ถาม : ทราบมาว่าเหล่าอริยบุคคลท่านทราบกันได้ว่าใครถึงขั้นไหน
แต่บางสำนักถึงกับกล่าวว่ามรรคผลเป็นสิ่งที่พยากรณ์ล่วงหน้าได้
คือทราบเลยว่าใครกำลังจะบรรลุธรรม ใครหมดสิทธิ์บรรลุธรรม
การพยากรณ์เช่นนี้เป็นไปได้จริงหรือไม่คะ?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๒
ดังตฤณ:
ก่อนอื่นขอแก้ความเข้าใจนะครับ อริยบุคคลท่านไม่ได้ทราบเสมอไปหรอกว่าใครบรรลุธรรมขั้นไหน ถ้าอัธยาศัยของท่านกั้นจิตไว้ใช้ดูเรื่องของตัวเองอย่างเดียว ท่านก็ไม่รู้เรื่องคนอื่นเลย ต่อให้อริยะด้วยกันมานั่งตรงหน้า ถ้าไม่คุยกัน หรือถ้าไม่มีเหตุให้ตั้งใจกำหนดดู ท่านก็อาจมองเหมือนมองคนธรรมดาคนหนึ่ง
ในคัมภีร์พุทธแสดงเรื่องการหยั่งรู้มรรคผลไว้ในอัญญสูตร
ใจความโดยสรุปคือพระพุทธเจ้ากับพระสาวกที่ได้ฌาน มีความฉลาดในการเข้าออกฌาน
กับทั้งมีความฉลาดในจิตของผู้อื่น (คือมีความหยั่งรู้ที่เรียก ‘เจโตปริยญาณ’)
จึงจะสามารถหยั่งรู้ได้ว่าใครสำคัญตนผิด
คิดว่าตนเป็นพระอรหันต์ผู้บริสุทธิ์จากกิเลส เช่น บางคนสำคัญผิดเพราะเกิดปรากฏการณ์ทางจิตบางอย่าง
บางคนรู้รอบและตอบถูกถ้วนตลอดสายจึงเผลอคิดว่าตนบรรลุธรรมแล้ว เป็นต้น
สรุปคือแค่พระสาวกทั่วไปที่มีความฉลาดในจิตของผู้อื่น
ก็ทราบได้แล้วว่าใคร ‘ไม่ใช่’
แถมเห็นแทงตลอดด้วยว่าไม่ใช่เพราะสำคัญผิดด้วยใจซื่อหรือแกล้งประกาศตนหวังลาภสักการะ
แต่การจะระบุว่า
‘ใครใช่’ หรือ ‘ใครกำลังจะใช่’ นั้นยากขึ้นไปอีก
ผมขออธิบายโดยจำแนกไว้เพียงคร่าวเพื่อให้เห็นภาพง่ายที่สุดเพียง ๓
ข้อตามเกณฑ์ที่ว่า ‘ใครบ้างที่รู้ได้’ และ ‘เขารู้ได้อย่างไร’ ดังนี้
๑) คนธรรมดาเดาเอาจากพฤติกรรมและความผุดผ่อง
ประเภทนี้เสี่ยงที่จะผิดมากสุด เช่น อาจเป็นคุณเองที่ฟังธรรมมาบ้าง
และพอทราบว่าจุดหมายสูงสุดของพุทธศาสนาคือการสำเร็จเป็นพระอรหันต์
หลุดพ้นจากทุกข์และกิเลสอย่างเด็ดขาด
ฉะนั้นคุณก็อาจจะสอดตาหาพระหรือฆราวาสที่ประพฤติงาม มีความผ่องใส
มีความเป็นอยู่ห่างไกลจากเรื่องโลกๆ ถ้าพบแล้วเกิดความเลื่อมใสก็อาจทึกทักว่าท่าน
‘น่าจะใช่’ หรืออย่างน้อยก็ ‘คงใกล้แล้ว’
การเดาเอาจากการเห็นด้วยตา
หรือด้วยการคบค้าสมาคมตามคนธรรมดานั้น เหล่าอริยะจริงๆท่านไม่ปลื้มหรอกครับ
