บทที่ ๑๐ ผู้วิเศษ
มหานครยามราตรีดูสวยแพรวจากมุมมองบนตึกสูง
เกาทัณฑ์ยืนระบายยิ้มรับลมเย็น
มองแสงสีที่ตัดกับเงามืดยามค่ำคืนด้วยความรู้สึกอิ่มเอมแตกต่างไปจากที่เคย
ทบทวนช่วงเวลาสั้นๆที่ผ่านมา
นับเริ่มจากฝันหลงทาง บันดาลใจให้อยากขับรถไปไกลตามลำพัง กระทั่งผ่านบ้านปู่ชนะ
คิดเข้าเยี่ยมและพบกับแพตรี
สืบสานไปถึงโอกาสอันประเสริฐได้ไปกราบไหว้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงตาแขวน
บุคคลและเหตุการณ์ต่างๆผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็วทว่าร้อยรัดสนิทลึกราวกับรู้จักกันแล้วแสนนาน
ถึงวันนี้เขาเลิกฝันว่าหลงทางอย่างสิ้นเชิง
จะเพราะบังเอิญแก้ต้นเหตุแห่งฝันทรมานไปอย่างไรก็ขี้เกียจสืบค้น
รู้แต่ว่าชีวิตจริงๆที่กำลังดำเนินอยู่มันต่างไปจากเดิมมาก
จะชั่วคราวหรือถาวรก็ตามทีเถอะ
ความติดพันที่เกิดขึ้นกับแพตรีไม่ธรรมดาเลย
หล่อนมีความหมายอย่างน่าฉงน จนเดี๋ยวนี้ก็แยกแยะและอธิบายให้ตัวเองเข้าใจไม่ได้
เห็นแต่ว่าชีวิตมันมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง มีอะไรที่ซ่อนอยู่ในความจำความลืม
รูปร่างหน้าตาของหล่อนเป็นแรงสะเทือนบางชนิดที่สะกิดให้เกิดความคุ้นแปลก
เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้อยู่รอมร่อ แต่เค้นนึกจริงๆก็ติดอยู่แค่ความคุ้นเท่านั้น
เคยคิดเล่นๆเกี่ยวกับความเป็นเนื้อคู่
การเคยทำบุญร่วมกันมา หรือเป็นสามีภรรยาในอดีตชาติ
โดยทั่วไปถ้าเชื่อเรื่องพวกนี้ก็จะทึกทักเพียงว่าคู่แล้วไม่แคล้วกัน
เคยเป็นคู่ผัวตัวเมียมาก่อน ร่วมชาติกันมาก่อน
ก็ต้องเป็นกันต่อไปในชาตินี้และชาติหน้า
แต่ถ้าลองมองโลกด้วยตาเปล่า
ดูจากที่เห็นปรากฏอยู่จริงกับแก้วตาในชาติปัจจุบัน เขาเห็นแต่หญิงชายมากรัก
มากคู่ทั้งนั้น ความหมายของการร่วมชาติ ร่วมชีวิตมันอยู่ที่ตรงไหน? เกี่ยวก้อยกันวันหนึ่ง นอนด้วยกันคืนหนึ่ง
แต่งงานกันเป็นเรื่องเป็นราวสักปีหนึ่ง หรือต้องมีลูกให้ร่วมเลี้ยงดูกันอย่างน้อยสักคนหนึ่ง? เขารู้จักผู้ชายที่แต่งงานมีลูกมาสามหน
หมายความว่าผู้ชายคนนั้นมีคู่ชีวิตที่ต้องตามกันไปเรื่อยๆสามคนอย่างนั้นหรือ?
หญิงชายต้องทำบุญร่วมกันสักแค่ไหนจึงเจอแล้วไม่แคล้วกัน
เห็นปุ๊บจำได้ปั๊บว่านี่เองคู่เรา และมีโอกาสอยู่เรียงเคียงครองจนกระทั่งเห็นลมหายใจสุดท้ายของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
บุญแต่ละชนิดมีความแรงมากน้อยต่างกันเพียงใด
เขาเคยทำสังฆทานกับแพตรีหนหนึ่งด้วยความปีติยินดียิ่ง
แถมยังอธิษฐานกำกับว่าขอให้ได้ทำอะไรอย่างนี้กันอีกตลอดไป
แค่นั้นพอหรือเปล่าสำหรับการไปร่วมบุญกันอีกในปรภพ?
หากภพชาติมีจริง
ตายแล้วไปเกิดเป็นนั่นเป็นนี่อีกเรื่อยๆ ถ้าได้ดีเป็นเทวดาก็เดาง่ายอยู่หรอก
คงครองกันอีกด้วยความสุขสมท่ามกลางสมบัติทิพย์อันวิลาส
แต่หากจับพลัดจับผลูหล่นผลุลงไปเป็นหมูเห็ดเป็ดไก่ หรือกระทั่งสัตว์นรก
อย่างนี้จะต้องจับคู่อยู่ร้อนกินร้อนอีกหรือเปล่า?
ถ้านับตามบันทึกของพุทธ
ก็ต้องว่าคนเราแม้อยู่เคียงครองเรือน คนหนึ่งตายแล้วอาจไปสวรรค์
คนหนึ่งตายแล้วอาจไปนรก ใช่จะพุ่งขึ้นหรือไหลลงตามกันเพียงเพราะอยู่เรียงเคียงหมอน
มันขึ้นอยู่กับว่าก่อนตายแต่ละฝ่ายเดินอยู่บนทางสวรรค์หรือทางนรกเท่านั้น
ตรงข้าม คู่ผัวตัวเมียที่มีบารมีอันได้แก่ทาน
ศีล สมาธิ และปัญญาเสมอกัน หรือคล้อยตามกัน ย่อมมีโอกาสได้พบเจอบ่อยกว่าคู่อื่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจิตเป็นกุศลแล้วอธิษฐานสำทับร่วมกันเสมอๆ
ก็จะให้ผลแรงเป็นทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ หนักแน่นมั่นคงและเป็น ‘ตัวจริง’
ของกันและกันอย่างยากจะหาใครมาแทนที่
แต่เห็นคู่ไหนในโลกความเป็นจริงล่ะ
ที่กลมเกลียวสนิทแนบ ไม่เขินอายกับการกล่าวอธิษฐานด้วยดวงใจอันแน่วแน่
ขอพบกันทุกชาติไป แค่ให้เชื่อว่าภพชาติมีจริงยังยากแล้ว
แถมยังมาติดความน่าเบื่อเมื่อครองเรือนร่วมกันเข้าอีก ใครจะไปอยากเจอ ‘ไอ้แก่’ หรือ
‘อีแก่’ ข้างตัวบ่อยๆ
เรื่องการผูกมัดจองตัวกันข้ามภพข้ามชาติด้วยแรงอธิษฐานจึงเป็นไปได้น้อยเท่าน้อย
และสมมุติว่าตามไปเจอกันข้ามชาติจริง
พบใครสักคนที่รู้สึกว่า ‘ใช่’ จะเอาอะไรมายืนยันประกันถูกผิด
เส้นทางโรยด้วยกลีบกุหลาบสู่ประตูวิวาห์อย่างนั้นหรือ? ได้ยินว่าบางคู่เคยครองรักหวานชื่น
แต่เพราะทำบาปร่วมกันบ่อยๆ พอเจออีกชาติเลยประสบแต่เรื่องร้าย บาดหมางกันเอง
อย่างที่เขาเรียกว่า ‘ดวงไม่สมพงศ์’
ความเข้ากันได้ระหว่างสองบุคคลเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
เป็นที่ยอมรับว่าลักษณะนิสัยใจคอของคนเราจะก่อลักษณะกระแสจิตประเภทหนึ่งๆขึ้นมา
ซึ่งเมื่อใกล้กันก็รู้สึกได้ว่าพอจะ 'รับ' กันได้ไหม ถัดจากนั้นยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆอีก
ทั้งความคิด คำพูด และปฏิกิริยาที่กระทำต่อกัน
เป็นตัวตัดสินว่าเข้ากันได้สนิทจริงหรือไม่ ตรงนี้น่าคิดว่าถ้าเคยร่วมบุญกันมา
ทว่าเข้ากันยากด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวของแต่ละฝ่าย
แม้มีเวลากระดี๊กระด๊าด้วยกันในช่วงแรกอยู่บ้าง
ต่อไปก็น่าจะฝ่อลงจนแหนงหน่ายในที่สุด
เคยทำบุญร่วมกันมาก็เรื่องหนึ่ง
ลักษณะกระแสจิตคล้ายกันก็เรื่องหนึ่ง เจอกันแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างก็เรื่องหนึ่ง
มีโอกาสใช้เวลาในชีวิตด้วยกันนานช้าแค่ไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง
สรุปแล้วหากว่าตามหลักอนิจจัง
หญิงชายในสังสารวัฏต่างท่องเที่ยวไปไกลตามลำพัง
ผลัดเปลี่ยนเวียนจับคู่ด้วยความผูกพันมากน้อย แล้วถอยฉากจากกันไปเรื่อยๆ
หาคู่แท้ถาวรมิได้?
