วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทางนฤพาน บทที่ ๑๑ อดีตชาติ

บทที่ ๑๑  อดีตชาติ


ที่นั่นเป็นชายหาดเปลี่ยวร้างของจังหวัดทางตะวันออกแห่งหนึ่ง ห่างไกลจากแหล่งชุมชนมาหลายกิโลเมตร ด้านหลังเป็นภูเขาเตี้ย ด้านหน้าแผ่กว้างด้วยแผ่นน้ำสุดลูกหูลูกตาจดขอบฟ้าละลิ่วลิบ ไม่เห็นอะไรนอกจากคลื่นน้ำเลยแม้แต่เรือหาปลาเล็กๆสักลำ

ลมทะเลยามเช้าพัดฉิว อากาศเย็นสดชื่นและมีกลิ่นหอมระรวยของน้ำเค็ม มติเปิดกระโจมผ้าร่มออกมายืนรับลมบริสุทธิ์ด้วยความเบิกบานเป็นสุข เขารักสถานที่เช่นนี้ ชอบมาอยู่ตามลำพังอย่างนี้ มันทำให้รู้สึกเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวในโลก และคล้ายทะเลกับลูกเขาทั้งหมดเป็นบ้าน

บรรยากาศเป็นสัปปายะเหมาะแก่การแสวงวิเวกตามอัธยาศัย เขามาถึงที่นี่ช่วงเย็นวาน รับลมชมดาวอิ่มเอมมาแล้วหนึ่งคืน

เด็กหนุ่มเงยหน้าดูเมฆขาวที่ลอยสูงนิ่ง ส่งใจขึ้นไปเนาสนิทอยู่บนนั้นเป็นครู่ ก่อนจะลดตาลงทอดมองระนาบขอบฟ้าเหยียดยาวสุดหางตา เงี่ยหูฟังเสียงระลอกคลื่นกระทบฝั่งอ่อนโยน อารมณ์สงบและคลื่นความคิดราบคาบดุจเดียวกับผืนทะเลยามนี้ นับเป็นการตื่นเช้ามาพบกับสิ่งวางจิตอันเป็นสันติ ชวนใจให้คล้อยเงียบและใฝ่ความเป็นนิรันดร์แห่งอิสรภาพตามกัน

เคยคิดอยากอยู่คนเดียวเช่นนี้ตลอดไป แต่ก็รู้ว่าทำไม่ได้ ทั้งส่วนตื้นส่วนลึกของจิตใจยังเต็มไปด้วยห่วง เกลื่อนกล่นไปด้วยความพะวง

ยืดอกกางแขนรับลม สูดหายใจเต็มปอด อยากเป็นนกนางนวลที่สามารถกระพือปีกทะยานขึ้นฟ้ากว้าง แผ่ปีกลอยละล่องในอากาศเบื้องสูง ก้มลงทัศนาทัศนียภาพเบื้องล่างกว้างละลานตา ใจหมดห่วง หมดพันธะ ไร้เขตจำกัดใดมาขวางทางไป

หอบลมทะเลปะทะหน้าและเรือนกายต่อเนื่องกันเป็นเวลานานก่อนจะหยุดลงครู่หนึ่ง เขาชอบให้โสร่งขาวและเสื้อหลวมบนร่างปลิวลม มันทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักบุญอิสระที่แสวงสัจธรรมไปในโลกกว้าง มีแต่เครื่องนุ่งห่มมอซอติดตัวชุดเดียว ปราศจากพันธนาการปรุงแต่งอื่นใดรัดรึงกายใจ

เด็กหนุ่มลืมตาและค่อยๆก้าวเดินเท้าเปล่าไปบนทรายนุ่ม ที่นี่ไม่ใช่หาดสวยขนาดชักนำมนุษย์มาทำลายความสวยของมัน ทว่าก็เป็นหาดที่มีเสน่ห์สำหรับเขา เสน่ห์นั้นคือความไม่มีอะไรเลยนอกจากธรรมชาติบริสุทธิ์ดุจโลกเพิ่งถูกสร้าง และยังไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอุบัติขึ้นแม้แต่ชนิดเดียว

ร่างผ่ายผอมดุ่มเดินไปเรื่อยอย่างคนมีเวลาทั้งหมดให้กับอิสรภาพและความโดดเดี่ยวว่างวาย กระทั่งถึงจุดหนึ่งที่สติตื่นพร้อม และนึกอยากเปิดประสาทเสพรสแห่งทะเลให้เต็มที่ จึงหยุดเดินลงนั่งวางขาขวาซ้อนขาซ้าย สองมือวางลงบนเข่าแต่ละข้าง พริ้มตาปิดเฉยเตรียมเปลี่ยนสภาวะจิตให้เปิดรับผัสสะอย่างบริบูรณ์

ตัดการผูกพันกับประสาทตาได้ฉับพลัน เห็นสัณฐานของกายภายใน เลื่อนฐานความรับรู้ไปจับที่ความเคลื่อนไหวของลมหายใจ จิตผนึกนิ่งด้วยความชำนาญ สามารถกำหนดนึกนิมิตเหยียดยาวแช่มชัดของสายลมหายใจ เกิดภาวะสว่างนวลทันทีคล้ายจุดไฟติดอย่างรวดเร็วด้วยเชื้อดี

ทุกอย่างเกือบเป็นไปโดยอัตโนมัติ ทั้งความเคลื่อนไหวทางกายเพื่อดึงลมเป็นสายยาวสม่ำเสมอ และทั้งวิธีวางจิตกำหนดนึกหน่วงนิมิตให้คมชัดไม่คลาดเคลื่อน ด้วยเพราะปฏิบัติภาวนามาเป็นเวลาหลายปีจนเกิดความเคยชินและสัญชาตญาณทางสมาธิ ประกอบกับกำลังจิตที่ค่อนข้างอยู่ตัวทรงดุลยภาพ ปลอดโปร่งด้วยสภาพแวดล้อมจูงจิตในปัจจุบันขณะ

แม้เสียการทรงตัววูบไหวให้กลุ่มความคิดที่ก่อตัวขึ้นมาบ้างในช่วงแรก กลุ่มความคิดนั้นก็ปรากฏเป็นส่วนเกินอยู่ในความรับรู้ คล้ายหมอกควันที่จางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อสามารถตรึงนิมิตลมและสัณฐานแห่งกายอันเป็นจุดผ่านลมให้ทรงนิ่งต่อเนื่องครู่เดียว

 กระแสสุขแผ่ตัวออกกว้างไปในเขตโล่งรอบกาย อาการขยายหน้าท้องดึงลมเข้าและการเห็นสายลมรี่ผ่านโพรงจมูกลงสู่ทรวงอกเป็นเสมือนแรงดึงดูดกระแสจิตอันทรงพลัง ความที่จิตละเอียดและติดตามการเดินทางของลมเข้าสู่โพรงว่างในเรือนกาย ทำให้เห็นกายทั่วพร้อมคล้ายลืมตามองออกมาจากภายใน ดูกระดูกฉาบเนื้อนี้คล้ายร่างหุ่นกระบอกไร้ชีวิต ดำรงอยู่เพียงเพื่อเป็นที่ตั้งของการรับรู้นิ่งเฉย หมดสภาพตัวตนที่เคยคุ้นขณะลืมตาอย่างสิ้นเชิง

ฟังเสียงคลื่นเซาะทรายเปราะเปรียะ ประสาทหูที่เปิดรับเสียงเต็มประสิทธิภาพจากการขยายผลของจิตทำให้คลื่นทะเลฟังแปลกกว่าปกติ ทั้งชัดเจน ทั้งเก็บเสียงใกล้ไกลได้ครบถ้วนพร้อมกัน และมีมิติลึกลงไปกว่าการได้ยินตามธรรมดา นั่นคือการเข้าถึงมิติแห่งความจริง ความเคลื่อนไหว ความแปรสภาพอยู่ตลอดเวลา รายละเอียดทั้งหมดที่ธรรมชาติส่งเสียงคุยกับเขาถูกเก็บเกี่ยวเข้าสู่ความรับรู้อย่างสมบูรณ์

