บทที่ ๑๓ เจ้าชู้ยักษ์
แดดร่มลมตกในยามเย็น แพตรีออกดูแลรดน้ำต้นไม้ตามปกติ
สีหน้าหล่อนเต็มไปด้วยความสงบสุขและเหมือนได้รับความฉ่ำเย็นตามน้ำที่ลงรดแต่ละพันธุ์ไม้ไปด้วย
จากเช้าถึงเย็น ดูเวลาลัดผ่านไปรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ
หล่อนทำงานบ้านละเอียดลออทุกซอกมุมด้วยใจจดจ่อเพื่อกันจิตมิให้ฟุ้งซ่านวกวน
แต่งานบ้านอาศัยความเคยชินในการเคลื่อนไหวทางกาย
ใช้ใจคิดอ่านเพียงเศษเล็กเสี้ยวเดียว เปิดช่องให้เรื่องอื่นแทรกแซงได้มากมาย
จึงน่าอายที่ทบทวนแล้วพบว่าตนวกวนคิดถึงอยู่แต่คำพูด ท่วงที
และสายตาของเขาคนนั้นตลอดวัน…
บอกตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงความปรารถนาเดิมที่จะตัดใจให้ขาด
เขาไปขวาหล่อนจะไปซ้าย ทว่าแค่คิดก็รู้แล้วว่าตอนนี้หัวใจหล่อนอ่อนแรงต้านลงทุกที
รดน้ำเสร็จมาลงนั่งพรวนดินให้กุหลาบกอหนึ่งที่หลังบ้าน
สีสันออกชมพูแดงเรื่อลานตาชวนให้เกิดความรู้สึกอ่อนหวานขึ้นมาในอก แพตรีระบายยิ้ม
นึกถึงคำกล่าวลาของเขาเมื่อเช้าหลังจากใส่บาตรเสร็จ
‘ผมต้องไปพบหลวงตาท่าน…แล้วผมจะกลับมาหาแพนะฮะ'
ตอนนั้นคิดไม่ออกว่าจะตอบอย่างไร หรือแม้กระทั่งทำสีหน้าแบบไหน
จึงจะเหมาะกับโอกาส นึกอยากหลบหน้าไปจากบ้านตลอดบ่ายด้วยซ้ำ
การอยู่รอพบเขาอาจเหมือนตอบรับสัมพันธภาพอยู่ในที แย่ตรงที่มีทางเลือกน้อย
เพราะนี่เป็นบ้านปู่ และเขาก็เป็นหลานแท้ๆ
อยากเข้าออกเมื่อไหร่ก็อ้างว่ามาหาปู่ได้ตลอด
"กุหลาบสวยจัง"
แพตรีสะดุ้งสุดตัว
หันขวับมาทางต้นเสียงก็พบเขาผู้กำลังมีบทบาทกับความคิดของหล่อนอยู่เดี๋ยวนั้น
ชายหนุ่มซ่อนหัวเราะไว้
มันเป็นนิสัยเสียๆอย่างหนึ่งที่ชอบทำให้คนกำลังเผลอตัวตกใจ
เขาเป็นฝ่ายเลื่อนไปนั่งตรงหน้าหญิงสาว จ้องหน้าหล่อนยิ้มๆอย่างเอ็นดู
เอ่ยต่อด้วยสุ้มเสียงนุ่มแน่น
"ผมเคยนั่งทานข้าวกลางวันบนตึกที่ทำงาน มองออกมานอกหน้าต่าง
เห็นตึกรามบ้านช่อง เห็นรถราวิ่งขวักไขว่ แล้วก็เห็นต้นไม้บนเกาะกลางถนน"
แพตรีรักษาสีหน้าเป็นปกติ
มิได้มีปฏิกิริยาอย่างใดกับการที่จู่ๆเขาก็เข้ามาแกล้งให้ตกใจเล่นเพื่อความบันเทิงเฉพาะตัว
ฟังเขาด้วยนัยน์ตาทอดนิ่งราวกับคุยกันมาอย่างต่อเนื่อง
"รู้ไหมผมคิดอะไร ผมคิดว่าตึกกับรถนี่ถ้าใช้เวลาศึกษาเสียหน่อย
ผมคงเข้าใจ สามารถออกแบบ หรือคุมงานสร้างได้ไม่ยาก
จะให้เป็นรูปร่างสมทรงแข็งแรงทันสมัยยังไงก็ได้ ไม่เกินปัญญาผมหรอก
แต่ว่า...สำหรับต้นไม้ ผมคงไม่มีทางเข้าใจเลยว่าธรรมชาติทำอย่างไร
ถึงมีการแตกกิ่งก้านสาขา ยื่นยาวออกไปในทิศต่างๆรอบตัว
และผลิดอกออกใบอย่างที่เราเห็นกัน
ขั้นตอนการงอกเงยจากความเป็นเมล็ดพันธุ์ออกมาเป็นรูปเป็นร่างอย่างนี้น่ะ
คิดดูแล้วลี้ลับจริงๆเลย
มนุษย์อาจทำได้อย่างเดียวคือใส่เมล็ดพันธุ์ต้นกำเนิดลงไปในดิน
แล้วก็ให้ปัจจัยในการเจริญเติบโตแก่มันบ้าง นอกนั้นเป็นหน้าที่ของธรรมชาติทั้งหมด"
หญิงสาวยังฟังเขานิ่ง ประกายตาทอแววขัน มุมปากเริ่มแย้มออกหน่อยๆ
อาจเห็นว่าอยู่ๆเขาก็เอาอะไรมาเพ้อเจ้อให้ฟังกระมัง
เกาทัณฑ์สบตาตอบด้วยใจที่เปิดเผย ก่อนเสหันมองหลังคาบ้าน
"บ้านหลังนี้ดีนะ มีต้นไม้เยอะ และทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าธรรมชาติการเติบโตของต้นหมากรากไม้
มีส่วนสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจิตใจของผู้เลี้ยงยังไง
เคยได้ยินว่าคนมือร้อนปลูกต้นไม้แล้วชืดเฉา ต้องคนมือเย็นถึงจะปลูกแล้วงามตา
ผมลองสังเกตดูแล้ว
ทุกต้นในบ้านนี้ดูมีชีวิตชีวาและเหมือนส่งยิ้มทักทายผู้มาเยือนให้สดชื่นได้ทุกเมื่อ
เรียกว่าเห็นต้นไม้แล้วรู้เลยว่าใจคอเจ้าของเป็นอย่างไร และมีมือเย็นขนาดไหน"
ชายหนุ่มหันกลับมามองมือเรียวสมส่วนของแพตรี ก่อนเหลือบขึ้นมองหน้า
เห็นหล่อนกำลังมองพินิจเขาด้วยดวงตาคู่สวย
นิลเนตรฉายแววนิ่งดูมีพลังสะกดผู้ถูกจับจ้องให้อ่อนระยอบอยู่ในอำนาจอิตถี
กระแสความดีที่ผนวกกับรูปกายอันเกิดแต่บุญเก่าอย่างลงตัว
ส่งให้หล่อนเป็นเสมือนสิ่งมีค่าถูกตั้งไว้บนที่สูงอย่างน่ากลุ้มเมื่อคิดไขว่คว้า
เกาทัณฑ์คุมสติและสั่งตนเองไม่ให้เกิดความหลง
ยิ่งหลงเท่าไหร่ยิ่งอ่อนแอเท่านั้น ใครจะไปอยากพิศวาสคนอ่อนแอเล่า
"แพรู้ไหม
ทำไมต้นไม้ต่างชนิดต่างพันธุ์พวกนี้ถึงมีกิ่งก้านสาขาตามแบบที่เราเห็น
มีเหตุผลอะไรกับการเป็นดอกกุหลาบสีแดง มีเหตุผลอะไรกับการมีหนามแหลม?"
