บทที่ ๙ ตามฝัน
แพตรีก้าวขึ้นมาบนเรือนด้วยฝีเท้าเงียบเชียบราวกับเป็นแค่เงา
เกาทัณฑ์หันไปเห็นแล้วลืมหมดทุกสิ่งชั่วคราว
เอาแต่จ้องมองร่างสะคราญสว่างตาในชุดขาวแน่นิ่ง
หล่อนยิ้มให้ปู่อย่างดี
แต่เมื่อเหลือบตามาสบกับเขาก็ลดทั้งคุณภาพและปริมาณลง
ไม่ว่าจะเป็นแววตาสวยหรือรอยยิ้มใสที่เพิ่งส่งให้ปู่หยกๆ
เหมือนผ่านตามองพอให้รู้ว่าหน้าแบบนี้เคยเห็นที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า
แล้วก็ปลีกตัวเข้าห้องของหล่อนไปเงียบๆ
ไม่ได้หยุดลงพูดจากับปู่หรือเสียเวลาทักเขาแต่อย่างใด
เกาทัณฑ์รู้ตัวเลยว่านั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเหลียวหลังตามผู้หญิงค้างเติ่งทั้งที่เจ้าตัวลับหายไร้เงาไปแล้วเป็นนาน
เสียงกระแอมของปู่ปลุกเขาจากภวังค์
ชายหนุ่มรีบหันหน้ากลับมาและปั้นยิ้ม
"อ้า..."
เกาทัณฑ์ทำท่าคิด
นึกไม่ออกว่าเมื่อครู่พูดอะไรค้างไว้ หัวใจเต้นตึกๆไม่หยุด
"ผม...อ้อ...อ่านหนังสือไปแล้วหลายเล่ม"
ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่นึกออก
แต่แล้วก็ตันคำพูดอีก การปรากฏตัวอันเงียบกริบของแพตรีทำให้เขาสับสนไปหมด
จนท่าเข้าก็หัวเราะดังๆขัดจังหวะ ถ้าไม่ปะติดปะต่อเหตุการณ์ก็ดูเหมือนคนบ้า
อยู่ไม่อยู่ก็หัวเราะออกมาเฉยๆ
แล้ววินาทีหนึ่งเมื่อสติสัมปชัญญะกลับคืนมา
ชายหนุ่มก็สานรอยกิริยาประหลาดของตนด้วยปฏิภาณอันว่องไว
"ผมว่าหนังสือบางเล่มนี่ตลกชวนขำมากกว่าเป็นหนังสือจูงให้สนใจหรือเข้าใจธรรมะและปรัชญา
นึกถึงบางประโยคที่คนเขียนแทรกความคิดเห็นส่วนตัวแล้ว
ยังตามมาจี้เส้นได้จนถึงเดี๋ยวนี้"
พูดเสร็จก็ทำเป็นหัวเราะออกมาอีก
ภาวนาอย่าให้ปู่ขอตัวอย่าง เพราะยังคิดไม่ทันว่าจะเอาอะไรที่ชวนขำจริงๆมาสาธก
"แต่ก็มีหลายเล่มที่ดึงผมเข้าสู่บรรยากาศใหม่ๆ"
คราวนี้ชายหนุ่มเปลี่ยนสีหน้าให้ดูจริงจังขึ้น "บางครั้งผมวูบวาบขึ้นมา
เห็นตัวเองเป็นแค่สิ่งเล็กกระจ้อยร่อยในธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ไพศาล
หากยืนอยู่ที่ขอบจักรวาลแล้วสามารถมองเห็นสิ่งเล็กใหญ่พร้อมกันได้ทั้งหมด
ก็คงเกิดความเห็นชัดแจ้งว่าชั่วอายุขัยของคนเราเป็นแค่ธุลีของธุลีที่ปรากฏปลิวขึ้นวับเดียวในห้วงเวลาและอากาศว่างไร้กำหนด
หาสาระไม่ได้เลย”
"ก็ใช่ แกกับฉันเป็นเศษธุลี
แต่เป็นเศษธุลีที่คิดได้ สำคัญว่าตัวเองยิ่งใหญ่ได้ รู้สึกสุขทุกข์ได้
แล้วก็กลัวตายได้ ดาวฤกษ์ที่ยิ่งใหญ่กลางจักรวาลเสียอีก คิดไม่ได้
สำคัญว่าตัวเองใหญ่ไม่ได้ สุขทุกข์ไม่ได้ กลัวตายไม่ได้"
เกาทัณฑ์ยิ้มออกมาหน่อยหนึ่ง