เมื่อว่างจากความรู้สึกในตัวตน กับจับถนัดชัดเจนทั้งกลุ่มลมเข้าออกและเสียงดนตรีแห่งแผ่นน้ำ มติก็แยกภาคตัวรู้ออกไปอีกชั้น กำหนดดูความเป็นกายในองค์นั่ง เห็นคลุมทั่วเป็นแท่งเดียว เกิดนิมิตภายในเหมือนกายเป็นวัตถุรับผัสสะก้อนหนึ่ง ประดิษฐานอยู่บนผืนทรายนุ่ม รับแรงลมปะทะส่วนต่างๆ แน่นิ่งตามอาการของจิตที่ครองกายอยู่

จี้พิจารณาดูทีละส่วน เริ่มต้นที่ศีรษะ เห็นว่าการรับรู้เสียงเกิดขึ้นที่ร่องรูในแอ่งกลางใบหู มันเปิดรับคลื่นเสียงจากรอบทิศทั้งใกล้และไกล ทั้งค่อยและดัง โดยมีแหล่งรับเสียงจริงลึกลงไปไม่มากจากร่องรูนั้น

มติกำหนดหมายทันทีที่รู้ตำแหน่งแก้วหูอันเป็นต้นแหล่งรับเสียง เห็นสักแต่เป็นเพียงอายตนะในการฟัง ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีชื่อ ไม่มีโคตร ไม่มีใครครอบครอง ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน และกำลังจะแตกดับไปในเวลาอันสั้น โดยไม่อาจพยากรณ์วันเดือนปี

ขณะแห่งความรับรู้เช่นนั้น เหมือนเหลือเพียงคู่ประสาทหูลอยนิ่งในอากาศว่าง ไร้หน้าตา ไร้สำนึกแบบบุคคลผู้ได้ยินได้ฟังเสียงธรรมชาติ มีแต่จิตโปร่งใสดำรงรู้อยู่ในความกว้างโล่งรอบด้าน

นานเป็นครู่ใหญ่ จิตเลื่อนระดับความรู้ขยายตัวลึกลงอีกชั้น เห็นล่างลงไปเป็นกายที่ทรงตั้งอยู่ได้ด้วยกระดูกสันหลังเป็นข้อๆ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่สามารถสัมผัสรู้จากความนิ่งใสของจิตระดับอุปจารสมาธิ สำเหนียกทราบว่ากายประกอบด้วยซี่โครงและระยางยื่นออกไปเป็นส่วนแขนขามือเท้า โครงกระดูกนั้นห่อหุ้มด้วยเลือดเนื้อสกปรก ยามใดที่ลมทะเลหยุด ก็จะรู้ได้ถึงความเหนียวตัวเพราะคราบไคลที่ไม่ได้รับการชำระล้างจากน้ำจืด

กายเป็นแค่สุสานเก็บศพสัตว์และพืชผักนานาชนิด ตั้งอยู่เพื่อรับรู้ผัสสะร้อนเย็นอ่อนแข็งชั่วเวลาช่วงหนึ่ง ไม่นานร่างนี้จะลงวางเหยียดยาวไร้ลมหายใจ ยิ่งเปื่อยยิ่งหาชื่อเรียกไม่ถูกว่าเป็นใคร หรือกระทั่งเป็นอะไร มีรูปทรงสัณฐานแบบไหน

แล้วกลับไปกำหนดลมใหม่อีกรอบ คราวนี้เพ่งความละเอียดยืดยาว เพื่อประจุพลังให้เกิดภาวะทรงตัวแน่นขึ้น สว่างไสวและรู้เท่าทั่วพร้อมกว่าเดิม เหมือนสร้างศูนย์กลางอันใหญ่ครอบกายขึ้นมาควบคุมภาครู้ที่กำลังจะแตกแขนงไปต่างๆ

ด้วยความระวังประคองดวงนิ่งหนักแน่นไว้นั้น มติเพ่งรู้แบ่งจิตเป็นสองภาค ภาคหนึ่งตรึงนิมิตภายในไว้ไม่ให้คลาดเคลื่อน อีกภาคหนึ่งตามอาการเปิดเปลือกตาขึ้นแช่มช้า รับรู้แสงสีที่กระทบจักษุประสาทอย่างมีสติ เท่าทันว่าอย่างนั้นสี อย่างนั้นวัตถุ หน่วยตารับภาพเบื้องหน้าเต็มจอทั้งหลักและรองสุดแนวกว้างลึก เมื่อได้ภาพเต็มที่ก็เห็นเป็นท้องทะเลอันเดิม แต่ชัดใหญ่กระจะตาดูแปลกไปกว่าเก่า

คงเหลือแต่การเห็นแผ่นน้ำเท่านั้นดำรงอยู่ หากตัดสัญญาทางภาษาไม่เรียกว่า ‘ทะเล' เสียอย่างเดียว ก็ไม่มีอะไรเหลือให้หมายจำนอกจากความเคลื่อนไหวของธาตุน้ำก้อนมหึมาในแอ่งใหญ่ เหนือน้ำมีธาตุลมแปรทิศไปมา สูงขึ้นไปเป็นอากาศธาตุเวิ้งว้างกว้างไกล

แก้วตาทำหน้าที่ของมันไป แผ่นน้ำกว้างก็ดำรงอยู่ของมันไป ปราศจากตัวตนที่ฝั่งนี้และฝั่งโน้น ทุกอย่างอยู่ในสภาพธรรมดาดั้งเดิม ในมิติสำนึกรู้สึกที่แตกต่างไปจากยามมีตัวตนประกอบ เมื่อจิตเปลี่ยน โลกก็เปลี่ยนตามได้เช่นนี้เอง

รู้เห็นครอบคลุมกว้างไกลและคมชัดดุจเหยี่ยวที่มีพรสวรรค์ในการเห็นล้ำลึก ศูนย์กลางสติตั้งนิ่งท่ามกลางความเคลื่อนไหวแห่งภาพและเสียงละเอียดยิบ

ธรรมตรงหน้ามีอยู่ เมื่อตาประจวบเข้าก็เห็นเป็นรูปคลื่นน้ำ เมื่อหูประจวบเข้าก็ได้ยินเป็นเสียงคลื่นลม เมื่อจมูกประจวบเข้าก็ได้กลิ่นเป็นไอน้ำเค็ม เมื่อกายประจวบเข้าก็ได้สัมผัสเป็นลมรำเพยและกลุ่มเม็ดทรายมหาศาล

สักแต่เห็น สักแต่ได้ยิน สักแต่ได้กลิ่น สักแต่สัมผัส ปราศจากตัวตนผู้ครองผัสสะทั้งมวล

เนิ่นนานในช่วงจำกัดหนึ่งของศักยภาพความทรงตัวแห่งจิต ท่ามกลางความเลื่อนไหลแปรรูปไปของมหธรรม เมื่อจิตเสียดุล ไม่อาจทรงนิมิตภายในให้คงที่ ลีลาธรรมชาติก็ดำเนินไป คล้ายน้ำแข็งที่ถูกความร้อนไม่อาจทรงตัว เหลวละลายกลายเป็นสายน้ำ พอทำนบสมาธิพังลง ดวงจิตก็ก่อกระแสความคิดหลั่งไหลออกมาในที่สุด

ภาษาจิตดั้งเดิมนั้นมีแต่ความเงียบรู้ สมาธิเฉียดฌานมีความเข้าใกล้ความเงียบรู้ชนิดนั้น เมื่อภาษาคิด ภาษาพูดปรากฏขึ้นในหัว ก็กลายเป็นเสียงดังฟังชัด ดูประหลาด และเห็นว่ากลุ่มความคิดไม่ใช่เสียงของตัวเอง เหมือนเสียงที่ลอยขึ้นมาโดยปราศจากคนพูดในห้องอันว่างวาย และคล้ายภาษาต่างด้าวที่ต้องนึกคำแปลกันใหม่หมด

