปลว่าโทสะยังไม่ดับด้วย เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของใจที่ไม่อาจทนต่อสิ่งกระทบและแรงเร้าภายนอกทั้งสิ้น

    การเตือนตนเองได้เป็นลักษณะหนึ่งของโสดาบันบุคคล

    เมื่อมติสำนึกได้ ดวงจิตก็สว่างเบิกบานขึ้น อ่านกลอนต่อด้วยนวลเสียงหนักแน่น พอจบและรับเสียงปรบมือจากผู้ชม ก็หันมองภาพบนสกรีนยักษ์ ใจนึกถึงแสงนฤพานในตนขึ้นมา คล้ายได้ตื่นขึ้นจากการหลับไหลหลงสติไปชั่วขณะหนึ่ง

    สำหรับจิตของอริยบุคคลชั้นตนนั้น ในระดับสมาธิธรรมดาจะเห็นกลางอกเป็นความว่างโล่ง โปร่งสบาย ถ้าเอาจิตเข้าไปอาศัยในความว่างโล่งนั้นแล้วมองออกมาภายนอก ก็จะเห็นกาย เห็นสิ่งทั้งหลายภายนอกเป็นสิ่งสมมุติชั่วคราว ว่างเปล่าได้หมด โดยแทบไม่ต้องกำหนดพิจารณาแต่อย่างใด ต่างกับปุถุชนที่ยังต้องเค้นพิจารณาประกอบเหตุผลกันเหนื่อย กว่าจะเริ่มเห็นจริงเห็นจังได้

    ลักษณะของผู้เข้ากระแส จะไม่หลงเข้ารกเข้าพงตามกิเลสแบบกู่ไม่กลับก็ด้วยอาการเช่นนี้ แม้เลอะเลือนบ้างเยี่ยงผู้ที่ยังชำระสะสางกิเลสไม่เด็ดขาดสะอาดสิ้น ก็จะคืนสติเร็ว เพราะใจรำคาญความหมักหมมของกิเลส ปรารถนาความโปร่งใส แช่มชื่นสมภูมิจิตตนตลอดเวลา

    เดินเข้าไปรับรางวัลจากท่านประธานพิธี มติยกมือไหว้อย่างนอบน้อมค้อมตัว คุณโภไคยยิ้มเย็น ก่อนเอ่ยเนิบด้วยความปรานียิ่งกว่าครั้งใด

    “คุณได้รับรางวัลจากตัวเอง ไม่ต้องรอการตัดสินจากกรรมการมาแล้วนี่นะ”

    ศิลปินหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้อาวุโส

    “เป็นรางวัลที่ไม่ต้องรักษาก็คงอยู่ สูญหายหรือถูกขโมยไม่ได้…แต่ก็ยังต้องหมั่นปัดฝุ่น ถ้าคุณชะล่าใจ ก็อาจทำตัวเป็นโทษใหญ่หลวงกับตัวเองและคนอื่นได้”

    ความจริงท่านประธานจับตามองศิลปินหนุ่มคนนี้ตั้งแต่ก้าวขึ้นเวทีมาแล้ว และกำหนดจิต ‘ลืมตา’ ขึ้นข้างในเพื่อดูใจที่กลางอกของมติ อย่างปรารถนาที่จะล่วงรู้ว่าเจ้าของผลงานแสงนฤพานนั้น ‘ใช่’ หรือเปล่า จะลอกธรรมมาจากไหน หรือเข้าใจไขว้เขวคลาดเคลื่อนว่าตน ‘ถึง’ ดังที่เป็นกันมากทุกยุคทุกสมัยหรือไม่

    หากยังเป็นปุถุชน ต่อให้สร้างสรรค์ผลงานลวงตาน่าเลื่อมใส หรือแม้บำเพ็ญสมาธิจนล่วงลุฌานสมาบัติชั้นสูงสักปานใด ก็จะเห็นกลางอกยังมีสิ่งปกคลุมมุงบังเหมือนหมอกบาง ยิ่งถ้าคิดคดชั่วร้ายก็จะเห็นหนาทึบราวกับแผ่นหิน ลักษณะจิตวิญญาณอันเป็นของจริงประจำตัวจะเปิดเผยออก อำพรางกันไม่ได้เลยสำหรับผู้ถึงกระแสและคล่องในฌานเช่นคุณโภไคย