เกาทัณฑ์ส่ายหน้านิดหนึ่ง
ถ้าเชื่ออะไรสักอย่างที่จับต้องได้ สามารถศึกษาและพิสูจน์ให้เป็นที่ยอมรับได้ในยุคที่มนุษย์คิดกันอย่างเป็นวิทยาศาสตร์นี้
ความเชื่อนั้นก็เป็นเรื่องชัดเจน มีกรอบ มีพื้นยืนบนความจริง ไม่ต้องสับสนคลางแคลง
แต่ถ้าเกิดเริ่มเชื่อ
หรือเริ่มสงสัยอะไรที่ใช้ตาหูมาดูฟังไม่ได้ ก็จะเกิดคำถามวุ่นวาย
หาข้อยุติไม่เจอตามไปด้วยดังที่เขากำลังเป็นอยู่
มองย้อนไปในวันก่อนๆ
เขาออกท่าต่อต้านเรื่องภพชาติเต็มที่
ด้วยเหตุผลหลักคือปักใจเชื่อตามนักวิจัยหลายต่อหลายกลุ่ม
ว่าการทำงานของสมองนั่นเองคือความรู้สึก นึกคิด และจิตใจต่างๆ
หรืออีกนัยหนึ่งคือรูปธรรมเป็นเหตุเกิดของนามธรรม
แต่มาวันนี้ หลังจากมีปัจจัยให้ 'เริ่มเชื่อ' พุทธศาสนามากเข้า ความคิดเขาเริ่มแปรไปอีกอย่างด้วยใจที่เปิดกว้างขึ้น
คือเห็นว่าแม้นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยทั้งหลายจะฉลาดปานใด
ก็ติดอยู่แค่ความคิดและมุมมองของวิธี 'พิสูจน์ความจริง' เท่านั้น ตัวอย่างเช่นจี้ลงไปบนจุดใดจุดหนึ่งบนสมอง หรือเห็นสมองส่วนหนึ่งชำรุดแล้วมีผลกับความทรงจำและอารมณ์ชุดหนึ่งๆ
ก็ด่วน 'ตีความ' ว่าสมองนั้นเองคือที่มาทั้งหมดของความรู้สึกนึกคิดและจิตวิญญาณ
ธรรมชาตินั้นแปลกอยู่อย่างหนึ่ง
คือถ้ามนุษย์พอใจจะเลือกมองอย่างไร หรือตั้งข้อสันนิษฐานเพื่อนำไปสู่การสรุปความ
หรือตีความตามความชอบใจของตัวแบบไหน ก็เหมือนจะมี 'ความจริง' แบบนั้นๆมารองรับ
หรือช่วยยืนยันเป็นการเอาใจอยู่เสมอ
อย่างเช่นสัจจะทางวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงว่าขัดแย้งกันอย่างน่าเหลวไหล
ก็ได้แก่เรื่องของแสงอันเป็นสิ่งถูกรู้โดยตามนุษย์ทั่วไปนี่เอง หาก 'คิดมาก' สักหน่อย
ตั้งคำถามขึ้นมาว่าแสงเป็น 'คลื่น' ต่อเนื่องเหมือนระลอกน้ำ หรือว่าเป็น 'อนุภาค' ละเอียดยิบยับที่เป็นต่างหากจากกันเหมือนก้อนหิน
ก็จะพบคำตอบที่ชัดเจนจากการทดลองระดับนักเรียนมัธยมต้นทั่วโลก
ว่าเป็นได้ทั้งสองอย่างพร้อมกัน! ขึ้นอยู่กับจะจัดตั้งมุมมองแสงด้วยวิธีไหน
ขนาดเรื่องของแสงอันเป็นรูปธรรมขั้นพื้นฐานยังปรากฏเป็นสิ่งชวนฉงนขนาดนั้น
แล้วเรื่องของจิตอันเป็นนามธรรมขั้นละเอียดสูงสุด จะมีแง่มุมให้มอง และชวนคิด
ชวนตีความเข้าข้างตนเองกันด้วยทิฏฐิไปต่างๆนานาขนาดไหน?
ความจริงเกี่ยวกับจิตมีกี่แง่นั้นยกไว้
ตอนนี้เขาเห็นจริงอยู่อย่างหนึ่งว่าคุณภาพของจิตเป็นอะไรที่พัฒนาได้แน่
กับทั้งแปลกสภาพ แปลกรสไปกว่าภาวะที่รู้สึกนึกคิดตามปกติยิ่ง
เข้าที่ทำสมาธิด้วยกำลังกายและกำลังใจพรักพร้อม
การทำอย่างมีเป้าหมายก็ดีตรงนี้ คือตื่นตัวพร้อมปฏิบัติอยู่เสมอ
เกาทัณฑ์หมายมั่นว่าหากทำได้ผลและหลวงตาแขวนเปิดตาในให้เขาเห็นอดีตอันฝังลืม
นอกจากจะรับรู้ด้วยตนเองว่าจริงเท็จเกี่ยวกับชาติก่อนเป็นอย่างไรแล้ว
เขาจะต้องสืบทราบให้ได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนกับแพตรีนั้น มีความเป็นมาอย่างไร
ปิดตาเหลือบต่ำแล้วสนิทนิ่งกับที่
อัดลมหายใจ เริ่มกำหนดสติเมื่อหายใจออก จิตเหมือนพร้อมรวมนิ่งอยู่ล่วงหน้า
ปลดพันธะระหว่างจิตกับระบบประสาทตาลงได้แทบทันที
เพียงแค่ไม่กี่ระลอกลมหายใจที่กำหนดรู้อาการหายใจออกและหายใจเข้า
ก็เกิดความเห็นราวกับส่วนหัวเปิดโล่งไปครึ่งหนึ่ง
คล้ายตำแหน่งบนสุดของศีรษะย้ายมาอยู่ที่จุดลมหายใจลากผ่าน
หัวหูดูว่างโล่งเหมือนถ้าเอามือวาดผ่านก็จะไม่กระทบกับอะไรเลย
ระบบประสาททั่วร่างผ่อนพักลงทั้งหมด
สบายกายสบายใจดีเหลือเกิน
ทว่าเมื่อกระแสจิตเกือบๆจะรวมศูนย์เป็นอันเดียว
ล็อกตัวเป็นขณิกสมาธิครอบกายหนักแน่นสมบูรณ์
เกาทัณฑ์ก็รู้สึกถึงแรงสะเทือนไหวบางอย่างรบกวน
เริ่มจากจังหวะการเต้นของหัวใจที่ค่อนข้างผิดปกติ วันนี้เขาอยู่ใกล้แพตรีแค่เอื้อม
และกระแสความใกล้นั้นก็เหมือนเวียนวนตวัดรัดให้หัวใจเต้นผิดจังหวะอยู่ตลอดเวลา
ต่อเนื่องมาจนกระทั่งยามนี้ แม้ความจริงจะห่างกายออกมามากแล้ว
และกำลังอยู่ในระหว่างการตั้งหลักเข้าที่ทำสมาธิก็ตาม
พยายามเพิกเฉยกับชนวนแห่งความคิดฟุ้งซ่านซัดส่ายนั้น
กำหนดเห็นความออกและเข้าของสายลมหายใจใหม่ ซึ่งก็เป็นไปได้ด้วยฐานจิตมีกำลังมากพอ
ทว่าผ่านลมหายใจที่สาม ก็เกิดความสะเทือนไหวขึ้นอีก
เห็นชัดถึงความกระสับกระส่ายในช่องอกที่ต่อยอดเป็นมโนภาพสวยหวานของแพตรี
วันนี้เขาเข้าใกล้หล่อนมากเกินไป
ความรัก ความติดหลง
ความใกล้ชิดกับมาตุคามเป็นศัตรูต่อองค์สมาธิอย่างไรเพิ่งได้ประจักษ์ซึ้ง มันคุกรุ่นเหมือนรมควันอัดอกอัดใจ
ยากจะสะกดระงับให้สงบเยี่ยงนี้เอง
หลวงตาแขวนให้เขาสัญญาว่าจะงดเสพกาม
ก็นึกถึงแต่การเสพแบบถึงเนื้อถึงหนัง
บัดนี้จึงทราบว่าถ้ามองในมุมของโยคาวจรผู้อยู่ในระหว่างปฏิบัติภาวนา
ระดับของการเสพมันมีแยกย่อยมากมาย ผัสสะอะไรก็แล้วแต่ที่ก่อกวนให้ใจป่วนปั่นระส่ำระสายในลักษณะนี้ได้
ควรนับรวมเข้าเป็นการส้องเสพอารมณ์ที่เป็นอันตรายต่อสมาธิทั้งหมด
เกิดความเข้าใจว่าด้วยเหตุนี้เอง
กติกาการปฏิบัติเพื่อตัดขาดจากโลก จึงต้องเว้นขาดจากเรื่องเพศ
ระงับอารมณ์จากกามฉันทะหรือความพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสให้สนิท
ขนาดเขามีฐานสมาธิดีพร้อม ยังไม่อาจผนึกรวมเป็นดวงเดียวดังเคย
เพียงเพราะปล่อยให้เกิดความเวียนวนครุ่นคิดถึงหญิงอันเป็นที่รักเกินไป
ถอนใจเฮือกหนึ่ง
ลืมตาขึ้นด้วยความรำคาญตัวเอง หันมองทางอื่นเป็นครู่ เห็นอุปสรรคสมาธิชัดแจ้ง
จึงคิดทบทวนดูว่ามีลู่ทางใดสามารถขจัดอุปสรรคนั้นได้บ้าง
ที่ใจโคลงเคลงเหมือนเรือถูกคลื่นลมโยกไปมานี้
พินิจแล้วเป็นเพราะเริ่มรู้สึกสนิท และเห็นทางเป็นไปได้ที่จะเข้าหาแพตรี
หล่อนอยู่ไหนเขารู้ดี และเดินทางไปถึงได้ภายในเวลาอันสั้นด้วยพาหนะคู่ใจ
แถมไม่จำเป็นต้องลำบากนัดแนะให้เสียเวลาในเมื่อความเป็นหลานปู่ชนะนั้นเพียงพอกับการเข้านอกออกในอย่างสะดวก
ถึงหล่อนไปธุระข้างนอกเขาก็นั่งคุยกับปู่รอสบายๆ ใครจะว่าอะไร
พยักหน้ากับตนเอง
ถ้านี่เป็นต้นเหตุแห่งความจับจิตตั้งยาก
เขาก็จะตั้งสัตย์กับตนเองว่าพ้นช่วงเก็บตัวฝึกสมาธิแล้วเท่านั้น
จึงจะคิดเหยียบย่างเข้าบ้านปู่ชนะ ก็แค่อาทิตย์เดียวเอง
คงไม่ถึงกับทำลายสัมพันธภาพที่เริ่มก่อตัวให้พังครืนลงเหมือนอย่างปราสาททรายเจอคลื่นทะเลหรอกน่า
เมื่อปลงใจกำหนดได้อย่างเด็ดขาดเช่นนั้น
ก็เหมือนก้อนอะไรแข็งๆกลางอกถูกยกไป รู้สึกโปร่งโล่งขึ้นมาในบัดดล
เกิดความเข้าใจกระจ่างขึ้นว่าความเด็ดเดี่ยวในขณะตั้งเจตนาใดๆมีผลกระทบกับสภาวะจิตขนาดไหน
เหลือแต่ความเบิกบานพรักพร้อมอย่างเดียว
เกาทัณฑ์เข้าที่ทำสมาธิด้วยกำลังสติเต็มแน่น