มติเกิดความเห็นเช่นนั้นด้วยเคยฝึกพิจารณากลุ่มความคิดมาก่อน คือฝึกมองกระแสความคิดเป็นเพียงระลอกกระเพื่อมไหวที่เกิดขึ้นเมื่อจิตเสียดุลจากการดิ่งนิ่ง ความกระเพื่อมไหวนี้เองแปรสัญญาณเป็นความกำหนดหมาย กลายเป็นอุปาทานสำคัญไปว่ามีเราผู้คิด มีเราผู้ครองกาย โดยที่เนื้อแท้แล้วคลื่นความคิดก็เหมือนคลื่นทะเลที่แปรรูปไปเรื่อยๆ หาตัวตนติดตามความปรวนแปรตลอดเวลานั้นไม่ได้เลย

ความคิดเป็นสิ่งไร้รูป ก่อตัวมลังเมลืองเหมือนหมอกควันไร้เงา ทว่าความมนมัวไร้ตนนี้เองที่สร้างความรู้สึกในตัวตนอย่างแจ่มชัดขึ้นมา เมื่อตัวตนแจ่มชัด ดวงรู้ธรรมตามจริงก็เลือนพร่าลงตามลำดับ

มติกะพริบตาทีหนึ่ง ค่อยๆลุกขึ้นยืนด้วยความรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างโลกของความมีตัวฉันกับโลกของธรรมชาติบริสุทธิ์ที่เพิ่งประจักษ์ กระแสความคิดดำเนินไปตามครรลองที่เคยมีเคยเป็น แล้วจังหวะหนึ่งโลกของตัวตนก็เข้าครอบงำดวงจิตไว้ทั้งหมดเมื่อเกิดความรู้สึกหิวขึ้นในช่องท้อง มีความแห้งอยากเกิดขึ้นที่นั่น สติสตังถูกปล่อยหลุดไปง่ายๆเพราะไม่เคยผ่านการฝึกชนิดสมบุกสมบันเยี่ยงพระธุดงค์ผู้หมดอาลัยกับร่างกายและความเป็นมนุษย์

เคลื่อนตัวไปตามวิถีทางที่ควรจะเป็น เดินกลับจุดพักแรม เข้าไปหยิบเสบียงในกระโจมผ้าร่มแล้วออกมานั่งทานเงียบๆ ทอดมองดูโพ้นฟ้าเบื้องไกลไปด้วย

กระแสนัยน์ตาจะยังแรงด้วยพลังสติอันเป็นเศษสมาธิ ใจว่างเฉยเหมือนอากาศธาตุ แต่เมื่อขนมปังตกสู่ท้องทีละชิ้น ทีละก้อนโดยปราศจากการกำหนดจิตตาม ความคิดอันคุ้นเคยก็ผุดพรายขึ้นมาเป็นระลอก

คิดถึงแพตรีขึ้นมาจางๆ แต่พอเท่าทันว่าเป็นเหตุแห่งความกระวนกระวาย ก็ใช้ธารปีติแห่งอารมณ์วิเวกที่ยังเอ่ออยู่เต็มอกหลั่งลงดับความคิดถึงชนิดนั้นเสียได้ง่ายๆ

ความนิ่งดำเนินไป แต่ก็กลับแปรเป็นความคิดถึงหล่อนขึ้นมาอีก จะตัดใจซ้ำก็ชักนึกขี้เกียจ ก็หล่อนมิใช่หรือที่ทำให้นึกอยากปลีกตัวมาไกลๆอย่างนี้ ทั้งที่เพิ่งกลับจากค่ายพัฒนาชนบทได้ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว

ยังนึกเสียใจที่ประกาศความในผ่านภาพสีน้ำมันเมื่อวันก่อน สัมพันธภาพดูแปร่งแปลก เจื่อนจืดลงอย่างน่าใจหาย ดูออกว่าหล่อนฝืนยิ้ม ฝืนพูด และพยายามทำให้ทุกอย่างดูคล้ายปกติ แต่แค่แววกังวลที่ฉายออกมายามสบตากัน ก็รู้ไปถึงไหนแล้วว่าแพตรีกำลังลำบากใจ เขากับหล่อนสนิทกันยิ่งกว่าพี่น้อง ยิ่งกว่าเพื่อน กล้าพูดกล้าเล่าทุกเรื่อง แล้วจู่ๆวันหนึ่งทุกอย่างก็กลับหัวกลับหาง เมื่อน้องชายหรือเพื่อนสนิทคนเดียวแจ้งให้ทราบว่าอยากเปลี่ยนชนิดของความสัมพันธ์เสียที

หยั่งใจแพตรีได้จะแจ้งเช่นเดียวกับดูใจตนเอง ยกเว้นเรื่องนี้ หากให้ปรับฐานะมาเป็นคนรัก รอครองเรือนกัน หล่อนจะว่าอย่างไร เดาไม่ได้เลย เท่าที่รู้คือตลอดมาเขาเป็นคนเดียวที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ เป็นคนเดียวที่สนิทขนาดเคยให้นอนเฝ้าเมื่อครั้งหล่อนเป็นไข้หวัดใหญ่

เขาอาจเป็นได้แค่น้องชาย เดินไปไหนมาไหนกับหล่อนแล้วถ้าผ่านกระจกเงาก็ชำเลืองรู้ว่าไม่ใช่คู่ที่ควรกัน แต่มติถือว่าภาวะโดดเดี่ยว ไร้ที่พึ่งพาในระยะยาวของหล่อน นับเป็นปัญหาที่คนสนิทเช่นเขามีสิทธิ์แจ้งความจำนงขออยู่เคียงข้าง ถึงแม้ไม่อาจเป็นฝ่ายเลี้ยงดูให้สุขกายสบายใจอย่างชายผู้มั่งมีจะสามารถทำ ก็ขอเป็นคนที่จะไม่หายหน้าไปไหนในเวลาหล่อนต้องการใครสักคนช่วยจัดวางสิ่งต่างๆในแต่ละวันให้เข้าที่เข้าทาง

เคยถามหล่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่พอใจใครบ้างหรือ หลายรายที่เข้ามาตีสนิทก็ออกพรั่งพร้อมทั้งรูปสมบัติคุณสมบัติ แพตรีปฏิเสธมาโดยตลอด บอกอย่างเดียวว่าอึดอัดเมื่อต้องอยู่กับคนที่จิตไม่นิ่ง จะชายหรือหญิงก็ตามที

สรุปแล้วคือพูดด้วยปากว่าไม่อยากอยู่กับใคร แต่บอกผ่านการกระทำว่าพึงใจเพียงพอจะใกล้ชิดกับเขาได้?

และหล่อนก็บอกเขาเสมอว่าเป็นเรื่องโชคดี ถ้ามีใครสักคนพูดคุยกับเราได้โดยปราศจากการฝืนใจ มติทราบว่านั่นคือการบอกว่าเขาคือความโชคดีของหล่อน

ครั้งสุดท้ายที่พบกัน มติชวนหล่อนไปซื้อของถวายสังฆทานในวันเกิดของเขา ทุกอย่างปกติและเป็นไปด้วยดีเหมือนเคย ยกเว้นบัตรอวยพรวันเกิดที่ทำให้เขาต้องระเห็จมานั่งมองฟ้าเงียบๆอยู่เดี๋ยวนี้

สุขสันต์วันเกิดนะน้องรัก

ปีนี้นึกอยากเจ้าบทเจ้ากลอนขึ้นมาแทนซื้อของขวัญนะ

นั่งคิดอยู่เป็นชั่วโมง

ถ่ายทอดใจจริงทั้งหมดที่มีให้เธอครบแล้ว

และหวังว่าคงมีค่าพอจะเป็นของขวัญชิ้นหนึ่งได้…

อยากมอบทองของกำนัลอันสูงค่า     แต่จนใจไร้ปัญญาจะหาไหว

ถ้าซื้อแล้วคงแก้วขุ่นไม่ถูกใจ          เมื่อให้ไปคงไม่แลแค่วางดิน

จึงขอให้แก้วใสเป็นใจนี้                เจียระไนไว้ดูดีกว่าทุกชิ้น

น้ำใจรักฉันพี่สาวจะลงริน              ขังในแก้วแพรวจนสิ้นอายุเรา

หล่อนอวยพรบรรทัดเดียว ที่เหลือเป็นถ้อยแถลง เขาอ่านแค่หนึ่งรอบแต่จำสนิท เพิ่งรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าหล่อนใจร้ายไปหน่อย เลือกวันเกิดของเขาเป็นเวลาทำลายวิมานอากาศกันลงคอ

