วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

มีวิธีใดจะรู้ว่าตัวเองรักใครจริง (ดังตฤณ)

ถาม : จะมีวิธีสำรวจใจตัวเองไหมคะ ว่าเรารักใครจริงๆหรือเปล่า? ถามใจตัวเอง บางวันบอกว่ารัก บางวันบอกว่าเฉยๆ ไม่แน่ใจเลยว่าถ้าตอบรับไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๒

ดังตฤณ:
 
ตอบตามหลักที่พระพุทธเจ้าประทานไว้นะครับ ความรักจะเกิดขึ้นได้ด้วยองค์ประกอบหลักสองประการ หนึ่งคือเคยอยู่ร่วมกันในกาลก่อน สองคือเกื้อกูลกันในปัจจุบัน เมื่อจับหลักอย่างนี้ก็สามารถเทียบเคียงกับภาคสนามได้ง่ายหน่อย คือเมื่อพบคนที่คุณ ‘สามารถรักได้’ ควรจะเกิดอาการต่างๆต่อไปนี้

๑) ความรู้สึกคุ้นเคยกันอย่างรวดเร็ว เหมือนรู้จักมักคุ้นอยู่ก่อน และพูดคุยสนิทสนมได้ง่าย เหมือนระบายได้ทุกเรื่อง นั่นเป็นวิบากของการอยู่ร่วมกันมานาน ก่อแรงดึงดูดเข้าหากัน อยู่ใกล้แล้วไม่รำคาญ แม้เหงาก็อบอุ่นเป็นสุขได้เพียงเมื่อคิดถึง และเท่าที่พบมา ต่อให้ธาตุนิสัยต่างกันเป็นตรงข้าม เช่น ใจร้อนกับใจเย็นมาเจอกัน ก็ไม่รู้สึกแปลกแยกต่อกัน ขอเพียงมีบุพเพสันนิวาสมาช่วย

การสำรวจใจด้วยเกณฑ์ข้อนี้ อย่างง่ายก็อาจลองจินตนาการดูว่าถ้าต้องไปอยู่กระต๊อบกับใครสักคน แล้วรู้สึกว่ารับได้ไหม เป็นไปได้ไหม หากสนิทใจพอ หรือกระทั่งนึกครึ้มคึกคักต่อยอด อยากหนีไปอยู่เกาะตามลำพังสองคน อันนั้นถือว่าผ่านมาตรฐานเบื้องต้น

อย่างไรก็ตาม ความรักที่แท้ต้องการความจริงเป็นเครื่องรับรอง ไม่ใช่แค่จินตนาการหรือฝันกลางวันเล่นๆ หากมีโอกาสร่วมสถานการณ์ลำบาก อยู่ในที่ที่ขาดความสุขสบาย แล้วยังรู้สึกดีกับการอยู่ร่วมกันได้ อันนั้นถือเป็นบทพิสูจน์ครับว่าเคย ‘อยู่ร่วมกันด้วยดี’ มาอย่างแน่นอน

๒) ความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใย คืออยากช่วยเหลือ อยากดูแล มีความเอาใจใส่โดยไม่ต้องฝืน นั่นเป็นเพราะเหตุที่เคยช่วยเหลือดูแลกันมาก่อน ย่อมชวนให้ผูกพันไยดี เท่าที่พบมา แม้ฝ่ายหนึ่งได้ชื่อว่าเห็นแก่ตัว ไม่เอาใคร แต่ก็เต็มใจเสียสละให้กับคู่บุญเก่าได้ เมื่อคอยเข้าไปดูแลสารทุกข์สุกดิบ ก็ได้ชื่อว่าปัจจุบันสร้างเหตุแห่งความรักไว้แล้ว

การสำรวจใจตนเองด้วยเกณฑ์ข้อนี้ ก็ขอให้รอดูเหตุการณ์จริง วัดใจกันในยามยาก หากเขาต้องการความช่วยเหลือไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ คุณเต็มใจแค่ไหน กระตือรือร้นในการช่วยปัดเป่าเท่ากับหรือยิ่งกว่าปัญหาของตัวเองไหม

ถ้าจะวัดใจให้สมบูรณ์แบบ ต้องดูทั้งสองฝ่ายนะครับ ไม่ใช่ฝ่ายเดียว การอยากอยู่ใกล้ การอยากดูแลช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน เป็นเครื่องชี้ชัดว่า ‘ร่วมบุญ’ กันมาจริง ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ‘ติดหนี้’ แค่ข้างเดียว

นอกจากนั้นต้องคำนึงด้วยว่าชีวิตหนึ่งๆเราอาจร่วมชาติร่วมชายคา เป็นคู่ผัวตัวเมียกับใครได้มากกว่าหนึ่ง (แถมบางรายร่วมได้ทั้งสองเพศ!) ฉะนั้นก็อย่าแปลกใจหากคุณ ‘ปิ๊ง’ และ ‘เอาใจใส่’ ใครต่อใครได้หลายคน