คล้ายขุนศึกขึ้นหลังม้าด้วยความเชื่อมั่นในพลกำลังและความเจนศึกแห่งตน
การตั้งต้นจับอารมณ์สมาธิเป็นไปได้ด้วยดี
เพราะมีแรงขับดันจากปีติสุขอย่างเหลือเฟือ ความฟุ้งซ่านขาดสายหายหนไปจนสิ้น
เมื่อเห็นผลเช่นนั้นก็ได้ใจ เกิดเจตนาเพ่งรวมให้จิตควบแน่นเป็นปึกแผ่น
เฝ้าตามลมหายใจอันแช่มชัดอย่างสบายอารมณ์ด้วยความเห็นแจ้งว่าการรู้ลมชัดควบคู่กับความปล่อยใจสบายนั้นเองเป็นตัวปรับสภาพจิตให้สว่างขึ้น
มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ
เกือบชั่วโมงโดยประมาณ
กว่าที่จิตจะคล้อยลงทรงตัว เห็นลมหายใจเป็นสายชัดราวกับธารทิพย์
ถึงขั้นอุปจารสมาธิ ทว่าทรงอยู่เพียงระยะเวลาอันสั้นก็คลายแรงดึงดูดออกมา
ซึ่งเมื่อคลายแล้วก็รู้ได้เอง
ว่าที่ผ่านมาทั้งวันจิตดิ้นรนอยู่ในวังวนกิเลสนานเกินไปจนอ่อนแรง เมื่อพยายามผนึกรวมให้ถึงฐานสมาธิจึงยากเย็นและสลายตัวง่ายเยี่ยงนี้
รู้สึกเหนื่อยและอยากพักจากสมาธิ
กำหนดจิตปล่อยอารมณ์และลืมตาเนิบช้า
หงุดหงิดหน่อยๆคล้ายนักกีฬาที่เห็นตัวเองฟอร์มตก
ผลการปฏิบัติเมื่อคืนก่อนทำให้นึกว่าจะสามารถไต่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆวันต่อวัน ทว่าตระหนักแล้วว่าหากขาดเหตุและปัจจัยอันเหมาะสม
ปล่อยตัวปล่อยใจให้สมาธิถูกกิเลสแทะ
กลับเปลี่ยนเป็นการถอยหลังเข้าคลองอย่างง่ายดาย
ลุกขึ้นเดินไปเดินมา
เหตุแห่งความฟุ้งนั้นไม่ต้องกังขา หนีไม่พ้นแพตรีอีกนั่นเอง
วนไปวนมาเหมือนพายเรือในอ่าง แม้ตัดใจว่าจะห่างหล่อนอย่างเด็ดขาดระยะหนึ่ง
เป็นเหตุให้เลิกถวิลหาขนาดอยากพุ่งตัวไปบ้านปู่อยู่ทุกนาทีแล้วก็ตาม
แต่อย่างไรก็ยังมีใจจ่อตลอดในลักษณะก้อนอารมณ์ตกค้าง
พอพยายามกำหนดใจให้นิ่งแล้วเห็นชัดถึงแรงดันในอก เหมือนพวยน้ำที่ถูกกักไว้
และรอเวลาพลุ่งขึ้นทันทีที่ได้โอกาส
เขาเป็นประเภทที่เมื่อคิดแล้วคิดแรง
อารมณ์ปั่นป่วนแรง โดยเฉพาะถ้ามีเรื่องที่ติดใจมากๆขนาดจ่อไม่หลุด
จะเหมือนคลื่นพลังระลอกใหญ่ก่อตัวขึ้นเป็นแรงอัดภายในกาย
หากพลังดังกล่าวไม่กระจายออกเป็นงานหรือการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้หมดสิ้น
ก็จะขุ่นคลุ้งทรมานทรกรรม กินไม่ได้นอนไม่หลับไปเลยทีเดียว
มาหยุดเดินตรงหน้ากลองบองโก
ซึ่งเป็นกลองตีมือขนาดย่อมสองลูกคล้ายกระถางต้นไม้
เขาตั้งไว้ตรงตำแหน่งที่ดูเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องประดับห้องนอนชายมากกว่าจะชอบเล่นจริงจัง
ยามนี้นึกอยากรัวกลองแก้ฟุ้งซ่านเสียหน่อย เลยลงสองมือตบหน้ากลองซ้ายขวาถี่ยิบ
เกิดเสียงเป๊าะๆๆๆยืดยาว
ไม่หวังอะไรมากไปกว่าระบายความฟุ้งที่กักและเหมือนเก็บกดในหัวให้พ้นๆ
แต่ด้วยความคาดไม่ถึง และมิได้กำหนดความตั้งใจไว้ล่วงหน้า
ด้วยกำลังความสงบที่เหลือเป็นเศษจากการนั่งสมาธิเมื่อครู่
เกาทัณฑ์พบออกมาจากภายในว่าเมื่อจิตตั้งมั่นเป็นกลาง
รู้ผัสสะรัวกระทบอย่างต่อเนื่อง
ผลที่เกิดคือความเงียบลงอย่างสงัดของคลื่นลมความคิดความฟุ้ง
นั่นเป็นสิ่งที่เห็นชัดเจนทีเดียว
จิตที่จ่อเฉพาะมือกระทบกลองนั้นเอง เป็นจิตที่ปราศจากความคิด
มีแต่ความรู้ตัวแบบว่างๆเกิดขึ้นแทน
หยุดมือลง ปล่อยตัวตามสบายสังเกตใจตนเอง
พบว่าอาการเงียบจากความคิดยังคงดำเนินไปอีกพักใหญ่
กว่าที่คลื่นลมความคิดจะกระเพื่อมขึ้นอีกครั้ง
ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเอง อ๊ะ!
แปลว่าอย่างนี้ได้อุบายกำจัดความฟุ้งอย่างง่ายๆแล้ว
ความช่างสังเกตและเปิดใจกว้างรู้จักเหตุรู้จักผลที่แท้จริง ไม่ยึดติดกับรูปแบบตายตัวในการระงับจิตให้เงียบลง
ทำให้ทราบว่าอารมณ์สมาธิอาจเป็นอะไรก็ได้
ขอเพียงรู้จักรักษาใจจ่อไว้กับอารมณ์นั้นให้ต่อเนื่องเป็นพอ
เขาเคยตีกลองมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันหน
แต่ไม่เคยเลยที่จะสังเกตว่าขณะรัวหน้ากลองอยู่นั้น
ความคิดอ่านสงบเงียบเชียบลงอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่เคยตั้งใจรักษา
หรือยืดเวลาของความสงบเงียบดังกล่าวให้ยาวออกไป
มานั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
ถ้าเคาะกลองแล้วสงบ ก็แปลว่าเคาะอย่างอื่นน่าจะสงบได้เช่นกัน
ลองหลับตาเอาอุ้งมือขวาวางแนบกับต้นขา
ใช้นิ้วทั้งสี่ตบหน้าตักเป็นจังหวะไม่ช้าไม่เร็ว ไม่หนักและไม่เบา
ใจรู้อยู่เฉพาะที่เกิดผัสสะกระทบเปาะๆๆๆ
เห็นชัดว่าด้วยใจที่ราบเรียบแล้วระดับหนึ่ง
จึงลดความเร็วลง เมื่อเคาะเพียงช้าและเบา
ก็อาจรักษาความสงบว่างจากความคิดไว้ได้อย่างดี แต่ถ้าฟุ้งจัด
ก็อาจตบเร็วและแรงหน่อยเป็นการใช้ผัสสะเรียกจิตมาจ่อ
เลี้ยงความนิ่งว่างจากกระแสความคิดได้เพียงนาทีเดียว
ความรู้สึกเหมือนเหลือเพียงจังหวะกระทบเปาะๆๆๆกับใจที่สงบอยู่ตรงกลาง
ก็บังเกิดรสแห่งปีติสุขขึ้นท่ามกลางความเงียบที่จิตเสมอพอดีกับผัสสะเปาะๆๆๆนั้น
เกาทัณฑ์ยิ้มชื่นใจ
เมื่อเมื่อยมือขวาก็เปลี่ยนเป็นมือซ้ายแทน
รักษาไว้แต่กระแสปีติสุขอันเกิดแต่จิตตวิเวกไปเรื่อย ซึ่งเมื่อประณีตเข้า
ทดลองขยับนิ้วชี้เพียงหนึ่งเดียวให้เกิดกระทบช้าและแผ่วเบา
ก็เพียงพอแล้วที่จะเลี้ยงสติรู้ มั่นคง ทรงปีติสุขเอกาได้อีกยืดยาว
ยิ้มอย่างปลาบปลื้มยินดี
อย่างนี้เท่ากับเขาได้อุบายไว้ปฏิบัติ
เลี้ยงสติให้อยู่ในร่องรอยความตั้งมั่นทั้งวัน เพราะเคาะมือหรือเคาะนิ้วนั้น
ทำเล่นกันเป็นปกติไม่มีใครเห็นแปลกอยู่แล้ว แตกต่างกันก็ภายใน
ที่จิตดำเนินอย่างรู้สติต่อเนื่องจนเกิดความสงบลงถึงปีติได้
นี่เป็นทำนองเดียวกันกับที่คนทั้งหลายหายใจกันตลอดเวลา
แต่แทบไม่มีสักขณะที่รู้ว่าตอนไหนหายใจออก ตอนไหนหายใจเข้า จิตจะส่งออกเหม่อ
หรือหมกมุ่นกับความรู้สึกนึกคิดอยู่ร่ำไป
เบาสบายไปทั้งตัวราวกับสลายตนกลมกลืนกับอากาศโดยรอบ
รู้สึกสดชื่นตื่นเต็มบริบูรณ์ จิตเหมือนดำเนินมาติดตันกับความเบาเป็นปีติ
ทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้อีก
นี่ยังเพิ่งหัวค่ำ อีกนานกว่าจะง่วง
นิสัยช่างอ่านทำให้ชายหนุ่มเลือกหยิบดูหนังสือที่ซื้อมาเรียงไว้เป็นตับบนชั้นวาง
มีหลายเล่มที่ซื้อทิ้งไว้แบบหาเวลาว่างอ่านทีหลัง
แต่ก็มีหลายเล่มที่ซื้อมาด้วยความสนใจด้านจิตวิญญาณในช่วงนี้
เลือกได้เล่มหนึ่ง
เป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้พลังจิตที่ฝรั่งรวบรวมไว้ เอามานั่งพลิกๆหาหัวข้อน่าสนใจ
การเผยแพร่เรื่องราวทางจิตวิญญาณอันลึกลับเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นทางสื่อต่างๆ
เขาสามารถค้นอ่านได้มากมายทั้งจากสิ่งพิมพ์และสื่อกลางครอบโลกเช่นอินเตอร์เน็ต
ข้อมูลแปลกใหม่ทั้งที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์น่าเชื่อถือ