นึกในใจว่าปู่เป็นคนเข้าใจพูดและมีแง่คิดละเอียดอ่อนกับทุกมุมมอง
ท่านคงใช้เวลาหลายสิบปีในชีวิตขบคิดถึงสิ่งต่างๆจนตีแตกถี่ถ้วนแล้วกระมัง
ชั่วขณะนั้นเขาอยากให้ตนเองในวันหน้าได้เป็นคนแก่อย่างปู่...แก่และเต็มไปด้วยภูมิปัญญาลึกซึ้ง
"ถ้าแกปฏิบัติวิปัสสนาถึงจุดที่แม้ลืมตาก็ไม่รู้สึกว่ามีตัวตนกำลังมอง
มีแต่ ‘การเห็น’ เท่านั้นที่ปรากฏกับตัวรู้
แกจะตระหนักว่าดวงตาคู่นี้เคยขังเราไว้กับความคับแคบอย่างไร เมื่อมองลงพื้น
แกเห็นสิ่งที่อยู่ห่างจากสายตาแค่ไม่กี่ศอก บอกตัวเองได้ว่าแกสูงแค่ไหน
แต่เมื่อมองขึ้นฟ้า
แกเห็นความว่างเวิ้งสุดตาหาตำแหน่งคำนวณระยะไม่ได้
ก็ไม่รู้จะบอกตัวเองยังไงว่าแกเล็กเตี้ยสักปานใด
สายตาคู่นี้ของมนุษย์มันให้แกได้แค่มุมมองที่แคบเล็ก หากปราศจากสติปัญญาของนักคิด
นักวิทยาศาสตร์ที่ช่วยกันสั่งสมความรู้สืบทอดกันมา
ก็คงไม่มีชาวโลกธรรมดาที่ไหนคาดคิดไปถึงว่าพ้นจากโลกนี้ไป สิ่งที่เรียก ‘ท้องฟ้า’
นั้นคือมหาจักรวาลที่กว้างและลึกจนแม้แต่แสงอาทิตย์ที่บาดตาคนบนโลกให้บอดได้
ก็กลายเป็นแค่หิ่งห้อยเพียงจุดหนึ่ง”
เกาทัณฑ์ค่อยๆผินหน้าไปมองท้องฟ้าเบื้องไกล
เมื่ออาศัยอยู่บนโลก
พระอาทิตย์คือไฟฉายดวงมหึมาที่ส่องให้ทุกคนมองเห็นสิ่งต่างๆทุกซอกมุม
ทั้งที่พ้นโลกไปนิดเดียว
พระอาทิตย์ก็แค่แสงดาวเล็กเท่าปลายเข็มเช่นจุดดาวดวงอื่นในห้วงจักรวาล
ต่อให้มารวมกันเป็นกระจุกนับหมื่นนับแสนล้านดวง
ก็ปรากฏเป็นได้เพียงคบเพลิงดวงน้อยในถ้ำมืดกว้างใหญ่มโหฬารเท่านั้นเอง
“และดวงตาที่มนุษย์คิดว่าเป็นประตูเข้าบานใหญ่ของปัญญานั้น
ก็ไร้ความสามารถกระทั่งเปิดให้แกเห็นสิ่งที่เรียกว่า ‘เวลา’
มันไม่เคยแสดงให้แกเห็นว่าแม้สิ่งที่อยู่นิ่งตรงหน้า
ก็กำลังลอยเลื่อนอยู่ในกระแสเวลา ทุกสิ่งรอบตัวที่กำลังเห็นและไม่อาจเห็น
ปรากฏอยู่ได้ก็เพราะพวกมันไหลเลื่อนในมิติเวลาระนาบเดียวกับร่างกายที่เปลี่ยนแปลงของแก
หากสิ่งใดหยุดอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งของเวลา
ก็แปลว่าโลกนี้จะมีอะไรมากมายที่จู่ๆหายไปอย่างปราศจากร่องรอยต่อหน้าต่อตาเรา”
ชายหนุ่มหันมามองโต๊ะตรงหน้า
คิดตามด้วยฐานจิตที่มีเศษสมาธิค้างอยู่
แล้ววูบหนึ่งก็เกิดสัมผัสรู้ขึ้นมาว่าแม้โต๊ะที่ถูกเห็นนั้นก็เลื่อนไหลในกระแสเวลาอยู่จริงๆ
เทียบสัมพัทธ์ได้กับกายเขาที่หายใจเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
เกิดความรู้แจ้งวาบในบัดนั้นว่าเวลาเป็นองค์ประกอบมูลฐานหนึ่งของสรรพสิ่ง
ธาตุเย็นร้อนอ่อนแข็งในร่างกายเขาเองเป็นตัวเวลา
