บทที่ ๑๒ พุทธภูมิ
มีความเชื่อมั่นและสัญญาแห่งความสมหวังในกระแสกุศลจิต
เกาทัณฑ์ยิ้มเบิกบานเมื่อลงจากรถและเดินตรงไปยังกุฏิเจ้าอาวาส
ด้วยจิตใจที่หนักแน่นเต็มอิ่มถึงที่สุดเยี่ยงนี้
ชายหนุ่มบอกตนเองว่าหากลงมือทำสมาธิ จะต้องประสพความสำเร็จแน่นอน
เขาปราศจากความกังวลอย่างสิ้นเชิง
ในมือถือดอกไม้และธูปเทียนที่เตรียมมาถวายพระอาจารย์ตามความปรารถนาที่จะบูชาท่านจากใจ
มิได้นำมาเพราะเห็นว่าเป็นธรรมเนียมประเพณีพิธีการใดๆทั้งสิ้น
ขึ้นมาถึงชานกุฏิไม่พบท่านนั่งอยู่ ก็นึกเงียบๆว่าท่านอาจไปทำกิจสงฆ์
หรืออาจไปเดินเล่นแถวนี้ บนกุฏิและละแวกข้างเคียงว่างวาย
ปราศจากพระเณรและญาติโยมแม้สักคน เกาทัณฑ์ตั้งใจจะนั่งกำหนดสติดูลมแบบลืมตา
รอพระอาจารย์ไปเรื่อยๆตรงนั้นเอง
"เข้ามานี่"
เสียงหลวงตาแขวนดังออกมาจากห้องของท่าน ทำเอาเกาทัณฑ์ผงะหน่อยหนึ่ง
"ข้าไม่ชอบเดินเล่น ถ้าเดินก็เดินจงกรมหรอกน่ะ"
ชายหนุ่มได้ยินชัดเต็มสองหูด้วยความสะดุ้งใจ
เพิ่งในบัดนั้นเองที่ประจักษ์ว่าความคิดเป็นสิ่งกระจายออกนอกหัวและถูกล่วงรู้ได้ราวกับพูดจากปาก
นั่นเป็นประสบการณ์ครั้งแรก และทำให้บังเกิดความยั่นระย่อคร้ามเกรงผู้เป็นอาจารย์ยิ่งกว่าเดิมเป็นทวีคูณ
ที่แท้ท่านรออยู่ในห้อง รู้ว่าเป็นเขาทั้งมีประตูหับปิดบังตามิดชิด
แถมหยั่งรู้ลึกเข้าไปอีกชั้นว่าเขานำความคิดใดติดตัวมาด้วย
ชักนึกกระดากและบังเกิดความละอาย
นี่แปลว่าความคิดเหลวแหลกทั้งหลายที่มีต่อท่านในวันแรกได้แบออกมาหมดจดโจ่งแจ้งเรียบร้อย
ต่อไปนี้คงต้องสำรวมระวังทั้งกิริยาและความคิดกันแจเมื่ออยู่ต่อหน้าท่าน
เปิดประตูเข้าไปด้วยท่าทีของศิษย์ผู้มีความสง่างามองอาจ
แต่ข้างในประหม่าและประหวั่นจนเกือบเป็นเกร็ง ทรุดกายลงคลานเข่านำดอกไม้ไปถวาย
กราบสามหน แล้วนั่งนิ่งเงียบรอการปราศรัยจากท่านก่อน
"เป็นไง?"
ท่านถามรวมๆ เกาทัณฑ์คิดนิดหนึ่งก่อนตอบอย่างสุภาพ
"ปฏิบัติพอเห็นผลบ้างครับ แต่ยังไม่แน่นอน ควบคุมไม่ได้"
หลวงตาแขวนหัวเราะหึๆ
"เอ็งมันเด็กเมือง ทำได้แค่นี้นับว่าแปลกแล้ว"
เกาทัณฑ์ยิ้มออกมาอย่างเป็นปลื้ม ดูทีท่านคงรู้เป็นแน่ว่าเขาทำได้แค่ไหน
"ทรงสมาธิระดับนี้ ถือว่าเริ่มมีคุณวิเศษกว่ามนุษย์ทั่วไปนิดๆหน่อยๆ
ค่าที่ประจักษ์รสชาติสุขเวทนาอันเป็นทิพย์ ไม่เป็นสาธารณะแก่สัตว์โลก
แล้วก็เป็นจิตที่สามารถใช้ชำแรกกำแพงกั้นมิติหยาบกับละเอียดได้ด้วย ถ้าจะรู้เห็นอะไรที่ตาหยาบหูหยาบมันทำไม่ได้ก็ไม่ถือเป็นเรื่องเกินตัวเท่าไหร่...เพราะฉะนั้นข้าจะทำตามที่สัญญา
เอ็งจะเห็นอดีตชาติของตัวเอง"
ชายหนุ่มพนมมือกราบขอบพระคุณครั้งหนึ่งด้วยทีท่าปกติ
ทว่าข้างในลิงโลดยินดีเป็นล้นพ้น
“ดูนี่แล้วคิดดีๆนะ…” ท่านยื่นแขนอันเหี่ยวย่นลีบเล็กออกมาข้างหน้านิดหนึ่ง
“นี่คือสิ่งที่ธรรมชาติสร้างใช่ไหม?”
เกาทัณฑ์เพ่งตามองอย่างตั้งใจใคร่ครวญ
ความยับของเนื้อหนังที่ดูคล้ายกระดาษย่น พร้อมจะยุ่ยขาดด้วยตนเองนั้น
บันดาลความสลดแก่เขาวูบหนึ่ง เมื่อทบทวนคำถามท่าน นั่นใช่สิ่งที่ธรรมชาติสร้างหรือเปล่า
พลันก็ตาสว่างเหมือนมีแสงวาบขึ้นมาตรงหน้าผาก
“ไม่ใช่สิ่งที่ธรรมชาติสร้างครับ…” เขาพนมมือตอบ
“นี่แหละคือตัวของธรรมชาติ!”
นึกต่อในใจว่ากายอันเกิด แก่ เจ็บ และจะตายลงทั้งหลายนี่เอง
คือเนื้อแท้ธาตุธรรมโดยตัวเอง ถ้ายังนึกว่ามีฝั่งผู้สร้าง แม้สรรคำว่า ‘ธรรมชาติ’
มาเป็นประธาน ก็หลอกจิตให้เห็นบิดเบือนไปเป็นทิศตรงข้ามได้อยู่ดี
“อือม์…” หลวงตาครางรับ “ภพชาติแสดงตัวด้วยความเป็นกายนี้
กายนี้ถูกปรุงแต่งเป็นความหยาบหรือประณีตด้วยวิธีคิด วิธีพูด
และวิธีกระทำที่เกิดเป็นนิจศีลในอดีต
ทุกคนถือกำเนิดในสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับกรรมของตัวเอง
เป็นฐานที่ตั้งให้ก่อกรรมดีร้ายเพื่อบันดาลอัตภาพหน้า ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
ทั้งหมดรวมกันนั่นแหละคือสังสารวัฏ
การย้อนดูอดีตก็แค่การนึกให้ออกว่าเราเคยครองกายแบบไหน
มีหลักแหล่งที่อยู่สมตัวอย่างไรในกาลก่อน
ทางพุทธถือว่าเป็นประโยชน์ถ้าการเห็นนั้นประกอบด้วยปัญญา
เหนื่อยหน่ายกับการเกิดตาย เปลี่ยนเพศ เปลี่ยนฐานะไปเรื่อยๆไร้ที่สิ้นสุด
แต่ทางกลับกันอาจเป็นข้อเสีย ถ้าการเห็นนั้นประกอบด้วยโมหะ
ลำพองจองหองว่าเคยเป็นใหญ่ หรือหดหู่ห่อเหี่ยวว่าเคยต่ำต้อย
ฝังใจยึดว่าตัวเองเป็นอย่างนั้น แม้ชาติปัจจุบันเป็นอะไรก็แทบจะลืมไป”
เมื่อท่านหยุด เกาทัณฑ์ก็พนมมือรับว่า
“ครับ”
“จิตที่อยู่ข้างในก็เป็นส่วนหนึ่งของภพชาติ ภาวะจำชั่วครู่
และภาวะลืมเป็นช่วงๆ ก็คือธรรมชาติโดยตัวเอง มีลิขิตของตัวเองเหมือนกัน
ดังนั้นอยู่เฉยๆจะให้เกิดสิ่งที่ฝืนลิขิตเดิมของธรรมชาติ
เช่นเนรมิตให้ระลึกอดีตความเป็นมาก่อนภพนี้น่ะ ไม่ใช่เรื่องที่ถูก”
เกาทัณฑ์พยักหน้ารับทราบ เม้มปากเป็นเส้นตรงอย่างพร้อมรับฟังทุกสิ่ง
"โดยความสามารถของเอ็งเดี๋ยวนี้ เอ็งยังไม่มีสิทธิ์ฝืนธรรมชาติ
รู้ตัวไว้ด้วย
อำนาจจิตของเอ็งยังเอาชนะธรรมชาติข้อที่ว่าด้วยการลืมเลือนภพชาติไม่ได้
แต่เผอิญด้วยนิสัยที่ข้าเคยให้เอ็งมา ข้าพอจะละเมิดข้อห้าม ช่วยสงเคราะห์เอ็งเพื่อประโยชน์บางอย่างในอนาคต"
เกาทัณฑ์ไวพอจะคิดรู้ว่าควรเอ่ยคำใดออกไป
"ครับ ผมจะสำนึกสังวรณ์ไว้ตลอดเวลา
ว่าตัวเองยังอยู่ในอำนาจลิขิตของธรรมชาติ
ทุกอย่างเป็นไปด้วยความอนุเคราะห์จากหลวงตามาแต่เริ่ม"
"ดี...จริงๆแล้วจะระลึกชาติอย่างชนิดถูกกฎน่ะ เอ็งต้องมีมหากำลังระดับฌานมาหนุน
ต้องฝึกกสิณภาพให้คล่องจนจิตทำตัวเป็นจอรับนิมิตแห่งการระลึกได้ดี
จากนั้นจึงใช้จิตในภาวะอุปจาระมานึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา จากเมื่อครู่
ค่อยๆถอยย้อนไกลกลับไปเรื่อยๆ