และทั้งที่มั่วไปมั่วมาตามหลักนักเดา กระจายตัวเกลื่อนกลาดดาษดื่น
ซึ่งอะไรที่ดาษดื่นหาง่ายนั้น ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาไป
แม้เคยถูกมองว่าเป็นสิ่งลี้ลับเข้าถึงยากมาก่อน
หนังสือเล่มที่กำลังอยู่ในมือเขากล่าวถึงพลังจิตอย่างเป็นวิทยาศาสตร์
เริ่มด้วยการชี้ให้เห็นว่าคนเราสามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนระดับพลังกายได้ด้วยตนเองจากภาวะอารมณ์ต่างๆ
เช่นเพิ่มกำลังขึ้นกว่าปกติมากมายเมื่อเกิดฮึดฮัดบันดาลโทสะเพราะถูกแกล้ง
หรือเมื่อตื่นเต้นปีติมากๆตอนเล่นเกมกีฬาชนะ
ระบบพลังงานในร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งซับซ้อนซ่อนเงื่อน
เข้าถึงให้ทะลุปรุโปร่งได้ยาก
อย่างเช่นที่ต่อมต่างๆสามารถหลั่งฮอร์โมนและอัดฉีดไปทั่วร่างในเวลาอันรวดเร็วผ่านกระแสเลือด
หากศึกษาเหตุปัจจัยและผลลัพธ์ผลต่างในแต่ละรายแล้วจะทราบว่าชวนอัศจรรย์ปานไหน
ว่ากันตามประสบการณ์ที่รู้ได้ในคนปกติ
เมื่อฮอร์โมนบางชนิดเพิ่มระดับขึ้นมามากๆ จะมีผลทั่วไปทั้งกำลังวังชา
ความไวของระบบประสาท ซึ่งเมื่อมองกันที่ความรู้เห็น ทุกสิ่งจะดูเหมือนแตกต่างจากเคย
อย่างเช่นจับมองภาพมุมกว้างได้ชัดขึ้น เห็นรายละเอียดมากขึ้น
และเมื่อมีการตรวจวัดด้วยเครื่องไม้เครื่องมือจริงจัง
ก็พบว่าผู้มีพลังจิตกระทำเรื่องเหนือสามัญเช่นหักงอช้อน หรือเคลื่อนย้ายวัตถุได้
ล้วนหลั่งฮอร์โมนออกมามากผิดมนุษย์มนา ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่าความสามารถในการบังคับรูปวัตถุนอกตัวด้วยกำลังจิตนั้น
เกิดขึ้นได้ด้วยสิ่งที่แฝงเร้นในธรรมชาติความเป็นกายใจมนุษย์นี่เอง
ความแตกต่างคือน้อยคนนักจะรู้ทางเข้าถึงขุมพลังในตนเอง
คล้ายเจ้าของที่ดินผู้ไม่รู้ว่าลึกลงไปใต้พื้นในอาณาเขตของตน คือบ่อน้ำมันกว้างใหญ่ไพศาล
หรือถึงแม้ระแคะระคาย ก็จนปัญญาจะขุดขึ้นมาขาย เพราะขาดอุปกรณ์ ขาดความรู้
ขาดผู้แนะนำช่วยเหลือ
ปัจจุบันเป็นที่กล่าวกันทั่วไปว่าปฐมบทของการขุดพลังจิตขึ้นมาใช้
ต้องมาจากการควบคุมจิตให้นิ่งเป็นสมาธิ ทว่าก็มี 'ของเล่น' บางอย่างที่อาจทำให้มั่นใจในเบื้องต้น
ว่าทุกคนสามารถก่อพลังชนิดพิเศษขึ้นในเวลาอันสั้นและอาศัยสมาธิเพียงเล็กน้อย
เพียงใช้บางจุดในร่างกายที่มีสนามพลังแรงอยู่แล้วในตัวเองให้เป็น
ขั้นแรกให้ถูฝ่ามือเข้าหากันแรงๆจนเกิดความร้อนสักครู่
แล้วแยกมือออกห่างสักหนึ่งฟุต จากนั้นจึงเคลื่อนช้าๆเหมือนจะให้มาประกบ
แต่พอเข้าใกล้เกือบสัมผัส ก็ค่อยๆเลื่อนห่างออกจากกันอีก
จังหวะใดจังหวะหนึ่งในระยะประชิดนั้นเอง ที่จะเกิดสนามพลังระหว่างฝ่ามือให้รู้สึกได้
เกาทัณฑ์อ่านขั้นตอนปฏิบัติจบก็วางหนังสือแล้วทดลองตามทันที
โดยนั่งหลังตรง ถูมือจนร้อนแล้วแยกออกจากกันนิดๆ เขาเคยถูมือมานับครั้งไม่ถ้วน
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จับสังเกต ว่าหลังจากถูแล้วมีไอร้อนลอยวนอยู่ระหว่างฝ่ามือ คล้ายคลื่นที่ส่งออกมาปะทะกันระหว่างสองมือ
ชายหนุ่มแยกฝ่ามือที่หันเข้าหากันออกห่างประมาณหนึ่งฟุต
แล้วขยับเข้าหากันเชื่องช้าเหมือนจะให้มาประกบกัน ยิ่งฝ่ามือใกล้กันเท่าไหร่
ก็ยิ่งสัมผัสได้ว่ามีแรงกระทำต่อกันเพิ่มขึ้นทีละน้อยตามระยะ พอเข้าประชิด
เหลือช่องว่างเพียงหนึ่งนิ้วฟุต แล้วขยับผละห่างจากกันอีกครั้ง หน่วยตาก็เบิกขึ้น
เมื่อรู้สึกคล้ายแยกฝาแม่เหล็กสองข้างซึ่งมีแรงดึงดูดออกจากกัน
ขยับเลื่อนเข้าออกช้าๆหลายรอบจนแน่ใจว่ามิใช่อุปาทาน
มีแรงดึงดูดระหว่างฝ่ามือกระทำต่อกันจริงๆ เกาทัณฑ์ก็ทดลองตั้งระยะฝ่ามือให้ห่างจากกันคงที่
แล้วกำหนดนึกให้พลังดึงดูดเข้มขึ้น ยิ่งหน่วงนึกถึงพลังนานเท่าไหร่
ความเข้มข้นก็ยิ่งทวีราวกับกำลังแม่เหล็กขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
พร้อมกันก็สำเหนียกไอร้อนจัดที่แฝงมากับแรงกระทำ
หายสงสัยทันทีเกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยพลังจากฝ่ามือ
ไอร้อนอันเป็นพลังจากมนุษย์ด้วยกันนี่เอง คืออำนาจรักษาได้จริง
หาใช่เรื่องลึกลับมหัศจรรย์หรือการดลบันดาลจากสิ่งเหนือโลกชนิดใดเลย
ด้วยความเป็นคนช่างทดลอง
เกาทัณฑ์อยากดูว่าไอร้อนนั้น
เป็นเตโชธาตุที่อยู่ใต้การควบคุมของอำนาจการกำหนดนึกหรือเปล่า
เขาคิดให้ความร้อนในมือเปลี่ยนเป็นไอเย็น พอนึกเท่านั้น
ความเย็นก็แผ่กระจายเต็มมือเกือบจะทันทีทันใด
ส่งผลให้ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้างด้วยความสนเท่ห์ การเล่นสนุกทางจิตเป็นอย่างนี้เอง
ทุกอย่างเป็นไปได้ ภายใต้อำนาจการควบคุมของจิตที่นึกคิดไปต่างๆ
แรงกระทำที่ส่งจากฝ่ามือนั้น
เหนี่ยวนำเอาแรงกระทำจากจุดอื่นในร่างให้โลดเต้นขึ้นมาด้วย
เกาทัณฑ์สังเกตว่าเมื่อสายตาเขาจับนิ่งไปยังวัตถุใด
ก็จะมีสายพลังผลักออกกระทำต่อวัตถุนั้นๆ
เขาทดลองมองพร้อมสำเหนียกถึงสายพลังระหว่างตากับวัตถุ
ก็พบด้วยความตื่นเต้นว่าเห็นเป็นกระไอประหลาด
คล้ายมองฝ่าคลื่นความร้อนเหนือยอดเปลวไฟฉะนั้น
เมื่อลองเล่นดูจนชำนาญ
เกาทัณฑ์พบว่าพลังชนิดเดียวกันนี้ อาจถูกส่งออกจากจุดใดๆก็ได้
ขอเพียงกำหนดนึกไปที่จุดนั้น เช่นปลายนิ้ว กระหม่อม ฝ่าเท้า ฯลฯ
เมื่อนึกถึงตำแหน่งที่ตั้งของอวัยวะหนึ่งๆแล้วกำหนดขับพลังออกมา
ก็ได้ผลใกล้เคียงกัน แตกต่างเพียงความเข้มความอ่อนของแต่ละจุดเท่านั้น
กลับมาอ่านหนังสือต่ออย่างจดจ่อขวนขวายหาของเล่นเพิ่มเติม
หนังสือให้คำแนะนำสั้นๆเกี่ยวกับการสร้างจินตภาพและวิธีบังคับการไหลเวียนของพลัง
เช่นเพื่อหักงอช้อน เคลื่อนย้ายวัตถุขนาดเบา
การบังคับให้เมฆปรากฏเป็นรูปทรงตามปรารถนา ตลอดจนกระทั่งการฝึกเพื่อแข่งนั่งสมาธิลอยตัวตามชมรมพลังจิตในต่างแดน
เร้าความสนใจเอาเรื่อง
คว่ำหนังสือลงบนโต๊ะเล็กข้างตัว
หันรีหันขวางแล้วนึกสนุกขึ้นมากะทันหัน
ลุกขึ้นเดินไปหยิบช้อนมาคันหนึ่งจากหลังตู้เย็นแล้วกลับมานั่งที่เดิม
จับด้ามช้อนไว้ในมือมั่น เพ่งพิศและคิดใคร่ครวญหาเหตุผลที่เหล่านักพลังจิตชอบเอาช้อนส้อมมาเล่นกันนัก
ทบทวนความรู้ที่พอจะเคยได้ยินได้ฟังมาจากหลวงตาแขวน
พลังจิตก็คืออำนาจของการนึก เขาลองนึกให้ช้อนในมืองอ
โดยกำหนดสำเหนียกพลังที่ขับออกมากับกระแสตา นึกไปๆจนหน้าท้องแขม่วเกร็งอึดอัด
แล้วที่สุดก็เลิกนึกและหัวเราะพรืดหนึ่ง คิดในใจว่าของมันจะงอได้อย่างไร
แข็งออกอย่างนี้ อย่าว่าแต่แรงนึกเลย
ขนาดแรงมือซึ่งเป็นรูปธรรมด้วยกันก็คงต้องเกร็งกันมากหน่อยสำหรับช้อนโลหะชนิดแข็งตรงหน้า
หรือว่ากำลังจิตเขายังแกร่งน้อยไป
อำนาจนึกจึงให้ผลเป็นความว่างเปล่า?