    และด้วยอำนาจทะลุทะลวงสิ่งห่อหุ้มชั้นหยาบเข้าไปเห็นนามธรรมอันแฝงซ้อนอยู่ในกายนี้ ทำให้คุณโภไคยเห็นธาตุพิสุทธิ์ในมติชัดเจน ธาตุนั้นปรากฏเป็นสภาพรู้แช่มชื่น เบิกบาน ซึ่งอริยบุคคลมักเรียกเป็น ‘จิตยิ้ม’ เมื่อบรรลุมรรคผลใหม่ๆจะเป็นยิ้มใหญ่ แต่เวลาปกติจะเป็นยิ้มน้อย และถูกเห็นได้เสมอจากผู้เข้าถึงกระแสด้วยกัน แม้ถูกกิเลสห่อหุ้มอยู่อย่างหนาแน่นก็ตาม

    อริยบุคคลที่เปิดตาในได้ จะพยากรณ์ไม่พลาด ที่มักพยากรณ์กันผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนก็เพราะดูเอาจากพฤติกรรมภายนอกเป็นหลัก เช่นถือศีลได้บริสุทธิ์ก็ทึกทักว่าเป็นพระโสดาบัน หรือเห็นไม่เสพกามก็เหมาเป็นพระอนาคามี มองทะลุเข้าไปถึงเชื้อกิเลสที่ยังปะทุ ยังกำเริบขึ้นอีกไม่ได้

    แม้ผู้ทรงฌาน ฝึกตาทิพย์สำเร็จ เห็นไปตลอดนรก สวรรค์ และพรหมภูมิ ตราบใดที่ยังไม่บำเพ็ญวิปัสสนาจนรู้จักมรรคผล หรือเป็นพระนิยตโพธิสัตว์ที่ทรงภูมิบารมีแก่กล้าจริงๆ ก็อาจพยากรณ์พลาดได้เหมือนกัน เช่นที่มีปรากฏบ่อยๆคือใช้กำลังจิตระดับสูงเข้าดูรัศมีกาย พอเห็นโปร่งใส สุกสว่างคล้ายกับที่ปรากฏในพระอริยบุคคล ก็ฟันธงว่าใช่ ทั้งที่เจ้าตัวเองรู้อยู่ว่ากิเลสเพียงถูกกดทับไว้ด้วยอำนาจฌานเท่านั้น

    ในส่วนของมติ ถ้อยคำของคุณโภไคยมีผลให้บังเกิดปีติโสมนัสและชุ่มชื่นยิ่ง ซึ่งถ้าหากเป็นผู้ใหญ่ธรรมดาเช่นพิธีกรพูดแบบเดียวกันนี้เป๊ะ เขาจะไม่เกิดความปลาบปลื้มเทียบได้เท่าเลย เนื่องจากกระแสธรรมไม่รับกัน จึงทำให้เอะใจว่าท่านประธานคงไม่ใช่กัลยาณชนผู้น่าเลื่อมใสธรรมดาๆเสียแล้ว

     เขายังเข้าใจภาวะของตนเองน้อยอยู่ รู้เพียงว่านิพพานคือความสนิทราบคาบจากการปรุงแต่ง อยู่เหนือจิตรู้ เหนือความว่าง เหนือความสว่าง เหนืออนันตภาพใดๆในจินตนาการ เป็นของมีจริงอย่างไม่ลังเลสงสัย รวมทั้งทราบหนทางเข้าถึงอย่างจะแจ้งว่าต้องมาจากพฤติกรรมทางจิตแบบสลัดทิ้ง แต่เรื่องอื่นนั้น ยังครึ่งๆอยู่ระหว่างความรู้ของคนธรรมดากับกัลยาณชนผู้มีความสามารถปฏิบัติธรรมระดับกลาง

    ฉะนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณโภไคย ได้ยินคำกล่าวคล้ายอนุโมทนาที่เคล้ามากับการสะกิดเตือน ก็เกิดความลังเลว่าที่ท่านพูดนั้น ดูเอาจากภาพเขียนและร้อยกรองของเขา หรือว่าพูดด้วยความรู้จากภายในกันแน่

    มติมีดีพอจะรวมจิตนิ่งเพื่อให้แสงรู้ทอตัวขึ้นที่กลางอก เห็นธาตุธรรมภายในโปร่งใสพอจะน้อมใช้ ก็ส่งออกเทียบวัดดูว่าจะพบความว่างอย่างไร้ขอบเป็นเนื้อเดียวกันในผู้ยืนตรงหน้าหรือไม่ ด้วยภาวะหยั่งรู้นั้น หากจิตชั้นในของท่านประธานยัง 'ทึบ' อยู่ด้วยกำแพงสักกายทิฏฐิ มติจะสำเหนียกทราบถึงความหยาบ ไม่โปร่งเบาทันที ต่อให้ทรงฌานเป็นปกติได้สูงระดับไหนก็ตาม

    แต่ธรรมละเอียดอันโล่งว่างที่มติสัมผัสว่าเข้ากันได้กับจิตตน ทำให้ปราศจากข้อคลางแคลงทันที เพราะแม้ภายนอกคือการปรุงแต่งรูปนามผิดแผกแตกต่างกัน ดูเหมือนมีการแบ่งแยกเป็นฝั่งนี้กับฝั่งโน้น แต่ทว่ากระแสภายในคือความรู้ว่าง รู้เย็นเป็นอันหนึ่งอันเดียวเสริมกัน ใกล้กันแล้วจิตยิ่งทวีความเบิกบานในมหาสุญตาได้ไม่รู้จบรู้สิ้น คุณโภไคยเข้ากระแสแล้วแน่นอน แต่จะอยู่ชั้นใดนั้นเกินวิสัยเขาหยั่งถึงด้วยกำลังปัจจุบัน

    อริยบุคคลย่อมพึงใจสมาคมกับ ‘คนใน’ ด้วยกันก็เพราะเหตุนี้ ต่างรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีความเป็นอื่น และที่สุดจะต้องบรรจบกันที่นิพพานเมื่อเสร็จกิจ สิ้นภาระ สิ้นข้อขัดข้องของตนแล้ว

    มติยิ้มออกมาด้วยความบริสุทธิ์จากภายใน พนมมือไหว้คุณโภไคยอีกครั้งด้วยกำลังใจเท่ากับลงคุกเข่ากราบ

    “ผมจะพยายามระมัดระวัง รักษาเนื้อรักษาตัวครับ”

    ท่านประธานงานประกวดพยักยิ้ม แล้วเอื้อมมือมาตบบ่าของเด็กหนุ่มด้วยความปรานีเป็นพิเศษ

    “เจริญในธรรมนะ”

    มติรีบไหว้รับ เพราะแม้นั่นเป็นคำอวยพรเรียบๆ ก็สัมผัสได้ว่ามีพลังกุศลแรงมหาศาลแผ่ออกมาแน่นหนาไปทั่วทั้งปริมณฑล ประมาณเดียวกับที่เขาเคยพบในพิธีเบิกฤกษ์อำนวยชัยอันยิ่งใหญ่ต่างๆ แสดงถึงกำลังจิตอันล้ำลึกสุดหยั่งของบุรุษผู้ปรากฏสุกสว่างทั้งทางโลกและทางธรรมท่านนี้