ตัวรู้ชัดจากกำลังสมาธิจะช่วยยืนยันว่าสิ่งที่นึกได้นั้นเป็นความจริง ไม่ใช่ของหลอก”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับอีก เขาพอจะเคยอ่านหลักการเหล่านี้มาบ้างแล้ว
รวมทั้งเคยลองทำแบบแหย่หยั่งดูวาบๆวับๆด้วย
เพื่อพบว่าเป็นเรื่องยากเหมือนพยายามมองให้เห็นสิ่งต่างๆขณะลืมตาในน้ำ
โดยเฉพาะเมื่อคิดข้ามขั้นระลึกถึงเหตุการณ์ช่วงวัยเด็ก
จากประสบการณ์ เกาทัณฑ์ตระหนักว่าเพื่อสมาธิจิตไปใช้งานนั้น
ต้องมีกำลังอันเป็นฐานใหญ่มาตั้งจิตให้คงที่
หากยังปราศจากกำลังค้ำจุนอย่างเหลือเฟือแล้ว ลำพังจะทรงสภาวะอยู่นานๆก็ยากเต็มที
อย่าว่าแต่จะเอาไปใช้งานตามปรารถนาได้
การบรรลุจิตถึงขั้นได้ฌานสมาบัติเสียก่อนจึงจำเป็นยิ่งด้วยประการฉะนี้
"เข้าสมาธิเสีย พอได้ที่หน่อยข้าจะคุมให้เอ็งเห็นสมใจ"
ชายหนุ่มจัดองค์นั่งให้ได้ฐานสติอันควร
ความคิดในหัวสงัดเงียบลงทันทีเพียงเมื่อแรกขยายหน้าท้องส่งแรงฉุดลมหายใจเข้าสายแรก
แล้วกำหนดสติรู้ลมหายใจออก
ภาพสายลมปรากฏชัดฉับพลันในภายใน
และด้วยอาการของจิตที่หยุดนิ่งล็อกอารมณ์ได้ถูกส่วนนั้น
เมื่อรวมกับความฉ่ำชื่นเยือกเย็นด้วยพื้นกุศลจิตที่สั่งสมมานับแต่ลืมตาตื่น
ก็ช่วยก่อให้เกิดความสว่างผุดโพลงจากภายใน จิตเบา เปิดแผ่ออกกินรัศมีกว้างไกล
นับเป็นการจุดสมาธิติดที่เร็วที่สุดตั้งแต่เริ่มฝึกมาทีเดียว
ในความวิเวกและฉ่ำเย็นอย่างประหลาดนั้น
มีเพียงนิมิตสายลมหายใจปรากฏเป็นลำยาวเด่นชัดเหนือสิ่งอื่นใด ทั้งร่างกาย ความคิด
และสรรพสิ่งในโลกหล้าหลงเหลือให้รู้ว่ามีอยู่ก็แต่เพียงเบาบาง
สัจจะความจริงในบัดนี้จึงไม่มีอะไรเกินการมีลมหายใจและกระแสจิตแผ่กว้างเป็นดวงนิ่ง
โดยตัวผู้รู้ตั้งเด่นอยู่ตรงกลาง
ใกล้จะกล่าวได้ทีเดียวว่าลมหายใจและดวงจิตเท่านั้นที่เป็นจริง
อย่างอื่นเป็นเท็จไปหมด ความสุขอันล้ำลึกทำให้หมดความกระวนกระวาย
แม้การเห็นอดีตชาติก็มิใช่เรื่องน่าคำนึงอีกต่อไปด้วยซ้ำ
เกาทัณฑ์ตามรู้ลมหายใจที่ผ่านไปประมาณสิบรอบเข้าออก
แล้วพลันสนามพลังอันยิ่งใหญ่ก็บังเกิดขึ้น
ตรึงจิตเขาให้แน่นิ่งกับที่โดยไม่ต้องประคองรักษา
รับรู้ด้วยสัญชาตญาณสมาธิทันทีว่านั่นเป็นพลังที่ส่งมาช่วยค้ำจุนจากภายนอก หาได้เกิดจากกำลังจิตของตน
ซึ่งเทียบแล้วคล้ายเด็กหัดเดินผู้ทำได้เพียงก้าวระยะสั้น
ถูกประคับประคองโดยผู้เดินแข็งแล้ว
และอาจเดินทางไกลเท่าใดก็ได้ตามปรารถนาของผู้ใหญ่
ไม่มีความตื่นเต้นอันใดในภาวะจิตแบบนั้น มีแต่ความหนักแน่นมหึมา
และคล้ายทำให้จิตขยายตัวและแยกออกเป็นสองชั้นสองภาค ภาคหนึ่งกำหนดลมหายใจ
เสพรสปีติสุขแห่งจิตวิเวกไป
อีกภาคหนึ่งคล้ายรอรับบัญชาจากอำนาจเบื้องบนให้เป็นไปตามบันดาล
ไม่เป็นตัวของตัวเอง แม้คิดถอนสมาธิในบัดนี้ก็เกินจะทำ
ภาวะจิตเกือบเหมือนฝันอยู่อย่างหนึ่ง
คือนิ่งในแบบที่อาจเห็นภาพอะไรสักอย่าง
สมาธิระดับกลางทำให้รู้สติ เห็นตนเป็นนายเกาทัณฑ์ได้อยู่
ทว่าอัตตาของความเป็นนายเกาทัณฑ์เริ่มแผ่วหายไปทีละน้อยอย่างไม่อาจหน่วงรั้ง
จนที่สุดก็ถูกแทรกแทนด้วยดวงรู้เฉยเป็นกลาง เนื้อตัวชาและหนัก
บอกยากว่าร่างที่ตั้งอยู่นี้เป็นใคร หรือกระทั่งอะไร
เพราะไร้สัญลักษณ์บ่งบอกลักษณะอย่างสิ้นเชิง
แล้วอีกเจตสิกหนึ่งก็ถูกแทรกแทนขึ้นมาคล้ายสติที่คืบคลานเข้ามายามตื่นจากหลับ
โดยผุดขึ้นเป็นความรู้สึกในตัวตนก่อน แล้วตามด้วยสำนึกชัดเจนเยี่ยงมนุษย์ธรรมดา
มนุษย์นั้นคือ ‘ตัวเขา’ แต่ไม่ใช่นายเกาทัณฑ์...
ทุกอย่างเป็นปกติยิ่ง ปราศจากพิรุธปลอมปนแต่อย่างใด
เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่กลางชานอาศรม รอบตัวเป็นราวป่าโปร่ง ข้างบนเป็นฟ้าใส
เบื้องหน้าเบื้องหลังเต็มไปด้วยความสงัดเงียบบริสุทธิ์
รู้สึกถึงความชราภาพแห่งสังขาร ทว่าดวงสำนึกแน่วนิ่งทรงกำลังอย่างเอกอุ
มีความตรงไปตรงมา มีความเป็นอยู่อย่างปอนๆ และมีความปนกันระหว่างเมตตาอันเกิดแต่ธรรมภาวนา
กับความกร้าวแกร่งดุดันอันเกิดแต่ความห้าวที่เร้นระอุอยู่ภายใน
จำตัวเองได้แจ่มชัดและผุดความคิดภายในขึ้นมาว่า ‘นี่คือเรา’
คล้ายผู้ยืนอยู่ในห้องใหญ่หนาทึบ เห็นแต่สิ่งประดับประดาอันเป็นฉากของห้อง
ฉับพลันรอบตัวก็โปร่งใส และสามารถเห็นทะลวงผ่านพื้นล่างและผนังด้านข้างทั้งหมด
เมื่อความจำห้วงหนึ่งกลับมา ความจำก่อนหน้านั้นก็พลอยไหลตามมาด้วย
เห็นเป็นลำดับชัดเจนเหมือนชั้นของตึกที่เรียงซ้อนทับกันอยู่
เมื่อเพ่งตามองชั้นใดก็เห็นชั้นนั้น ที่อยู่ใกล้ก็เห็นง่าย ที่อยู่ไกลก็ต้องออกกำลังเพ่งกันหนักหน่อย
จำได้ถึงพื้นเพความยากจน จำได้ถึงการมีเหย้ามีเรือน จำได้ถึงการออกผนวช
ดำรงตนเยี่ยงฤาษีที่นับถือพุทธศาสนา จำได้ว่าตนลุถึงฌานฝ่ายโลกียะขั้นสูงสุด
บันดาลอภินิหารได้ดังใจ ทว่าทุกอย่างที่จำได้เหล่านั้นรวบรัดรวดเร็วประเดี๋ยวประด๋าว
คล้ายมีใครเอาข้าวของสารพัดมายัดทะนานในถุงใส แล้วให้ดู
ให้จำในการมองปราดเดียวว่ามีอะไรอยู่บ้าง
สำนึกแห่งความเป็นฤาษีผู้ทรงตบะยิ่งใหญ่ค่อยๆถอยคืน
กำลังวังชาและเนื้อหนังแห่งความเป็นหนุ่มกลับแทรกเข้าแทนที่ในสำนึกรับรู้
นี่ก็จริงอีกเหมือนกัน รับทราบมโนภาพแห่งตัวตนอันแตกต่าง
ทว่าความกำหนดหมายว่าตนเป็นฤาษีก็ยังซ้อนอยู่รางๆ เหมือนมีสองวิญญาณในร่างเดียว
แล้วความเหลื่อมซ้อนทั้งปวงก็ขาดสายหายหน
เหลือความเป็นนายเกาทัณฑ์และตัวกำเนิดกลุ่มความคิดอันมีโครงสร้างซับซ้อนเป็นระเบียบอย่างหนุ่มเมืองปรากฏแจ่มชัดเพียงหนึ่งเดียว
ค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างมีสติ สมาธิยังมีแรงเฉื่อยอยู่อีกครู่ ก่อนจางตัวสลายลงหมดสิ้น
เหน็ดเหนื่อยคล้ายออกแรงวิ่งทางไกลมาหลายร้อยเมตร แต่ไม่หอบ
เกาทัณฑ์แลตามองพระอาจารย์นิ่ง
ดุจทุกสิ่งกลายเป็นก้อนหินแข็งทื่ออยู่อีกพักใหญ่
"พอใจรึยัง?"