เพราะความเชื่อของปุถุชนเป็นสิ่งที่กลับไปกลับมาได้ตามอารมณ์ วันไหนพอใจก็ว่าใช่
วันไหนไม่สบอารมณ์ก็ว่าไม่มีทาง
ส่วนอริยะเก๊จะชอบให้คนอื่นคิดเรื่องพรรค์นี้
เชื่อเรื่องพรรค์นี้ คือจะเอาภาพอย่างเดียว ขอแค่ให้จำว่า ‘ฉันใช่’ หรือ
‘ฉันเกือบใช่’ เป็นพอ แต่อย่ามาแอบสอดส่องเรื่องพฤติกรรมว่าสมควรไหม
อย่ามาตรวจสอบคุณภาพจิตว่าไปถึงไหนก็แล้วกัน
๒) ผู้มีตาทิพย์ที่ฉลาดในนิมิตเห็นนิมิตแสดงวิสัยอรหันต์
ประเภทนี้เสี่ยงที่จะผิดรองลงมา
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่าภาวะอรหันต์เล็งกันที่จิตซึ่งสะอาดปราศจากมลทินเท่ายองใย
ภาวะของจิตดังกล่าวปรากฏเป็นนิมิตในห้วงมโนทวารของผู้มีญาณได้ เช่น
คนนั่งทางในเห็นเด็กบางรายก็ทำนายถูกว่าจวนสำเร็จพระอรหัตตผลแล้ว
ทั้งที่เด็กคนนั้นยังแทบไม่รู้จักพุทธศาสนา ไม่ได้เริ่มปฏิบัติธรรมเลยแม้แต่น้อย
นั่นเพราะก่อนหน้าที่จะเกิดมา เด็กคนนั้นเคยบำเพ็ญวิปัสสนาบารมีไว้มาก
กระทั่งนิมิตของเด็กปรากฏเป็นความใกล้เบ่งบานบริสุทธิ์หมดจด
แต่ปัจจุบันก็มีไม่น้อย
ที่ฝึกฝนอ่านรัศมีกายหรือออร่า (aura) เพื่อเห็นแสงสีต่างๆที่แผ่ออกมาจากกายมนุษย์ พวกนี้อาจอาศัยการจดจำบางสี
เช่น สีที่เป็นทองอมเหลืองสว่างกว้างจะออกแนวนักบุญ
ซึ่งถ้าใช้เกณฑ์ทำนองนี้มาชี้ว่าเป็นหรือไม่เป็นอริยบุคคลก็มีโอกาสคลาดเคลื่อนสูง
เนื่องจากออร่าเป็นรัศมีที่หยาบเกินไป ไม่ใช่แค่เห็นแล้วจบ
ต้องศึกษาและอ่านขาดว่าสีต่างๆสัมพันธ์กันอย่างไร
และต่อให้คนอ่านขาดก็ไม่อาจใช้ตัดสินแน่ๆว่าใครผ่านการบรรลุมรรคผลขั้นไหนแล้ว
เพราะการบรรลุมรรคผลแต่ละขั้นไม่ได้ตกแต่งรัศมีกายให้เหมือนกันหมด
นอกจากนี้ขอให้เข้าใจด้วยว่าผู้มีตาทิพย์ล่วงประสาทมนุษย์นั้น
แม้อาจเห็นนิมิตของจิตที่ใกล้หมดกิเลสได้จริง
ก็อาจบอกไม่ถูกว่าใครจะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้อย่างไร
ถ้าตนอยากเป็นพระอรหันต์ต้องทำท่าไหน อย่าไปเข้าใจนะครับว่าถ้า ‘เห็นของคนอื่นได้’
ก็แปลว่า ‘เป็นอย่างเขาได้’
๓) อริยบุคคลที่ได้ฌานและฉลาดในจิตของผู้อื่น
ประเภทนี้เสี่ยงที่จะผิดได้น้อย เพราะตนเองผ่านมาแล้ว
ทะลุกรอบจำกัดแบบปุถุชนมาแล้ว ตัดโซ่กิเลสที่ผูกมัดจิตไว้กับความเห็นผิดขาดแล้ว