ถอนใจเฮือก เมื่อสงบสติลง และมองหล่อนด้วยสายตาของคนรู้ใจ ก็พอเห็นแหละว่านั่นเป็นวิธีของหล่อน แพตรีพยายามอย่างที่สุดที่จะถนอมน้ำใจเขา ทั้งสรรคำพูดให้แนบเนียน และทั้งเลือกจังหวะที่พอจะพูดอะไรชนิดนั้นได้โดยไม่เห็นแปลก

รู้สึกเจ็บ ใช่เพราะหล่อนปฏิเสธ แต่เพราะเห็นขีดจำกัดของตนเอง หากเขารูปร่างหน้าตาดีกว่านี้ ดูเข้มแข็งเป็นผู้นำได้หน่อย ก็เชื่อว่าแพตรีคงเปลี่ยนใจได้บ้าง

นึกถึงชายหนุ่มมาดคมคนล่าสุดที่เห็นมาทำท่าทางติดพัน ดูเหมือนเป็นคนแรกที่เข้ามาได้ถึงในบ้าน แต่เมื่อทราบฐานะว่าเป็นหลานปู่ชนะ มติก็ลดความแปลกใจลงนิดหนึ่ง

ย้อนไปถึงวันที่เห็นแพตรีนั่งคุยกับหนุ่มคนนั้นใต้ร่มไม้หน้าบ้าน พอเห็นเขามายืนอยู่หน้าประตู หล่อนก็แสดงกิริยาบางอย่างที่เขารู้สึกแปลก คือเบิกตา ส่งเสียงทักแหลมใสด้วยความยินดี ราวกับว่าเขาจากไปไหนนานจนคิดถึงเสียนักหนา ความจริงก็คือแพตรีไม่เคยดีอกดีใจกับการปรากฏตัวของเขาขนาดนั้น ต่อให้ต้องห่างไปต่างจังหวัดกี่อาทิตย์ก็เถอะ

เหมือนหล่อนอยากแกล้งให้นายคนนั้นเจ็บใจเล่น นั่นเป็นสิ่งที่มติไม่เคยเห็น วิสัยแพตรีต่างกับหญิงทั่วไป ต่อให้รำคาญคนตามตื๊อขนาดไหน ก็จะไม่มีการดึงหุ่นมาเชิดใส่ใครเลย หล่อนไร้มายา ไร้ความคิดทำร้ายจิตใจใคร

แค่เห็นร่างสูงสง่าที่ลุกขึ้นยืนเต็มส่วนสัดของหลานปู่ชนะ มติก็บอกตนเองว่าหากแพตรีจะติดเนื้อต้องใจผู้ชายสักคน ก็น่าจะเป็นแบบที่เห็นนั่นแหละ

แต่ทำไมกลับกลายเป็นว่าหล่อนมีทีท่าเมินออกห่าง ไม่ใส่ใจไยดี มิหนำซ้ำยังทำทีว่ามีคนพิเศษเช่นเขาอยู่แล้ว ขนาดมาถึงปุ๊บหลานปู่หมดค่าปั๊บ มติดูออกว่าหล่อนเมินจริง ใช่ว่าเสแสร้งแกล้งสร้างความเข้าใจผิดเพื่อปิดบังความพึงใจตามประสาหญิงที่ยังขวยเขินกับสัมพันธภาพใหม่

หรือนี่มีเบื้องหลังอะไร?

คำว่า ‘หลานปู่’ สะกิดเตือนให้นึกถึงบางเรื่องเมื่อนานมาแล้ว นานจนเขาเกือบเลือนไปในรายละเอียด

ช่วงที่เริ่มสนิทและคบหาประสาเด็ก เขากับหล่อนคุยกันสารพัดเรื่องอย่างถูกคอและมีความผูกพันใกล้ชิดกันมาก อาจเป็นเพราะเจอกันในงานบุญที่วัดทางนฤพานบ่อย และมีเพียงเขากับหล่อนที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน

ตอนยังเล็กเขาเป็นเด็กช่างถามและขี้สงสัย เห็นหล่อนตัวโตกว่า กับทั้งประพฤติตัวสุภาพเรียบร้อยเป็นนิจ วิธีพูด วิธีทอดเสียงแต่ละคำคล้ายผู้ใหญ่ ก็สนิทใจถามโน่นถามนี่เอาคำตอบ ยึดเป็นขุมทรัพย์ทางความรู้ ความคิด ชนิดที่หล่อนบอกอะไรเชื่อหมด

อย่างเช่นสงสัยว่าทำไมพระถึงต้องโกนหัว ผีมีไหม นรกสวรรค์มีจริงหรือเปล่า เทวดานางฟ้าหน้าตาเป็นยังไง ทำไมคนถึงต้องเกิดมา เมื่อหล่อนตอบคำถามหนึ่ง ก็มักเป็นประเด็นของปัญหาข้อต่อไปยืดยาว

คุยไปคุยมาจนแน่นแฟ้นถึงระดับหนึ่งที่ไม่รู้สึกเป็นอื่นอย่างแท้จริง นอกจากเป็นพี่เป็นน้องกัน มองย้อนไปมติจึงทราบว่าการสนทนาธรรม แม้เป็นในระดับเด็กๆ ก็จัดเป็นบุญกิริยาใหญ่ร่วมกัน และทำให้เกิดความผูกพันสนิทได้ขนาดนั้น

จนครั้งหนึ่ง เขากับหล่อนนั่งรอผู้ใหญ่อยู่ล่างกุฏิหลวงตาแขวน มีแมววัดเดินผ่านมา เขาไปจับมันอุ้มเล่นด้วยความเอ็นดู เพ่งพินิจหู ตา จมูก ปากของแมวด้วยนิสัยประจำตัวช่างสังเกตแต่ไหนแต่ไร จู่ๆก็เกิดสงสัยขึ้นมา

‘พี่แพฮะ ตอนแมวมองตาเรานี่มันคิดอะไรอยู่หรือเปล่าฮะ?’

เพิ่งจะเดี๋ยวนั้นที่เขานึกว่าสัตว์น่าจะมีความคิด มติสนเท่ห์มาก สัตว์มีความคิดหรือเปล่า ถ้าคิดคิดอย่างไร?

‘คิดสิ แต่ต่างจากพวกเรานะ เพราะมันไม่มีภาษาเป็นสื่อชักนำความคิด’

มติขมวดคิ้วย่น

‘แมวคิดชั่วได้ไหมฮะ?’

‘ได้สิ เราถึงเรียกแมวบางตัวว่าแมวอันธพาลไง’

‘งั้นมันก็ไปนรกได้สิฮะ’

‘ใช่’ แล้วหล่อนก็พูดเหมือนเสริมว่า ‘สัตว์มีวิญญาณน่ะ ไปไหนๆตามกรรมได้ทั้งนั้นแหละ อย่างแมวตัวนี้ ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นคนนะนั่น ตอนมีใจสูงก็เป็นคน ตอนมีใจต่ำก็มาเป็นแมว’

มติตะลึง แพตรีพูดไปตามธรรมดาของหล่อน ทว่ามีผลกระทบใจอย่างแรง เขาสะดุดกึกและครุ่นคิดใหญ่โต

แมวตัวที่เขาอุ้มอยู่น่ะหรือเคยเป็นคน คนหน้าตาอย่างไร หญิงหรือชาย ข้ามวันเวลาอย่างไรทำไมกลายสภาพมาเป็นสิ่งที่แตกต่างได้ถึงเพียงนี้?

แม้เชื่อแพตรีมาตลอด แต่คราวนั้นอดสงกาไม่ได้

‘แมวตัวนี้เคยเป็นคนด้วยหรือฮะ?’

‘เคยซี่’

‘พี่แพรู้ได้ยังไงฮะ?’

‘พระท่านบอกไว้จ้ะ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิดเป็นนั่นเป็นนี่ตามแรงกรรม เป็นสัตว์ เป็นคน เป็นเทวดาอะไรต่ออะไรมาแล้วทั้งนั้น’

‘แล้วพระท่านรู้ได้ไงฮะ?’