น้ำเสียงมีเมตตานั้นปนมากับกังวานอำนาจแห่งอาจารย์ใหญ่ฝ่ายกรรมฐาน เกาทัณฑ์ขยับกายเปลี่ยนท่านั่งเป็นพับเพียบ
"ครับ"
“ข้าให้ได้แค่ทางลัดเท่านี้แหละ
เอ็งไม่ต้องดั้นด้นผ่านกำแพงจุติและปฏิสนธิเหมือนอย่างคนอื่นเขา
ต่อไปใช้กำลังจิตของตัวเองหมั่นระลึกอย่างมีสติ ก็จะนึกจำได้มากขึ้นเรื่อยๆ
การพิสูจน์ว่าระลึกได้จริงหรือเป็นเพียงอุปาทานลวง ดูกันที่ความสามารถสืบกลับไปได้เหมือนเดิมทุกครั้ง
และเห็นรายละเอียดได้มากขึ้นตามระดับกำลังจิต”
เกาทัณฑ์หรี่ตา พยายามนึกทบทวนภาพและสัมผัสที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
ทุกอย่างรางเลือนเช่นเดียวกับภาพฝันคืนก่อน
ต่างแต่สัมผัสรู้ว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำ เป็นความจำชนิดเดียวกับที่รู้ว่าสมัยวัยรุ่นเคยเรียนที่ไหน
สมัยเด็กเคยมีกีฬาโปรดอะไร ใครคือเพื่อนสนิทที่ห่างหายไปแล้ว
มิใช่การปรุงแต่งลอยๆเช่นนิมิตสมาธิปกติ
กำแพงที่ขวางคั่นสองตัวตนถูกทำลายลง…เป็นบางส่วน
บัดนี้เขาสามารถมองลอดทะลุไปยังอีกเขตที่เคยถูกกำแพงปิดหูปิดตาทึบสนิทจนหลงเชื่อว่ามีแต่เขตที่กำลังยืนนี้เท่านั้นที่มี
เขตอื่นไม่มี
ถึงแม้ว่าความสามารถในการมองทะลุให้เห็นเขตอื่นยังจำกัดจำเขี่ย
มัวมนเหมือนเต็มไปด้วยหมอกทึบคลุมบัง ทว่าก็ทราบแน่แล้วว่ามี
กะพริบตาถี่ เมื่อย้อนนึกถึงภาวะความเป็นฤาษีที่นั่งอยู่กลางอาศรมซอมซ่อ
ช่างยากลำบากยิ่งกว่าทบทวนชื่อที่ถูกลืมแล้วติดอยู่แค่ริมฝีปาก
หรือคล้ายพยายามมองให้เห็นสิ่งที่ถูกซ่อนอยู่ใต้น้ำลึกสลัวเลือน
ตระหนักว่าในเวลานั้นจิตขาดแสงสมาธิส่องลงไปให้เห็นดังปรารถนา
จิตยามปกติช่างมัวมนสิ้นดี ใช้หยั่งรู้อะไรไม่ได้เลยแม้แต่สิ่งที่อยู่ในตนเองแท้ๆ
ตัวตนเก่าที่ถูกหลงลืมไป
เผลอตัวย้อนนึกถึงอัตภาพในอดีตจนลืมว่ากำลังอยู่ที่ไหนกับใคร
กระทั่งหลวงตาแขวนเตือนขึ้น
“อย่าเพ่งนึกขณะขาดสมาธิ จะวกวนและเครียดเปล่าๆ ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก”
ชายหนุ่มเห็นจริงตามนั้น
และคิดขึ้นมาว่าถ้าย้อนระลึกความเป็นอดีตได้ทุกอย่างก็คงดีหรอก
แม้สัมผัสความเป็นตนเองในอัตภาพเก่าเพียงชั่วอึดใจ
ก็รู้ซึ้งว่าครั้งหนึ่งเคยมีตบะเดชะแก่กล้าขนาดไหน คงสนุกพิลึกถ้าใช้ชีวิตธรรมดาตามปกติ
ขณะเดียวกันก็สามารถบันดาลปรากฏการณ์เหนือสามัญวิสัยได้เช่นเดียวกับตัวตนเก่า
“ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกไอ้หนุ่ม…”
เกาทัณฑ์กะพริบตาปริบๆด้วยความงงงัน
เพราะวูบของความคิดอยากได้อยากดีเกินวิสัยเกิดขึ้นเพียงชั่วลัดนิ้วมือ
กระทั่งแทบจับต้นชนปลายไม่ติด เกือบฟังไม่รู้ว่าเหตุใดหลวงตาแขวนจึงเอ่ยเช่นนั้น
“ขณะของจิตที่ระลึกความหลังได้กับความสามารถกระทำการในปัจจุบันเป็นคนละเรื่องกัน
แบบเดียวกับที่เอ็งฝันว่าเหาะเหินเดินอากาศยังไงก็ได้
แต่ตื่นแล้วอย่างมากก็แค่โดดได้ห่างพื้นสองศอก”
เกาทัณฑ์รู้สึกว่าความคิดของตนมีเสียงดังเกินไปเสียแล้ว เริ่มเห็นว่านี่มิใช่เรื่องปาฏิหาริย์เกินปกติวิสัยอีกต่อไป
ในกุฏินั้น เขาสามารถสัมผัสได้ว่ารอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นความเคลื่อนไหว
ทั้งคลื่นความคิด คลื่นเจตนา และคลื่นอารมณ์ดีเลวต่างๆ
ทุกสิ่งถูกเคี่ยวให้เข้มชัดในบรรยากาศละแวกรอบข้างพระผู้ทรงอภิญญาองค์นี้
ผลของการระลึกชาติได้เป็นครั้งแรกมีความหลากหลาย
ขึ้นอยู่กับว่าเห็นตนเคยเป็นอะไร และปัจจุบันชาติมีพื้นเพภูมิหลังแตกต่างกันเช่นใด
สำหรับเกาทัณฑ์นั้น นอกจากเลิกสงสัยแล้ว ยังมองต่อยอดออกไปอีกด้วยนิสัยช่างคิด
ช่างพิจารณาประจำตัว เห็นแจ้งว่าการเกิดคือการสืบต่อ หาใช่การเริ่มต้นจากศูนย์เหมือนที่ตาเห็นอุแว้แรกในห้องคลอดอย่างผิวเผิน
เมื่อฐานแห่งความเชื่อดั้งเดิมพังทลายลง
โลกทัศน์และความรู้สึกเกี่ยวกับตนเองก็พลอยเปลี่ยนแปรไปด้วย
อย่างน้อยก็มากพอจะย้อนพินิจว่าตลอดมาที่นึกว่าเข้าใจอะไรๆเกี่ยวกับชีวิตดีแล้วนั้น
ผิดถนัด และแม้ปรัชญาชีวิตของนักปราชญ์ผู้เรืองนามก็อาจกลายเป็นมุมมองของผู้ไม่รู้จริงอีกคนหนึ่ง
"...ผมเคยเป็นฤาษี คงมีฤทธิ์เดชพอจะเห็นทะลุไปในภพชาติได้
แต่...เหมือนเปล่าประโยชน์ มาเกิดเป็นผมในชาตินี้ก็มืดบอดเหมือนสัตว์โลกอื่นๆ
เห็นว่าชาติหน้าชาติก่อนไม่มี"
เกาทัณฑ์รำพึง
หลวงตาแขวนเห็นลูกศิษย์บังเกิดความสังเวชในธรรมก็กล่าวอย่างปรานีว่า
"อย่าคิดว่าฤาษีนั่นเป็นเอ็งเลย เขาตายไปแล้ว สิ้นสภาพไปแล้ว
กรรมที่เขาเคยทำไว้ก็แค่ปูวิถีชีวิตนี้ให้กับเอ็งเท่านั้น ร่างกาย
ความรู้สึกนึกคิด เรื่องน่าหัวเราะ น่าร้องไห้ต่างๆน่ะดับไปพร้อมกับสังขารของเขานั่นแหละ
เอ็งต้องมาพบกับสิ่งใหม่ สร้างกรรมใหม่ เรียนรู้และจดจำใหม่
เพื่อเป็นตัวตนในปัจจุบัน จะแบกคุณวิเศษเก่าพ่วงมาใช้ดังใจนึกน่ะ ไม่ได้หรอก"
"แล้วผมก็ต้องลืมไปอีกเมื่อถึงเวลาตาย
และก็ต้องมีอีกอัตภาพหนึ่งที่จะเกิดมารับกรรมซึ่งผมสร้างทำไว้เดี๋ยวนี้..."
เกิดความหยั่งเห็นขึ้นมาแวบหนึ่งว่าตัวที่กำลังรู้สึกและนึกคิดได้อย่างเดี๋ยวนี้…
วันหนึ่งจะดับลง
นึกหวาดกลัวภัยมืดอันแฝงเร้นอยู่ในความเกิดตายอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่
นี่หากเขาไร้วาสนามารับการอุปถัมภ์จากหลวงตาแขวน ชาตินี้ก็คงดำเนินชีวิตไปอย่างเรื่อยเปื่อยตามกระแสโลก
ไม่เชื่อเรื่องภพชาติ ไม่เชื่อเรื่องเวรกรรม
ยิ่งแก่ตัวก็ยิ่งกระทำการอันจะเป็นผลประโยชน์เข้าตัวมากขึ้น
มีความคำนึงน้อยลงๆเกี่ยวกับเรื่องความชอบธรรม
เช่นเดียวกับปุถุชนทั่วไปผู้ถูกดึงดูดให้คล้อยตามทิฐิและความหลงบารมีอันเกิดแต่อายุ
ชาติต่อๆไปเขาจะโชคดีเหมือนชาตินี้และชาติก่อนไหม?
"ถูกแล้ว
จิตได้แต่ท่องเที่ยวไปทึกทักเอาอัตภาพต่างๆเป็นของตนด้วยอวิชชา
นานเท่านานกว่าจะพบผู้เปิดโลก ผู้รู้ทางไปสวรรค์และนิพพาน
การเกิดตายส่วนใหญ่จะไหลไปตามกระแสกิเลส ถ้าเป็นคนก็ครึ่งดีครึ่งร้าย
โดยมากสัตว์ถึงพบตัวเองถูกแรงกรรมโยนขึ้นลงเหมือนถูกหลอกล่อปั่นหัวให้ดีใจและเสียใจสลับกัน"
เกาทัณฑ์ยิ่งฟังก็ยิ่งเห็นคล้อยตาม
ชาตินี้เขารู้ตัวดีว่าตนชุ่มไปด้วยบาปเพียงไร จะให้หลีกเลี่ยงอย่างไร
ในเมื่อเกิดมาก็อยากโน่นอยากนี่ และไม่มีใครทำให้เชื่อได้เลยว่าบาปบุญมีจริง
อย่างนี้เป็นผู้วิเศษไปจะมีประโยชน์อะไรเล่า? เขาเคยเป็นมาแล้ว พอตายไปก็ไม่วายหวนกลับมามืดบอดอีก
จุ่มวิญญาณตัวเองลงไปในบ่อแห่งบาปให้มันชุ่มยิ่งๆขึ้นไปอีก
มีสิทธิ์เท่าเทียมมนุษย์กิเลสหนาทั่วไปที่จะร่วงหล่นสู่ความหายนะทุกประการ
"นี่ใช่ไหมครับ กำเนิดธรรมะของพระพุทธเจ้า
เกิดขึ้นมาเพื่อให้หาความเป็นที่สุด ไม่กลับไม่กลายเปลี่ยนไป?"
"ใช่..." น้ำหนักเสียงของเกจิเจ้าอ่อนโยนยิ่งนัก
"เอ็งไม่ได้เป็นฤาษีชีไพรมาชาติเดียวเท่านั้นหรอกนะ
นับกันเป็นล้านเป็นโกฏิทีเดียวล่ะ พอเป็นผู้วิเศษทีก็เข้าใจเรื่องเหนือโลก
เหนือวิสัยสามัญชนเสียที แต่แล้วก็กลับเสื่อมจากความรู้ความเข้าใจอย่างนั้น
กลายมาเป็นคนธรรมดา กลายมาเป็นคนสงสัยโลกอีกเหมือนคนอื่นๆ
ถ้าเอาความวิเศษไปเทียบกับมนุษย์เดินดินด้วยกันน่ะนะ อาจดูสูงส่งน่าเลื่อมใสดีหรอก
แต่ถ้าเอาไปเทียบกับความตายแล้ว ความวิเศษก็ไอ้แค่ขี้ตีน หาดีอะไรได้
ตายจากความเป็นผู้วิเศษเมื่อไหร่ก็ฉิบหายได้อีก...และอีก"
ฟังแล้วเกาทัณฑ์ได้แต่กะพริบตาสองสามทีติดกัน
แม้ครั้งหนึ่งเคยพุ่งไปถึงจุดสูงสุดของศักยภาพมนุษย์ บำเพ็ญตบะจนได้มหัคตะกุศล
สำเร็จฌาน บรรลุอภิญญา เปิดตาในตานอกให้สว่างถึงที่สุด
เป็นอยู่อย่างสะอาดหมดจดในพรหมจรรย์มรรค ก็ยังผันแปร เปลี่ยนแปลงกลับมาเป็นเขา
นายเกาทัณฑ์ผู้สำคัญตัวผิด มองโลกด้วยตาใสใจบอด
และได้ก่อกรรมอันเป็นทางทรมานไว้แล้วอย่างมากมาย
อย่างนี้จะเป็นมันทำไม...ผู้วิเศษ
เป็นให้ลืม แล้วเวียนกลับมาเป็นนายต๊อกต๋อยสักคน
ไขว่คว้าหาทางวิเศษวิโสกันใหม่ แล้วลืมอีก
คนเราเกิดมาเหมือนสัตว์ที่ถูกคาดตาด้วยผ้าดำ ขยอกเขย่าให้งงได้ที่
แล้วก็ปล่อยออกจากกรง เดินเป๋ไปเป๋มา ชนโน่นชนนี่ล้มระเนระนาด
ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและบาดแผลร้ายแรงหลายแห่ง กว่าจะค่อยๆได้สติ
ประคองตัวอยู่พอหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่ง ก็กินเวลาเนิ่นนานหลายปีดีดัก
กระนั้นก็ยังมีผ้าผูกตาปิดบังโลกที่แท้จริงไว้ตลอดเวลา
ทว่าก็นึกสำคัญว่าตนประจักษ์โลกอย่างถ่องแท้แล้ว
ถูกผูกตาไว้ และยังไม่เห็นอะไรเลย กะแค่ที่มาของตน
เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วแท้ๆ ฝังอยู่ในความทรงจำของตัวแท้ๆ ยังบอดใบ้ถึงอย่างนี้
เหมือนทุกสิ่งถูกต้อนให้กลับสู่จุดเริ่มต้นใหม่หมด
ชายหนุ่มค่อยๆยืดตัวขึ้นตรง แสงตาทวีตัวเข้มขึ้นทีละน้อย
จนที่สุดก็เป็นประกายแรงด้วยความปรารถนาครั้งใหม่
"หลวงตาสอนผมด้วยเถอะครับว่าทำอย่างไร จึงจะรู้…โดยไม่กลับกลายเป็นลืม
แม้เมื่อความตายมาถึง"
พระครูผู้เมตตาหัวเราะในลำคอ ดวงตาอันฉาบชราภาพแลนิ่งมายังลูกศิษย์หนุ่ม
“ภาวะคงที่ ไม่กลับไม่เปลี่ยน ตื่นตลอดเวลา แม้หลับก็ไม่ฝันนั้น
เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของของพระผู้เป็นอรหันต์ เอ็งกำลังอยากเป็นพระอรหันต์หรือไง?”