ชายหนุ่มลองคิดใหม่อีกครั้ง
ถ้าช้อนคันนี้อยู่ในมือหลวงตาแขวนจะเกิดอะไรขึ้น
เกจิอย่างท่านคงทำให้มันหักงอได้แน่ เขาเชื่อเช่นนั้น
จึงกำหนดจิตนึกใหม่ให้จริงจังกว่าเดิม
ยึดเอาสัมผัสในตบะเดชะแห่งครูบาอาจารย์เป็นสรณะ กำด้ามช้อนมั่น
ถ่ายเทความรู้สึกนึกคิดทั้งมวลไปที่ตัวช้อนอย่างเดียว เริ่มเห็นความโน้มเอียงบางประการ
จับเหตุผลได้แล้วว่าทำไมจึงนิยมเอาช้อนมางอด้วยพลังจิตกัน
ที่แท้ก็เพราะเมื่อจับมันไว้ในมือแล้วสร้างความเชื่อได้ง่ายว่าจะงอลงได้สำเร็จนั่นเอง
คอช้อนดูแบบบางปานนั้น
หัวช้อนที่ป้านออกและดูมีน้ำหนักเหมือนพร้อมจะช่วยถ่วงตัวงอลงมาดังใจนึกอยู่แล้วอย่างนั้น
เมื่อใคร่ครวญได้ความเห็นจริงดังกล่าว
เกาทัณฑ์ก็ไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลอีกต่อไป
เขาขยับตัวตรงและเพ่งความนึกคิดอย่างแน่วแน่ สร้างจินตภาพเหนี่ยวหัวช้อนลงมา
และด้วยเพราะเพิ่งออกจากสมาธิได้ไม่นาน
ทำให้มีกำลังจิตพอจะรักษาอาการนึกไว้ได้คงที่ เมื่อรู้สึกเกร็งหน้าท้องก็พยายามผ่อนมันออกเป็นอาการหายใจตามปกติ
แจ่มแจ้งในบัดดลว่าการทำสมาธิแตกต่างกับการใช้พลังจิตอย่างไร
สมาธิคือการกำหนดจิตติดตามอาการที่เกิดขึ้นเป็นปกติของอารมณ์
เป็นต้นว่าลมหายใจมันไหลเข้าไหลออกอยู่แล้ว
หน้าที่คนภาวนาก็แค่เฝ้าตามมันไปเรื่อยๆจนจิตแทรกเข้าไปรวมกับความเป็นอย่างนั้นของกลุ่มลม
แต่การใช้พลังจิตนั้นเป็นการนึกให้เกิดผลบางอย่างที่ผิดธรรมดาต่อวัตถุที่ใช้เป็นอารมณ์
อย่างเช่นช้อนซึ่งเป็นรูปธรรมในมือเขาเดี๋ยวนี้ มันไม่มีทางงอเองได้เลย
แต่เขาปรารถนาให้มันงอ เขามีจินตภาพที่สร้างขึ้นในใจ เห็นมันค่อยๆงอลง
บีบบังคับให้มันยอมตาม ซึ่งสวนทางกับความเชื่อเดิมที่ว่ามันเป็นสสารแข็งแรง
มีเสถียรภาพอันยากจะดัดแปลงได้
เริ่มรู้สึกถึงสนามพลังที่เกิดขึ้นจากความเพียรนึกนั้น
ทว่าไม่เข้มข้นขนาดสำเหนียกว่ามีอิทธิพลกระทำกับความแข็งของช้อน
ช้อนแข็งยังคงเป็นช้อนแข็งในความเป็นจริง
แม้ใจจะเห็นมันโน้มเอียงที่จะอ่อนลงอยู่บ้าง
ทั้งนี้ก็คงเพราะความต่อเนื่องของการสะกดจิตตนเองให้เชื่อเช่นนั้น
เกาทัณฑ์จี้อาการเพ่งนึกเข้าไปที่ตัวช้อนอย่างไม่ยอมแพ้
รู้สึกว่าตนถลำลึกเข้ามาจนถึงขั้นต้องเอาให้ได้อย่างรุนแรงเสียแล้ว
ความเด็ดเดี่ยวมุทะลุบังเกิดขึ้นท่วมท้น เขาไม่ลุกจากที่แน่จนกว่าจะสำเร็จ
การใช้พลังจิตเป็นเรื่องของการเสียพลังอย่างนี้เอง
เขาเพ่งจนเหงื่อตก เกิดความปักใจเชื่อเข้มข้นขึ้นทุกทีว่าจะสามารถงอช้อนลงได้
โลกดูเปลี่ยนไป มีความอึมครึมอันเกิดจากสนามพลังที่อัดตัวแน่นหนาขึ้นเรื่อยๆ ศูนย์กลางการรับรู้มารวมแน่วอยู่ที่ช้อนจนตัวช้อนดูใหญ่โตผิดจากเดิมอย่างบอกไม่ถูก
บางครั้งเขารู้สึกงงเคว้ง แต่ก็ปรับสติให้เข้าที่ได้ดุลตามเดิมในเวลาอันสั้น
เพราะเศษสมาธิยังเป็นฐานรองรับมั่นคงพอควร
และที่สุดจากความรู้สึกถึงสนามพลังที่กระจายรอบตัวเหมือนคลื่นน้ำ
ก็กลายเป็นปึกพลังที่หนักแน่นจนเหมือนส่งกระแสคลื่นอันมีตัวตนไปเหนี่ยวจับเอาหัวช้อนได้
เขารู้สึกจริงๆ ไม่ใช่เรื่องเล่นอีกต่อไป อำนาจจิตหน้าตาเป็นอย่างนี้เอง
เหมือนมีมือไร้ตนอยู่ในการควบคุม
และเขาก็กำลังพยายามหักงอบางสิ่งที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง การนึกจนมีจินตภาพเห็นมันค่อยๆงอลงนั่นเองเป็นตัวส่งพลังออกไป
รู้สึกเหนื่อย แต่ก็ไม่ยินยล เขากำลังจะทำสำเร็จอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว
รู้สึกว่ามันกำลังจะสยบอยู่ใต้อำนาจนึกอีกอึดใจนี้แล้ว
อุ้งมือร้อนและแฝงพลังมากมายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
วัตถุในมือกำลังถูกความร้อนและพลังกระทำในตัวเขาหลอมให้อ่อนลงและหักงอตามแรงประสงค์
ต๊อด!
เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น
เกาทัณฑ์สะดุ้งสุดตัว โลกทลายลงทั้งใบ หัวใจเต้นถี่โครมครามเหมือนกำลังจะตาย
เขาค่อยๆวางช้อนลงบนโต๊ะและเอื้อมมือไปยกกระบอกโทรศัพท์จากแป้นด้วยมือไม้สั่นเทางกเงิ่น
"ฮัลโหล…"
พูดแหบพร่าและสับสนมึนงง
อาการรับโทรศัพท์เกิดจากความเคยชินเดิมมากกว่าเจตนา
"นี่แอ้นะคะ"
เสียงจากฝ่ายโน้นก้องอยู่ในหูเหมือนปิศาจ "หายไปไหนมา มือถือก็ปิด
รังเกียจกันแล้วหรือไง เพจเรียกก็เงียบไม่ตอบกลับ"
ชายหนุ่มนิ่งอยู่อึดใจ
ค่อยๆเรียกสติคืนมาอย่างยากลำบาก
"เอ่อ..."