มันเคลื่อนตัวเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆภายใต้ความทรงตัวหลอกตา
เศษสมาธิที่ช่วยเปิดประสาทตาและประสาทหูเต็มที่นั้น
เมื่อมีเจตนานำให้จิตพิจารณาไป
ก็ผุดความเห็นชนิดหนึ่งขึ้นมาเหมือนถูกสะกดให้พ้นสภาพบุคคลไปครู่หนึ่ง
มีแต่การเห็นออกไปข้างหน้าเป็นสีสันรูปทรงต่างๆที่ดูแปลกและปราศจากความหมายอย่างสิ้นเชิง
เพราะทุกสิ่งต้องไหลเลื่อนตามเวลา
ทุกสิ่งจึงต้องเปลี่ยนแปลง…
ไม่ใช่สิ…ตัวรู้ที่ผุดขึ้นมาอย่างฉับพลันบอกตัวเองว่าทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงต่างหาก
กาลเวลาจึงเกิดขึ้น
เกาทัณฑ์กะพริบตาถี่ๆ
วูบแห่งความเห็นอันประหลาดสลายตัวอย่างรวดเร็วและเหมือนอุปาทาน
กระแอมทีหนึ่งก่อนเบี่ยงข้อสนทนาให้สมองคิดแทนจิตรู้เสีย
"เรามีพุทธอยู่หลายนิกาย
ทุกนิกายทำให้เราเห็นธรรมชาติได้อย่างถ่องแท้
และทำให้เราหลุดพ้นจากทุกข์เหมือนๆกันหรือเปล่าฮะ?"
เขาอ่านมามากพอจะทราบว่าแนวคิดของแต่ละนิกาย
แต่ละความเชื่อนั้น ถูกบันทึกถ่ายทอดสืบเนื่องกันมาโดยบุคคลที่มีภูมิรู้แตกต่างกัน
ตีความและแปลความหมายคำสอนดั้งเดิมของพระตถาคตผิดกัน เมื่อถามปู่เช่นนั้น
เกาทัณฑ์รู้สึกว่าตนถามด้วยความอยากรู้จริงๆ ใช่จะถามเพื่อหาทางต้อนอะไร
"บอกว่าจุดประสงค์คือต้องการดับทุกข์เหมือนกันดีกว่า
ต่างที่ความเห็นในการปฏิบัติ คือมีความหย่อนตึงผิดกัน
พุทธเรามีความเห็นเป็นสองฝ่ายใหญ่ๆคือมหายานกับหินยาน
มหายานเน้นเรื่องดับทุกข์เป็นหลัก ไม่สนใจเรื่องระเบียบหรือธรรมเนียมอะไรเท่าไหร่
ซึ่งเวลาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีความแตกแยกฟั่นเฝือไปมาก
เหมือนจะไปเมืองเดียวกันแต่มีทางให้เลือกเยอะเกินไป เอาแน่ไม่ได้ว่าเลือกแต่ละเส้นแล้วจะเจออะไรเข้าระหว่างทาง
ทำไปทำมากลายเป็นความเข้าข้างตัวเองว่าอันนี้ผ่อนปรนได้
อันนั้นลดความเคร่งลงเพื่อความเหมาะสม เปิดช่องให้คลุกคลีกับญาติโยม
กลายเป็นพระนักธุรกิจบ้าง พระนักการเมืองบ้าง หรือหนักกว่านั้นเป็นสมี
พูดจาโกหกพกลมไปวันๆได้เพราะหย่อนวินัยมาทีละข้อ-สองข้อนั่นแหละ
ต่างกับหินยาน หรือที่ทางเราเรียก
‘เถรวาท’ ที่ออกจะเคร่งครัด แต่ก็ประกันได้ว่าถึงที่หมายแน่
เพราะเป็นวาทะของพระเถระผู้เป็นอรหันต์ซึ่งหลุดพ้นตามพระพุทธองค์โดยตรง
หลายคนบ่นว่าเคร่งเกินเหตุจนสุดวิสัยจะปฏิบัติได้จริง
แต่หากศึกษาให้ดีจะพบว่ามีการอนุโลมให้กับสถานการณ์จำเป็นในตัวเองอยู่แล้ว
ไม่ใช่กระดิกแล้วผิดไปหมด"
"คือนิกายนี่ที่แท้ก็เป็นเรื่องของวินัยสงฆ์?"