เกาทัณฑ์อึ้งคิดไปชั่วครู่ ก่อนเรียนท่านตามตรงว่า
“ผมกลัวการลืม กลัวการเกิดมาอย่างไร้ความจำ ไร้แนวทางแน่นอน
ผมไม่ได้อยากเป็นพระอรหันต์”
หลวงตาแขวนพยักหน้าช้าๆ
“ถ้าคิดแบบนั้นก็เข้ามาใกล้ต้นทางนะ
เพราะผู้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดมากมายไม่แม้แต่จะคิดอยากเป็นพระอรหันต์
ถ้าต้นทางเห็นภัยคิดผละจาก ปลายทางถึงจะผละจากได้จริง เมื่อสิ้นอวิชชา
สิ้นทุกข์เด็ดขาดแล้ว จะเรียกอรหันต์หรืออะไรก็ช่าง”
“ครับ”
“ปิดตาเข้าสมาธิแล้วฟังข้าพูดไปเรื่อยๆ”
เกาทัณฑ์ปิดตาเฝ้าตามลมเข้าออกจนจิตรวมเป็นดวง
เบาลงจากกิเลสทุกชนิดจนทอแสงสว่างนวล เห็นสายลมหายใจเป็นสายทิพย์ไปได้เช่นเคย
จิตที่เป็นอุปจารสมาธิยังคิดได้ ฟังคนอื่นพูดรู้เรื่อง
แต่ปราศจากความยินดียินร้าย
เพราะความแช่มชื่นระรื่นสุขมีความเป็นใหญ่เกินอารมณ์อื่น
โยคาวจรหนุ่มได้ยินคำสั่งจากอาจารย์เป็นเสียงกลางๆว่า
"เอาสติจ่ออยู่กับความสว่างของจิตนะ จ่อไว้กับความสว่างนั่นแหละ
จะเห็นสว่างขึ้นเรื่อยๆ"
เกาทัณฑ์กำหนดตามท่านสั่ง เห็นสว่างขึ้นได้จริงๆ
นึกไม่ถึงว่าพอจิตนิ่งแล้วจะเร่งไขแสงเพิ่มง่ายดายเพียงจ่อสติไว้กับความสว่างของจิตเท่านี้เอง
"น้อมเอาแสงจากกลางอกระลึกเข้ามาในความรู้สึกตัวทั่วร่าง
จะเห็นกายสว่างเห็นชัดทุกส่วน ทุกชิ้น"
ลูกศิษย์หนุ่มปฏิบัติตาม เค้าโครงรูปพรรณสัณฐานปรากฏตามจริงต่อแสงรู้ของจิต
ราวกับห้องมืดที่ถูกแสงสว่างขับไล่ เห็นหมดว่าภายในมีข้าวของรูปทรงไหนวางอยู่บ้าง
"กำหนดดูว่ากายมีความนิ่งอยู่ที่ไหนบ้าง
มีอาการเคลื่อนไหวอยู่ที่ไหนบ้าง"
โดยภาคของความรู้สึกว่าเป็นตัวนายเกาทัณฑ์ เขาเห็นกายเป็นภาวะต่างหากจากตน
มันนั่งนิ่งขัดสมาธิมือขวาซ้อนมือซ้าย ขาขวาทับขาซ้าย
ทุกส่วนที่ดามด้วยกระดูกนับแต่ศีรษะลงมาถึงปลายเท้าแน่นิ่งไม่ไหวติง
จะมีก็แต่ส่วนหน้าท้อง ชายโครง และส่วนอก ที่ขยายแล้วสลับยุบตัวเป็นจังหวะต่อเนื่องกันเพราะมีเจตนากำหนดไว้ก่อน
ด้วยการกำหนดตามวาระจิตของผู้เป็นศิษย์
ท่านทราบว่าชายหนุ่มได้ฐานรู้คือกายนิ่งทั้งแท่งไว้แล้ว จึงสั่งต่อ
"กำหนดดูว่า มีอะไรบ้างที่เป็นต่างหากจากใจเรา"
เกาทัณฑ์พบอย่างไม่เคยพบมาก่อนในบัดนั้นว่า ส่งใจไปเห็นอะไรได้
สิ่งนั้นก็กลายเป็นอื่นจากใจไปหมด ลมหายใจก็ต่างหากจากใจ
กายอันเป็นที่ตั้งกองลมก็เป็นต่างหากจากใจ
เสียงหลวงตาแขวนที่สะเทือนผ่านอากาศมากระทบแก้วหูก็เป็นต่างหากจากใจ
ใจเป็นแต่เพียงผู้ดูอย่างเดียว ใจไม่ได้มีความเป็นอะไรทั้งหมดที่ถูกเห็นแม้แต่อย่างเดียว
“กำหนดดูความเป็นต่างหากจากกันระหว่างรูปกับนามอยู่อย่างนั้นนะ อย่าวอกแวก
พอตั้งมั่นแล้วจะเหมือนมีช่องว่างระหว่างตัวรู้กับสิ่งถูกรู้…
จากนั้นพิจารณาว่าลมหายใจมีความอยู่นิ่งในที่ตำแหน่งไหนได้ไหม
ทนอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งในกายได้ไหม”
จิตซึ่งกำลังมีสภาพเป็นตัวรู้เต็มดวงตอบอยู่ในภายในทันทีว่าไม่…ไม่พบที่สถิตของสายลมหายใจแม้แต่จุดเดียวตลอดเส้นทางผ่านเข้าออกโพรงอันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
ธรรมชาติการไหลรี่เร็วของสายลมไม่เคยแตะต้องหรือทนหยุดพัก ณ จุดใดได้เลย
“ลมหายใจมาจากนอกกาย เคยเป็นอื่นจากร่างกาย เข้ามาอยู่ในร่างกายชั่วครู่
แล้วถูกถ่ายคืนกลับสู่ภายนอกอีก ทนเป็นสมบัติ เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไม่ได้
อย่างนี้ถือว่าลมหายใจเป็นตัวตนเราเขาคนไหนได้ไหม?”
จิตเห็นอย่างแจ่มชัดว่าลมหายใจปราศจากอัตตาตัวตน
เป็นเพียงเครื่องหล่อเลี้ยงกายให้ตั้งอยู่ได้ หากขาดลมระยะหนึ่ง
กายดิ้นรนไขว่คว้าหาอากาศแล้วยังติดขัดอยู่อีก ก็คือการมาถึงของมรณะเท่านั้น
ภาวะนิ่งอย่างเอกอุซึ่งประกอบพร้อมด้วยอาการพิจารณาเห็นธรรมดำเนินต่อไป
ได้ยินคำสั่งจากพระอาจารย์ต่อมา
"พิจารณากาย เริ่มจากมือที่วางซ้อนกันอยู่บนหน้าตัก ถามตัวเองว่าเป็นผู้สร้างมันขึ้นมาหรือเปล่า?"
ด้วยเพราะเพิ่งผ่านการเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแห่งลมหายใจมาหยกๆ
พอพิจารณามือตามพระอาจารย์สั่ง เมื่อเห็นนิมิตอุ้งมือและลำนิ้วทั้งสิบชัด
ก็ตระหนักด้วยจิตเหนือสำนึกทันทีว่าเขาไม่ได้สร้างมันขึ้นมา ไม่มีส่วนรู้เห็นเลยว่ามันถูกสร้างมาได้อย่างไร
"เมื่อเราไม่ได้สร้าง แล้วอย่างนี้ควรยึดถือไหมว่าเป็นของเรา?”