    เมื่อเดินลงเวทีกลับมาถึงที่นั่งแล้ว จึงเห็นกิเลสปรากฏอีกครั้ง

    ขนาดใจเพิ่งสว่างด้วยแรงเร่งจากผู้ถึงกระแสด้วยกัน พอเห็นประกายยิ้มจากนัยน์ตาแพตรีทีเดียว ความรู้สึกหลงก็เข้าครอบงำเหมือนเมฆทะมึนเคลื่อนมาบังแสงอาทิตย์

    กองกิเลสใหญ่ปรากฏในรูปสาวน้อยผู้สวยหวานและแสนดีคนนี้

    ภาพ ‘ทวิลักษณ์’ ของกฤติยา ผู้รับรางวัลเหรียญทอง ปรากฏวาบในห้วงมโนนึก และเตือนให้คิดได้ว่าใจเขาเองต่างหากที่มีกิเลส แพตรีอยู่ของหล่อนเฉยๆ ถ้าหากเขาไม่มอง หรือมองแล้วไม่รู้สึกรู้สา หล่อนก็มีความ ‘เป็นเช่นนั้น’ ของหล่อน ไม่เกี่ยวกับกิเลสของเขาเลย

    ทว่ายามนี้มติเริ่มเกิดความขัดแย้ง ถึงเวลาหรือยังกับการตั้งคำถามให้ตัวเอง

    จะเลือกไปหรือเลือกอยู่ก่อนดี…

    เขาปฏิบัติธรรมเต็มกำลังเพราะอยากเป็นพระให้ได้ก่อนบวช แต่บุญพาวาสนาส่ง ถึงขนาดทะลุกิเลส ตัดสังโยชน์สามข้อแรกสำเร็จด้วยไฟล้าง คือโสดาปัตติผลอย่างไม่คาดฝันเช่นนี้

    ภาวะความเป็นโสดาบันนั้นวิจิตรพิสดารยิ่งกว่าอะไรหมด เพราะเหมือนเหยียบเรือสองแคม มีกิเลสแรงได้เท่ากับเมื่อครั้งเป็นปุถุชน แต่ก็เห็นนิพพานแล้ว เข้ากระแสแล้ว

    บุคคลชนิดนี้จะสมัครใจอยู่ครองเรือน หวังเสวยสวรรค์เสียก่อนเข้านิพพานก็ได้ ดังเช่นที่มีบันทึกเป็นหลักฐานว่านางวิสาขาบรรลุโสดาปัตติผลมาตั้งแต่วัยเยาว์ แต่ก็มิได้ขวนขวายปฏิบัติธรรมหวังถึงนิพพานในชาติปัจจุบัน ยังคงเสพสมาคมกับปุถุชนธรรมดา ออกเรือนมีลูกหลานมากมาย และระหว่างดำรงชีวิตก็ทำบุญอธิษฐานหวังสุขอันประณีตบนสวรรค์ สิ้นใจแล้วก็เสวยสุขบนดาวดึงส์พิภพเรื่อยมา

    แต่หากโสดาบันบุคคลมีใจรักพระนิพพาน อยากถึงนิพพานเร็วๆในชาติปัจจุบัน ก็จะได้เปรียบกว่าผู้ยังติดข้องทั้งหลาย กล่าวคือใช้ธรรมชาติอันโปร่งสบายของจิตในการสลัดกิเลสได้ง่าย ตั้งสมาธิไม่ยาก

    มติประจักษ์ด้วยตนเองว่าพระไตรปิฎกกล่าวไว้ตรงจริง ไม่ใช่ของหลอก เขาเห็นนิพพานแล้ว ทราบภาวะการเข้ากระแสแล้ว หมดกิเลสเกี่ยวกับความกังขาในมรรคผลนิพพานแล้ว ทว่ากิเลสคือราคะ โทสะ โมหะในตนยังคงค้างอยู่ครบ แถมยิ่งรักแพตรีได้มากกว่าเดิมเสียอีก ด้วยเหตุผลแบบโลกๆ คือหล่อนแสดงท่าทีตอบสนอง แตกต่างจากที่แล้วมาเป็นคนละคน

    ถ้าเสียเวลาสักชาติให้กับนางฟ้าเดินดินอย่างหล่อนจะคุ้มไหม?