แพตรีฟังคำถามอจินไตยนั้น นัยน์ตายังจ้องเขาไม่วาง มุมปากยังแต้มยิ้ม
ริมฝีปากอิ่มล่างบางบนขยับเหมือนจะลังเลหาคำพูดอยู่เป็นครู่ ก่อนตอบในที่สุดว่า
"เพื่อให้เราเห็นมันเป็นอย่างนั้นมั้งคะ"
เกาทัณฑ์เลิกคิ้วคิดตามคำพูดหล่อนเล็กน้อย
ก่อนเม้มปากลากเสียงยาวราวกับเกิดความเข้าอกเข้าใจเต็มตื้น
"อื๊อม์!...”
ความหน้าตายของเขาทำให้แพตรีอดหัวเราะไม่ได้ตามเคย
”ที่แท้ธรรมชาติก็ต้องการเอาใจมนุษย์และสัตว์ เข้าทีมาก
น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่มองข้ามความน่าชื่นใจของธรรมชาติไปนะ
เห็นต้นไม้บ้านนี้แล้วผมอยากมานอนเล่นที่นี่ทุกวันเลย คงหลับสบายน่าดู”
หญิงสาวเบนมองทางหน้าบ้านแล้วถามว่า
“เข้ามาได้ยังไงคะ คงปีนรั้วใช่ไหมนี่?”
“เปล่าฮะ ยังกลางวันอยู่ ไม่ได้เวลาปีน…เผอิญปู่ลงมานั่งเล่นหน้าบ้านน่ะ”
“แล้วทำไมไม่อยู่คุยกับท่านล่ะคะ?”
“รู้ใจฮะ เห็นหน้าผมปู่ก็นึกรำคาญแล้ว รีบเลี่ยงมาหาแพดีกว่า
แพคงไม่รำคาญผมหรอก”
“รู้ได้ยังไง?”
ประสานตากันนิ่ง ชายหนุ่มยิ้มอ่อน
สงสัยขึ้นมาเล่นๆว่าถ้าตอนนี้เขารวบร่างกลมกลึงตรงหน้าเข้ามากอดแนบอกตามใจตนเอง
จะโดนปู่เล่นงานถึงขั้นหัวร้างข้างแตกหรือเปล่า
“เมื่อกี้พอไหว้ปู่ ปู่รีบบอกว่าแพอยู่หลังบ้าน”
แพตรีวางเสียมเล็กในมือลงข้างกาย ก่อนกล่าวเชื้อเชิญเขาด้วยท่าทีมีมารยาทเยี่ยงผู้มีหน้าที่ต้อนรับอาคันตุกะ
“ไปนั่งที่ดีๆเถอะค่ะ เดี๋ยวจะหาน้ำให้”
ชายหนุ่มรู้ทันว่าหล่อนคงพาไปนั่งใกล้ปู่เป็นแน่ จึงวิงวอนว่า
“ขอนั่งสบายๆบนหญ้านุ่มนี่สักพักเถอะฮะแพ
ผมชอบกลิ่นมะลิแรงๆปนกลิ่นไอดินหลังรดน้ำต้นไม้อย่างนี้จัง อยู่แต่บนตึก
ห่างดินห่างหญ้ามานานเต็มที…นะ”
“ชอบธรรมชาติด้วยหรือคะ?”
ถามอย่างดูออกว่าเขาเป็นประเภทชอบเสพเฟอร์นิเจอร์หรูและไอเย็นของเครื่องปรับอากาศเสียมากกว่า
เกาทัณฑ์ลืมตาโพลง มองหล่อนด้วยท่าทีขึงขัง
“ผมน่ะ นักธรรมชาตินิยมตัวยงเชียวนา เอาไหมล่ะ
ให้มาช่วยแพรดน้ำพรวนดินทุกวันเลยยังไหว”
พูดจบก็ยิ้มพราย มองหล่อนด้วยนัยน์ตาแฝงแววกรุ้มกริ่มเล็กๆ
แพตรีเห็นเข้าก็ถามมาอีกทางเพื่อลดแววชนิดนั้นในตาเขา
"เป็นไงคะวันนี้ ก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว?"
ได้ผล หน้าตาเกาทัณฑ์ดูธรรมะธัมโมขึ้นกว่าเดิมทันที
“ก้าวหน้าหรือ? หลวงตาให้ผมถอยไปข้างหลังก้าวหนึ่งต่างหาก
เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองและพร้อมจะเริ่มนับหนึ่งใหม่จริงจัง”
หญิงสาวมองอีกฝ่ายอย่างนึกฉงน
ดูท่าทางเขาไร้แววเล่นเช่นผู้รู้อรรถรู้ธรรมพึงปฏิบัติยามกล่าวถึงของสูง
แต่ถ้อยคำก็ดูเหมือนเจตนาเล่นลิ้นให้ดูขลังอย่างเลื่อนลอยเสียมากกว่า
“หมายความว่ายังไงคะ?”