จิตพิจารณาตามแล้วตอบทันทีว่าไม่เลย ในเมื่อไม่ได้รู้เห็น
ไม่ได้เป็นผู้ออกแบบ ไม่ได้เป็นผู้ลงมือก่อร่างสร้างมันขึ้นมา
กับทั้งไม่อาจควบคุมให้ทรงอยู่ยั่งยืน จะยึดว่าเป็นของเราได้อย่างไร
ใจว่างและวางทันที
เป็นวาระจิตแรกในชีวิตที่เกิดความปล่อยวางกายอันยึดถือตลอดมาว่าเป็นตน
คล้ายอุ้มหินไว้ในอ้อมแขนแล้วปล่อยลงให้พ้นตัว
เกิดความเบาโล่งชนิดที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
อโหธรรมา...อโหธรรมา
"รักษาอาการเห็นมือไว้ ไล่ต่อมาถึงช่วงแขน
ถามตัวเองว่าอย่างนี้เป็นธรรมชาติอันเดียวกับมือหรือเปล่า"
ใช่แล้ว เขาเห็น มันก็เป็นรูปธรรม
สังขารธรรมที่เขาไม่เคยมีส่วนปรุงแต่งขึ้นมาเช่นเดียวกับลมหายใจและมือนั่นเอง
"รักษาอาการเห็นมือและช่วงแขนไว้ ไล่ต่อมาถึงส่วนหัว
ไล่ลงไปถึงช่วงตัว ไล่ต่อไปถึงช่วงขา สิ้นสุดลงที่ส่วนเท้า
เห็นอาการนิ่งและเคลื่อนไหวทั้งหมดใหม่อีกครั้ง
ถามตัวเองว่ามีส่วนใดส่วนหนึ่งที่แตกต่างไปไหม
มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จิตเราเป็นผู้สร้างทำขึ้นมาไหม"
ไม่มี...ไม่มีเลย อโหธรรมา... แปลกเหลือเกิน
รูปกายที่เคยยึดถือว่าเป็นของเรานี้ ทำไมดูกลายเป็นอื่น เป็นของนอกตน
พิลึกกึกกือแตกต่างจากมโนภาพรูปร่างหน้าตาชายคนเดิมที่คุ้นเคยมาเนิ่นนานว่าเป็นตน
จิตนิ่งฉายสว่างเต็มกำลังอุปจารสมาธิจิต
ขณะเดียวกันก็ประกอบพร้อมด้วยอาการพิจารณารู้อันเป็นลักษณะของปัญญา
เป็นวาระที่รูปและนามประสานกันได้ผลลัพธ์เป็นธรรมคือดวงรู้ละวาง
ปราศจากสำนึกแห่งความเป็นสัตว์ คน เทวดา พรหม หรือสมมุติใดๆ
ผู้เป็นธรรมาจารย์ปล่อยให้ภาวะรู้เห็นของศิษย์ดำเนินต่อเนื่องจนกระทั่งตกผลึก
ทรงตัวโดยปราศจากการควบคุม จึงแทรกจิตเข้ากำกับเพื่อลัดทางให้สั้นเข้า
เกาทัณฑ์เห็นนิมิตของสัณฐานกายเริ่มผิดแผกจากเดิม
ภาคสำนึกรู้ตัวของนายเกาทัณฑ์จับมองนิมิตใหม่ด้วยความประหลาดใจ
แต่ปราศจากความตื่นกลัว
เหมือนมองตัวเองมาจากด้านหลังด้วยตาอันผูกติดอยู่กับกระดูกและเลือดเนื้อในกายเอง
กายปรากฏเป็นข้อกระดูกสันหลังเรียงกันจากคอถึงก้นกบ
มีซี่โครงแยกจากโครงกระดูกสันหลังเห็นคล้ายก้างปลา
ห่อหุ้มก้อนเนื้อซึ่งปรากฏเพียงเลือนราง สุมๆกันแออัด
มีก้อนที่เต้นตุบๆกลางอกชัดหน่อยว่าเป็นหัวใจ
ไม่เคยเห็นกายตนเองเป็นเหมือนอย่างนี้มาก่อน
เมื่อเห็นแล้วก็ได้แต่รับทราบว่าสิ่งต่างๆตั้งอยู่เช่นนั้นจริง
ขึ้นอยู่กับว่าจะปรับสภาพจิตให้เข้าเห็นภายในได้อย่างไร หยาบละเอียดเพียงไหน
กลไกภายในกำลังทำงานอยู่อย่างเป็นระเบียบโดยปราศจากเจตนานำ
นี่ถ้าหากกลไกทุกชิ้นต้องอาศัยคำสั่งจากความคิดของเขา
เขาคงวุ่นวายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่เป็นทำอะไรอื่นแล้ว
“นี่แหละสิ่งที่กำลังดำรงอยู่ และกำลังจะแตกดับไป”
เสียงของหลวงตาแขวนดังขึ้นในท่ามกลางการเห็นกายเป็นสิ่งที่สร้างจากองค์ประกอบแยกย่อย
ในทันทีทันใดนั้นจิตก็เกิดความเห็นขึ้นมาอย่างเต็มตื้น
กายมนุษย์
ยกขึ้นด้วยกระดูกสันหลัง
ฉาบทาด้วยเลือดเนื้อ
เมื่อแยกเป็นส่วนๆ
ไม่เหลือมนุษย์
ไม่เหลือเราเขา
เหลือแต่ท่อนกระดูกกับเลือดเนื้อ
ว่างเปล่า
รอวันแตกดับ
ไร้แก่นสาร
หากนำจิตที่ประมวลรู้นิมิตกายเป็นปัญญาคิดของเกาทัณฑ์มาปฏิรูปเป็นภาษา
ก็คงถอดความได้ตามนั้น…
จิตบังเกิดความกลัวรูปกายที่ตนกำลังครอง เห็นเป็นอื่น เป็นของแปลกปลอม
เป็นโครงสร้างสัณฐานที่เป็นธรรมชาติโดยเดิม ปราศจากผู้เป็นเจ้าของ
มีกฎแห่งกำเนิดและมรณะอันไม่เป็นที่ได้รับการเห็นชอบจากใคร
“ดูความว่างและนิ่งรู้ที่กำลังเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ นี่คือภาวะหนึ่งของจิต
แล้วดูตัวที่กำลังได้ยินเสียงอยู่เดี๋ยวนี้ ดูว่านี่ก็เป็นอีกสภาพหนึ่งของการรู้
มองให้เห็นว่าเนื้อแท้เป็นสิ่งเดียวกัน จำแนกแตกต่างจากกันด้วยประสาทหูเท่านั้น”
ดวงรู้อันปราศจากรูปทรงสัณฐาน ปรากฏเป็นเพียงความว่าง
ขาวโพลนอยู่ในอาการรู้ตนเองนั้น
สดับตรับฟังคลื่นเสียงผู้เป็นอาจารย์ที่ส่งทอดมาตามลำดับ
และบังเกิดความเห็นเป็นขณะๆว่าการได้ยิน การรู้ความหมายของคำพูด ล้วนเป็นอาการหมายรู้ทางจิตทั้งสิ้น
"มองให้เห็นว่าแม้ตัวรู้ก็เปลี่ยน เสียงที่ได้ยินก็เปลี่ยน
เกิดขึ้นเพื่อตั้งอยู่ชั่วครู่ แล้วลงเอยยังไงก็ต้องดับไป"
ใช่...อาการกำหนดหมายรู้เป็นสิ่งไหลเลื่อนอยู่ตลอดเวลา
แม้ตัวรู้ก็เป็นอนัตตา ดวงนิ่งที่ปรากฏสว่างโพลนอยู่นี่ก็ไม่ใช่ตัวตน
เป็นภาวะชั่วครู่ของจิตอันเป็นสมาธิ
หลุดโล่งจนถึงที่สุด ฐานที่มั่นของตัวตนทั้งรูปและนามทลายลงสิ้น
จิตนิ่งรู้เด่นดวงอยู่เพียงเดียว
ลิ้มรสความว่างอันประกอบด้วยตัวเห็นอนัตตธรรมนำหน้า สุดขั้วของสุขอันไร้รู้สึก
เป็นยอดของภาวะอันไร้สัมผัสแห่งภาวะ ไร้การแตะต้องสังขารธรรมใดๆทั้งปวงโดยแท้
นี่ใช่ไหมนิพพาน? นี่ใช่ไหมมรรคผล? เขากลายเป็นพระอริยบุคคลไปแล้วกระมัง...
แต่แล้วความว่างเปล่าก็กลับกลาย
เมื่อแรงดึงดูดที่รวมกระแสจิตให้เต็มดวงคลายตัว
นี่หรือไม่ ที่ท่านเรียกบรมธรรม? สิ่งที่ไม่กลับไม่เปลี่ยน แต่ไฉนบัดนี้จึงแปรไป?
เกาทัณฑ์ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ปรับการมองได้แจ่มชัดในที่สุด
ได้ยินพระอาจารย์ตอบความกังขาของจิตขณะสุดท้ายก่อนลืมตา
"เพราะนั่นไม่ใช่บรมธรรม นั่นเป็นแค่จิต จิตยังอยู่ในข่ายพระอนิจจัง
แค่เหมือนจะข้าม แต่ไม่ข้าม บรมธรรมที่แท้คือจิตที่หลุดจากความปรุงแต่งอย่างหมดจด
ไม่เคลื่อนตามเวลาในมิติไหนๆ
เป็นดวงรู้ที่ปราศจากภาวะปรุงแต่งใดมาห่อหุ้มได้"
ชายหนุ่มตั้งสติให้เข้าที่ คืนกลับมาอยู่ในอัตภาพเดิมครบถ้วน
จึงคลานเข้าไปกราบพระอาจารย์ เจาะจงให้หน้าผากสัมผัสฝ่าเท้าของท่าน
เป็นการแสดงความคารวะจากใจขั้นสูงสุด
"ฟังข้าพูดให้ดี"
เกาทัณฑ์กลับมานั่งที่เก่า สีหน้าสงบเฉย
ทว่าเปล่งสว่างด้วยรัศมีแห่งความรู้ธรรมและความรู้คุณ
นัยน์ตาจับมองพระผู้ให้ความสว่างแก่ตนอย่างบูชาด้วยชีวิต
"อย่าหลงคิดว่าพบธรรมชั้นสูงแล้ว ธรรมแท้น่ะไม่มีสูงมีต่ำหรอก
ถ้าใครถึงจริง ถึงเป็นปกติ ต้องรู้สึกว่างๆเป็นกลาง
ถ้าแค่เข้าขั้นรู้สึกว่าตัวเองสูงส่ง ก็แปลว่าโดนกิเลสเอาไปกินเสียก่อนจะถึง
เอ็งเพิ่งเห็นแบบแตะๆต้องๆแค่นี้
ยังต้องเดินทางอีกไกลกว่าจะไปถึงความเป็นที่สุด"
ภิกษุชราระบายลมหายใจยาว ท่าทางท่านเหน็ดเหนื่อยพอดู ต้องใช้ทั้งกำลังจิตช่วย
ใช้ทั้งกำลังปัญญาสั่งสอนศิษย์ต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน
เกาทัณฑ์คิดไม่ออกว่าชาตินี้จะหาทางทดแทนพระคุณท่านได้อย่างไรถูก
การเข้าเห็นสัจภาวะเป็นประสบการณ์ที่ควรซื้อแม้ด้วยชีวิต เพราะถ้าเห็นจริง
จะทำให้ตั้งเข็มไปในทางดีได้ถูก เป็นที่พึ่งของตัวเองให้พ้นภัยในวันหน้า
ผู้นำความเห็นชนิดนี้มาให้ ย่อมสมควรถูกยกไว้บูชาในที่สูงสุด
พระพุทธเจ้าช่างเป็นมหาบุรุษผู้แสนประเสริฐ เหนื่อยยากเพื่อคนอื่น
ยอมลำบากแทบเลือดตากระเด็นนับอนันตชาติเพื่อเอาพระสัพพัญญุตญาณมาโปรดสัตว์
โปรดสัตว์เช่นเขา เขาคือผู้มีโชคอันประเสริฐที่เป็นหนึ่งในกลุ่มเวไนยสัตว์แห่งพระพุทธเจ้าพระองค์นี้
ด้วยความซาบซึ้งในรสธรรม และด้วยความผูกพันที่มีต่อบุคคลอันเป็นที่รัก
เกาทัณฑ์ปิดตาลง
ตั้งความปรารถนาให้พวกเขาเหล่านั้นเป็นสุขอยู่ในความประจักษ์ธรรมะลึกซึ้งเช่นเขา
จัดเป็นเมตตาภาวนาอันบริสุทธิ์
แล้วเมตตานั้นก็เปลี่ยนกระแสเป็นการุณยภาพแผ่กว้างไปอย่างไร้ประมาณ
ด้วยเหตุที่ใคร่ลงมือนำธรรมซึ่งตนรู้นั้นออกแจกจ่ายใครก็ได้ไม่เลือกหน้าทุกทิศทาง
การุณยภาพปรากฏเป็นรสสุขชวนพิศวง นึกรักภาวะชนิดนี้ขึ้นมาจับใจ
อยากเข้าไปสถิตอยู่ในความเป็นเช่นนั้นตลอดกาล
ราวกับเข้าบ้านที่เคยคุ้น ราวกับเพิ่งค้นหาตัวเองพบในยามนี้
กำลังจิตทวีตัวขึ้นเรื่อยๆจนรู้สึกชัดเป็นจริงเป็นจัง
เห็นเป็นรัศมีแผ่ผ่านไปราวจะอาบผืนโลกให้ฉ่ำเย็นอาภา
ในความเป็นดวงรู้แผ่ไปไร้ประมาณชนิดนั้น
คล้ายกระแสจิตปรับคลื่นของตนเข้าปะทะอย่างแรงกับคลื่นทุกข์อันลอยตัวอยู่ทั่วไปบนพื้นพิภพ
ได้ยินเสียงร่ำร้องโหยไห้อย่างน่าเวทนา
มันดังออกมาจากจิตมนุษย์และสัตว์แทบทุกรูปนามบนแผ่นดิน ฟังชัดราวกับอึงอลอยู่ในโสตประสาทจริง
เริ่มจากแว่ว แล้วทวีขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นกระหึ่มเช่นเดียวกับฝันร้าย
สนามคลื่นแห่งทุกข์ของคนทั้งแผ่นดินนั้น
ครุวนาดั่งมหาสมุทรที่อาจโถมทับทุกสิ่งให้ล่มจมฉิบหายสิ้น
เกาทัณฑ์สำเหนียกทราบถึงความน่าสะพรึงกลัวอันผนึกรวมกันเป็นข่ายคลื่นมหายักษ์
ช่างทะมึนมืดน่าขนลุกเหลือประมาณ
การุณยภาพที่แผ่สว่างออกจากดวงจิตของเขาถูกกลบกลืนหม่นมัวไปหมดสิ้น สู้ไม่ได้
ทัดทานไม่ไหว
เทียบอะไรไม่ติดเลยกับมหาทุกข์ของปวงมนุษย์และสัตว์บนแผ่นดินและใต้แผ่นน้ำ
ความทุกข์...ของจริงที่ยั่งยืนมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
และจะต่อเนื่องไปในอนาคต
อาจเป็นอุปาทาน หรืออาจเป็นความหยั่งรู้อะไรสักชนิด
แต่เกาทัณฑ์ก็เกิดความสะเทือนใจ บันดาลความสมเพชเวทนาอย่างท่วมท้น
และอยากช่วยปวงวิญญาณอันจมทุกข์เหล่านั้น...