"เรื่องของคำสอนด้วย
เถรวาทยึดเอาหลักการสอนจากพระพุทธพจน์เป็นเกณฑ์ทั้งทางโลกและทางธรรม
จะปรุงแต่งอะไรก็มีพระพุทธพจน์มาเป็นลู่ทาง ไม่แสดงอภินิหารฉีกแนวไปคนละแพร่ง
แต่สำหรับมหายานนั้นบางครั้งก็เอาปัญญาของอาจารย์แต่ละนิกายย่อยเป็นหลัก
ซึ่งบางคราวได้ผู้รู้จริงมานำก็พอทำเนา
แต่บางทีได้ผู้รู้เทียมมาจูงก็นับเป็นคราวเคราะห์
เพราะตั้งต้นว่าจะไม่เชื่อตำราเสียแล้ว ก็ต้องไปเชื่อเอาตามเจ้ากูที่ตนเลื่อมใส
ดีเลวผิดถูกอย่างไรก็ฝากไว้กับผู้เป็นใหญ่ในนิกายนั้นลูกเดียว"
"งั้นเถรวาทเราเชื่อได้ยังไงฮะว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ถูกบิดเบือน
ไม่ได้ถูกดัดแปลงโดยเจ้ากูที่ถูกอำนาจความถือดีครอบงำในแต่ละยุค
เวลามันผ่านมาเป็นพันๆปีอย่างนี้?"
"ดูกันที่หลักปฏิบัติใหญ่ๆในวงของศีล
สมาธิ และปัญญา ถ้ากี่คนๆตั้งใจปฏิบัติจริงแล้วได้ดี ไม่เสียสติ ห่างจากการครอบงำของกามคุณ
บรรลุถึงความสว่างแจ้งพ้นทุกข์ได้อย่างปลอดภัยตาม พุทธประสงค์
อย่างนี้ก็นับได้ว่าถูกต้องตามพุทธพจน์แน่”
เกาทัณฑ์พยักหน้าหงึกหงัก
จับทางได้แล้วว่าเพียงอยู่ในกรอบของศีล สมาธิ ปัญญาเพื่อการพ้นทุกข์
ปู่สามารถตอบปัญหาได้ครอบจักรวาล เพราะนี่คือจุดใหญ่ใจความของพุทธแท้ๆ
ไม่ใช่เรื่องของสำนวนโวหารหรือวิธีถกเถียงด้วยการยกประเด็นใดๆขึ้นมาตั้ง
“พูดก็พูดเถอะนะครับ
ข่าวเสียหายที่เกิดขึ้นในแวดวงพุทธศาสนาเรามาจากน้ำมือของคนห่มผ้าเหลืองของทั้งฝ่ายเถรวาทและมหานิกาย
อย่างนี้พอแสดงได้หรือเปล่าว่าหลักปฏิบัติไม่ได้เป็นประกันอะไรเลย
ขึ้นอยู่กับบุคคลเสียมากกว่า
ปู่บอกว่าความแตกต่างระหว่างมหายานกับหินยานคือวินัยและหลักคำสอน
ทีนี้ถ้าพวกที่ลากๆกันบวชนั่นแค่ประกาศตัวว่าเป็นเถรวาทหรือหินยานโดยขาดใจยึดวินัยและหลักคำสอน
ผลก็เหมือนกันนั่นเอง อยู่ฝ่ายเดียวกันคือขอลดหย่อน
ขอพังกรอบที่พระพุทธเจ้าวางไว้…อย่างนี้โลกยุคเราที่มันสืบสันดานแบบเดียวกันหมดควรมีแค่หลักธรรมแบบเถรวาทไว้ศึกษากันตามใจสมัครดีไหมครับ? มีวัดยิ่งดึงศรัทธาคนให้ตกต่ำลงเปล่าๆ”
“ไปคิดอย่างนั้นไม่ได้ จริงอยู่บ้านเมืองเรากำลังเต็มไปด้วยลูกชาวบ้านห่มผ้าเหลือง
เข้าใจแค่กติกาว่าบวชเพื่อนุ่งห่มจีวรออกเดินรับข้าวและนอนสบายในที่พัก
แต่ก็ยังมีคนรู้แจ้งและเข้าใจจริงถึงข้อตกลงที่ว่าเรามีวัดไว้เป็นเขตแบ่งแยกหน้าที่ระหว่างสงฆ์กับฆราวาส
ฝ่ายฆราวาสเต็มใจสร้างบริจาค เพื่อรักษาคำสอนที่เชื่อตรงกันว่ามีค่ายิ่งกว่าเงินทองซึ่งถูกแปลงเป็นโบสถ์ศาลาและข้าวถวายพระ
ฝ่ายสงฆ์เป็นฝ่ายรักษาคำสอนไว้ด้วยการปฏิบัติอย่างเต็มที่