‘ท่านรักษาศีล รักษาธรรม ฝึกปฏิบัติจนจำความเป็นมาของตัวเองได้สิจ๊ะ’

เขายังขมวดคิ้ว ไม่รู้สึกสัมผัสแม้แต่น้อยว่านั่นเป็นความจริง แมวขนนุ่มๆในมือของเขาคือสิ่งจับต้องได้ ส่วนที่ว่ามันเคยเป็นคนมาก่อนช่างฟังเลื่อนลอยไร้น้ำหนัก

‘แล้วพี่แพจำได้ไหมฮะว่าตัวเองเคยเป็นอะไรมาก่อน?’

เขาเดินเข้ามานั่งข้างหล่อน ยังอุ้มแมวไว้ในมือ แต่เพ่งตาถามจริงจัง ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าเผอิญตั้งคำถามเอากับคนที่เป็นหนึ่งในร้อย หนึ่งในล้าน

จำอาการนิ่งอึ้งเหมือนชั่งใจของแพตรีได้จนบัดนี้ หล่อนมองไปข้างหน้าด้วยแววตาของคนที่กำลังระลึกถึงบางสิ่ง

‘พี่แพจำได้เหรอฮะ?’

เมื่อเขาคาดคั้น ก็ได้คำตอบที่น่าตื่นเต้นสำหรับเด็กขี้สงสัย

‘จ้ะ จำได้’

‘พี่แพเคยเป็นอะไรมาฮะ?’

แพตรีอ้ำอึ้งคล้ายจะปล่อยให้เขาเลิกสนใจไปเองถ้าเงียบนานหน่อย แต่พอเขาถามซ้ำก็เอ่ยคล้ายจำใจ

‘ก็เป็นคนอย่างนี้แหละ’

‘แล้วผมเคยเป็นอะไรมาก่อนฮะ?’

‘ไม่รู้สิจ๊ะ พี่รู้เฉพาะเรื่องของตัวเอง เรื่องของมติไม่รู้หรอก’

หล่อนตอบยิ้มๆ

‘แล้วพี่แพจำได้ยังไงฮะ ทำแบบพระเหรอ?’

‘เปล่า’

‘แล้วทำไงฮะ?’

‘ก็…’ เด็กหญิงพยายามคิดเพื่ออธิบาย ‘อยู่ๆก็นึกขึ้นมาได้นะ วันหนึ่งมองพระพุทธรูปแล้วเหมือน…นึกได้ว่าเมื่อวานพี่เป็นอะไรมาก่อน คล้ายมติตื่นแล้วจำได้ว่าก่อนนอนทำอะไรบ้างน่ะ’

มติเอียงคอทำปากยื่น

‘แล้วทำไมผมมองพระพุทธรูปไม่เห็นนึกได้มั่งล่ะฮะ?’

แพตรีหัวเราะนิดหนึ่ง

‘พี่นึกได้เพราะแรงอธิษฐานน่ะ คนอื่นไม่เป็นอย่างพี่หรอก’

หล่อนใช้ศัพท์แปลกหูสำหรับเขาในวัยสิบขวบ คำสนทนาถัดจากนั้นเลือนๆไป มติพยายามซักถามซอกแซกมากมาย แต่ดูเหมือนถูกปิดกั้นให้ยุติการรับรู้แค่ว่าหล่อนเคยเป็นคนเหมือนชาตินี้เท่านั้น

นานต่อมาพักหนึ่งจนโตขึ้นหน่อย วันหนึ่งไปช่วยแพตรีขนของย้ายห้อง เมื่อจัดจนเกือบเสร็จเขาพบลังหนังสือเก่าของหล่อนก็ลงนั่งรื้อๆหาเรื่องน่าสนใจอ่าน ซึ่งก็พบอยู่หลายเล่มจึงยืมกลับบ้าน แพตรีกำลังเหนื่อยก็พยักหน้าตกลงโดยไม่ทันสังเกตว่าเขาหยิบเล่มไหนไปบ้าง

ใส่ถุงถือกลับมาจนถึงบ้านแล้วนั่นแหละ มติจึงพบว่าระหว่างหนังสือต่างๆเป็นสมุดไดอารี่เล่มหนาของพี่สาว…

จากเลขปีบนปกสมุดทำให้ทราบว่าเป็นเรื่องบันทึกที่ผ่านมาหลายปีแล้ว ความสนิทบวกกับความที่คิดว่าเป็นเรื่องเก่านานนมทำให้มติถือวิสาสะเปิดอ่านประสาวัยอยากรู้อยากเห็น

แพตรีเป็นเด็กผู้หญิงที่ช่างสังเกต ช่างคิด ช่างเขียน เรื่องราวในชีวิตประจำวันถูกบันทึกไว้อย่างกระชับคล้ายสรุปว่าได้รับอะไรจากแต่ละวันบ้าง หล่อนขยันเขียนราวกับเป็นหน้าที่หลัก อย่างมากก็ขาดหายไปสาม-สี่วัน ส่วนใหญ่จะต่อเนื่องไม่เว้นเลยนับอาทิตย์ มตินั่งอ่านด้วยความเพลิดเพลิน ในความเรียบง่ายแพตรีมีความคิดอ่านหลักแหลม ร้อยเรียงคำพูดได้ชวนอ่าน และมักทิ้งท้ายเป็นบรรทัดสรุปของแต่ละวันไว้น่าคิด ชวนฉงน

ความชวนอ่านในภาษาของหล่อนนั่นเองที่ทำให้มติอ่านเรื่อยทุกหน้า ทุกคำ จนกระทั่งพบว่าหลายหน้าในสมุดเล่มนั้น ทำให้คนอ่านใจเต้นแรงได้…

มติชอบไดอารี่เล่มนั้นมาก ถึงขนาดคิดครอบครองไว้เสียเอง เขาแกล้งถามแพตรีว่าตอนขนของย้ายห้อง มีอะไรสูญหายไปบ้างหรือเปล่า หล่อนนิ่งทบทวนเป็นนานกว่าจะบอกว่าเปล่า เห็นอย่างนั้นก็รู้ว่าแพตรีมิได้ระลึกถึงหรืออยากใช้สมุดบันทึกในอดีตอีกต่อไป มติรวบรัดว่าถ้าอย่างนั้นขอหนังสือทุกเล่มที่ยืมหล่อนมาไว้เลยได้ไหม เพราะเขาชอบมากและอยากอ่านทบทวนอีกในอนาคต แพตรีทำหน้าสงสัยนิดเดียวก่อนตอบตกลงอย่างง่ายดาย

นั่นทำให้เขาเป็นเจ้าของไดอารี่อย่างสมบูรณ์ และสามารถนำติดเป้มาด้วยในวันนี้…

เมื่อทานอาหารเช้าเรียบร้อย มติเข้ากระโจมรื้อเป้ ดึงสมุดส่วนตัวของแพตรีมาพลิกเปิดไปยังหน้าที่จำได้เจนใจ

ในที่สุดฉันก็ได้พบเขา ตอนเปิดประตูรับเขากับคุณพ่อ ฉันดีใจจนเกือบร้องไห้ เห็นแค่แวบแรกก็รู้ว่าใช่เขาแน่

 แต่เขามองฉันแล้วเฉย มองแล้วเมินเหมือนเห็นนกกา ฉันเสียใจและรู้สึกกลัว…ถ้าเขาเป็นแค่คนธรรมดาที่จำอะไรไม่ได้ ก็แปลว่าที่ถือฤกษ์เกิดตามแรงบุญร่วมกันคือสูญเปล่า ชาตินี้คงถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง ทั้งที่เกิดมาก็เพื่อเขาคนเดียว

 ตลอดเวลาที่นั่งบนเรือน เขาเอาแต่นั่งทำหน้าเบื่อ ฟังปู่คุยกับคุณพ่ออย่างเสียไม่ได้ ฉันรู้สึกกระวนกระวาย พยายามวนไปเวียนมา หาน้ำหาขนมให้ทุกคน และพยายามสบตากับเขา แต่เขาไม่มองฉันเลย เหมือนใจกำลังหมกมุ่นกับเรื่องในใจบางอย่างตลอดเวลา