เกาทัณฑ์เกือบเล่าตรงๆ แต่ชะงักไว้ กล่าวอ้อมมาอีกทาง
“ตั้งแต่ทำสมาธิได้ เข้าเห็นสายลมหายใจชัดเจนต่อเนื่องเป็นนิมิต
ผมก็รับรู้แล้วนะว่า ‘การเห็น’
นั้นมีมิติพิสดารเกินกว่าการใช้สองแก้วตาคู่นี้มองโลก ความจำก็เหมือนกัน
ด้วยเพียงภาวะจิตปกติ มีสำนึกคิดอ่านตามธรรมดาอย่างนี้
อย่างดีก็ทบทวนไปได้เพียงอดีตใกล้ และเห็นเป็นมโนภาพเท่าที่ฝังใจอย่างรางเลือน
ขาดลำดับ ขาดศักยภาพในการสืบสาวไปไกลได้ตามต้องการ”
ลมหายใจของแพตรีผ่อนแผ่วลงเมื่อเริ่มจับทิศถูก
ทอดมองเขาอย่างรอคอยว่าจะพูดคำใดต่อ พอเห็นเงียบนาน ก็เป็นฝ่ายเตือน
“แล้วยังไงคะ เมื่อมีศักยภาพในการสืบกลับไปไกล…คุณเห็นอะไร?”
เกาทัณฑ์ยิ้มนิดหนึ่ง
แม้ไวสัมผัสน้อยกว่านี้อีกสิบเท่าเขาก็ทราบได้ว่านั่นเป็นอาการอยากรู้อยากเห็นที่ผิดวิสัยของหล่อนมาก
“ผมควรจะเห็นอะไรฮะ?”
หญิงสาวอึกอัก ก่อนรู้สึกตัวและรักษากิริยาเป็นปกติดังเดิม
“ก็นั่นสิคะ เห็นเล่าเหมือนกับรู้อะไรดีๆมา
นึกว่าจะถ่ายทอดให้ฟังบ้างในฐานะศิษย์อาจารย์เดียวกัน”
“แพเป็นศิษย์รุ่นพี่นี่ ต้องรู้ดีกว่าผมเยอะแน่เลย”
แพตรีเงียบ ตัดความกระวนกระวายใคร่รู้ที่เกิดขึ้นปุบปับออกจากใจไปสิ้น
และเสมองผีเสื้อสองตัวที่กำลังขยับปีกอวดลายสวยห่างออกไป
“คำว่า ‘ชาติก่อน’ นี่ดูตลกและไกลตัวจริงๆนะ ฟังทีไรผมขำทุกที ต่อเมื่อเรารู้จักมันในฐานะความทรงจำของตัวเอง
ย้อนได้ชัด รู้ได้จริงเท่ากับที่สามารถนึกได้ตลอดเวลาว่าเมื่อวานเป็นอย่างไร
เราไปทำอะไรมา ชาติก่อนก็คืออีกกายหนึ่งก่อนกายนี้ จำไม่ได้ก็เป็นเรื่องโกหก
จำได้เมื่อไหร่ก็เป็นเรื่องจริงไป”
หญิงสาวเฉย ทว่าสังเกตจากสายตาที่เล็งนิ่ง
เกาทัณฑ์ก็ทราบว่าหล่อนกำลังเงี่ยหูฟังอย่างมีใจจดจ่อ
“สมมุติว่าแต่ก่อนผมเคยบำเพ็ญตบะ เป็นผู้วิเศษมีฤทธิ์เดช
รู้แจ้งแทงตลอดในการใช้อำนาจจิตมาแล้ว
นั่นก็แค่ปรากฏการณ์หนึ่งในอดีตที่สูญหายตายจากไป
ถ้าใครมาบอกด้วยปากเปล่าให้รับรู้เดี๋ยวนี้ ผมคงหัวเราะก๊าก
และเห็นเป็นเรื่องขบขันไร้สาระมากกว่าจะนึกเชื่อ…นั่งขับรถไปติดไฟแดงทุกวันอย่างผมน่ะหรือเคยเป็นฤาษี
เหาะเหินเดินอากาศได้”
แพตรีเหลียวมามองดังคาด สีหน้าบอกชัด
หล่อนทราบว่าคำพูดคล้ายเปรยเป็นตัวอย่างของเขามิใช่เพียงสมมุติเล่น
เพราะหล่อนรู้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้วว่านั่นคือเรื่องจริง
เกาทัณฑ์เกิดความฉลาดแกมโกงขึ้นมาทันใด แม้ถึงตอนนี้ยังไม่รู้อะไรเลย
เขาก็จะลักไก่
“ทำไมแพต้องรอให้ผมรู้เรื่องระหว่างเราด้วยตัวเอง
เห็นผมลืมก็น่าจะปรานีบอกกล่าวกันบ้าง ถ้าชาตินี้ผมจำสัญญาระหว่างเราไม่ได้
และหายหน้าตลอดไปเพราะน้อยใจท่าทีเมินเฉยของแพ แพจะทนเสียใจไหวหรือ?”
แพตรีเขม้นมองทั้งหน้าเขาแน่วนิ่งคล้ายพยายามผ่านให้เห็นถึงข้างใน
“ทำไมถึงจะไม่ไหวล่ะคะ เราผูกพันกันแน่นหนานักรึไง?”
“คำว่า ‘ผูกพัน’ น้อยเกินไป…”
แล้วชายหนุ่มก็ขยับเข้ารุกประชิด ดึงมือซ้ายบนตักหล่อนขึ้นกุม
แพตรีมองเขาตื่นๆด้วยความคาดไม่ถึงกับการจู่โจมชนิดนั้น
พลังและไออุ่นในอุ้งมือแกร่งมีอิทธิพลเฉียบพลันให้อ่อนลงได้ทั้งร่าง
หล่อนใช้มือข้างที่เป็นอิสระยันพื้นเอนกายอย่างพยายามหนี
พลางเค้นเสียงเขียวด้วยสัญชาตญาณป้องกันตัวของหญิง
“เอ๊ะ! จะทำอะไรคะ?”