ไม่ห่วงหน้าพะวงหลังว่าจะต้องแก่งแย่งชิงดีทางการงานกับใคร
ปฏิบัติได้เย็นแค่ไหนก็เอามาพรมแจกญาติโยมด้วยธรรมเทศนาที่มาจากความรู้จริง
ทีนี้ถ้าคิดตัดโอกาสด้วยการรื้อถอนวัดวาอารามหมด
เพียงเพราะเห็นว่าบ้านเมืองเรามีนักบวชทุศีลครองวัดกันมากนัก
ก็เป็นอันว่ายอมรับพร้อมกันว่าทุกคนเห็นแต่นักบวชทุศีล
ไม่เหลือใครเห็นค่าของหลักธรรมคำสอนอีกแล้ว
ไม่ต้องเปิดทางให้คนปรารถนาจะเข้าให้ถึงธรรมด้วยทางตรงอีกแล้ว
ไม่ต้องการฐานะอ้างอิงให้มีฝ่ายนั่งอยู่สูงเพื่อพูดถึงของสูงอีกแล้ว
คิดดูนะเต้
ถ้าหลวงตาแขวนนั่งอยู่ในบ้าน เป็นคุณตา
เป็นคนชราสูงอายุที่อาจเกษียณแล้วหรือยังต้องทำงานงกๆเงิ่นๆ
แกจะเอาธรรมเนียมอะไรมาก้มลงกราบไหว้ท่านให้สมกับความเคารพบูชาสุดหัวใจ
แกคิดว่าท่านจะมีเวลาสั่งสมตบะเดชะจนแก่กล้าขนาดที่ใครนั่งใกล้ก็ถูกดึงดูดให้ใจคล้อยลงเป็นสมาธิได้ขนาดนั้นหรือเปล่า? คำสอนในคัมภีร์เป็นสิ่งที่ทุกคนอ่านได้เหมือนกันก็จริง
แต่กี่คนสามารถนำมาปฏิบัติให้เข้าถึง ทั้งที่ยังต้องแย่งงาน แย่งตำแหน่ง
มุ่งหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆอย่างเราๆ”
เกาทัณฑ์ย่นคิ้วตรองตาม
อดคิดไม่ได้ว่าที่สุดก็ต้องยอมให้กาฝากกลุ่มใหญ่ตักตวงประโยชน์จากช่องว่างที่เปิดไว้ไปเรื่อยๆอย่างนั้นหรือ? เกือบถามปู่ไปว่าอย่างนี้ควรแก้ไขอย่างไร
แต่ก็นึกได้ว่าปมนี้มันใหญ่หลวงเกินกว่าจะแก้ด้วยการถามตอบง่ายๆในบ้านหลังหนึ่ง
ที่คู่สนทนาปราศจากบทบาทสำคัญในสังคมระดับประเทศ
ระบบการกลั่นกรองบุคคลเข้าสู่มรรคาของสงฆ์เป็นเรื่องละเอียดอ่อน
ต้องทำกันจริงจังในยุคที่ธรรมเป็นใหญ่ ผู้คนเกรงกลัวบาปเองโดยไม่ต้องพร่ำสอนกันมาก
จู่ๆจะหวังให้มีใครคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาปรับเปลี่ยนระบบสงฆ์ให้เข้าลู่เข้าทางทั้งหมดในเดือนเดียวปีเดียวนั้น
มันเหลือวิสัยเป็นอย่างยิ่ง
ชายหนุ่มหรี่ตานิดหนึ่ง
เลี่ยงถามมาอีกทาง
"เมื่อพ้นทุกข์แล้วไม่มีตัวตน
เราจะพ้นไปทำไมฮะปู่? เราเพียรปฏิบัติธรรมไปก็เพื่อให้ตนเองพ้นทุกข์และมีสุข
แต่เห็นอยู่ว่าบั้นปลายของการปฏิธรรมในศาสนาพุทธไม่มีตัวตนหลงเหลือไว้รับรางวัลอันหวานชื่นเสียแล้ว
แบบนี้จะทุกข์แบบเก่าหรือสุขแบบใหม่มันก็ครือๆกันนั่นเอง"
“จับทางใหม่นะเต้
พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องทุกข์และการดับทุกข์
ศาสนาพุทธไม่ได้ตั้งขึ้นมาด้วยประเด็นของอัตตาและการดับอัตตา เพราะฉะนั้นหากต้องการตระหนักถึง
‘รางวัล’ อันเป็นปลายทางของพุทธ แกต้องเริ่มต้นที่นี่
ฟังท่านแจกแจงว่าอย่างไรเรียกทุกข์ อย่างไรที่จิตเป็นทุกข์