"หลับอยู่ล่ะซีท่า"
เลอะเลือนอยู่อีกพัก
ก่อนกลับเข้าที่แบบเคว้งๆ
"แอ้เหรอ?"
"ค่า...แอ้เอง
เมาหรือเปล่านะนั่น"
"อ้า...ก็คล้ายๆอย่างนั้น
ผมขอเวลาล้างหน้าหน่อยได้ไหม แล้วจะโทร.กลับไปในห้านาทีนี้แหละ"
"ตามสบายค่ะ"
ฝ่ายนั้นตัดสวิทช์ไปฉับพลันอย่างมีอารมณ์หน่อยๆ
ชายหนุ่มยังงงไม่สร่าง เหมือนกำลังเมาเหล้าอยู่จริงๆ
การถูกปลุกจากภาวะจิตที่กำลังดิ่งลึกกะทันหันมันอันตรายอย่างนี้
คราวหน้าเขาต้องระมัดระวังมากขึ้น
ลุกเข้าห้องน้ำล้างหน้า
พอเริ่มแจ่มใสบ้างก็นึกเสียดายเป็นกำลัง
เหมือนมีมารมาขัดจังหวะในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็ม ทุกอย่างมันเข้าไคลอยู่แล้ว
จู่ๆก็มีอันต้องพับฐานล้มเหลวไปอย่างง่ายๆ มันน่าบีบคอยายแอ้นัก
ยามนี้หล่อนช่างไม่น่าพิศวาสเอาเลยจนนิดเดียว
ออกมาเช็ดหน้าเช็ดตาและนั่งปรับสติอีกพักใหญ่
อย่างไรก็ได้รู้แล้วว่าภาวะเหนือสามัญวิสัยเป็นอย่างไร ต้องฝ่าฟันด้วยวิธีใดจึงได้มา
ก่อนอื่นเขาต้องมีกำลังจิตเป็นพื้นพอประมาณ จากนั้นต้องสร้างจินตภาพให้แน่วแน่
เพ่งและเพ่งอยู่อย่างนั้น จนสนามพลังในตัวกลายเป็นปึกพลังเข้มข้นถึงขีด
นั่นเองคงเป็นจุดที่ฮอร์โมนหลั่งออกมามาก คลื่นพลังเริ่มกระจายตัวจากขุมลับในกาย
อย่างไรก็ตาม ที่จุดนั้นไม่ใช่ความสำเร็จ
แต่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ เขาเพียงส่งพลังต่อไปอย่างต่อเนื่องเท่านั้น
ไม่แน่ใจว่าความร้อนในอุ้งมือหรือเปล่าที่เป็นกุญแจสำคัญ
มันเกิดขึ้นในวินาทีที่ดวงจิตสัมผัสถึงความเป็นไปได้จริงที่ช้อนกำลังจะหักงอ
ถ้าใช่ดังคิด คราวหน้าคงหาทางลัดได้ไม่ยาก มือคนเรามีอุณหภูมิให้รู้สึกอยู่แล้วเมื่ออยู่ในท่ากำ
เพียงเพ่งเห็นความร้อนในมือไปเรื่อยๆควบคู่กับการสร้างจินตภาพบังคับช้อนให้งอ
ภาวะแบบเมื่อครู่ก็คงเกิดเร็วขึ้นกว่าเดิมมาก
เกาทัณฑ์ต่อโทรศัพท์เข้ามือถือของหญิงสาวผู้นำความล้มเหลวมาให้ตามสัญญา
"ผมเต้พูดนะ"
น้ำเสียงของเขาเนือยนายเป็นอย่างยิ่ง
อีกฝ่ายฟังรู้ทีเดียว
"จะออกมาเจอกับพวกเราไหม?"
หล่อนถามห้วน
ชนิดที่เห็นหน้าคว่ำตาเขียวลอยมาทีเดียว
"พรุ่งนี้ทำงานไม่ใช่เหรอ?"
จงใจใช้เสียงเอื่อยเฉื่อยให้รู้ว่านั่นคือคำปฏิเสธ
"งั้นก็นอนหลับฝันดีไปแล้วกันนะคะ
พ่อคนรักงาน!"
หญิงสาวตัดสวิทช์ไปอย่างคนสวยที่ชอบเอาแต่ใจตัว
และเกาทัณฑ์ก็ไม่หลงเหลือความไยดีในตัวหล่อนเอาเลย ทั้งที่ติดหล่อนแจมาเป็นนาน
อาจเพราะต่างคนต่างรู้ว่าแต่ละฝ่ายมีตัวเลือกสำรองอยู่เยอะกระมัง
เขาพิศวาสรอยยิ้มและท่าทีเก๋ไก๋ ถูกใจสีสันหลากหลายในตัวหล่อน
หรือจะบังคับให้รับว่าหลงใหลได้ปลื้มเป็นที่สุดก็ยอมล่ะ
แต่ทั้งหมดนั่นก็แค่ทำให้แต่ละวันสดชื่นรื่นใจ
จะมาเทียบอะไรกับแพตรีที่มีอิทธิพลขนาดเปลี่ยนชีวิตเขาได้ทั้งชีวิต
นั่งกะพริบตาทบทวนเหตุการณ์เหนือสามัญเมื่อครู่
บัดนี้สนามพลังอันเข้มข้นเริ่มจางตัวลง
อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดอย่างธรรมดากลับมา
สิ่งที่เลือนไปก็คล้ายอุปาทานหรือฝันผ่าน
ลังเลหน่อยๆว่าที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มันใช่การก่อตัวของอำนาจจิตแน่หรือเปล่า
ความคิดเรื่อยเปื่อยสุดทางลงเมื่อเกิดแรงบันดาลใจอยากทำสมาธิขึ้นมาอีก
ชายหนุ่มเข้าที่พริ้มตาหลับลงง่ายๆ
กำหนดภาวนาเห็นสายลมหายใจเข้าออกด้วยวิธีการหายใจตามแบบหลวงตาแขวนสอน
งวดนี้เข้าท่ากว่าเดิม
จริงๆแล้วเขาอ่อนเพลียน่าดูชมเหมือนกันที่เล่นพลังจิตไปเมื่อครู่
คล้ายเหนื่อยจากการวิ่งทางไกลหลายกิโลเมตรอย่างไรอย่างนั้น แต่เมื่อทำความสงบกำหนดลมสบายๆ
พอตัวความแช่มชื่นเกิดขึ้นกำลังก็ฟื้นคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว
เข้าอกเข้าใจเดี๋ยวนั้นว่าสมาธิเป็นการประจุพลังกายใจอันยอดเยี่ยมเหนือวิธีอื่นใด
ความคิดฟุ้งซ่านสลายไปหมดสิ้นด้วยความอิ่มเอมเปรมใจในรสสมาธิ
ดวงจิตทวีตัวเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เกาทัณฑ์เรียนรู้ที่จะเพ่งนึกถึงสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวด้วยพลังกายใจทั้งหมดมาแล้ว
จึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปกับการเพ่งภาวนาตามสายลมหายใจเข้าออกอย่างนี้
นานสักครึ่งชั่วโมงในอาการทรงตัวแนบแน่นของขณิกสมาธิเฉียดอุปจาระ
แล้วโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ ขณะที่จิตเหมือนจะดิ่งลงสู่ความดึงดูดจากศูนย์กลาง
มีพลังอะไรอย่างหนึ่งที่แปลกใหม่เกิดขึ้นในตัว
มันปุบปับฉับพลันเหมือนการลั่นเปรียะของสายฟ้า
ร่างของเขาคล้ายเกิดกลุ่มพลังมหาศาลขึ้นข้างใน มันแล่นปราดพรวดเดียวจับไปทั่วร่าง
ยังผลให้เกิดสำนึกรู้สึกที่ผิดไป บอกตัวเองว่านี่อาจเป็นอาการหนึ่งของปีติ
ให้ใจเย็นไว้ แต่มันก็ช่างคงที่จนเหมือนจะไม่แปรเปลี่ยนไปอีกแล้ว
สำนึกของนายเกาทัณฑ์ถูกลบไปเกือบสิ้นเชิง
รู้สึกเหมือนตนเองกลายเป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์ ทรงอำนาจร้าย
พลังมหาศาลที่อัดแน่นในตัวทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนไปหมด แม้ลืมตาขึ้น
ก็พบว่าพลังนั้นยังอยู่กับตัว ดูไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว ความคิด ความเห็น
และมโนภาพในตัวตนพลิกผันเป็นอื่นอย่างสิ้นเชิง ณ
เวลานั้นสำนึกและโลกทัศน์เยี่ยงมนุษย์ธรรมดาสาบสูญไปหมด เหลือแต่การรับรู้ถึงอำนาจ
ความแข็งกร้าว และความต้องการแบบดิบๆ เป็นอีกอัตตาที่ชวนคร้ามเกรงยิ่ง
หยิบช้อนขึ้นมาด้วยเจตจำนงเดิมอันค้างคา
สัมผัสถึงปึกพลังอันแน่นหนาราวกับผาหินในตน
ก้มหน้าลงจ้องช้อนด้วยลูกตาเบิ่งโปนถมึงทึง
แค่กำหนดเรียกความร้อนในอุ้งมือก็บันดาลพลังร้อนมากมายชวนกระหยิ่ม
รูปช้อนดูแปลกไปเป็นคนละอย่างกับเมื่อก่อน
ส่วนเว้าส่วนโค้งของหัวช้อนที่เข้าตาช่างพิลึกกึกกือ
สีสันของสิ่งรอบข้างเข้มชัดและดูทะมึนประหลาด เกาทัณฑ์ทุ่มพลังนึกให้ช้อนงอลง
มันเป็นคำสั่งที่เด็ดขาดแน่วแน่ ไม่หลงเหลือความลังเลสงสัย
ไม่เจือปนความคิดอื่นใดแม้แต่น้อย
ในภาวะอันถูกห่อหุ้มด้วยกลุ่มพลังยิ่งใหญ่เช่นนั้น
ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกเลยที่ช้อนมันงอลงต่อหน้า
งอทีละน้อยแต่ลงเรื่อยคงที่กระทั่งเกือบจรดด้าม จิตจึงบอกว่าจบงาน ถอนกำลังออกมา
แล้วสำนึกแบบเดิมๆก็คืนกลับ
กลุ่มพลังแรงสูงที่จับไปตลอดกายหายไป กระแสธารแห่งความคิดหลั่งไหลเป็นปกติ
มโนภาพของนายเกาทัณฑ์ฟื้นคืน มิใช่ยักษาผู้ทรงฤทธิ์ไร้สำนึกผิดชอบชั่วดีอีกต่อไป
เกาทัณฑ์หายใจโดยปราศจากอาการหอบ
จังหวะเต้นของหัวใจยังเป็นปกติ เขามองช้อนที่เห็นงอก่องอขิงเหมือนเพิ่งตื่นจากหลับ
มันงอลงแล้วจริงๆ หาใช่ภาพลวงตาแต่อย่างใด ยามนั้นบรรยายความรู้สึกยาก
ไร้ความตื่นเต้นทะนงตัวที่จู่โจมทันควันดังควร เป็นแค่ความเฉยเมยชอบกล ดูแล้วดูอีกให้แน่ใจว่าช้อนมันงอแน่
งอเกือบพับลงมาทับด้ามทีเดียว
ทำไมถึงไม่รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นผู้วิเศษ?
