ถาม : เราควรตั้งจิตยินดีในความสำเร็จหรือเจริญรุ่งเรืองให้กับคนอื่นอย่างไร
เช่นเวลาเห็นคนโกงบ้านโกงเมืองร่ำรวย หรือดาราหนังโป๊ค่าตัวแพง
เรายังต้องยึดหลักมุทิตาในพรหมวิหาร ๔ อยู่หรือไม่?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๑
ดังตฤณ:
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจครับว่า การมีมุทิตาจิตตามหลักพรหมวิหาร ๔ นั้น ไม่ใช่ร่วมยินดีตะพึดตะพือ แต่เป็นการร่วมมีใจเป็นกุศล หรือพูดง่ายๆคืออนุโมทนากับความสำเร็จในบุญของผู้อื่นเป็นหลัก
เราต้องเบี่ยงเบนคำถามเสียใหม่อย่างนี้ต่างหากครับ
คือ จะไม่อิจฉาริษยา
จนพลอยหลงเห็นดีเห็นงามกับการรวยด้วยวิธีโกงกินหรือแก้ผ้าได้อย่างไร?
คำตอบสำหรับคำถามนี้
ได้แก่ข้อธรรมสุดท้ายของพรหมวิหาร ๔ คือ ‘อุเบกขา’
การมีอุเบกขาในพรหมวิหารธรรมนั้น
หาใช่การเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ยินยลสนใจแต่อย่างใด พฤติกรรมทางกายของคุณอาจต่อต้านรูปแบบความชั่วร้ายตามหน้าที่ข้าราชการ
หรือหน้าที่พลเมืองดี เท่าที่ตัวเองจะไปมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่พฤติกรรมทางใจของคุณจะต้องไม่โกรธ
ไม่เกลียด ไม่อิจฉาริษยา ไม่พลอยเห็นดีเห็นงามตามเขาไป
อุเบกขาที่ประกอบด้วยความเฉื่อยเฉยไม่รู้ไม่ชี้นั้น
เรียกว่าอุเบกขาแบบเอ๋อ ส่วนอุเบกขาที่ประกอบด้วยความรู้เหตุรู้ผลนั้น
เรียกว่าอุเบกขาแบบฉลาด พุทธเราสนับสนุนให้คนฉลาด มีปัญญารู้เหตุรู้ผล
ถ้ายังไม่เคยพิจารณา
ก็ต้องพิจารณาเป็นเรื่องๆ เช่น ความรวยของเขาเป็นเพียงภาพลวงตาชั่วคราว
เป็นฐานให้เขาหลงผิดคิดมิชอบ เปิดโอกาสให้โกงยิ่งๆขึ้นไปไม่รู้จบรู้สิ้น
เพราะวิสัยคนโกงย่อมนิยมการโกงไปตลอดชีพ น่าสงสารเสียมากกว่าที่เขามีเวลา
มีเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการสั่งสมความมืดเข้าตัว
ถ้าทนเห็นความร่ำรวยแบบผิดๆชนิดกฎหมายเอื้อมไปทำอะไรไม่ได้
ก็ให้ฝึกพิจารณาข้อดีในความรวยของคนขาดความละอายเยี่ยงเขา
อย่างน้อยเขาจะได้เอาไปแบ่งลูกเมียและคนใช้
อย่างน้อยเขาจะได้ไม่ต้องถือปืนปล้นแบงก์ อย่างน้อยเขาเดินสวนกับคุณที่ไหนจะได้ไม่ต้องวิ่งราวคุณ
ฯลฯ
สรุปคืออย่ายินดีกับการก่อบาปก่อกรรมของใคร
ในขณะที่มองตามจริงไปด้วยว่าเขามีกินก็เพราะมีเหตุปัจจัย
ไม่จำเป็นต้องเกลียดเขาเพียงเพราะเขากินแพงกว่าเรา
เราเอาตัวให้รอดด้วยการมีจิตที่ไม่เกลียดนั่นแหละ ประเสริฐสุดแล้วครับ
** IG **
** IG **
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น