ความอยากช่วยทวีตัวแรงขึ้นเรื่อยๆตามการขยายผลของกำลังสมาธิจิต
ที่สุดรวมลงเป็นดวงอธิษฐาน
จิตตั้งปณิธานแน่วแน่ว่าจะเจริญรอยตามพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
เข้าสู่เส้นทางพุทธภูมิ ปรารถนาพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนับแต่ขณะจิตนี้เป็นต้นไป
‘สักวันเราจะเป็นพระพุทธเจ้า เราจะช่วยสัตว์ให้พ้นทุกข์ด้วยทศบารมี'
สำเหนียกถึงพลานุภาพแห่งภาวะอธิษฐานในตน ขนลุกขนชันไปทั่วสรรพางค์
เขาจะไม่ไปสบายคนเดียว แต่จะพาเวไนยสัตว์ตามไปนิพพานด้วยมากที่สุดเท่าที่จะมากได้!
บังเกิดความตื่นเต้นแปลกใหม่
สีสันแห่งสุขทุกข์อันลี้ลับเบื้องหน้าบนเส้นทางสู่พระโพธิญาณช่างท้าทายชวนระทึก
เขารู้สึกว่าความเป็นตนทอดยาวไปไกล...ไกลมาก
เสียงหัวเราะเอื่อยๆดังมาจากหลวงตาแขวน โพธิสัตว์หนุ่มลืมตาขึ้นมองท่าน
นึกเกรงขึ้นมาว่าตนทำสิ่งใดผิดพลาดไปหรือเปล่า
“ทางตรงที่คนอื่นปูไว้ให้เดินสบายๆไม่เอา จะเลือกอ้อมป่าอ้อมเขาซะเอง”
คล้ายคนเคยอยู่ในบ้านมีที่มุงบัง ปกปิดจากสายตาคนภายนอก
แล้ววันหนึ่งก็ถูกรื้อกำแพงและหลังคาทิ้ง เขาจะเดินไปซอกไหนมุมใด ขยับท่าไหน
หลวงตาแขวนท่านเห็นได้อย่างสะดวกดายหมด
ทว่าเกาทัณฑ์ก็แน่ใจว่าสิ่งที่ตนปักมั่นลงไปนั้น คือเจตนาอันแน่วแน่บริสุทธิ์
มิใช่ความคิดชั่วร้ายหรือกระทั่งอยากดึงใครมาร่วมลำบากด้วยเลย
ที่สำคัญ นั่นคงมิใช่การสำแดงความอวดดีหรือทำตัวเป็นหัวล้านนอกครู
ท่านสอนให้ละอย่างหนึ่ง ก็ดื้อไปยึดอีกอย่างหนึ่ง เจตนานั้นมาจากใจจริง
เกิดขึ้นเอง มีเมตตาและกรุณานำ ทบทวนดีแล้วก็พนมมือกล่าว
“ครับ…พุทธภูมิคือทางไปพระนิพพานที่ผมเลือก”
ภิกษุชราเอนกายหัวเราะเอื่อยเฉื่อย
"เป็นพระโพธิสัตว์น่ะสนุก เพราะรากฐานของใจเป็นกุศลยิ่งใหญ่
มีความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ แล้วก็บากบั่นขยันขันแข็ง ทำอะไรลุล่วงได้เสมอ
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้มีความเป็นใหญ่ เฉลียวฉลาด
และมีกำลังมาก"
ฟังท่านกล่าวเช่นนั้น
เกาทัณฑ์ก็รู้สึกถึงพลังอันประจุแน่นในกายแกร่งล่ำสันของตน
เห็นว่านั่นเป็นอุปกรณ์ของจิตที่ช่วยให้เกิดความฮึกเหิมไม่ระย่องานอันยากลำบาก
จากนั้นก็พิจารณาเห็นฉันทะในงานตามหน้าที่ของตน เขาทำโน่นทำนี่ลุล่วงอยู่ตลอดเวลาด้วยความรับผิดชอบสม่ำเสมอ
ซึ่งทำให้บังเกิดความมั่นใจสูงมากว่าคิดอะไร หวังอะไร เป็นต้องสำเร็จได้ทั้งนั้น
ความหยิ่งทะนงในสติปัญญา เชื่อมั่นในพลกำลังและความสามารถ
อย่างนี้จะเข้าข่ายผู้มีบุญเยี่ยงพระโพธิสัตว์หรือเปล่า?
หรือว่าที่แท้เขาก็เป็นโพธิสัตว์อยู่แล้วโดยไม่รู้ตัว?!
“ความหมายมั่นและความสามารถทำเรื่องยากให้ลุล่วงเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของพระโพธิสัตว์
ทำให้เป็นผู้มีตบะเดชะ นับเป็นด้านดีที่มีด้านร้ายแฝงอยู่
คนเป็นโพธิสัตว์ส่วนใหญ่หลวมตัวให้กิเลสข้อที่ว่าด้วยโมหะ ถึงมีปัญญาแค่ไหนก็อดหลงตัวเองไม่ได้
พอทำดีก็ทุ่มตัวสุดกำลัง พอทำร้ายก็ปล่อยใจจนสุดขั้ว หาคนห้ามยาก
เพราะฉะนั้นต้องสั่งสมคุณงามความดีไว้เป็นเสบียง และเป็นสัญญาณนำร่องให้กับจิตเอง
ถึงจะไม่ตกไปสู่อบายบ่อยนัก"
เกาทัณฑ์รับฟังและพิจารณาตาม ความอยากทั้งฝ่ายดีและร้ายที่ผ่านมาของตนนั้น
ถูกเติมเต็มด้วยความสำเร็จสมใจมาตลอด
จึงได้ฉุกคิดว่าหากมีสวรรค์เป็นรางวัลตอบความดี
และหากมีนรกเป็นโทษทัณฑ์สนองความชั่ว เขาก็จะได้รับไปเต็มๆ
ขณะที่คนอื่นซึ่งสำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้างในกรรมแต่ละวาระ ก็ย่อมพลาดรางวัลบ้าง
พ้นโทษทัณฑ์บ้างตามวิถีลุ่มๆดอนๆ
พูดง่ายๆ โพธิสัตว์มักไม่พลาดสุขที่สุดและทุกข์ที่สุดเหมือนสังสารสัตว์สามัญ
เจอแน่ทั้งรางวัลใหญ่และโทษทัณฑ์หนัก
"การเดินทางไปในสังสารวัฏน่ะ ไม่มีใครชั่วจริงตลอดไป
ไม่มีใครดีทนตลอดกาล ดีชั่วเพราะตัวกิเลสและความไม่รู้บันดาลทั้งนั้น
เมื่อทำดีไว้มาก พอเสวยกุศลวิบากเข้าก็เหลิงอำนาจบุญ ถูกกิเลสยุให้ทำชั่วสารพัดโดยอาศัยบารมีเก่านั่นเอง
เอ็งเห็นกี่คนที่ใช้วิบากด้านดีเช่นความร่ำรวย ความมีอำนาจ ความมีรูปงาม
หรือแค่กระทั่งความเป็นมนุษย์ เพื่อใช้ในการต่อบุญให้ตัวเอง
มันก็ไม่รู้บาปบุญคุณโทษ ทำสิ่งที่อยากทำเฉพาะหน้ากันทั้งนั้น
จะเป็นพระโพธิสัตว์หรือสังสารสัตว์ธรรมดาก็เถอะ”
เกาทัณฑ์พิจารณาและเห็นจริงตาม ยกมือพนมรับพลางผงกศีรษะลงเล็กน้อย
คิดว่าหลวงตาท่านกำลังโน้มน้าวให้เลิกล้มความตั้งใจ
เบนเข็มเข้าสู่นิพพานในชาตินี้ดีกว่า มีโอกาสสบายเห็นๆอยู่แล้ว
ทว่าความซาบซึ้งในรสการุณยภาพที่บังเกิดจริงยิ่งใหญ่ในตนเมื่อครู่นั้นแรงกล้ายิ่งนัก
เพียงคำพูดโน้มน้าวเท่านี้ คงเปรียบได้แค่การใช้สองมือผลักภูเขาหินเท่านั้น
ได้ยินหลวงตาท่านหัวเราะเป็นเสียงออกไปในทางเยาะ
ซึ่งก็คงมาจากการหยันความคิด ความเชื่อในหัวของเขานั่นเอง
เกาทัณฑ์พยายามหักห้ามมิให้เกิดความคิดโต้ตอบหรือคัดง้างเต็มกำลังแล้ว
ทว่ายังอุตส่าห์หลุดรอดออกไปให้ท่านจับได้และแค่นว่าทุกที
“อยู่ในกายมนุษย์น่ะ สบายๆก็คิดไปได้เรื่อยอย่างนี้แหละ เห็นอยู่แค่นี้
ได้ยินอยู่แค่นี้…”
แล้วหลวงตาแขวนก็เพ่งตาเขา เกาทัณฑ์รู้สึกถึงสนามพลังที่ก่อตัวขึ้นฉับพลัน
และตระหนักว่ากำลังมีบางสิ่งผิดปกติไป
"ข้าจะให้ดูอะไรนี่!"
ขาดคำท่าน ชายหนุ่มก็หน้ามืดวิงเวียน
เปลี้ยเพลียคล้ายคนใกล้หมดความรู้สึกด้วยฤทธิ์ยาสลบ ไม่อาจยื้อสติและความรู้สึกทางกายให้คงอยู่
โลกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นฉากใหม่ขึ้นมาแทน กึ่งฝันกึ่งจริง
เขาไม่เคยเห็นที่ราบกว้างใหญ่กระจะตาอย่างนั้นมาก่อน
มันยิ่งกว่าความราบกว้างของพื้นทะเลสุดลูกหูลูกตา
ทุกหนทุกแห่งคลาคล่ำด้วยวิญญาณบาปรูปร่างวิกลวิการ คล้ายพวกมนุษย์เปลือย ทว่าปราศจากราศีของความเป็นมนุษย์ติดตัวแม้แต่น้อย
กำลังเป็นอยู่ด้วยการรับทารุณกรรมต่างๆกันไป
บอกตนเองทันทีว่าที่ปรากฏแก่ตานั้นคือสัตว์นรก
และที่ราบกว้างนั้นก็คือพื้นที่ส่วนหนึ่งของนรกภูมิ!
