ถาม : อยากทราบว่าถ้ามีคนมาขัดขวางไม่ให้เราทำบุญ
แต่เราขืนทำจนสำเร็จ อย่างนี้ระหว่างเราทำสำเร็จกับไม่สำเร็จ
จะมีผลให้เขาบาปมากขึ้นหรือบาปน้อยลงไหมคะ?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๒
ดังตฤณ:
ก่อนอื่นต้องเข้าใจนะครับ ว่ากิจที่จะสำเร็จเป็นกรรมเต็มรูปนั้น นอกจากมีเจตนาเป็นประธานแล้ว กิจที่ตั้งใจทำต้องสำเร็จด้วย
อย่างเช่น
ถ้าคุณตั้งใจสวดมนต์อยู่ในห้อง ญาติขี้เมาในบ้านได้ยินเข้าแล้วของขึ้น
ตามประสาคนบาปที่สัมผัสบุญแล้วตะครั่นตะครอ
ต้องเอะอะโวยวายกระแนะกระแหนหวังให้คุณหยุดสวดมนต์ อย่างนี้ถ้าคุณหยุดสวดทันที
ใจไม่ดี หมดขวัญและกำลังแรงที่จะสวดมนต์เดี๋ยวนั้น
ก็นับว่าญาติของคุณก่อบาปใหญ่สำเร็จ คนจะทำบุญดีๆ นอกจากไม่พลอยยินดียังดันไปขวาง
หน่วงเหนี่ยวไม่ให้ประกอบสำเร็จ เขาย่อมเป็นคนทำบุญไม่ขึ้น
หรือพอคิดทำบุญเป็นต้องโดนขวาง
กับทั้งได้ชื่อว่าสร้างบาปใหญ่ที่มีผลให้จิตใจมืดมัว
ตายแล้วหาทางสว่างไปสู่สุคติให้เจอได้ยาก
ยิ่งถ้าคุณตบะแตก
หยุดสวดมนต์ออกมาด่าตอบ ต่างฝ่ายต่างฉุดกันลงเหวแห่งบาปทางวาจา อย่างนี้ยิ่งไปกันใหญ่
เพราะเขาจะไม่มีโอกาสสำนึกผิดได้ด้วยการโดนคุณโหมไฟโทสะเพิ่มอย่างเด็ดขาด
แต่หากคุณทำใจวางเฉย
ประคองจิตไม่หวั่นไหว ลดเสียงสวดมนต์ลงจนเขาไม่ได้ยิน
หรือแค่ขมุบขมิบปากต่อไปจนจบบทสวด
มีจิตใจผ่องใสชื่นบานได้เหมือนสวดตามปกติโดยปราศจากอุปสรรคขัดขวาง
เช่นนี้นับว่าเขาประกอบบาปไม่สำเร็จเต็มร้อย
โอกาสที่เขาจะกลับตัวกลับใจสำนึกผิดยังมีอยู่
คิดง่ายๆว่าการสวดมนต์จบภายใต้แรงกดดันหรือไฟร้อน
แสดงว่าใจคุณต้องเย็นจริง เมื่อเย็นจริงและออกมาพบเขาในเวลาต่อมา เขาย่อมสัมผัส
‘ธรรมะของจริง’ อันเป็นความเย็นอย่างน่าพิสมัย ครั้งแรกๆเขาอาจหมั่นไส้
อันเป็นธรรมดาของคนบาปที่ย่อมชิงชังกระแสของนักบุญ แต่ธรรมชาติแล้วบาปย่อมมีกำลังอ่อนกว่าบุญ
เมื่อสัมผัสบุญบ่อยๆ ย่อมถูกกระตุ้นให้ระลึกได้ว่าจิตดั้งเดิมของมนุษย์นั้น
เต็มไปด้วยสำนึกและความละอายบาป เมื่อใดขาดความละอายต่อบาป เมื่อนั้นย่อมไม่ชื่อว่าเป็นมนุษย์เต็มขั้น
แม้เขาจะไม่อาจเปลี่ยนสภาพจากขี้เมาเป็นคนธรรมะธัมโม
แต่อย่างน้อยเขาจะค่อยๆคร้ามเกรงต่ออำนาจบุญอยู่ในส่วนลึก เมื่อกระทำบาปใดจะยั้งๆ
จิตไม่จับบาปเต็มกำ ผลที่จะได้รับก็ย่อมเปลี่ยนจากหนักเป็นเบาลงตามส่วนครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น