    ทำไมจะไม่คุ้มเล่า ในเมื่อความเป็นโสดาบันปิดประตูอบายอย่างเด็ดขาดแล้ว ถึงนิพพานในวันหนึ่งข้างหน้าแน่นอนอยู่แล้ว ที่พระคัมภีร์ยืนยันว่าพระโสดาบันเป็นผู้เที่ยงจะเข้าถึงพระนิพพานนั้นไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยสำหรับเขา ก็ในเมื่อใจอยู่ในกระแสสุญญตา แม้ไม่เพ่งก็สั่งสมความเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไปเรื่อยๆอย่างนี้ แน่นอนว่าที่สุดจะคิดเบื่อและเกิดใจตีจากวันยังค่ำ

    เรียกว่าถ้าได้โสดาปัตติผลแล้ว ไม่ปฏิบัติก็เหมือนปฏิบัติ จะเนิ่นช้าหรือตัดตรงเท่านั้น โสดาปัตติผลจึงถูกสรรเสริญไว้ว่าใครได้แล้ว ยิ่งกว่าความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ยิ่งกว่าเป็นเทวดา ยิ่งกว่าเป็นอะไรๆทั้งหมด เพราะเข้าถึงความปลอดภัยอย่างลอยลำ ปิดฉากสังสารวัฏสำเร็จในที่สุดแน่ๆ

    เขาเหนื่อยมาตั้งมาก เข้าเส้นชัยแรกสมใจ ขอพักหน่อยจะเป็นไร

    แพตรีไม่ใช่ธิดาพญามาร หล่อนเองเสียอีก ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ปลูกฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความดีงามไว้ในหัวใจเขา กระทั่งได้เติบใหญ่ขึ้นในทางธรรม หากอยู่กับหล่อน เขาจะพยายามชักนำหล่อนเข้ากระแสเป็นการตอบแทนให้จงได้

    ใจที่ยังดื้อ ยังไม่อบรมจนแก่กล้า บอกกับตนเองว่าอย่างแพตรีไม่ใช่ต้นเหตุทุกข์ได้หรอก

    มติคิดเช่นนั้น ทั้งที่เพิ่งพูดไปบนเวทีว่ากิเลสเป็นเหตุแห่งทุกข์

    คิดตกแล้วก็ปลงใจ…เขาเลือกที่จะยังไม่ไปไหน ยังอยู่กับแพตรี ถ้าไปไหนก็จะพาหล่อนไปด้วย

    สังสารวัฏมีเครื่องมือพิสดารหลากหลายไว้กักคนคิดหนี ไม่ใช่เฉพาะด้วยกิเลสตื้นๆเช่นความโลภ ความโกรธ ความหดหู่ ความฟุ้งซ่าน ความช่างสงสัย ความชอบหน้าที่การงาน ความช่างคุย ความชอบนอน ความติดการคลุกคลีเท่านั้น ในอัญญสูตรพระมหากัสสปะเคยสอนสานุศิษย์ของท่านไว้ ว่านอกจากเครื่องถ่วงดังกล่าวข้างต้นแล้ว แม้อาการทอดธุระ ไม่เพียรตั้งสติภาวนาให้ถึงมรรคผลเบื้องสูง เพราะถือว่าบรรลุมรรคผลชั้นต้นแล้ว ปลอดภัยแน่แล้ว ก็จัดเป็นความเสื่อมจากความเจริญในธรรมของพระพุทธองค์ชนิดหนึ่ง

    เพราะยังมีความไม่รู้แจ้งตลอดสายถึงที่สุดทุกข์ จึงกล่าวว่าอริยบุคคลชั้นต้นยังเป็นผู้ที่ต้องศึกษา…


    ศึกษาให้เห็นจริงว่าสังสารวัฏนั้น วินาทีเดียวก็ไม่พึงหลงพอใจเลย จะนับโดยสภาพ ฐานะ หรือโอกาสใดๆก็ตามที



ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น