วันพุธที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

การยินดีกับผู้อื่นในทางมืด (ดังตฤณ)

ถาม : เราควรตั้งจิตยินดีในความสำเร็จหรือเจริญรุ่งเรืองให้กับคนอื่นอย่างไร เช่นเวลาเห็นคนโกงบ้านโกงเมืองร่ำรวย หรือดาราหนังโป๊ค่าตัวแพง เรายังต้องยึดหลักมุทิตาในพรหมวิหาร ๔ อยู่หรือไม่?

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๑

ดังตฤณ: 
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจครับว่า การมีมุทิตาจิตตามหลักพรหมวิหาร ๔ นั้น ไม่ใช่ร่วมยินดีตะพึดตะพือ แต่เป็นการร่วมมีใจเป็นกุศล หรือพูดง่ายๆคืออนุโมทนากับความสำเร็จในบุญของผู้อื่นเป็นหลัก

เราต้องเบี่ยงเบนคำถามเสียใหม่อย่างนี้ต่างหากครับ คือ จะไม่อิจฉาริษยา จนพลอยหลงเห็นดีเห็นงามกับการรวยด้วยวิธีโกงกินหรือแก้ผ้าได้อย่างไร?

คำตอบสำหรับคำถามนี้ ได้แก่ข้อธรรมสุดท้ายของพรหมวิหาร ๔ คือ ‘อุเบกขา’

การมีอุเบกขาในพรหมวิหารธรรมนั้น หาใช่การเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ยินยลสนใจแต่อย่างใด พฤติกรรมทางกายของคุณอาจต่อต้านรูปแบบความชั่วร้ายตามหน้าที่ข้าราชการ หรือหน้าที่พลเมืองดี เท่าที่ตัวเองจะไปมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่พฤติกรรมทางใจของคุณจะต้องไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่อิจฉาริษยา ไม่พลอยเห็นดีเห็นงามตามเขาไป

อุเบกขาที่ประกอบด้วยความเฉื่อยเฉยไม่รู้ไม่ชี้นั้น เรียกว่าอุเบกขาแบบเอ๋อ ส่วนอุเบกขาที่ประกอบด้วยความรู้เหตุรู้ผลนั้น เรียกว่าอุเบกขาแบบฉลาด พุทธเราสนับสนุนให้คนฉลาด มีปัญญารู้เหตุรู้ผล

ถ้ายังไม่เคยพิจารณา ก็ต้องพิจารณาเป็นเรื่องๆ เช่น ความรวยของเขาเป็นเพียงภาพลวงตาชั่วคราว เป็นฐานให้เขาหลงผิดคิดมิชอบ เปิดโอกาสให้โกงยิ่งๆขึ้นไปไม่รู้จบรู้สิ้น เพราะวิสัยคนโกงย่อมนิยมการโกงไปตลอดชีพ น่าสงสารเสียมากกว่าที่เขามีเวลา มีเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการสั่งสมความมืดเข้าตัว

ถ้าทนเห็นความร่ำรวยแบบผิดๆชนิดกฎหมายเอื้อมไปทำอะไรไม่ได้ ก็ให้ฝึกพิจารณาข้อดีในความรวยของคนขาดความละอายเยี่ยงเขา อย่างน้อยเขาจะได้เอาไปแบ่งลูกเมียและคนใช้ อย่างน้อยเขาจะได้ไม่ต้องถือปืนปล้นแบงก์ อย่างน้อยเขาเดินสวนกับคุณที่ไหนจะได้ไม่ต้องวิ่งราวคุณ ฯลฯ


สรุปคืออย่ายินดีกับการก่อบาปก่อกรรมของใคร ในขณะที่มองตามจริงไปด้วยว่าเขามีกินก็เพราะมีเหตุปัจจัย ไม่จำเป็นต้องเกลียดเขาเพียงเพราะเขากินแพงกว่าเรา เราเอาตัวให้รอดด้วยการมีจิตที่ไม่เกลียดนั่นแหละ ประเสริฐสุดแล้วครับ



** IG **

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น