 เขากลับไป…ไม่แม้แต่ชายตาดูกัน ฉันอยากเข้าไปคร่ำครวญตัดพ้อ อยากทวงถามหลายสิ่ง แต่จะเอาความกล้ามาจากไหน ทำไม…

ข้อความประจำวันขาดหายไปเพียงเท่านั้น เดาว่าแพตรีคงเขียนต่อไม่ไหว เพราะร้องไห้ออกมาเสียก่อน ความจริงหล่อนอาจร้องมาตั้งแต่ต้น เพียงแต่เมื่อถึงจุดที่ขาดหาย ก็คงมือไม้อ่อนจนยากจะเขียนอะไรต่อได้อีก

มติรู้สึกสงสารพี่สาวจับใจ หลายปีก่อนเคยอ่านหน้านี้ด้วยความฉงนฉงาย จับต้นชนปลายไม่ติด แต่ ณ เวลาปัจจุบันเริ่มเดาถูกแล้วว่าอะไรเป็นอะไร

ถัดจากบันทึกวันนั้น มีแต่ถ้อยคำอันแสดงถึงจิตใจที่เวียนว่ายวกวนอยู่กับชายที่ดูเหมือนหล่อนรอคอยมาตั้งแต่เกิด…หรือท่าทางจะตั้งแต่ก่อนเกิด จนเดี๋ยวนี้มติก็ยังมึนงงเหมือนกึ่งฝันกึ่งจริง แน่นอนหล่อนบันทึกไว้เป็นความลับสุดยอด มิได้มีเจตนาให้มือที่สองมาอ่านหรือคิดเชื่อตาม ซึ่งนั่นแหละทำให้เขาขนลุก หล่อนอยู่อีกโลกที่เขาไม่รู้จัก โลกของความรักข้ามภพข้ามชาติ โลกที่ทำให้ชีวิตจริงเห็นได้ด้วยตาเปล่าของคนทั่วไปถูกแยกเป็นอีกระนาบ

บางวันแพตรีพร่ำพรรณนาถึงเรื่องในอดีตที่จับความยาก เพราะหล่อนเขียนแบบอ่านรู้อยู่คนเดียว แต่บางวันก็ขยายความชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปู่ชนะเล่าที่มาของหล่อนให้รับรู้ แพตรีเขียนแบบระลึกความหลังคล้ายไม่อยากใส่ใจกับเรื่องราวในปัจจุบันอีกต่อไป

ปู่ทราบว่าแพตรีจำอดีตของตัวเองได้ตั้งแต่ย่างหกขวบ และหล่อนก็เหมือนเด็กระลึกชาติได้ทั่วไปที่มีความขัดแย้งในตนเอง แม้ผิวนอกเป็นเด็ก แต่เนื้อในมีความเป็นผู้ใหญ่เกินวัย เนื่องจากความหมายจำเก่าๆยังตกค้าง และไม่อาจกลืนกันสนิทกับอัตภาพใหม่ที่ยังคงอ่อนเยาว์เอามาก

เมื่อหล่อนถามถึงความเป็นมาของตนเองละเอียดกว่าความรู้ผิวๆเช่นพ่อแม่ ญาติพี่น้องที่แท้จริงเป็นใคร ปู่จึงเล่าตามจริงว่าย้อนไปก่อนหน้าหล่อนเกิดประมาณห้าปีเศษ ขณะปู่ทำสมาธิทรงตัวได้ที่อยู่ในห้องพระบนบ้าน ท่านเกิดนิมิตเห็นวิญญาณชั้นสูงปรากฏขึ้นอย่างแจ่มชัด ในนิมิตท่านไม่รู้สึกกลัว ตรงข้าม มีความคุ้นเคยสนิทสนมเหมือนได้พบญาติที่ห่างหายกันไปนานจนเลือนหน้าเลือนตา ปู่ดีใจอยู่ลึกๆที่พบกัน

วิญญาณนั้นมีนิวาสสถานอยู่บนพรหมภูมิ แนะนำตัวว่าเคยเป็นน้องชายของท่านมาก่อน และเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันหลายภพหลายสมัย เวลานั้นกำลังจะกำหนดจิตลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อบำเพ็ญบารมีต่อ โดยจะมีฐานะเป็นหลานปู่ ระบุชื่อที่จะถูกตั้งไว้เสร็จสรรพ เพื่อรอการพิสูจน์ว่านิมิตนั้นมิใช่อุปาทานลวงอันเกิดแต่สมาธิจิตปรุงแต่งหลอกท่านแต่อย่างใด

ธุระที่มาปรากฏในนิมิตไม่ใช่เพื่อบอกเก้าเล่าสิบว่าจะมาเกิด แต่มาเพราะเป็นกังวลเกี่ยวกับใครคนหนึ่งที่จะตามมาเกิดด้วยอำนาจแรงอธิษฐานร่วมกัน ใครคนนั้นจะเกิดเป็นหญิง และด้วยกรรมบางอย่างหล่อนจะกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่ยังไม่รู้ความ

วิญญาณนั้นกล่าวว่าหล่อนพอมีวาสนา เคยเกื้อกูลกับปู่มาก่อน เมื่อพบกันจะเกิดความ เมตตาเอ็นดู เต็มใจช่วยเหลืออุ้มชูทันที จะไม่ลังเลตะขิดตะขวงหรือลำบากใจอย่างใดเลย

สุดท้ายวิญญาณในนิมิตสมาธิระบุว่าแดนเกิดของหล่อนคือสองสามีภรรยาที่ปู่รู้จักอยู่แล้ว ขอเพียงไปเยี่ยมเยียนให้ตรงเวลาเท่านั้น

ปู่มีความแคลงใจเป็นอันมาก ท่านถูกสอนไม่ให้เชื่อนิมิตสมาธิประเภทจู่ๆก็เกิดขึ้นเอง จะชัดเจนแน่ใจขนาดไหน ถูกอุปถัมภ์ด้วยกำลังฌานสูงส่งเพียงไรก็ตาม ตราบใดที่ยังรู้ตัวว่ามีกิเลส ก็ต้องรู้ความจริงว่าจิตมันสร้างเรื่องหลอกตัวเองได้สารพัดพิสดาร ยิ่งสมาธิดีเพียงใด ก็ยิ่งก่อภาพลวงได้สนิทแนบเนียนเพียงนั้น ทางที่ปลอดภัยคือให้ทำใจเป็นกลางลูกเดียว รอการพิสูจน์เสียก่อน แล้วค่อยรับว่าจริงหรือเท็จ หากทึกทักปักใจว่าจริงเสียแต่ต้นมือ แล้วปรากฏในภายหลังว่าผิดพลาด กำลังใจจะฝ่อ เกิดผลเสียกับการปฏิบัติภาวนาเปล่าๆ

วันคืนผ่านเรื่อยไปตามจังหวะและลีลาเดิม ปู่รอฟังข่าวการตั้งท้องของลูกสาว ลูกสะใภ้ทุกคน และตั้งใจกับตนเองเป็นมั่นเหมาะว่าจะไม่ถามนำ ไม่ก้าวก่ายกับชื่อเสียงเรียงนามของเด็กที่จะเกิด ปล่อยให้ผู้เป็นพ่อแม่ตั้งกันเอาเองตามชอบ เพื่อพิสูจน์เทียบว่าวิญญาณในนิมิตบอกไว้ตรงจริงเพียงใด

แล้ววันหนึ่ง ปู่ก็ได้รู้ว่าเขามาเกิดจริง...