เอนตัวหลับตานอนบนพื้นพรมนั่นเอง
อ่อนเพลียเหลือเกิน พลังชีวิตขอดแห้งไปสิ้น
ความเหนื่อยล้าคล้ายมีแรงดึงมหาศาลฉุดเขาเข้าสู่ภาวะดับสติปุบปับ
เหมือนตายอย่างไรอย่างนั้น
คืนวันจันทร์ อังคาร
และพุธเขามีเวลาว่างที่จะทำสมาธิเต็มที่
แต่คืนวันพฤหัสกับศุกร์ต้องไปสอนภาคค่ำที่มหาวิทยาลัย กลับมาก็เปลี้ยเพลียเต็มแก่
ไหนจะงานประจำตอนกลางวัน
ไหนจะงานสอนตอนกลางคืนซึ่งเผอิญต้องคุมแล็บกันเหน็ดเหนื่อย
นั่งจับอารมณ์แค่ห้านาทีก็ต้องโงนเงนลุกขึ้นพุ่งตัวใส่ที่นอนแล้ว
มีความเข้าถึงภาวะรวมตัวแบบลุ่มๆดอนๆ
เขาพยายามควบคุมคำพูด
และการกระทำให้อยู่ในร่องในรอยที่พระอาจารย์กำหนดไว้ถึงที่สุดแล้ว
แต่ก็ไม่วายมีเรื่องรุงรังรกใจ ก่อนิวรณ์ขัดขวางความก้าวหน้าในสมาธิจนได้
ในเมื่อยังต้องคลุกคลีอยู่กับหมู่คนที่ต้องการปลดภาระบนบ่าของตนไปไว้บนบ่าคนอื่น
เคยลองเอาช้อนมางอด้วยพลังจิตดูอีก
แต่ก็ไม่อาจรวมกลุ่มพลังให้เป็นปึกแผ่นได้เลย
ท่าทางเขาจะได้เป็นผู้วิเศษแค่คืนเดียวเท่านั้นล่ะกระมัง? ได้แต่เก็บช้อนไว้ในตู้โต๊ะหัวเตียงอย่างดี
และคงไม่อาจนำไปโฆษณาว่านั่นเป็นผลของพลังจิต
เพราะทุกคนที่ได้ยินจะหัวเราะก๊ากและบอกว่ามันเป็นพลังมือต่างหาก
การรวมจิตส่วนใหญ่อยู่ในขั้นขณิกสมาธิ
จะถึงอุปจารสมาธิบ้างก็แบบแป๊บๆ
ที่จะประคองรักษาสภาวะให้แนบแน่นนับชั่วโมงยังเป็นสิ่งไกลเกินเอื้อม
จึงกระวนกระวายนิดๆ ว่าเท่าที่ทำได้นี้หลวงตาแขวนท่านพอใจแล้วหรือยัง
ชายหนุ่มหวังไว้มากเหลือเกินเรื่องพิสูจน์ภพชาติ
ไม่อาจทราบว่าพระอาจารย์ท่านจะสอนแบบไหน
หรือมีวิธีการพิสดารประการใดในอันที่จะเปิดหูเปิดตาเขา
มีแต่ความมั่นใจอย่างเดียวว่าท่านต้องทำตามที่รับปากได้แน่
ตัวเขาเองเท่านั้นแหละมีปัญญาทำจิตให้ถึงระดับที่ท่านกะเกณฑ์เป็นเงื่อนไขไว้หรือไม่
ถึงกำหนดวัน
เกาทัณฑ์ตื่นนอนตอนตีสามด้วยความวิตกอยู่ลึกๆ
ลองนั่งสมาธิอีกครั้งก่อนจะไปพบพระอาจารย์
คงรอไม่ไหวหากท่านบอกว่าจะต้องปฏิบัติให้ได้ดีกว่านี้
ซึ่งอย่างต่ำๆก็ต้องรอไปอีกอาทิตย์หนึ่ง อย่าว่าแต่อาทิตย์หนึ่งเลย
พรุ่งนี้เขาก็ขาดใจเสียก่อนแล้ว
ทำสมาธิได้ผล มีความอิ่มเอิบพอประมาณ
สำรวจดูความเป็นไปและประเมินความก้าวหน้าถึงขั้นนี้
ก็ได้ความว่าตนสามารถทำจิตให้ถึงอุปจารสมาธิอย่างอ่อนๆในช่วงกำหนดลมประมาณห้าสิบครั้ง
ซึ่งนับว่าดีกว่าวันแรกๆซึ่งต้องใช้ช่วงลมอย่างต่ำกว่าร้อยหรือสองร้อยครั้ง
เสียตรงที่หน่วงภาวะผนึกแน่นแห่งจิตอันเอิบอาบปีติสุขล้นหลามนั้นได้ราวสามสิบช่วงลมก็สลายแรงดึงดูดลง
และยากจะเอากลับมาใหม่
อีกอย่างที่นับเป็นความก้าวหน้าคือการมีสติควบคุมนิมิตได้มั่นคง
เมื่อเริ่มเกิดอาการเปลี่ยนแปลงภาวะจิต ปราศจากความมึนงงและนิมิตบิดเบี้ยวทั้งปวง
สามารถติดตามวิถีจิตไปตลอดสายโดยไม่คลาดเคลื่อน
หน่วงยึดแต่ลมหายใจเป็นสรณะอย่างเหนียวแน่น
ด้วยความสังเกตรู้ว่าความสม่ำเสมอของการเห็นอารมณ์คือปัจจัยหลักในการรักษาสภาวะให้คงที่
อาบน้ำล้างหน้าอย่างดี
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เขาพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว
หากพระอาจารย์ท่านยังไม่พอใจก็สุดวิสัยจะทำประการใดให้ดีขึ้นกว่านี้
แวะซื้อดอกไม้ธูปเทียนและข้าวถุงกับอาหารแห้งที่ตลาดใกล้ซอยบ้านปู่ชนะ
เพิ่งเกือบหกโมงเท่านั้น หวังว่าจะได้ใส่บาตรเช้าสักที
ครั้งสุดท้ายที่ใส่บาตรพระนานเท่าไหร่ก็ลืมไปแล้ว วันนี้กำลังสดชื่นและอยากได้ฤกษ์งาม
จึงตั้งใจจะไปดักขบวนพระแถวหน้าวัดเลยทีเดียว
ชาวบ้านแถวนั้นตั้งโต๊ะเตรียมใส่บาตรกันแทบจะหลังเว้นหลัง
เดี๋ยวนี้หาดูชาวบ้านรอทำบุญกันเป็นทิวแถวได้ยากแล้ว
มีแต่ที่ต่างจังหวัดซึ่งก็เริ่มร่อยหรอเช่นเดียวกับในกรุงเทพฯ
ดีใจจนบอกไม่ถูก
เมื่อผ่านหน้าบ้านปู่ชนะเห็นใครคนหนึ่งยืนรอใส่บาตรเช่นเดียวกับชาวบ้านละแวกเดียวกัน
เกาทัณฑ์เปลี่ยนความตั้งใจที่จะไปรอขบวนพระถึงหน้าวัดทันที
จอดรถไว้ใต้ร่มไม้ของอีกฝั่งถนนแล้วเปิดประตูลงมา
"สวัสดีฮะแพ"
เขาทักมาจากอีกฝั่ง หญิงสาวยิ้มให้
"ค่ะ สวัสดี"
"ขออาศัยโต๊ะวางของด้วยคนนะ"
แช่มชื่นเหมือนงานรื่นเริงตามเทศกาล
มีผู้คนมากมายรอคอยทำบุญ แม้ห่างกัน ก็ร่วมบรรยากาศเดียวกัน
เป็นเช้าที่อากาศดูโปร่งโล่งเย็นสบายไปทั่วฟ้า
เกาทัณฑ์เปิดประตูตอนหลังและเดินข้ามถนน นำเครื่องของไปวางบนโต๊ะหน้าหญิงสาวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
"ปู่ตื่นหรือยัง?"