ปลายเสียงพร่าสั่นเต็มทนจนเกินกว่าจะน่าเกรง
เกาทัณฑ์มองริมฝีปากสั่นระริกของหล่อนด้วยความรู้สึกเป็นต่อ
แพตรีก้มหน้าหลบอย่างรู้ว่าเขากำลังโน้มเข้ามาจะหอมแก้ม
“แพ…”
เสียงมีเมตตาของปู่เรียกดังแต่ไกลและฟังรู้ว่ากำลังเดินใกล้เข้ามา
เกาทัณฑ์ถึงกับผวา ปล่อยมือหญิงสาวทิ้งทันที และรีบดึงกายขึ้นนั่งตรงเป็นปกติ
ใจเต้นตึกๆ ส่วนแพตรีหน้าแดงราวกับทาด้วยชาด เบี่ยงกายไปทางอื่นที่เมื่อปู่มาถึงแล้วจะเห็นเพียงด้านข้าง
“เตรียมจัดข้าวเย็นเถอะลูก”
ปู่ปรากฏตัวและยืนห่างแค่สิบก้าว พอบอกหล่อนเช่นนั้นแล้วก็หันมาสั่งหลานชาย
เสียงเข้มแตกต่างจากที่พูดกับแพตรีอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วนายเต้ มานั่งคุยกับปู่ข้างบนมา!”
เกาทัณฑ์เงอะงะ แต่ก็รับคำเสียงดังผิดปกติแบบเด็กขี้ขโมยถูกจับได้
“อะ…ครับ!”
ดึงกายขึ้นยืนด้วยความเสียดายใจแทบขาด
อุตส่าห์ได้มือนุ่มนิ่มราวกับสำลีสวรรค์มาถือไว้แล้ว
และกำลังจะเข้าถึงแก้มหอมอยู่รอมร่อ ทำไมฝันที่เป็นจริงถึงพังครืนลงได้อย่างนี้
นั่งลงตรงข้ามปู่ เกาทัณฑ์รู้สึกหนาวๆร้อนๆชอบกล แม้สายตาของท่านยังเปี่ยมเมตตา
ทว่าทีท่าขรึมกว่าเคย
ประกอบกับที่เขารู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองเพิ่งก่อคดีอาจเอื้อมเชยชมแก้วตาดวงใจของท่านมาหยกๆ
บรรยากาศเลยเหมือนห้องสอบสวนผู้ร้ายที่เพิ่งถูกรวบตัวได้อย่างไรอย่างนั้น
“ปู่มีลูกหลายคนทั้งหญิงชาย” ท่านเริ่มด้วยเสียงเป็นกังวานราวกับเพิ่งอยู่ในวัยฉกรรจ์
“รักและห่วง เลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมเท่าเทียมกัน เข้าใจดีว่าแค่ไหนถึงเรียกรักลูก
รักหลาน”
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเอื๊อก
อารัมภบทแค่นี้ก็เดาได้แล้วว่าเมื่อกี้ปู่เห็นแหงๆ
จะจากมุมมองไหนนั่นสุดจะหยั่งทราบ ในเมื่อควรเป็นบริเวณที่มีแมกไม้มุงบังลับตาที่สุดของบ้านแล้ว
“ต่อเมื่อเลี้ยงยายแพ ถึงรู้ว่ารักยิ่งกว่าลูกเป็นยังไง”
หลานชายยิ้มแห้งๆ
“นั่นสิครับ ก็น่าอยู่หรอก”
“ทุกวันนี้ถ้ามีห่วง ก็ห่วงเดียวคือยายแพ
ฉันคงตายตาหลับยากถ้ายังไม่แน่ใจว่าเขาจะอยู่กลางดงเสือ สิงห์ กระทิง แรดอย่างไร”
เกาทัณฑ์ฝืนยิ้มให้ต่อเนื่อง
ได้แต่พยักหน้ากระตุกๆเป็นระยะอย่างไม่ทราบจะทำอะไรดีกว่านั้น
เพราะชัดแล้วว่าปู่กำลังเริ่มเทศนา
“ฉันเคยเป็นหนุ่มมาก่อน ถึงรู้ว่าคนที่น่าเชื่อถือ น่าไว้ใจน่ะ
ต้องไม่ใช่คนปากว่ามือถึง
เพราะความประพฤติแบบนั้นแสดงให้เห็นว่าเคยชินที่จะใช้สัญชาตญาณเบื้องล่างนำความรู้สึกฝ่ายสูง
ทำกับคนหนึ่งได้ก็สามารถทำกับผู้หญิงคนต่อๆไปทุกเวลา ทุกที่ ต่อให้ออกเรือนเป็นฝั่งเป็นฝา
สมควรควบคุมตัวเองให้อยู่ในร่องในรอยแล้ว ก็จะยังไม่วายเอาแต่ใจตัว เจ้าชู้ไปทั่ว”
ฝ่ายถูกเทศนาสะอึกหน่อยหนึ่ง
นึกแย้งในใจว่าแพตรีคือคนสุดท้ายที่เขาจะแตะต้อง ถ้าได้หล่อนมา
ผู้หญิงทั้งโลกก็หมดความหมายตลอดไป อย่างไรก็ตาม เหมือนเขาย่ามใจมาเชยชมสมบัติต้องห้ามกลางบ้านเจ้าของ
เป็นฝ่ายผิดวันยังค่ำ จึงจำก้มหน้าก้มตาขอโทษขอโพยเสียงอ่อยตามระเบียบ
“ผมผิดไปแล้วครับปู่ เผลอตัวใจเร็วไปหน่อย”
“ไม่หน่อยล่ะ แกคงทำบ่อยจนชินแล้วต่างหาก เห็นหลานสาวฉันเป็นอะไร
มาลวนลามกันกลางสนามหญ้าได้”
แค่จับมือหน่อยเดียวคนรุ่นปู่เรียกลวนลาม? เกาทัณฑ์ปิดตาลง งอหลังระทดระทวย ก่อนฝืนอธิบายว่า
“ผมเสียใจหากทำให้ปู่เห็นและเข้าใจว่าภาพที่เกิดขึ้นมาจากความมักง่ายไร้สำนึก
แต่ความจริงก็คือ ผมรู้ตัวว่าสัมผัสทั้งหมดละเอียดอ่อนและเต็มไปด้วยความให้เกียรติ
มองแพด้วยความรู้สึกด้านสูง ต่างจากที่ปู่เข้าใจเป็นตรงข้ามนะฮะ”
“หมายความว่าแกรักยายแพรึ?”