อย่างไรคือการเวียนว่ายหลงลืมแล้วกลับจำอยู่กลางน้ำขึ้นน้ำลง มีเพื่อหมด
พบเพื่อพราก อยู่เพื่อไป เกิดเพื่อตาย วนกลับสลับไปสลับมาแล้วๆเล่าๆ
ผู้ปฏิบัติถึงธรรมย่อมเห็นว่าโดยแท้แล้วเราคือจิตที่หลงแล่นไปด้วยความไม่รู้
สร้างโลกสร้างตัวตนขึ้นมาแบกไว้อย่างไร้แก่นสาร
ตัวตนหนึ่งสร้างกรรมให้อีกตัวตนหนึ่งรับผล
อย่างเช่นที่แกกำลังรับผลหลายๆอย่างจากความคิดของวัยเด็ก จากการกระทำของร่างกายเมื่อยังเล็ก
ตัวตนในวัยเด็กของแกมันแปรไปแล้ว สลายตัวไปหมดแล้ว แกลืมอะไรๆในช่วงนั้นไปหมดแล้ว
แต่ตัวตนของแกในตอนนี้ ร่างกายที่เห็นอยู่นี้
ยังต้องมาเสวยผลที่ทำไว้ในครั้งก่อนอยู่"
เกาทัณฑ์คิดถึงแผลเป็นบางแห่งในร่างกาย
อันเป็นของฝากจากความคะนองในวัยเด็ก
นึกถึงเพื่อนร่วมก๊วนตอนสิบขวบคนหนึ่งที่ตาบอดเพราะเล่นขี่จักรยานผาดโผนกับเขา
หมอนั่นยังเป็นไอ้ตาเดียวที่น่าสงสารมาจนถึงทุกวันนี้
ทั่งที่ร่างกายและจิตใจเติบโตเปลี่ยนแปลงจากวัยซนมาแล้วเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง
ตัวตนในวันนี้มาจากตัวตนเมื่อวาน…
"ถึงไม่พ้นทุกข์ ไม่เข้าถึงธรรม
ก็ไม่มีตัวตนไหนได้รับผลที่มันสร้างขึ้นอย่างถาวรอยู่แล้วล่ะเต้เอ๋ย
มันเป็นความสืบเนื่องของธรรมชาติที่หลอกจิตเราให้หลงละเมอเพ้อพกเรื่องตัวตนเดิม
ตัวตนเดียวไปวันๆเท่านั้น ไอ้ที่เห็นเราเป็นเรานี่แท้จริงคืออุปาทานที่เกิดสืบเนื่องเหมือนคลื่นทะเล
หลอกตาให้เห็นเป็นลูกคลื่นเดียวกันวิ่งเข้ามา
ทั้งที่ความจริงเป็นน้ำคนละกลุ่มแท้ๆ”
ปู่ชนะกระแอมทีหนึ่ง
"หากมีพลังสติพอจะสนับสนุนการพิจารณากายและจิตตามจริง
ตัดคิดตัดความหมายจำตัวตนที่ผ่านมา เหลือแต่กายใจที่ปราศจากชื่อแซ่ในวินาทีนี้
ความจริงในเรื่องความไร้ตัวตนจึงปรากฏให้จิตประจักษ์ได้สมเหตุสมผล
เมื่อพิสูจน์ความจริงเบื้องต้นได้อย่างนี้
จิตจึงค่อยเชื่อว่าการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากทุกข์
จากอุปาทานอย่างถาวรนั้นคือสิ่งควรพยายาม เพราะจิตนี้เองเที่ยวทุกข์ไปในตัวตนต่างๆที่มันสร้างขึ้น
ไม่มีตัวตนไหนหรอกที่ตามไปทุกข์กับจิตด้วย
ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาสามารถเห็นชัดเป็นขณะๆว่านอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ เราไม่ได้ปฏิบัติวิปัสสนาด้วยเจตนาดับตัวตน
เพราะไม่เคยมีตัวตนให้ดับ เราต้องการดับอุปาทานว่ามีตัวตน
อันเป็นปัจจัยของการสืบสายทุกข์ต่างหาก”
"แล้วตัวจิตตัวใจของเราอยู่ที่ไหนกันแน่ล่ะครับ
ตอนยังเป็นทุกข์กับตอนที่ดับทุกข์แล้วมันอยู่ตรงที่เดียวกันหรือเปล่า?"