เมื่อตระหนักว่านิมิตสมาธิครั้งนั้นมิใช่ของหลอก สิ่งที่เกิดขึ้นในใจก็คือความสุขอย่างประหลาดกับการรอคอยหลานสาวคนใหม่

ปู่ชนะเดินทางไปเยี่ยมคนรู้จักทางเหนือตามกำหนดเวลาซึ่งจดไว้เป็นมั่นเหมาะ เพื่อพบว่าคนรู้จักที่ว่านั้นตายเสียแล้วก่อนหน้าปู่ไปถึง ทั้งคู่สามีภรรยาออกจากบ้านขึ้นรถโดยสารที่วิ่งไปเทกระจาดกลางถนน คนตายกันเกือบหมดคันรถ

แม่หนูน้อยผู้มีอายุเกือบครบขวบจึงกลายเป็นเด็กกำพร้า รออยู่ว่าญาติฝ่ายสามีหรือภรรยาที่จะยื่นมือมารับ ยังดีหน่อยระหว่างนั้นคนใช้เก่าแก่ผู้ซื่อสัตย์คอยประคบประหงมเลี้ยงดูไปพลางๆ

การเจรจาขอรับเด็กมาเลี้ยงเองเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าง่าย แค่พูดสองสามคำ พยักพเยิด ขอความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรกับบางคนที่ถูกอุปโลกน์เป็นผู้ปกครองเท่านั้นก็เรียบร้อย ปู่ได้หลานสาวคนใหม่กลับบ้านด้วยหัวใจที่ชื่นบาน มาถึงก็เปลี่ยนชื่อและสกุลหล่อน กับให้ลูกชายคนโตจดทะเบียนรับเป็นลูกบุญธรรม จากนั้นก็นำมาเลี้ยงดูเองเหมือนหลานแท้ๆคนหนึ่ง

ในไดอารี่ช่วงนี้แพตรีบรรยายความรู้สึกของตนเองว่าสำนึกบุญคุณของปู่เพียงใด หล่อนพยายามอยู่อย่างเจียมตัวเจียมตน ทำงานทุกอย่างในบ้านเหมือนเด็กรับใช้คนหนึ่ง และแม้ปู่หยิบยื่นข้าวของมีราคาให้ก็ปฏิเสธทั้งหมด ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่มติเป็นพยานเห็นจริงมาตลอด

พร้อมกันแพตรีก็กล่าวถึงบุญคุณของวิญญาณในสมาธิจิตของปู่เป็นทำนองที่ว่าถ้าปราศจาก ‘เขา’ ป่านนี้หล่อนคงถูกจับหักแขนหักขามาแต่เด็กเพื่อเอาไปนั่งขอทานตามสะพานลอย มติอ่านด้วยความขันและคิดว่าแพตรีคงประชดประเทียดแบบกึ่งรักกึ่งแค้นมากกว่าด้วยความสำนึกลึกซึ้งล้วนๆ

ถึงอีกหน้าหนึ่งของไดอารี่ซึ่งห่างกันหลายเดือนจากวันแรกที่ ‘หลานปู่’ ปรากฏโฉมให้เห็น เขาคนนั้นกลับมาเยี่ยมปู่พร้อมพ่อเป็นรอบสอง

ในบันทึกหน้านั้น แพตรีเริ่มต้นด้วยความเศร้าสร้อยเช่นเคย ชนิดที่มติทราบตั้งแต่บรรทัดแรกว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

เขากลับมาอีกแล้ว ตอนเห็นหน้ากัน ฉันนึกขึ้นได้ว่าสภาพของตัวเองคือเด็กรับใช้มอมแมมที่เพิ่งออกมาจากห้องครัว เห็นเขาพยายามหลีกห่างๆฉันเวลาเดินผ่านประตูเข้ามาแล้ว นึกน้อยใจจนอยากฆ่าตัวตายเสียเดี๋ยวนั้น

ฉันเพิ่งรู้ว่าเหงาจนร้องไห้อยู่ข้างในนั้นเป็นอย่างไร เขาไม่เหลียวแลฉันเลย การพยายามพูดจาทักทาย ส่งยิ้มให้ คงทำให้เขารำคาญมากกว่าจะคิดหันมาสบตากันบ้าง วิธีที่เขามองแล้วเมินผ่านมันบอกให้รู้ได้ ไม่ต้องแปลเลย

ฉันพยายามทุกอย่างที่จะเห็นหน้าเขาให้นานที่สุด เมื่อขึ้นเรือน ฉันไม่ไปไหน นั่งบีบนวดปู่อยู่ตรงนั้นทั้งที่รู้ว่าไม่เหมาะเท่าไหร่

แต่จะเอาประโยชน์อะไรได้ เขาหันมาบ้างเหมือนกัน แต่มองอากาศว่างเปล่าข้างหลังฉันมากกว่า ฉันสังเกตสายตาของเขาอยู่ทุกขณะ จึงรู้ว่าเขาไม่เคยมองมาที่ฉันเลยแม้แต่ครั้งเดียว ฉันคงเป็นแค่เด็กแก่แดดที่หน้าด้านรอสบตากับเขาอยู่ฝ่ายเดียวกระมัง

ฉันได้ยินคุณพ่อของเขาคุยให้ปู่ฟังถึงความเก่งกล้าสามารถ สอบเข้ามหาวิทยาลัยคณะดีๆได้ตั้งแต่อายุสิบหก กำลังจะจบตรีอีกไม่นาน วางแผนจะส่งไปเรียนต่อโทและทำงานที่เมืองนอกระยะหนึ่ง ฉันใจหาย ความรู้สึกบอกว่าอาจไม่ได้เห็นเขาอีกแล้ว

เมื่อออกมาส่งเขากับคุณพ่อกลับ ฉันตั้งใจไหว้เขาสวยที่สุด เขาจะเห็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่พร้อมกับไหว้ครั้งนั้น คือการคิดตัดใจ ทุกอย่างที่ผ่านมาขอให้เหมือนฝันไป นับแต่ชาตินี้ขอให้ต่างคนต่างแยกกันไปตามทางของตัวเอง เคยอธิษฐานร่วมกันแต่มีคนเดียวได้รับผลอธิษฐาน จะหมายความว่าอย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนเดียวที่ทำไปด้วยใจจริง

ฉันแอบมานั่งคนเดียวที่หลังบ้าน คิดตั้งใจเลิกร้องไห้ เพราะตัดใจขาดกันไปแล้ว แต่ระหว่างข่มสะอื้น ปู่ก็เดินเข้ามาลูบหัว ฉันรู้สึกเหมือนมีน้ำเย็นที่สุดรดลงมาจากสวรรค์ ปู่บอกสั้นๆว่ายังไม่ถึงเวลานะ…

ฉันรู้ว่าปู่หมายถึงอะไร แต่ไม่ใส่ใจอีกแล้ว เหมือนฉันข้ามสะพานภพชาติมาคนเดียว ทุกคนสูญหายอยู่ข้างหลังไปหมด ฉันรู้สึกเหมือนนักท่องเที่ยวที่หลงทาง และรู้สึกกลัวการเกิดตายตามลำพัง ไม่มีใครประคองคู่กันไปได้ตลอด ถึงจะเคยอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง รักใคร่แน่นแฟ้นขนาดไหนก็ตาม ถ้ายังคิดเสี่ยงเดินทางต่อไปกับเขา ชีวิตหน้าฉันจะต้องเจออะไรยิ่งกว่านี้อีก?