ปู่ถามตรงไปตรงมาจนเหมือนเอาเข็มแหลมทิ่มหลัง เกาทัณฑ์อึกอักอยู่ครู่หนึ่ง
ใช่เพราะลังเลที่จะตอบ
แต่ออกประหม่าที่ต้องสารภาพกับปู่ซื่อๆโดยมิได้เตรียมเนื้อเตรียมตัวล่วงหน้า
“ครับ”
เขายอมรับฝืดๆในที่สุด
“แล้วคิดว่าเขารักแกรึเปล่า?”
เกาทัณฑ์กะพริบตาสองสามหน
“ไว้มีโอกาสดีเมื่อไหร่ผมจะลองถามเขานะครับ”
“ฉันแค่อยากรู้ว่าแก ‘คิด’ ว่าเขารักแกหรือเปล่า
ย่ามใจขนาดจะกอดจูบเขากลางวันแสกๆน่ะ ถ้าขาดความมั่นใจใครจะกล้าล่ะ”
ฝ่ายถูกคาดคั้นทำหน้าเรี่ยด้วยความลำบากใจ
“คงอย่างนั้นมั้งครับ ผมต้องเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน
เวลาคบหาสั้นจนเจาะจงยากว่าควรเรียกอะไรก็จริง แต่ของแบบนี้เมื่อเกิดขึ้น
ประสบการณ์ที่ผ่านมาของผมก็พอบอกได้ว่าใช่หรือเปล่า”
ปู่ชนะยิ้มเล็กน้อย
“แกเข้าข้างตัวเองแบบนี้บ่อยไหมนี่?”
หลานชายสะอึกอีกคำรบ
“ปู่ให้ผมตอบตามความรู้สึกนะครับ”
ชายชราพยักหน้า
“ให้พูดแบบไม่อ้อมค้อมนะ ปู่ไม่นิยมคนเจ้าชู้ยักษ์ จะว่าหัวเก่าก็ตามใจ
ในเมื่อยังไม่ถึงเวลาตกลงปลงใจทำพิธีตกล่องปล่องชิ้นให้เป็นเรื่องเป็นราว
แล้วมาคิดหากำไรล่วงหน้าน่ะ ฝ่ายหญิงเสียเปรียบฟรีมานักต่อนักแล้ว
เริ่มจากนิดหน่อยหอมปากหอมคอ เดี๋ยวก็ลามถึงขั้นรังแกกัน ตัดไฟแต่ต้นลมน่ะดีที่สุด
แกจะทึกทักตามอัธยาศัยยังไงก็ช่าง แต่ห้ามแตะ!”
เกาทัณฑ์กะพริบตาทีหนึ่ง ไม่ได้ตระเตรียมล่วงหน้ามาก่อนเลยสำหรับวินาทีนั้น
“ปู่ครับ” เขาเริ่มต้นหนักแน่นอย่างรู้ว่ากำลังจะพูดอะไรต่อไป
“ผมขอโทษอีกครั้ง และอยากพิสูจน์ตัวเองว่าแม้ล่วงเกินแพน้อยหรือมากกว่าที่ปู่เห็น
ก็พร้อมจะรับผิดชอบทั้งหมด ไม่ใช่ความมักง่ายใจเร็วเลย
เดี๋ยวถ้าถามขอความยินยอมจากแพได้ และปู่ยอมรับ
อาทิตย์หน้าผมพาพ่อแม่มาหมั้นแพนะครับ”
ด้วยเพราะมองปู่อยู่ตลอดเวลา
ชายหนุ่มจึงไม่คิดว่าตนตาฝาดที่เห็นปู่ระบายยิ้มโล่งใจ คล้ายคนยกภูเขาออกจากอกได้เสียที
หลังแบกไว้หนักอึ้งแสนนาน
แต่ชั่วพริบตาปู่ก็ปั้นหน้าขรึมพูดเป็นงานเป็นการเหมือนเดิม
“อะไรกัน ฉันเห็นแกคุยกับยายแพนับคำได้
ถือสนิทตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงคิดมาหมั้นล่ะนี่”
เมื่อปู่เริ่มอ้อมค้อมอย่างสงวนทีเพราะอยู่ฝ่ายหญิง
เกาทัณฑ์ก็เป็นฝ่ายตัดตรงเข้าหาจุดบ้าง
“พูดเปิดอกกับปู่อย่างหลานนะครับ ผมรักแพ ต้องการแต่งกับเขา
ระหว่างนี้เมื่อไปมาหาสู่เพื่อทำความสนิทชิดเชื้อและทอดระยะเวลาพิสูจน์ตัวเอง
จะให้ผมเป็นสุภาพบุรุษแค่ไหนก็ยอม แต่ขนาดห้ามแตะแม้ปลายเล็บนี่
ผมคงขาดใจตายเสียก่อนถึงวันแต่ง เพราะฉะนั้นเพื่อความสบายใจ
ก็น่าจะมีพิธีหมั้นเพื่อให้โอกาสเราแสดงสนิทสนมกันตามโอกาสโดยไม่เสียเกียรติใคร
อย่างที่ยอมรับกันตามประเพณีเรา”
ผู้อาวุโสหัวเราะเอื่อย
“เคยพูดกับแพเรื่องนี้หรือเปล่า?”