"ตรงที่เดียวกัน"
"ตรงไหนครับ?"
"ตรงที่มันรู้น่ะซี"
เกาทัณฑ์เอนหลังพิงพนัก เกิดประสบการณ์เห็นจิตทั้งยังลืมตาขึ้นมาเดี๋ยวนั้น
ตรงที่กำลังรู้อยู่เดี๋ยวนี้เองคือจิตของเขา เอ…หรือของธาตุรู้ที่มีอยู่ในธรรมชาติ?
คลื่นความคิดอีกระลอกหนึ่งทยอยไล่เข้ามาแทนที่
การมีอุปาทานเห็นตัวเห็นตนนี้น่ะหรือคือทุกข์? เขามีอุปาทานติดตัวมาแต่เกิดจนถึงวันนี้
ยังไม่เห็นมีทุกข์อะไรที่ทำให้อยากบวชหนีโลกเลย เขาพร้อมด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติ
ถ้าเจอปัญหาใหญ่เล็กก็แก้ตกได้ง่ายๆเสมอ
และที่สำคัญคือรู้จักวิธีโกยสุขสารพัดรูปแบบ ไหนกันที่น่าหนี?
หากมองตามความเหลื่อมล้ำที่แต่ละคนมีความสามารถจัดการกับทุกข์
เผชิญหน้ากับทุกข์เช่นนี้ ก็แปลว่าประเด็นหลักของศาสนาพุทธไม่เป็นสาธารณะเท่าไหร่
อย่างน้อยก็มิได้มีประโยชน์กับคนที่มีความสุขพอตัวอยู่แล้วอย่างเขา
แล้วคำตอบของปู่ก็ผุดขึ้นในใจอย่างรู้โดยไม่ทันต้องถาม
ปู่จะบอกว่าเมื่อไหร่เจอทุกข์ที่ฉลาดแค่ไหนก็แก้ไม่ตกถึงจะรู้สึก มุมมองแบบของเขาต่างกับพระพุทธเจ้าและสาวก
อย่างเขาแค่อยากแก้ทุกข์ไปวันๆ แลกกับการได้บริโภคกามคุณเป็นพอ
แต่อย่างพระผู้รู้ท่านแก้ทุกข์ระยะยาว แก้ทีเดียวจบ สุขแล้วสุขเลยไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อเขาพอใจจะอยู่บริโภคกามของเขาอย่างนี้ก็เป็นเรื่องของทางเลือกอันเป็นสิทธิ์เฉพาะ
ตราบใดที่ความดับทุกข์สนิทไม่ปรากฏเป็นข้อเปรียบเทียบ
ตราบนั้นเขาก็ยังคงเลือกสิ่งที่ง่าย สิ่งที่เห็นเองด้วยตาเปล่า
อันเป็นวิสัยปกติของคนทั่วไป
พยายามนึกถึงประเด็นโน้นประเด็นนี้
แต่ทุกประเด็นก็ได้ยินคำตอบของปู่ผุดขึ้นมาดักคอกลางสมองไปเสียหมด
ในที่สุดจึงแบมือทั้งสองออกกว้าง
"มีอะไรมั่งไหมฮะที่ปู่ยังไม่รู้เกี่ยวกับตื้นลึกหนาบางของพุทธศาสนา?"