หลุดจากครอบกะลาหนึ่ง ไปเห็นอีกครอบกะลาหนึ่ง…
เสียงโอดโอย เสียงร่ำร้องด้วยทุกขเวทนาแสนสาหัสอึงอลเต็มสองหู
บรรยากาศอัดแน่นไปด้วยคลื่นความทรมานที่ส่งออกมาจากดวงวิญญาณของสัตว์บาป
สัมผัสในอากาศคล้ายความพลุ่งพล่านของน้ำเดือดจัด เกาทัณฑ์เวียนๆงงๆเป็นครู่
ก่อนจะสามารถปรับสติ แยกมองให้เห็นเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งลงไป
ภาพสัตว์นรกตนหนึ่งถูกดูดเข้ามาใกล้ตา
ช่างน่าหวาดเสียวและชวนอาเจียนกับการเห็นวิญญาณบาปที่มีรูปเป็นผู้ชายกำลังนอนบิดตัวไปมา
โดนหนอนนรกขนาดเท่าปลายก้อยนับพันนับหมื่นชอนไชไปทั่วร่าง
วิญญาณนั้นแหกปากอันกว้างใหญ่เต็มอ้า แผดเสียงแหลมบาดหู แลบลิ้นอันเหยียดยาวและมากแฉกออกมาจนสุด
แต่ละแฉกเต็มไปด้วยเลือดและแผลสด
ท่าทางปวดแสบทรมานไปทุกหย่อมเนื้อตั้งแต่หัวจดเท้า
เหมือนเขาเริ่มมีกายไปยืนอยู่ตรงหน้าวิญญาณต้องทัณฑ์ตนนั้น มันไม่เห็นเขา
ไม่รับทราบว่ามีวิญญาณจากมนุษยโลกมาปรากฏ เกาทัณฑ์นึกแผ่เมตตา
อยากให้มันรับรู้การอุทิศส่วนกุศล และพ้นๆไปจากสภาพอันน่าอเนจอนาถเหลือจะกล่าวนี้
ทว่ามันก็ไม่มีท่าทีรับรู้เลย
เอาแต่ส่งเสียงร้องโหยหวนเพราะความเผ็ดแสบไปทั้งเนื้อตัวท่าเดียว
พยายามส่งสายตาไปพินิจรายละเอียด
สิ่งแรกที่ดวงจิตให้ความสนใจคือลูกตาอันเหลือกถลนของวิญญาณบาป พอเห็นชัดก็สยองไปทั้งเกล้า
ช่างน่ากลัวเหลือเกิน มันไม่มีตาดำ มีแต่ความขาวช้ำด้านชาไร้แวว
กลอกหลุกหลิกส่งกระแสความเจ็บปวดรวดร้าวเกินจะกล่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง
มีสิ่งที่เป็นเหมือนเส้นผมขอดติดหนังหัว
เนื้อหนังอวัยวะส่วนต่างๆถอดแบบมาจากรูปกายมนุษย์เกือบทุกอย่าง มีเล็บ มีข้อนิ้ว
มีอะไรๆบ่งความเป็นเพศชาย ทว่าดูช่างวิปริตผิดแบบ
เห็นแล้วทราบทันทีว่าไม่ใช่กายมนุษย์อย่างแน่นอน
และนี่ก็ไม่ใช่การพรางแต่งด้วยเครื่องมือของกองถ่ายภาพยนตร์ระดับโลก
แต่มันคือของจริงที่ปรากฏต่อดวงจิตอีกระนาบหนึ่ง
ของในหนังนั้นตกแต่งน่ากลัวอย่างไรก็ขาดไปอย่าง...กระแสวิญญาณของสัตว์นรก
บัดนี้เขาประจักษ์แล้ว เมื่อประสบเฉพาะหน้า สัมผัสได้ถึงความกระหายอิสรภาพ
สัมผัสได้ถึงไอร้ายแห่งทุกข์อันแข็งกล้าผิดไปจากมนุษย์และสัตว์ที่เขาเคยพบเจอมาทั้งหมด
ไม่มีท่าทีว่าวิญญาณบาปจะมีความรับรู้หรือนึกคิดถึงสิ่งใดนอกจากเสวยทุกข์อันเกิดกับตัวเรื่อยไป
แต่ร่างนั้นก็คล้ายมนุษย์เสียเหลือเกิน
คล้ายจนเขานึกเวทนาเช่นเดียวกับที่เคยให้ความเวทนามนุษย์ด้วยกันมาก่อน
ขณะเดียวกันก็เกิดความสงสัยว่ารูปนี้คงมิได้ถูกหล่อเลี้ยงด้วยหนอนนรกเป็นแน่
ถ้าเช่นนั้นมันมีสิ่งใดเป็นอาหารกัน
“กายนี้เป็นอกุศลวิบาก หล่อเลี้ยงด้วยอกุศลวิบาก
ถ้ามีอาหารก็บันดาลขึ้นจากอกุศลวิบากเช่นกัน”
เป็นเสียงตอบของหลวงตาแขวน
ซึ่งทำให้เกาทัณฑ์รู้สึกตนว่ามีอีกภาคหนึ่งนั่งอยู่ในกุฏิท่าน
เมื่อมีสติรู้เช่นนั้นก็นึกสงสัยอีก ว่าสัตว์นรกตนนี้ทำกรรมอะไร จึงต้องมาทรมานทรกรรมสาหัสน่าสยองเกล้าเหลือทน
"มันกำลังรับกรรมจากครั้งที่เคยเป็นนักบวชผู้ทรงคุณ
แต่บ่อนทำลายตนเองในบั้นปลายด้วยการกระทำอันเป็นทุศีล
เมื่อเพื่อนนักบวชผู้มีศีลบริสุทธิ์พยายามตักเตือนและโน้มน้าวให้แก้ไข ก็เกิดโทสะ
พูดหยาบช้าลามก บริภาษต่างๆนานา แถมยังชักจูงบริษัทบริวารให้เชื่อว่าผู้มีศีลนั้นเป็นตัวตลก
มีกิริยาน่าขบขัน และเป็นนักบวชทุศีลเสียเอง
พาคนมากมายให้มีบาปมีมลทินอย่างหนักตามไปด้วย"
ดวงจิตของเกาทัณฑ์ร้อนผ่าวเหมือนถูกทรายพิษซัด
ด้วยเพราะระลึกได้ว่าตนก็เคยทำกรรมคล้ายๆอย่างนั้นมาก่อน
เรื่องหมั่นไส้คนดีน่ะเป็นธรรมดาของคนชั่วอยู่แล้ว
เขาเคยค่อนแคะนินทาเพื่อนร่วมงานบางคนที่ทำตัวสมถะเรียบง่าย ใจดีเหมือนพ่อพระ
เป็นที่กล่าวขวัญของสาวๆ ใช้คำพูดชวนขันจนหลายคนมองหมอนั่นเป็นตัวตลก
และกระทั่งสงสัยว่าเต็มเต็งหรือเปล่า
แปลว่าเข้าข่ายมาอยู่ในบัญชีนรกชนิดเดียวกับสัตว์ตนนี้?
เปลี่ยนจากร้อนมาเป็นหนาวสะท้าน
กระทั่งเกิดความยะเยือกลึกด้วยความกลัวบาปอันเคยก่อไว้แล้ว
นี่สักวันเขาก็จะต้องมานอนบิดไปบิดมา หนอนขึ้นตัว
ลิ้นยาวฉีกเป็นแฉกเหมือนอย่างนี้หรือ?
โอย...
สัตว์นรกตรงหน้าเริ่มเปลี่ยนจากอาการบิดทุรนทุรายเป็นดิ้นปัดเร่าๆ
แล้วกระแทกตัวกับพื้นขึ้นลงตั้บๆด้วยฤทธิ์ทรมานอันเผ็ดร้อนกล้าแข็งถึงขีดสุด
มือไม้ปัดหนอนวุ่น ทั้งขยุ้มขยำ ทั้งล้วงเข้าไปในแผลใหญ่
กำหนอนนรกออกมากลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเพื่อปาทิ้ง
แต่ทิ้งเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดจำนวนลงสักนิด
ยังคงไต่ยุ่บยั่บยั้วเยี้ยไม่รู้จักกี่หมื่นกี่พันตัว ยิ่งดูยิ่งขนหัวลุก
มองเห็นเป็นตัวๆกำลังปีนป่ายเข้านอกออกในร่างร้ายของวิญญาณบาปอย่างครึกครื้น
มากมายจนล้น ต้องปีนป่ายอยู่บนหลังพวกเดียวกันเองก็เยอะ
ถ้ามีกายหยาบอยู่ด้วยป่านนี้เขาอ้วกไปแล้ว
เป็นนานกว่าที่สัตว์ต้องทัณฑ์กรรมตนนั้นจะทุเลาเจ็บลงนอนดิ้นน้อยลงเหมือนตอนแรก
เกาทัณฑ์ได้เห็นด้วยตาว่าความเผ็ดร้อนแห่งกรรมชั่วนั้นก็ยังมีหนักบ้างเบาบ้างสลับกัน
ใช่จะรับแต่รสกล้าแข็งคงเส้นคงวาตลอดไป
"มีอยู่"
เสียงหลวงตาแขวนดังขึ้นอีก
ไม่แน่ใจว่าแว่วอยู่ในจิตหรือยินผ่านประสาทหูกันแน่
"มีนรกบางขุมที่สัตว์บาปได้รับทุกขเวทนากล้าแข็งเสมอต้นเสมอปลาย
ไม่มีบรรเทาลงเลยสักขณะจิตเดียว อย่างเช่นอเวจีมหานรกที่พระเทวทัตกำลังเสวยวิบากอยู่เดี๋ยวนี้
ที่เอ็งเห็นนี่เป็นแค่นรกขุมกลางๆ เทียบแล้วไม่ทุกข์สาหัสสากรรจ์นัก
มีผ่อนหนักผ่อนเบาบ้างตามวาระ คล้ายคนระบมไข้บนโลกนั่นแหละ"
อะไรกัน...นี่น่ะหรือไม่ทุกข์สาหัสสากรรจ์นัก คุณพระคุณเจ้า
เขานึกว่ากำลังดูทัณฑ์กรรมที่โหดเหี้ยมที่สุดในนรกเสียอีก!
เกาทัณฑ์เบือนหน้าหนีไปจากภาพชวนสะอิดสะเอียนอย่างเกินกว่าจะรับภาพโหดเหี้ยมระดับนั้น
หรือแม้น้อยกว่านั้นอีกต่อไป
ดวงจิตเหมือนส่งกระแสวิงวอนมาถึงหลวงตาแขวน ขอตื่นจากฝันร้ายนี้ที
อย่างช้าๆ ภาพที่เห็นจางหายไปเหมือนเงาฝัน แล้วเกาทัณฑ์ก็กลับสู่ภาวะปกติ
รู้สึกว่าตนเองหน้าซีดเล็กลงเหลือเท่าไม้ขีด นรกมีจริง ไม่ใช่แบบสวรรค์ในอกนรกในใจ
แต่เป็นอีกมิติหนึ่งที่ไปได้ อยู่ได้ สยดสยองอย่างที่ทำให้เขาต้องใบ้กินไปชั่วขณะ
"เป็นไง?"