ชายหนุ่มสั่นศีรษะ
“ไม่เคยครับ และรู้ดีว่าเธออาจปฏิเสธเพราะเร็วเกินไป
แต่ก็ยินดีเก้อเพื่อบอกว่าผมพบเธอแล้วเกิดความรักจริงรุนแรงขนาดไหน
ให้รู้ว่าต้องการเธอตั้งแต่เดี๋ยวนี้ และรอได้นานเท่าที่อยากพิสูจน์กัน
กับทั้งอยากทราบด้วยว่าผมละเมอเพ้อพกอยู่ตามลำพังหรือเปล่า หากหลงเข้าใจผิด
ก็จะได้ถอนเท้าไปก้าวหนึ่งและเริ่มเข้ามาใหม่อย่างรู้จักเจียมตัวประมาณตน
ปู่อย่าห่วงว่าผมหุนหันพลันแล่นเป็นเด็กๆเลยฮะ ผมโตแล้ว
แน่ใจว่าสร้างตัวไว้มั่นคงพอ ปลูกบ้านปลูกเรือนได้
พอๆกับที่สามารถปลูกรักและเลี้ยงดูให้เติบโตอย่างผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบดีคนหนึ่ง”
เว้นระยะขบริมฝีปากหน่อยหนึ่ง
“ผมรู้อย่างที่ปู่รู้ ถ้าคิดมีชีวิตคู่ เลือกแพน่ะไม่ผิดแน่
แต่เลือกผมอาจไม่แน่ว่าจะผิดหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ปู่กับแพอยากให้ผมทำอะไร
เลิกทำอะไร ระหว่างหมั้นผมจะให้เห็นก็แล้วกันว่าเป็นไปได้ไหม”
ปู่ชนะยังยิ้มอยู่ในความสงบเยือกเย็น
มองหลานชายด้วยสายตาของคนอยู่ในโลกมานาน
“เดี๋ยวให้ฉันถามแพเป็นส่วนตัวนะว่าแกพูดเองเออเองไปคนเดียวหรือเปล่า
เรื่องการงานความมั่นคงของแกน่ะรู้อยู่หรอก ยังไงก็หลานแท้ๆของฉัน
ฐานะยายแพก็เหมือนลูกพี่ลูกน้อง ถ้าได้กันมันก็ทำนองเรือล่มในหนองน่ะแหละ
แต่ความในใจของเขาก็อีกเรื่องหนึ่ง เขาต้องเลือกเองว่าจะหมั้นหรือเมินใคร”
ค่ำนั้นแพตรีทำข้าวอบสับปะรดกับลาบเห็ดมาวางพอทานสามคน
ตลอดเวลาหล่อนก้มหน้างุด ปู่ถามคำตอบคำ ส่วนเกาทัณฑ์ชวนปู่พูดคุยเป็นปกติ
ว่างๆก็ออกปากชมรสอาหาร พยายามพูดให้แพตรีโต้ตอบ
แต่หล่อนเงียบและก้มหน้าก้มตาเฉยคล้ายเข้าใจว่าเขาพูดกับลมแล้ง
“พรุ่งนี้วันอาทิตย์ ผมอยากชวนปู่กับแพไปทำบุญด้วยกันไกลๆ"
เขาพูดขึ้นมาในจังหวะหนึ่ง
"เนื่องในโอกาสอะไร?"
เกาทัณฑ์หยุดคิดเล็กน้อย ก่อนตอบว่า
“โอกาสที่ผมมีความรู้สึกดีพอ พร้อมจะทำบุญฮะ
และอยากพาปู่กับแพไปไกลถึงต่างจังหวัดให้สบายใจบ้าง”
ปู่หัวเราะหึๆ
“ฉันอยู่นี่ก็สบายใจดีนี่นา
ให้คนแก่นั่งอุดอู้ในรถออกต่างจังหวัดนึกว่าเมื่อยน้อยอยู่รึ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับทราบอย่างหมดหวัง แต่แล้วก็หูผึ่ง
“ลองชวนแพดูสิว่าเขาอยากจะไปไหม”
สองหนุ่มสาวมองปู่เป็นตาเดียวด้วยความคาดไม่ถึง ปู่พยักพเยิดกับแพตรี
“อยากไปทำบุญต่างจังหวัดกับพี่เขาไหม?”
เกาทัณฑ์ชักมองออกว่านั่นเป็นการสอบดูว่าหลานสาวมีใจให้เขาแค่ไหน
หรืออีกนัยหนึ่งอาจเป็นการจงใจให้เขารับรู้ว่ากะแค่เดินทางไปเที่ยวกันสองต่อสองนี่แพตรีก็ไม่เอาด้วยแล้ว
อย่าว่าแต่ขอเจรจาหมั้นหมายอะไรเลย
แพตรีหันขวับมาจ้องเขา หากสังเกตจะเห็นหน้ามุ่ยนิดๆ
หล่อนเกือบบอกปู่ตรงๆว่า
‘ไม่อยากค่ะ เขาไว้ใจไม่ได้!’
แต่ถ้าพูดแล้วคงเหมือนหักหน้าให้สะเทือนใจกันมากไปหน่อย
จึงตวัดหางตาผ่านเขานิ่มๆ หันไปมองปู่
และเรียบเรียงประโยคปฏิเสธเสียใหม่เป็นน้ำเสียงทอดอ่อน
“พรุ่งนี้แพอยากตื่นขึ้นมาใส่บาตรตามปกติค่ะปู่
แล้วตอนกลางวันถ้าได้พักผ่อนอยู่กับบ้านก็คงสบายดี”
ปู่ชนะครางรับอือม์ ก่อนหันมาทางหลานชายเพื่อถ่ายทอด
“แพเขาไม่อยากไปกับแกน่ะเต้”
เกาทัณฑ์หน้าเจื่อนลง เริ่มเปล่าเปลี่ยวที่หาพรรคพวกเข้าข้างไม่ได้สักคน
“ช่างเถอะครับ เอาไว้โอกาสหน้าปู่เกิดอยากนั่งรถ แล้วแพมีธุระทำน้อยลง
ก็ขอให้บอกแล้วกัน สำหรับผมพร้อมเสมอ”
การสนทนาถัดจากนั้นเป็นการผูกขาดระหว่างปู่กับหลานชาย
ซึ่งก็กะพร่องกะแพร่งลงถนัด แพตรีเหมือนแยกตัวออกไปอยู่ต่างหาก
พอหล่อนอิ่มก็เดินหายไปทำอะไรก็อกแก็กในครัวซึ่งอยู่ห้องติดกันทันที
“ปู่เอาเบอร์ผมไว้นะฮะ ถ้ามีธุระด่วนอะไรก็อยากให้เรียกใช้ผมก่อนคนอื่น”
เกาทัณฑ์ควักนามบัตรจากกระเป๋าสตางค์มาเขียนหมายเลขโทรศัพท์ในห้องพักเพิ่มเติมจากเบอร์มือถือและเบอร์วิทยุติดตามตัวที่ปรากฏอยู่แล้ว
พอเขียนเสร็จก็ยื่นส่ง
ปู่รับมาดูแวบหนึ่งก่อนหย่อนใส่กระเป๋าเสื้อด้วยท่าทางคล้ายพร้อมจะลืมภายในห้านาที
สองปู่หลานอิ่มในเวลาต่อมา เกาทัณฑ์ยกสำรับใส่ถาดตามแพตรีไปจะช่วยล้าง
คิดว่าจะหาโอกาสคุยกับหล่อนอีกสักหน่อย แต่ก็เห็นหายไปจากครัวเสียก่อนหน้านั้นแล้ว
จึงลงมือล้างถ้วยชามตามลำพังจนเสร็จ ชักนึกท้อขึ้นมาสำหรับคืนนั้น
พอเช็ดมือแห้งเลยไปลาปู่ซึ่งกำลังเดินเล่นอยู่หน้าบ้าน
“ผมกลับล่ะครับปู่”
“อ้าว กินเสร็จกลับเลยเหรอะ?”