พอกันที ภพชาติคือการหลงลืมและการสิ้นสูญ คนที่จำได้คือผู้ทรมานกับความยึดติด คนที่ลืมหมดก็น่าสงสารกับความลังเลสงสัยสารพัด

ฉันจะเลิกคิดถึงเขาให้เด็ดขาด ไม่ใช่อย่างหญิงที่ผิดหวังและเลิกรักชายคนหนึ่ง แต่อย่างเวไนยสัตว์ที่หมดอาลัย เลิกหลงเดินคู่กับคนแปลกหน้าไปบนทางของความไม่รู้อย่างไร้จุดหมายปลายทาง…

บันทึกในไดอารี่ถัดจากนั้นจนสิ้นปีบอกให้ทราบว่าใจแพตรีเด็ดเดี่ยวเพียงไร หล่อนไม่เอ่ยถึงหลานปู่อีกเลยแม้แต่คำเดียว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าหล่อนตัดใจ…หรืออย่างน้อยพยายามตัดใจจากเขาคนนั้นได้เด็ดขาดจริงๆ

ระบายลมหายใจยาว ทบทวนความเป็นแพตรีจากประสบการณ์ของตนเอง วัยเด็กหล่อนดูขรึม ท่าทางเหมือนติดวัด ตามปู่ชนะต้อยๆไปทุกงานบุญ แต่มติรู้สึกว่าเป็นความขรึมชนิดอมทุกข์ คล้ายใจหล่อนอยู่อีกที่หนึ่งห่างออกไปเกือบตลอดเวลา แม้พูดได้คล้ายผู้ใหญ่ อ้างธรรมะ อ้างคำสอนหลวงตาแขวนเพื่อแก้ความขัดข้องสารพันให้คนอื่นและตนเอง ก็ยังเหมือนติดอยู่กับพันธนาการบางอย่างที่ลึกลับ ซ่อนเร้น ไม่ปริปากบอกใคร

ต่อเมื่อเจริญวัยขึ้นมา และมติประมาณเอาว่าคงหลังวันเวลาตามบันทึกในไดอารี่เล่มนี้เอง ที่หล่อนกลับกลายเป็นอีกคน สดใสและเฉิดฉายอาภา ความขรึมเศร้าถูกแปรเป็นความอ่อนโยนทรงชีวิตชีวา เต็มไปด้วยความสุขที่สามารถกระจายแบ่งให้คนรอบตัวได้ราวกับฝนทิพย์

ความเป็นแพตรีในช่วงหลังคือแรงบันดาลใจหลายๆอย่างสำหรับเขา ความสนใจศิลปะที่มีอยู่แล้วเป็นทุนถูกเร่งเร้าทวีตัวขึ้นจริงจัง เมื่อขอร้องหล่อนช่วยนั่งเป็นแบบวาดให้เป็นครั้งแรกนั้น จำได้ว่าทุ่มเทความตั้งใจมากที่สุด ความงามของหล่อนเป็นสิ่งวาดยาก ใช่แต่รู้จักบรรจงจัดสัดส่วน ปั้นแต่งรูปทรงให้เกิดมิติแล้วจะเหมือนได้โดยง่าย ทว่ายังต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการผสมสีเพื่อให้เกิดความเรืองรองบางชนิดที่แปลกตาแต่เห็นได้จริงจากหล่อน

ความพยายามถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในแพตรีออกมาเป็นภาพให้ได้นั้นเอง เหนี่ยวนำมติเข้าสู่วิถีทางของหล่อนไปด้วย เขาฝึกที่จะดำรงตนท่ามกลางความวุ่นวายด้วยใจสูงอันเป็นธาตุเดิมของมนุษย์ ฝึกตั้งสมาธิจดจ่อกับงาน จดจ่อกับลมเข้าออก จนยกจิตขึ้นเหนือระดับความคิดสามัญได้ กับทั้งฝึกที่จะมองสรรพสิ่งด้วยดวงตาเพ่งมองให้เห็นธรรมเยี่ยงโยคาวจรผู้แสวงทางหลุดพ้น

สมาธิและแรงบันดาลใจอย่างเอกอุในการมองให้เห็นความงาม ส่งฝีมือเชิงศิลป์อันบ่มเพาะมาแต่เล็กกระโจนตัวขึ้นถึงสุดโต่ง เมื่อตา มือ และใจผนึกรวมผสมตัวทำงานประสานกันเป็นหนึ่งเดียว ถึงขั้นใช้มือลากดินสอได้ดังใจ หยั่งรู้ที่จะเลือกผสมและลงสีได้ตรงจริงยิ่งกว่ารูปถ่าย มติตระหนักว่าหากสามารถสร้างเส้นและสีได้เหมือนกับที่เห็น ก็จะสามารถจำลองโลกมาไว้บนแผ่นภาพได้ทั้งหมด

หากไม่ใกล้ชิดกับแพตรี แม้อยู่ใกล้วัด ใกล้พระ มติก็คิดว่าตนคงเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง รู้อรรถรู้ธรรมแค่พอสวดมนต์และใส่บาตรเป็นเท่านั้น

แพตรีจึงเป็นศูนย์รวมความคิดอ่านเกือบทั้งหมด แม้ในยามที่ปลีกตัวออกมาด้วยความตั้งใจห่างหล่อนเช่นนี้

เดาว่าหล่อนเลิกเขียนไดอารี่ เลิกบันทึกชีวิตประจำวันไปแล้ว แต่ก็นึกอยากรู้ว่าถ้ายังเขียน…ข้อความพักหลังจะเป็นอย่างไร

เหน็ดหน่ายเนือยนายขึ้นมาจุกอก จู่ๆก็ถามตนเองขึ้นมาว่าวันหนึ่งหากแพตรีหายไปเพื่อสร้างบ้านสร้างเรือนกับใครสักคน เขาจะมีวันคืนที่แปลกเปลี่ยนไปขนาดไหน…

แวบนึกถึงหลวงตาแขวนขึ้นมา พักหลังๆมติมักได้ยินท่านเปรยท่ามกลางญาติโยมพลางปรายตามายังเขาเสมอ เป็นทำนองว่า

"พระพุทธเจ้าสนับสนุนและสรรเสริญผู้บวชตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น เพราะวัยนี้มีกำลังวังชาเยอะ สติปัญญายังแจ่มใส ปฏิบัติธรรมก็อึดทน ถ้าปลุกความคะนองในธรรมให้เกิดขึ้นมาได้ล่ะก็ไปไม่หยุดฉุดไม่อยู่ มีเวลาเรียนรู้ ซึมซับ แก้ผิดให้เป็นถูก และทำถูกทำดีให้แก่กล้าถมเถ ต่างกับตอนอายุมากขึ้น เริ่มงุ่มง่าม สติปัญญาพร่าเลือน กำลังวังชาถดถอย จะร่ำเรียนหรือปฏิบัติอะไรก็ให้ติดขัดสภาพสังขาร ถ้าผิดก็ไม่ค่อยมีเวลาแก้ ถ้าถูกก็ไม่ค่อยมีเวลาบ่มให้เข้มข้น คาดหวังเอาดีอะไรไหวล่ะถ้าจะบวชกันตอนแก่..."

แล้วท่านก็ยกตัวอย่างตัวท่านเอง โชคดีมีสติบวชเสียตั้งแต่ยังอยู่ในวัยปราดเปรียว เห็นชัดถึงความได้เปรียบระหว่างวัย วัยหนุ่มเป็นวัยที่ทำอะไรได้มาก อยากเรียนอะไรก็เรียนได้ อยากปฏิบัติแบบเข้มข้นก็ไม่เหลือวิสัย ความเด็ดเดี่ยว ความแข็งขันมันจุได้เต็มอัตรา ทุกวันนี้ได้ดีอยู่ตัวก็ผลบุญเก่าจากสมัยเมื่อยังหนุ่มทั้งนั้น  ลำพังอัตภาพยามชราจะให้ขวนขวายอะไรเพิ่มน่ะล้าเสียแล้ว

ท่านให้ดูแขนขาที่ลีบและเนื้อหนังที่เหี่ยวแห้งแฟบฟุบของท่าน แล้วให้นึกจินตนาการเอาว่าถ้าใครมีร่างกายแฟบๆแบบนี้ ขยับทีเมื่อยขบอ่อนแรงไปหมด ถามหน่อยว่าใจมันจะคึกอยากปฏิบัติให้เหนียวๆไหม แล้วถ้าไม่ปฏิบัติแบบเหนียวๆ จะให้เอาดี ได้สมาธิ-วิปัสสนาญาณ โสฬสญาณอะไรไหว?

มติเกิดความเห็นจริงตามท่านว่า ถ้าจะไปให้ถึงที่สุดต้องเริ่มตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น ไม่ใช่ไปเริ่มตอนแก่

แล้วเด็กหนุ่มก็นั่งมองห้วงฟ้าว่าง โลกเงียบและกว้างใหญ่ มีเขานั่งอยู่ในโลกนี้อย่างเดียวดาย เลื่อนลอยปราศจากจุดหมาย ปราศจากความหวัง และนึกสงสัยว่าถ้านุ่งเหลืองห่มเหลืองเพื่อแปรอิสรภาพไร้ขอบเขตเป็นหน้าที่อย่างถาวร


จะไหวไหม?


ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น