ท่านถามสั้นๆ เกาทัณฑ์มองพระอาจารย์ด้วยดวงตานิ่งทื่อ มือสั่นระริก
ตระหนักหากท่านต้องการ ก็อาจใช้กระแสความเป็นศิษย์อาจารย์สะกดเขาให้เห็นอะไรก็ได้
โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องเข้าสมาธิรองรับเสียก่อน
"น่ากลัวเหลือเกินครับ"
ชายหนุ่มประนมมือตอบตามใจจริง หมดมาดทะนงลงสิ้น
"ภูมิเดิมของพระเทวทัตน่ะ เคยเป็นอนิยตโพธิสัตว์มาก่อน
แล้วข้าจะให้รู้ไว้ ว่าสัตว์ที่กำลังหนอนขึ้นตัว แลบลิ้นได้เป็นแฉกๆนั่นน่ะ
ก็เป็นโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่งเหมือนกัน"
เกาทัณฑ์เบิกตาโพลง ตกตะลึงเหมือนโดนทุบที่หัวอย่างแรง
"เคยเป็นเพื่อนห่างๆกับเอ็ง
เอ็งก็คือคนที่เขาเล่นล้อหยาบช้าด้วยนั่นแหละ เป็นไง สะใจไหม
คนที่เคยเสียดสีเอ็งตอนนี้ลงไปนอนดิ้นในนรกแล้ว"
ผู้เป็นศิษย์ทำหน้าตื่นอยู่อย่างนั้น เมื่อจำไม่ได้ก็ไม่อาฆาต
เมื่อไม่อาฆาตก็ไม่เกิดความสะใจแต่อย่างใด ตรงข้าม สงสาร หดหู่ อยากให้วิญญาณบาปนั้นพ้นทุกข์เสียโดยเร็ว
นึกอยู่ในใจคำเดียวว่า ‘อโหสิ...อโหสิ' นี่แหละหนอ ก่อกรรมทำเข็ญ ทำเวรทำกรรมกันมาแล้วต่างฝ่ายต่างลืม ทว่าต้องชดใช้
และรับวิบากที่ก่อตามทางของแต่ละรูปนามอย่างนี้
"เอ็งแผ่เมตตาหรือยกโทษให้เขาไม่ได้หรอก เพราะที่เห็นนั่นเป็นการสะกดจากข้า
อีกอย่างจิตของเขาไม่อยู่ในสภาวะที่จะติดต่อกับเอ็ง
หรือรับรู้กระแสบุญที่ใครอุทิศให้ไหว เพราะมัวแต่แด่วดิ้นจนลืมอะไรหมด
เอ็งคงได้แต่เห็นไว้เป็นเยี่ยงอย่างว่าเมื่อรับผลอย่างนี้
มันก็ได้แต่จมลงแบบโงหัวไม่ขึ้น สังวรระวังอย่าให้ถอยหลังลงอบายแบบเขาก็แล้วกัน"
"ครับ"
หลวงตาแขวนพยักหน้า
"ถ้าพลาดตอนจะตาย จิตเป็นอกุศล พลัดไปอยู่ในอบายภูมิล่ะเอ็งเอ๋ย
อกุศลวิบากมันเรียงคิวเข้ามาไม่รู้เท่าไหร่ ตระเวนเสวยกรรมจากขุมนั้นมาขุมนี้
หมดขุมนี้ต่อขุมโน้น ที่เอ็งเห็นนั่นเป็นแค่หนึ่งในหลายสิบอัตภาพที่ยังรอเสวยวิบากชั่วอีกบานตะไทของเขา"
เกาทัณฑ์รับทราบด้วยความสมเพชยิ่ง
"ข้าต้องการบอกให้เอ็งเตรียมตัวเตรียมใจไว้
ต่อไปชาติใดชาติหนึ่งเอ็งพลาดอย่างเขา เอ็งก็ต้องไปเป็นเหมือนเขา หรือยิ่งกว่าเขา
จะกลับใจเสียก็ยังทันนะ ตอนนี้ศาสนาพุทธยังอยู่ หากคิดถอนพุทธภูมิก็พอมีทาง
เร่งพากเพียรบำเพ็ญภาวนาหน่อย จบชาตินี้จะได้ลาขาดจากสังสารทุกข์ให้พ้นๆ
จิตเอ็งมีบารมีธรรมพร้อมอยู่แล้ว"
เกาทัณฑ์กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ งันงกไปชั่วขณะ นี่มันเรื่องล้อเล่นที่ไหน
ใครจะไปรู้ว่าต่อไปเขาจะก้าวพลาดลงนรกสักกี่ขุม นิสัยห่ามๆไม่คิดหน้าคิดหลังอย่างเขา...
เมื่อคิด เขาจะเป็นคนฉลาด มีสติปัญญารอบคอบถี่ถ้วนที่สุด
ตริตรองมองการณ์ได้ไกลที่สุด แต่เมื่อไม่คิด เขาก็โง่ได้เท่าคนปัญญาอ่อน ขาดสติ
ไร้การไตร่ตรองใดๆ หุนหันพลันแล่นอยู่เรื่อย
ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นเบือก็เคย ขโมยของก็เคย เป็นชู้กับเมียเพื่อนก็เคย
โกหกพกลมปั้นน้ำเป็นตัวก็เคย กินเหล้าเมายาจนโอ้กอ้ากน่าทุเรศก็เคย
ดูแล้วเหมือนบ้าแน่ๆ โอกาสหลุดหนี้กรรมมาถึงแล้วในชาตินี้
จะสละไปง่ายๆอย่างนั้นหรือ?
ความประหวั่นในผลกรรมท่วมทับจนใจสั่น
ถ้าปล่อยโอกาสทองซึ่งนานครั้งจะมีนี้หลุดไป
เขาจะต้องไปก่อกรรมทำเข็ญด้วยความไม่รู้อีกมากเท่าไหร่
และจะต้องไปชดใช้กรรมในมิติมืดอีกเยิ่นยาวยืดเยื้อแค่ไหน?
เกาทัณฑ์ขบฟันแน่น เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดซึมขึ้นมาบนขมับ ขอบตาขยิบหลายหน
ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าต้องตัดสินใจเสียเดี๋ยวนี้ ชีวิตคงยังอยู่อีกหลายปี
ไว้รอคิดไปเรื่อยๆก็ได้
ไม่สิ...จะเป็นถึงพระพุทธเจ้า
มาเริ่มต้นด้วยลังเลคิดดูก่อนเสียอย่างนี้น่ะหรือ
คนขลาดเยี่ยงนี้น่ะหรือจะทำงานระดับไตรภูมิ ปั้ดโธ่เอ๊ย...นรกก็นรกสิน่า!
กลับจากกลัวเป็นกล้าอย่างบ้าบิ่นขึ้นมาในพริบตาเดียว
ใจที่สั่นกลับปักมั่นยิ่งกว่าเสาเหล็กที่ถูกตอกลงลึกทะลุชั้นหินแข็ง
‘กูยอมลงนรกเพื่อพระโพธิญาณ เวไนยสัตว์อีกมากมายจะได้สบายเพราะกู'
เห็นแล้วว่าจิตชนิดนี้เท่านั้นที่สมควรมุ่งบำเพ็ญพุทธบารมี
ไม่มีใครยอมแลกตัวเองเพื่อคนอื่น...ไม่มี...พระพุทธเจ้าคืออดีตผู้บำเพ็ญบารมีอันเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะทำ
และเขาก็จะเป็นหนึ่งในนั้น!
เกาทัณฑ์เหลือบตาอันโชนกล้าด้วยรังสีเจตนาอันแน่วแน่ขึ้นมองอาจารย์
ทรงด้วยตบะอันข่มความกลัวไว้ใต้อำนาจได้สิ้น ไม่ระย่อ
ไม่ยี่หระกับหนทางทุกข์ร้อนอันทอดยาวยืดไกลเบื้องหน้าแม้แต่น้อย
"ถ้าการเป็นพระพุทธเจ้าไม่อาจหลีกเลี่ยงการเกิดเป็นมนุษย์สามัญธรรมดา
ผมก็จะขอเกิดเป็นมนุษย์ทุกชาติ ทุกครั้ง
แม้แตกตายลงต้องไปรับผลกรรมอันเนื่องด้วยความไม่รู้ใดๆ ผมก็ยอมครับหลวงตา
ขอยืนยันว่าผมจะต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้!"
น้ำเสียงมั่นคงที่ฟังสะเทือนโลกนั้นทำให้หลวงตาแขวนตบเข่าฉาด
หัวเราะออกมาดังลั่น
นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เขาเห็นกิริยาเช่นนั้นของท่าน
สำเหนียกว่าหัวเราะนั้นซ่อนไว้ทั้งความพึงใจและความรักใคร่ห่วงใยอาทร มิใช่หัวเราะด้วยความขบขันขาดสติอย่างปุถุชนทั่วไป
หัวเราะอยู่พักหนึ่งท่านก็หยุดกะทันหัน
"อย่างนี้สิวะมันถึงจะไปตลอดรอดฝั่ง เอานรกมาขู่ก็ไม่กลัว
ดึงดันจะไปให้ได้ คนปรารถนาโพธิญาณน่ะมีเยอะ แต่ที่ไปถึงจริงน่ะน้อยเท่าน้อย
ทนทุกข์ในสังสารวัฏกันไหวสักกี่น้ำ"
แล้วหลวงตาท่านก็ยิ้มเย็น เปลี่ยนสำเนียงเป็นอ่อนโยนลง
"เอ็งกับข้าน่ะบำเพ็ญบารมีกันมาคนละมากต่อมากแล้ว
มาได้เกินครึ่งทางพุทธภูมิแล้ว เอ็งอธิษฐานไปเมื่อกี้ไม่ใช่ครั้งแรก
แต่เป็นการอธิษฐานสำทับย้ำซ้ำครั้งที่หมื่น แสน ล้าน เข้าลึกจนถอนไม่ขึ้นแล้ว
ต่อให้ขู่ตัดหัวขั้วแห้งยังไงก็เปลี่ยนใจไม่ได้หรอก"
เกาทัณฑ์ตาใสขึ้นมาทันที รับรู้ว่าที่แท้นั่นคือการลองใจ
แถมพกด้วยการเพิ่มบารมีว่าด้วยความปักใจหนักแน่นในพุทธภูมิอีกโสดหนึ่ง
"แปลว่าผมเคยได้รับพุทธพยากรณ์มาแล้วในอดีต ชาติใดชาติหนึ่งใช่ไหมครับ?"
หลวงตาแขวนจ้องหน้าศิษย์หนุ่มนิ่งไปเป็นครู่ ก่อนจะพยักหน้าลงช้าๆ
ยังผลให้เกาทัณฑ์ลิงโลดและยิ้มแทบเป็นหัวเราะ
ทว่าพระอาจารย์ก็ปรามความฟูเฟื่องลิงโลดของผู้เป็นศิษย์ให้รำงับลงด้วยความนุ่มนวล
“ทางไปสู่พระนิพพานมีอยู่หลายสาย สายของข้ากับเอ็งมันยาวไกลกว่าชาวบ้านเขา
อย่าตื่นเต้นดีใจไปเลย ไม่มีรางวัลพิเศษอะไรรออยู่เกินไปกว่าพระนิพพานหรอก
หาเรื่องเดินอ้อมเอง
จะเป็นอรหันตสาวกในชาตินี้หรือรอเป็นสัมมาอรหันตสัมพุทธเจ้าเบื้องหน้าโพ้นน่ะ
ก็ได้ไปนิพพานที่เดียวกัน ไม่แตกต่างกันเลย ระลึกไว้ก็แล้วกันว่าเอ็งเลือกเอง ไม่มีใครบังคับ
อย่าเสียใจในภายหลัง ตั้งจิตไว้ให้หนักแน่น...อย่าเสียใจ
แล้วเอ็งจะเดินไกลไปได้ถึงฝั่งสมปรารถนา"
ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น