โลกเต็มไปด้วยตัวเลือก โดยมีข้อจำกัดทางศีลธรรมว่าต้องเลือกอยู่กับใครคนหนึ่งเพียงคนเดียว ฉะนั้นหากต้องการสำรวจใจว่ารักใครที่สุด ก็ให้ดูว่าใจคุณ ‘อยากเลือก’ อยู่กับใครมากที่สุด

แน่นอนว่าด้วยความจำเป็นบางประการ อาจทำให้คุณต้องเลือกอยู่กับคนที่รักน้อยและตัดใจจากคนที่รักมาก นั่นก็เป็นเครื่องชี้ได้อย่างหนึ่งว่าแม้ทำบุญร่วมกันมาพอจะให้แสนรัก แต่ก็อาจมีบาปเก่าหรือบาปใหม่บางอย่างมาขวางไว้ไม่ให้สมหวัง เข้าทำนอง ‘รักมากแต่ไม่อยากอยู่ด้วย’ นั่นเอง

อีกประการหนึ่ง ภพชาติและการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องสลับซับซ้อน ภูมิมนุษย์เป็นแค่ภาวะหนึ่งที่เราคุ้นเคย แต่ยังมีภาวะอื่นนอกเหนือจากนี้อีกมากมายมหาศาล หญิงชายไม่ได้เคยอยู่ร่วมกันแบบมนุษย์เท่านั้น ยังมีรูปแบบการครองคู่อีกหลายแบบหลายภาวะ ซึ่งก็อาจกำหนดความรู้สึกต่อกันในปัจจุบันได้อย่างสำคัญยิ่ง ที่จะกล่าวข้างล่างนี้ขอให้ถือเป็นเพียงเกณฑ์คร่าวๆนะครับ

หากเคยอยู่ร่วมกันมาบนสวรรค์ ความรู้สึกรักจะเป็นไปในแบบสูงส่ง อยู่ใกล้กันหรืออยู่ร่วมชายคาแล้วมักชวนให้นึกถึงการบุญการกุศล แม้แขกไปใครมาก็รู้สึกถึงกระแสความปลอดโปร่งและเปิดกว้างผิดจากบ้านเรือนธรรมดา การมีน้ำใจเกื้อกูลจะไม่จำกัดเฉพาะในเรือน แต่จะขยายวงกว้างออกไปถึงวัด ถึงสถานสังคมสงเคราะห์ ถึงบ้านญาติ หรือบ้านใกล้เรือนเคียง นอกจากนั้นความซื่อสัตย์ต่อกันยังแตกต่างจากคู่อื่นๆ กล่าวคือต่อให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเคยเจ้าชู้ คิดลอกแลกเขวง่าย เมื่อตีตราสมรสแล้วก็จะเหลือเพียงใจเดียวมั่นคง ผิดศีลข้อสามยากมาก

หากเคยอยู่ร่วมกันในแดนเปรต ความรู้สึกรักจะเป็นไปในแบบลุ่มๆดอนๆ ปรองดองบ้าง ขัดแย้งบ้าง ภักดีบ้าง นอกใจบ้าง วันหนึ่งรักปานจะกลืน อีกวันหนึ่งเกลียดเข้ากระดูกดำ ทั้งที่ไม่มีเหตุผลอันสมควร เปรตจำนวนไม่น้อยถือกำเนิดด้วยความผูกพันกันในครั้งมนุษย์ เช่น ฆ่ากันตาย หรือฆ่าตัวตายร่วมกัน หรือถูกฆ่าพร้อมกันด้วยความพยาบาทอาฆาตศัตรู ความผูกพันอาลัยจะส่งผลให้รู้สึกแน่นแฟ้นในทางดี แต่โทสะอันเจืออยู่ในจิตก่อนดับก็ทำให้รุ่มร้อนและรู้สึกต่อกันในทางร้ายเป็นพักๆ เอาสุขเอาทุกข์แน่นอนไม่ได้

หากเคยอยู่ร่วมกันในหมู่เดรัจฉาน ความรู้สึกจะเน้นหนักไปในทางเพศรส เข้าหากันแบบหน้ามืดตามัว ไม่สนใจเหตุผลและความถูกต้องใดๆ จากนั้นภายในเวลาอันสั้นจะเบื่อหน่ายกันและกันอย่างรวดเร็ว เบื่อแล้วเบื่อเลยราวกับไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หรือคล้ายปลาทูเก่าค้างคืนที่ไม่อยากหวนกลับไปแตะต้องอีก ทำนองเดียวกับสัตว์นอกฤดูผสมพันธุ์ที่เหมือนลืมคู่ของตัวเองไปเลย แทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยมีอะไรกันมา

หากเคยอยู่ร่วมกันในโลกมนุษย์ ความรู้สึกรักจะเป็นไปตามพฤติกรรมในครั้งก่อน ถ้าโดยมากอยู่อย่างปรองดองจะรู้สึกเย็นและอยากคุยกันอย่างมีเหตุผล แต่ถ้าโดยมากอยู่อย่างขัดแย้งจะรู้สึกร้อนและอยากเอาอารมณ์เข้าว่า หรือหากตลอดชีวิตคิดแต่ในทางซื่อสัตย์จะรู้สึกเชื่อใจและไม่นึกระแวง แต่หากตลอดชีวิตคิดนอกใจกันเรื่อยๆก็จะเห็นเป็นอื่นและไม่เคยวางใจตอนคลาดสายตา ฯลฯ กล่าวโดยสรุปให้รวบรัดคือถ้าเคยอยู่ด้วยกันเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ก็อาจส่งผลได้เท่ากับหรือมากกว่าอยู่ร่วมกันเมื่อครั้งเป็นเทวดา เปรต หรือเดรัจฉานทั้งหมด ขึ้นกับว่ามีกรรมสัมพันธ์ร่วมกันแบบไหน

สำหรับภพของพรหมจะมีความเป็นเอกเทศ ต่างคนต่างอยู่ในฌาน ไม่ข้องเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์และการครองคู่ ส่วนนรกภูมิก็เป็นดินแดนเสวยโทษทัณฑ์เผ็ดแสบเผ็ดร้อนลูกเดียว ไม่มีการครองคู่ แต่อาจมีการเสวยโทษร่วมกัน ไม่มีโอกาสเป็นสุขร่วมกันเลย ฉะนั้นจึงต้องตัดผลของการเคยอยู่ร่วมกันในภูมิสูงสุดและต่ำสุด อันได้แก่พรหมและนรกออกไปเสีย เนื่องจากเป็นภูมิที่ไม่เอื้อให้เกิดใจผูกพันเยี่ยงคู่ครองเอาเลย

ไม่ว่าจะเคยอยู่ร่วมกันมาในภพไหนแบบใด เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วในบัดนี้ ก็เป็นโอกาสพัฒนาความรู้สึกด้านดีที่มีต่อกันได้เสมอ กล่าวคือจะมีช่องว่างหรือรู้สึกรักมากรักน้อยแค่ไหนก็ตามที ขอเพียงตั้งอธิษฐานร่วมกัน หรือตกลงกันโดยวาจาว่าจะออมชอมในทางบุญทางกุศล ไม่ขัดใจกันด้วยการทำทาน กับทั้งพยายามรักษาศีลให้เสมอกัน ก็จะช่วยผูกความรู้สึกที่มีต่อกันแบบมนุษย์ชั้นสูงได้ในที่สุด

แต่หากขัดใจกันทางธรรมะ ศรัทธาศาสดาคนละองค์ ขัดคอกันตอนทำทาน คิดนอกใจไม่ระวังรักษาศีล ไม่พูดจาส่งเสริมปัญญาด้วยเหตุด้วยผล เช่นนี้ต่อให้ครั้งหนึ่งเคยเสวยสุขร่วมกันบนสวรรค์ ความรู้สึกรักใคร่ก็ต้องพังครืนลงในวันหนึ่งระหว่างมีชีวิตมนุษย์ร่วมกันนี่เอง

ทุกคนเชื่อผิดๆ หลงยึดจิตและความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง พอพบว่าไม่อาจบังคับควบคุมบงการให้รู้สึกนึกคิดตามต้องการ จึงเกิดความทุกข์ ความเศร้า ความเหงา ความหดหู่ ความไม่แน่ใจในอนาคต

แท้จริงจิตและความรู้สึกนึกคิดของพวกเราเป็นไปตามการควบคุมของกรรมวิบาก ทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่ร่วมมือกันปรุงแต่งให้เราคิดนึกกับเพศตรงข้ามไปต่างๆนานา จะรักหรือไม่รัก จะรักมากหรือรักน้อย ล้วนต้องรอการอนุญาตจากกฎแห่งกรรมวิบากทั้งสิ้น

ที่คุณปิ๊งใครแบบฉับพลันทันที รู้สึกถึงแรงดึงดูดมหาศาล อยากถึงเนื้อถึงตัวกันเดี๋ยวนั้น แท้จริงอาจเป็นแรงส่งของกามในภพเดรัจฉานที่เคยอยู่ร่วมกันมา หาใช่ ‘บุญเก่า’ ที่เคยทำร่วมกันไม่ ในทางกลับกัน แม้วาระแรกอาจรู้สึกไม่ถูกชะตา ไม่นึกอยากใกล้ชิดกัน เพราะเคยลำบากร่วมกันในภพเปรต แต่ถ้าค่อยๆช่วยเหลือเกื้อกูล ค่อยๆทำดีต่อกัน สะสมกรรมสัมพันธ์ด้านสว่าง ด้านที่เป็นกุศลไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็เปลี่ยนความระคายสัมผัสเป็นสัมผัสที่เยือกเย็นและอ่อนโยนต่อกันได้ครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น