ปู่ถามแบบกระเซ้าเล่น
“ช่วยล้างจานแล้วนี่ครับ หรือว่ามีฝาบ้านตรงไหนโหว่ ผมจะได้ช่วยซ่อมก่อนกลับ”
“เอาเถอะ ไว้กินบ่อยกว่านี้หน่อยค่อยไหว้วาน”
แล้วปู่ก็ไขกุญแจประตูให้ เกาทัณฑ์เดินข้ามออกไปยืนนอกเขตบ้าน
แต่หันกลับมาทิ้งท้าย
“ปู่ครับ ผมรักแพจริงๆนะ”
แล้วก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม เดินขึ้นรถขับหายจากไปในความมืดของซอย
แพตรีเงี่ยหูฟังเสียงรถเขาหายไปอยู่ในห้อง
น้อยครั้งที่หล่อนนั่งเหม่อเซื่องเฉยอย่างคนว่างงานเช่นนั้น
อุ้งมืออบอุ่นของเขาทำให้ระบบความคิดทั้งหมดสะดุดชะงักลงจนกระทั่งบัดนี้
โกรธเขาหรือ? เปล่าเลย
หล่อนเปิดใจรับและโหยหาอาวรณ์เขาเสียจนนึกละอาย ต้องแกล้งทำตัวเป็นปฏิปักษ์เพื่อปกปิดตนเองต่างหาก
เขาเคยเมินจนหล่อนรู้สึกไร้ค่า และต้องเดียวดายมากี่ปี วันหนึ่งเมื่อเขากลับมา
จะให้พบว่าหล่อนยังคงเปิดประตูไว้กว้างๆเหมือนเดิมทุกประการอย่างนั้นหรือ
เขาคงเห็นเป็นก้อนกรวดน่ะซี
“แพ”
เสียงปู่เคาะประตูเรียก หล่อนจึงลุกขึ้นเปิด
ทั้งที่เหนื่อยล้าและอยากพักผ่อน
ทว่าแพตรีฟังว่าปู่สั่งอะไรก่อนฟังความต้องการของตนเองเสมอมาและจะเป็นเช่นนี้เสมอไป
เห็นปู่นั่งรอที่เก้าอี้โยกก็เดินไปนั่งสงบเสงี่ยมใกล้ๆ
“เขาขอหมั้นแพน่ะ…”
หญิงสาวชะงักกึก ตะลึงตะไล หน้าซีดแล้วกลับฝาดชมพูจัด
“จะให้ปู่ตอบเขาว่ายังไงดีล่ะ?”
แพตรีเรียกความคิดอ่านเป็นครู่ ก่อนหลบตาปู่
มีความสะเทิ้นอายให้เห็นอยู่ในที
“เขาต้องเป็นบ้าแน่ๆค่ะ เพิ่งรู้จัก เจอหน้าค่าตากันเท่าไหร่เอง”
“อือ นั่นสิ สรุปคือจะฝากบอกเต้มันอย่างนี้ใช่ไหม รอเวลาเห็นหน้าค่าตากันเยอะๆหน่อย
หายบ้าแล้วค่อยคิดใหม่อีกที”
หลานสาวก้มหน้าจีบปากซ่อนยิ้ม กิริยาเช่นนี้เข้าใจง่ายยิ่งกว่าอะไรหมด
“ปู่คอยติดตามถามไถ่ความเป็นไปของเจ้าเต้มาตลอด
พอรู้ล่ะว่าหมอนี่ไม่ยอมลงเอยสร้างหลักปักฐานกับใครเร็วนักหรอก เพราะยังมีเวลา มีโอกาสเลือกอีกเยอะ
นี่ปุบปับมาขอแพ แสดงว่าตกหลุมรักจนลืมตัว ลืมอะไรหมดแล้ว”
แพตรีสะกดยิ้มเอาไว้
“ตกได้ก็ขึ้นได้มั้งคะ”
ผู้เป็นเจ้าของเรือนถอนใจ
“ความจริงเจ้าเต้ก็เข้าทีนะ ถึงจะใจร้อนไปหน่อย แต่ก็มีดีพร้อมทุกด้าน
ถ้ารักแพจริง ก็คงร่วมกันช่วยสร้างบ้านสร้างเรือนให้อยู่เย็นได้ง่ายหรอก
ฝากแพไว้ในมือคนวางใจได้เมื่อไหร่ ปู่คงหายห่วง เป็นคนแก่ใกล้ตายอย่างสบายใจ”
“ถึงยังไง แพก็รู้สึกว่าเขาเข้ามาเร็วเกินไปค่ะปู่ ถ้าได้ทุกอย่างตามใจนึก
เขาคงเห็นแพไร้ค่าอีก”
ปู่ชนะพยักหน้า
“ก็จริง”
หลานคนงามเงยหน้าชำเลืองสบตา ถามตามตรง
“ทุกวันนี้แพเป็นภาระให้ปู่อึดอัดหรือเปล่าคะ?”
ชายชราหัวเราะในลำคอ
“แพเลี้ยงปู่มาตั้งนานแล้ว ใครเป็นภาระใครกันแน่ล่ะ
ทุกอย่างให้เป็นไปตามความสมัครใจของแพเถอะ” แล้วท่านก็ถามแบบยิ้มในหน้า
“ว่าแต่พรุ่งนี้อยากอยู่บ้านเฉยๆแน่เหรอะ?”