"ตื่นตั้งแต่ก่อนตีสี่ทุกเช้าแหละค่ะ
แต่ท่านจะลุกขึ้นมานั่งทำสมาธิไปจนถึงเจ็ดโมงเป็นอย่างต่ำ"
"โอ้โฮ
นั่งเก่งนะฮะ…แล้วท่านไม่มาใส่บาตรกับแพบ้างหรือ?"
"เลือกเฉพาะวันพระน่ะค่ะ"
"แพคงทำเป็นประจำทุกเช้าเลยสินะ?"
"แค่เกือบเท่านั้น
บางวันก็ตื่นสาย หรือต้องทำธุระอื่นเหมือนกัน"
"สั่งสมบุญไว้เยอะน่าดูเลย"
เขากล่าวชื่นชมด้วยน้ำเสียงแจ่มใส
"ไม่เท่าไหร่หรอก
ต้องคุณยายคนนั้นสิคะ"
หล่อนหันหน้าไปทางหน้าบ้านติดกันขวามือ
ชายหนุ่มมองตามและเห็นคุณยายผมขาวใส่แว่น รูปร่างอ้วนท้วน
นั่งประจำที่เตรียมใส่บาตร ล้อมรอบไปด้วยเด็กสาวๆผู้เป็นบริวารคอยช่วย
หลายคนในกลุ่มนั้นเมียงมองมาทางเขาและแพตรีเช่นกัน
"เชื่อไหม
ท่านใส่บาตรตั้งสามสิบกว่าปีไม่เคยขาดสักวัน
ต่อให้เจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหนก็ให้เด็กเข็นรถออกมาดูคนอื่นใส่บาตรแทนใกล้ๆ"
เกาทัณฑ์อึ้ง
คนปกติที่ไหนทำได้ถึงปานนั้น สามสิบปีไม่ขาดสักวัน!
"ต้องมีอะไรเป็นแรงบันดาลใจแน่เลยใช่ไหมฮะ?"
"สามีคุณยายเสียตั้งแต่ยังอยู่ในวัยกลางคนน่ะค่ะ
ก่อนเสียเคยสัญญากันต่อหน้าพระพุทธรูปไว้ว่าถ้าใครตายก่อนจะมาบอกอีกฝ่ายว่าไปอยู่ที่ไหน
สัมปรายภพมีจริงหรือไม่ แล้ววันหนึ่งท่านก็เห็นสามีมาหาในฝัน
ฉายราศีสวรรค์งดงามมาก บอกว่าตอนนี้อยู่เบื้องบน มีความสุขสบายเหลือล้น
ถ้าอยากมาอยู่ด้วยก็หมั่นทำบุญสุนทานให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ทำแล้วก็ย้ำอธิษฐานมาอยู่ร่วมกันข้างบน นับแต่นั้นมาชีวิตของท่านก็ประกอบแต่งานบุญ
เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสารพัดพิธี เห็นอย่างนี้สติยังแจ่มใสมากเลยนะคะ"
เกาทัณฑ์ฟังเพลิน
แก้วเสียงหล่อนเหมือนเครื่องดนตรีสักชิ้นที่เล่นยาวแล้วเปลี่ยนอารมณ์คนฟังให้เป็นกุศลได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
"คนใจบุญอยู่บ้านติดกันอย่างนี้ก็ยิ่งดีสิฮะ
แพคงสนิทกับแกมากนะ"
"ก็เหมือนญาติผู้ใหญ่แหละค่ะ"
พระองค์แรกเดินมาถึงบ้านคุณยาย
แพตรีรีบถอดรองเท้าเตรียม เกาทัณฑ์เห็นหล่อนทำอย่างนั้นก็ชักเงอะงะไป
เขาใส่คัทชูมา ถ้าถอดก็เกรงถุงเท้าจะเปื้อน จึงตัดสินใจใช้วิธีถอดแล้วเหยียบไปบนรองเท้านั่นเอง
ซึ่งแพตรีก้มลงมาเห็นแล้วก็ยิ้มขัน
"ผมทำผิดเหรอฮะ?"
ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามด้วยความร้อนตัวกลัวเปิ่นเทิ่น
"ท่านให้ถอดรองเท้าเพราะไม่อยากให้เรายืนสูงกว่าพระซึ่งยืนเท้าเปล่าน่ะค่ะ
คุณทำแบบนี้ใส่อย่างเดิมจะดีกว่า"
"อ้าว! เหรอฮะ
นึกว่าถอดแสดงความเคารพ"
หญิงสาวหัวเราะนิดหนึ่ง ก่อนสำรวมสงบ
เกาทัณฑ์ตัดใจยอมให้ถุงเท้าเปื้อนดิน ก้าวออกมายืนบนพื้นเต็มๆฝ่าเท้า
แล้วก็เกิดความรู้สึกว่ายอมเปื้อนเพื่องานบุญนี่อิ่มใจแปลกๆ
เลิกเป็นหนุ่มสำรวยกลัวถุงเท้าสกปรกได้โดยไม่ต้องฝืน
เกาทัณฑ์คุ้นหน้าพระองค์นั้น
ท่าทางมีอายุแล้วพอควร ท่วงทีเดินเหินดูมีสติสำรวมน่าเลื่อมใส
ไม่ช้าไม่เร็วและก้มมองต่ำอยู่ตลอดเวลาอย่างมีสมณสารูปอันงาม
ต่างกับพระกรุงทั่วไปที่ชอบเดินท่อมๆอย่างคุ้นชินกับวิธีเดินสมัยเป็นฆราวาส
ท่านคงอยู่ที่วัดทางนฤพานนั่นเองจึงมีราศีความเป็นพระฉายให้เห็นเช่นนี้
"นิมนต์ด้วยครับ"
เกาทัณฑ์แสดงความรู้ออกมาหน่อย
รีบชิงส่งเสียงนิมนต์พระตั้งแต่ท่านเพิ่งปิดบาตรจากบ้านคุณยายราวกับเกรงว่าช้าไปจะต้องให้แพตรีเป็นฝ่ายใช้เสียง
หญิงสาวเบือนหน้าไปซ่อนยิ้มทางอื่น พวกเด็กหน้าบ้านโน้นปิดปากหัวเราะกันคิกคักและมองมาเขาด้วยประกายขัน
เมื่อหลวงพ่อมาถึงและเลิกชายจีวรแง้มฝา
แพตรีตักข้าวในขันด้วยทัพพี
ยื่นใส่ลงไปในลูกบาตรซึ่งกำลังอวลไอข้าวกรุ่นของญาติโยมคนก่อนๆ
ภาพที่เห็นและกลิ่นที่ได้รับกับบรรยากาศรอบข้างทำให้ชายหนุ่มมีจิตใจสบายเป็นกุศลยิ่ง
มันเป็นกลิ่นไอการทำบุญที่ชาวกรุงใจกลางเมืองทั่วไปเห็นทีจะสัมผัสได้ยาก
เมื่อถึงคราวเขา
เกาทัณฑ์นำถุงอาหารส่วนของตนวางบนฝาบาตรที่ท่านหงายรับแล้วพนมมือไหว้
แพตรีวางขันข้าวลงบนโต๊ะ
ยอบกายลงคุกเข่าพนมมืออย่างรู้ว่าองค์นี้ท่านสวดสัพพีสั้นๆให้เสมอ
เกาทัณฑ์รีบทำตาม เขาได้ทำบุญร่วมกับหล่อนอีกแล้ว
"พระที่บิณฑบาตแถวนี้มาจากวัดทางนฤพานแห่งเดียวหรือเปล่านะแพ?"
ชายหนุ่มถามเมื่อหลวงพ่อท่านเดินจากไปและต่างลุกขึ้นยืน
"ใช่ค่ะ แห่งเดียว"
"เป็นวาสนาของชาวบ้านแถวนี้นะ
ได้ทำบุญกับพระแท้ แพรู้ไหม เวลาที่ผมรู้สึกว่าจิตใจเป็นกุศลมากๆอย่างนี้
ใครมาพูดเรื่องสวรรค์ให้ฟังนี่มันโน้มเอียงไปเชื่อได้ง่ายๆเลย"
หญิงสาวพยักหน้า
แล้วเขาจะเข้าใจเองว่าจิตชนิดที่เป็นตัวสร้างสวรรค์ย่อมให้กลิ่นอายสวรรค์ในตัวเอง
อย่าพักต้องรอให้ใครพูดถึงเลย มันเกิดความรู้สึกขึ้นมากลางใจได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
"แพ"
"คะ?"
"รู้ไหมทุกครั้งที่ผมทำบุญร่วมกับคุณ
ผมอธิษฐานว่ายังไง"
หล่อนสงบคำ สายลมระลอกน้อยรำเพยผ่าน
เกาทัณฑ์กล่าวต่อโดยไม่เหลียวมา
"ผมขอให้มีโอกาสร่วมทำบุญกับแพตลอดไป
ยังไม่รู้หรอกว่าชาติหน้ามีจริงหรือเปล่า แต่ถ้ามี
คำว่าตลอดไปของผมก็ขอจองเอาทุกภพทุกชาติสืบไปตราบจนเราสองคนเข้าถึงพระนิพพาน"
แพตรียังสงบเป็นปกติ
เกาทัณฑ์ยกมือพนมจรดหน้าผาก กระแสใจที่แผ่จากร่างนิ่งนั้นอ่อนโยนทว่าหนักแน่นนัก
น่าแปลกที่เผอิญมีสายลมกรูเกรียวเกิดขึ้นในบัดดล
ทำให้กลุ่มผมและชายกระโปรงของแพตรีพลิ้วไสวตามแรง หญิงสาวนิ่งสงบดุจเดิม
แต่ริมฝีปากค่อยๆสยายออกเป็นรอยยิ้มงามละมุน
ซึ่งในเวลาต่อมาเมื่อเกาทัณฑ์หันมาเห็น
ก็รู้สึกในชั่วขณะนั้นว่าแพตรีสวยเกินจริงราวกับไม่ใช่มนุษย์
ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น