ดังนั้นเห็นใครจึงอ่านออกบอกถูก ว่าคนๆหนึ่ง ‘ยังยึด’ แน่นหนาหรือเบาบางเพียงใด
มีสิทธิ์พ้นจากความเป็นปุถุชนได้เหมือนตนหรือไม่
ระดับพระพุทธเจ้านั้นท่านรู้ตั้งแต่เช้าตรู่ของทุกวัน
ว่าวันนี้มีใครถึงโอกาสแห่งมรรคผล
รู้ว่าจะอาศัยอุบายใดให้เหมาะกับบุญเก่าของแต่ละคน เพื่อทำให้เข้าถึงมรรคผลโดยง่าย
พูดง่ายๆคือขนาดยังไม่เจอหน้ากันก็ทายถูกแล้วว่าใครจะบรรลุหรือไม่บรรลุวันนี้พรุ่งนี้
คุณจะเข้าใจวิสัยการล่วงรู้ของอริยบุคคลได้ชัดขึ้น
หากทราบว่าภพหรือภาวะแห่งกายใจชนิดต่างๆเกิดขึ้นได้อย่างไร
พระพุทธเจ้าตรัสว่าเหล่าสัตว์มีความทะยานอยากเป็นเครื่องผูกใจ
เมื่ออยากได้โน่นอยากได้นี่ อยากเป็นโน่นอยากเป็นนี่ จึงก่อกรรมดีบ้าง ชั่วบ้าง
ส่งผลให้ได้ไปเสวยภพที่เหมาะสมกับกรรมของตน
จะหลุดพ้นไปจากภพไม่ได้ตราบเท่าที่ยังประกอบกรรมดีกรรมชั่วอยู่
เหล่าอริยบุคคลผู้เป็นสาวกมองตามคำตรัสของพระพุทธเจ้าก็เห็นจริงตามนั้น
คนส่วนใหญ่มีตัณหาชุ่มอยู่ในวิญญาณ ยังไม่รู้ตัวว่าตกเข้ามาอยู่ในเครือข่ายแห่งเหตุผล
ยังนึกว่าอยากพูดอะไรก็พูดได้ อยากทำอะไรก็ทำได้ ไม่เป็นไร
ไม่มีความถูกความผิดติดตัว
พวกเขาจึงได้ชื่อว่าสร้างแดนเกิดใหม่เรื่อยไปด้วยความหลง ยังห่างไกลจากมรรคผล
ยังห่างไกลจากความสิ้นภพ ยังห่างไกลจากการเข้าถึงที่สุดทุกข์ ต่อเมื่อใครมีตัณหาน้อยลง
คืออยากได้นั่นได้นี่น้อยลง อยากเป็นนั่นเป็นนี่น้อยลง วันๆมีแต่ทวนกระแสความอยาก
ฝึกเลิกยึดมั่นกายใจว่าน่าใคร่ เลิกยึดมั่นกายใจว่าเป็นตน
ก็ย่อมมีสิทธิ์เป็นอิสระจากภพชาติได้ในวันหนึ่ง
อริยบุคคลอาจเห็นนักปฏิบัติธรรมบางคนมีจิตอันใกล้ยกขึ้นจากหล่มแล้ว
เหมือนรากแก้วของพืชที่หยั่งลงไปในภพ เริ่มถอนขึ้นมาเรื่อยๆจนเกือบพ้น
จึงย่อมทำนายถูกว่าอีกนิดเดียว ขอเพียงออกแรงถอนต่อไป
พืชย่อมพ้นขาดเป็นอิสระจากผืนดินเป็นแน่แท้
อริยบุคคลยังเห็นเหตุเห็นผลด้วย
ว่าจะถอนรากไม้ใหญ่ต้องไม่ใช่ด้วยความบังเอิญ แต่ต้องอาศัยทั้งแรงดันจากเบื้องล่างคือบุญเก่า
และแรงฉุดจากข้างบนคือบุญใหม่ ทั้งบุญเก่าและบุญใหม่ต่างก็เป็นไปในทางเดียวกัน
คือทาน ศีล และการเจริญสติเห็นกายใจโดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน
อริยบุคคลผู้เชี่ยวชาญในการรู้วาระจิต