มีความหวานในรสรักลอยวนอ้อยอิ่งอยู่ในอก ใจนึกถึงแต่มือนุ่มน่ากุมตลอดเวลา
หล่อนอาจรักนวลสงวนตัวจนคิดโกรธที่เขาก้าวรุกรวดเร็วเกินไป
แต่เกาทัณฑ์ก็แน่ใจว่าตนไม่ได้แสดงออกเกินเลยด้วยใจด้านหยาบแม้แต่นิดเดียว
ดูเหมือนกระแสโลกดึงดูดกลับไปเกือบหมดตัวแล้ว
เพราะนึกอยากดื่มเหล้ากับเพื่อนสนิทสองสามคนที่ห่างหน้ากันมาเป็นอาทิตย์
ไม่มีสิ่งใดห้ามใจ เมื่อคิดหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นเรียกและนัดแนะว่าจะไปรับ
ช่วงถนนนั้นเปิดให้วิ่งเพียงเลนเดียวเพราะขุดเจาะสร้างสะพาน
รถเครนตั้งตระหง่านกั้นอีกเลนไว้ แถมกำลังมีรถบรรทุกเทดินทราย
รถจึงติดออเป็นตังเมอยู่อย่างนั้นนานเน พอจะให้เขานัดหมายเพื่อนได้สองคน
ปิดโทรศัพท์นั่งเงียบครู่หนึ่ง สัญญาณโทรศัพท์ก็กรีดแทรกความเงียบในรถขึ้นมา
เกาทัณฑ์เอื้อมหยิบและกดปุ่มรับ กรอกเสียงลงไปเนือยๆ
“ว่าไง”
คิดว่าคงเป็นเพื่อนที่เพิ่งโทร.นัดกันนั่นเอง รอฟังว่ามีสิ่งใดติดขัด
ก็ต้องแปลกใจที่ต้นสายเงียบนิ่งอยู่เป็นนาน
“ปู่ใช้ให้โทร.มานะคะ…”
ในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงนุ่มเย็นดังขึ้น ซึ่งก็ถึงกับทำให้ตาโตเป็นไข่ห่าน
“แพ!”
พักตั้งสติอึดใจหนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแจ่มใสเป็นปกติได้
“มีอะไรให้ช่วยบอกมาเลยฮะแพ”
“ยังมีศรัทธาจะไปทำบุญต่างจังหวัดพรุ่งนี้อยู่หรือเปล่า?”
คราวนี้เกาทัณฑ์ถึงกับอ้าปากค้าง แต่พริบตาเดียวก็พยักหน้าแข็งขัน
ราวกับหล่อนอยู่ใกล้และมองเห็นได้ แต่ก่อนหลุดเสียงตอบก็ได้ยินแตรไล่หลัง
เมื่อเงยหน้าก็พบว่าขบวนรถเริ่มเคลื่อนตัวห่างออกไปแล้ว
“แน่นอน!”
รีบตอบแล้วเข้าเกียร์เหยียบคันเร่ง ส่ายตาหาซอยเหมาะได้ก็เข้าจอดแอบทันที
ขับต่อมีหวังชนแน่ถ้ามือไม้สั่นอย่างนี้
“วางแผนไว้ยังไงคะ?”
“มีเวลาแค่ไปเช้าเย็นกลับนี่คงต้องเลือกที่ใกล้
เท่าที่ผมทราบพระสายวัดป่าผู้เป็นสุปฏิปันโนทางภาคอีสานยังอยู่ให้กราบไหว้อีกมาก
แพแนะนำดีกว่าฮะ ผมเองเพิ่งเข้ามา ยังรู้น้อย”
“ถ้าเป็นจังหวัดใกล้และดิฉันนับถืออยู่มากก็คงเป็นหลวงพ่อพุธ ฐานิโยค่ะ
ท่านเดินทางเทศน์บ่อย เพราะมีวัดสาขาอยู่หลายแห่ง
แต่เท่าที่เผอิญทราบมาเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้ท่านพำนักอยู่วัดป่าสาละวันที่โคราช”
“ได้เลยฮะแพ”
เกาทัณฑ์ยิ้มเปี่ยมปีติสมใจ ไม่ต้องการรู้เหตุผลในการเปลี่ยนใจของหล่อน
รับรู้เพียงการตัดสินใจที่แน่นอนนี้แล้วเป็นพอ
“แพจะให้ผมไปรับกี่โมง”
“คุณสะดวกกี่โมงล่ะคะ?”
ชายหนุ่มนึกถึงนัดทานข้าวกับพ่อแม่ ปกติบ้านเขาทานเช้ากันเจ็ดโมง
คำนวณเวลาแล้วก็บอกไปว่า
“แปดโมงครึ่งได้ไหม?”
“ค่ะ…ก็ได้” หล่อนรับง่ายๆ “เท่านี้นะคะ”
พูดจบก็วางสายไปเลย เกาทัณฑ์ลดแท่งโทรศัพท์ลงจากหู
ตาเป็นประกายวาววามอยู่ในความมืด
เหมือนกริ่งแก้วนับร้อยส่งเสียงเป็นกังวานใสในอากาศฉ่ำเย็นรอบกาย
เอนหลังพิงพนักปิดตาลงอย่างเป็นสุข
เสพความอิ่มเอมชนิดนั้นจนเต็มตื้นก่อนโทร.หาเพื่อนเพื่อบอกเลิกนัดทั้งยังหลับตา
เพื่อนโหวกเหวกโวยวายกับการเบี้ยวนัดดื้อๆของเขา
พอเกาทัณฑ์บอกว่าเพิ่งนึกได้พรุ่งนี้ต้องทำบุญ เพื่อนยิ่งด่าหนักกว่าเดิม
หาว่าเขาทำเป็นตลก น่าถีบมากที่เพิ่งโทร.นัดเองเมื่อกี้แล้วจู่ๆก็บอกเลิก
หลอกให้อาบน้ำแต่งตัวคอยเก้อ ถ้าอย่างนายเกาทัณฑ์เลี่ยงเหล้าเตรียมทำบุญ
ชาวบ้านคงต้องเลิกกินเนื้อสัตว์ หันมาถือศีลแปดนอนพื้นกระดานกันทั่วประเทศแน่นอน
นั่นทำให้เกาทัณฑ์เห็นอย่างชัดเจนว่าเมื่อวานของตนเป็นเช่นไรในสายตาคนอื่น
และพรุ่งนี้กำลังจะเปลี่ยนไปเช่นไรในความรับรู้ของตนเอง
ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น