เห็นและจำแนกมาจนเจน จะแยกแยะได้ทีเดียวว่าแม้ความอยากก็แตกต่างกันในแต่ละคน
บางคนทะยานมาก บางคนทะยานน้อย บางคนสมอยากแล้วยึดแน่น บางคนสมอยากแล้วอยากปล่อย
พูดง่ายๆคือคนบารมีมากจะอยากแค่ชั่วคราว แม้แรกอยากจัดแต่ก็ปล่อยเร็ว
ถ้าจะให้กำหนดวันเวลาบรรลุแน่นอนได้ถูก
ก็ต้องมีอนาคตังสญาณประกอบอยู่ด้วย เป็นความสามารถกำหนดรู้ตามเงื่อนไขปัจจุบัน
ว่าถ้านักภาวนาเหลือความยึดมั่นประมาณนี้ จะได้กะเทาะเปลือกโมหะ
โพล่งรู้นิพพานอันพิสุทธิ์ได้ในวันไหนเดือนไหน
ส่วนคำถามคือรู้ได้ไหมว่าใคร
‘หมดสิทธิ์บรรลุธรรม’ นั้น อันนี้ก็อาจเห็นต่างๆกันไป เช่น
ถ้าอริยบุคคลท่านเรียนรู้ทฤษฎีมาครอบคลุม
ท่านก็อาจตรวจดูด้วยจิตว่าคนที่อยู่ตรงหน้าตนเคยประกอบอนันตริยกรรมไว้หรือไม่
อนันตริยกรรมที่ทำได้ในสมัยนี้ได้แก่ ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์
หรือเป็นพระที่ทำหมู่สงฆ์ให้แตกแยก หากพบว่าใครเคยทำอนันตริยกรรมมา
ก็จะเห็นว่าอนันตริยกรรมนั้นปรากฏเหมือนทางตัน
หรือเหมือนเครื่องขวางประตูไปสู่สวรรค์นิพพาน คืออย่าว่าแต่หมดสิทธิ์ถึงมรรคผล
กระทั่งเกิดใหม่ในสุคติภูมิก็ไม่ได้แล้ว
แต่แม้อริยบุคคลท่านตรวจไม่พบเครื่องขวางอย่างอนันตริยกรรม
ท่านก็อาจมองที่อุปสรรคข้ออื่น แล้วสำคัญว่าคนๆหนึ่งไม่มีสิทธิ์บรรลุธรรมก็ได้
กรณีตัวอย่างซึ่งเป็นที่เล่าขานกันมากเห็นจะได้แก่พระมหาปันถก
ท่านบวชแล้วสำเร็จอรหัตตผล ส่วนน้องชายของท่านนามว่าจูฬปันถกเป็นผู้รู้ช้า
ท่านจึงไล่กลับบ้าน
โดยไม่ทราบว่าพระจูฬปันถกก็มีสิทธิ์ถึงซึ่งพระอรหัตตผลเช่นเดียวกับท่าน
ร้อนถึงพระพุทธองค์ต้องมาทรงช่วยยับยั้งไว้มิให้สึก
กับทั้งประทานอุบายอันตรงกับอัธยาศัยของพระจูฬปันถก
พระจูฬปันถกจึงสำเร็จอรหัตตผลตามพี่ชายได้
ซึ่งนี่ก็แสดงให้เห็นว่าเว้นแต่พระพุทธองค์แล้ว
ไม่มีใครตัดสินวิสัยแห่งการบรรลุธรรมของผู้อื่นได้อย่างครอบคลุมหรอกครับ
หากคุณยังมีชีวิต
ยังมีโอกาสอยู่อย่างนี้ ก็เพียรเข้าไปเถอะ
อย่าสนใจเลยว่าจะถึงหรือไม่ถึงกันเมื่อไร
รู้เฉพาะตัวไปเถอะว่าแค่เริ่มออกเดินก้าวเดียว
เป้าหมายก็เขยิบใกล้คุณเข้ามาก้าวหนึ่งทันทีแล้ว!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น