ถ้าปู่ตอบว่า 'ไม่มี' เขาอาจจะยอมเชื่อก็ได้
แต่กลับกลายเป็นว่า
"บานตะเกียง" ปู่ตอบยิ้มๆ
"ความรู้ในวงพุทธนั้นลาดลึกและห่างพ้นจากคำพูดไปเรื่อยๆ
ยิ่งเรียนมากยิ่งรู้มาก คิดมาก เทียบกับท่านแขวนแล้วฉันรู้แค่หางอึ่ง"
เกาทัณฑ์ยิ้มเหมือนพอจะนึกออก
"งั้นก็แปลว่าหลวงตาแขวนท่านรู้มาก
รู้ครบล่ะสิฮะ”
"ยังไงไม่ทราบ เคยถามอยู่เหมือนกัน
เห็นท่านบอกว่าตัวท่านเหมือนขี้เล็บในซอกหัวแม่ตีนอาจารย์
ถึงท่านพยายามเรียนเท่าไหร่ๆก็ขึ้นมาไม่พ้นหัวแม่ตีนอาจารย์สักที"
"โอ้โฮ"
เกาทัณฑ์แกล้งร้องออกมา "อย่างนี้ผมก็มีความรู้แค่น่องกิ้งกือมั้ง"
ปู่หัวเราะหึๆ เงียบไปพักหนึ่ง
“ถ้าว่ากันแบบโลกๆน่ะ รู้มากรู้น้อยวัดกันด้วยการสอบ
การตอบคำถามปากเปล่าแล้วจัดอันดับเชิดชูยกย่องขึ้นแป้นหนึ่ง สอง สามได้ง่ายอยู่
แต่ทางธรรมแท้น่ะ เทียบรู้กันด้วยนิ่ง เทียบความเข้าถึงกันด้วยความสงบ
หากสงบได้ราบคาบถาวร ก็ถือว่าชนะเหมือนกัน ครองฐานะเท่าเทียมกัน
ขอให้รู้เอาตัวรอดจากทุกข์ได้อย่างเดียว
จะรู้มากกว่านั้นเท่าไหร่ไม่สำคัญเลย"
"แปลว่าผมยังไม่รู้จักเอาตัวรอดจากทุกข์
ก็ถือว่าผมยังไม่รู้อะไรในความเป็นพุทธเลยใช่ไหมฮะ?"
"ก็คล้ายๆอย่างนั้น"
เกาทัณฑ์ถอนหายใจเฮือก
ประตูห้องของแพตรีเปิดออก มีผลให้เขาลืมปู่ชนะไปในบัดดล หญิงสาวอยู่ในอีกชุดหนึ่งต่างกับเมื่อครู่
เป็นเสื้อกระโปรงสีฟ้าอ่อนเข้ากัน
"จะทานมื้อเที่ยงไหมคะปู่?"
ปกติชายชราทานแค่มื้อเช้ากับมื้อเย็นร่วมกับหล่อน
แต่ในวันเสาร์อาทิตย์อย่างนี้ก็ไม่แน่ ถ้าหิวท่านก็จะทาน
ถ้าไม่หิวก็ให้หล่อนทานเองคนเดียว
"เอา...เผื่อให้เต้เขาที่หนึ่งด้วย"
"ค่ะ"
หญิงสาวรับคำแล้วก้าวลงบันไดไป
เกาทัณฑ์รีบบอกปู่ทันทีที่ร่างหล่อนลับตา
"ให้ผมลงไปช่วยแพนะครับ"
โดยไม่ต้องมีมารยาทรอแม้แต่อาการพยักหน้าของปู่
แค่ขาดคำร่างสูงก็ย้ายผลุบลงจากเรือนไปทันใด
มาทันหญิงสาวเมื่อหล่อนเข้าห้องครัวแล้ว
แพตรีเหลียวหลังมาเห็นเกาทัณฑ์เข้าก็แปลกใจ ส่งสายตาเป็นเครื่องหมายคำถาม
เมื่อเห็นเขาไม่พูด เอาแต่ยิ้มยิงฟันก็สอบว่า
"ต้องการอะไรคะ?"
"ปละ...เปล่า"
"งั้นตามดิฉันลงมาทำไม?"
หล่อนเคยนิ่มนวลเช่นไรก็ยังคงนิ่มนวลเช่นนั้น
ทว่าถ้อยคำที่ส่งออกมาแสดงออกถึงความต้องการช่องว่างอย่างเห็นได้ชัด
"ตามลงมาดูว่าผมจะพอเป็นลูกมือแพบ้างได้ไหม
ผมทำกับข้าวเก่งนะ"
"ไม่รบกวนหรอกค่ะ
ดิฉันตั้งใจจะทำข้าวผัดง่ายๆ ทำคนเดียวก็พอ"
"ผมคอยช่วยแพจัดจานชาม
ยกถาดก็แล้วกัน"
"แค่สามจานเบานิดเดียว ปล่อยเป็นหน้าที่ดิฉันดีกว่า
ไปนั่งคุยกับคุณปู่ต่อเถอะนะคะ"
พูดแล้วก็หันไปจัดข้าวของ
นำจานถั่วฝักยาวมาหั่นเป็นท่อนสั้นๆที่โต๊ะกลาง ชายหนุ่มยิ้มกริ่มยืนอยู่ที่เดิม
หล่อนไล่ด้วยคำพูดปฏิเสธการต่อรองเสนอตัวของเขา
ทว่ามิได้หันมาสำทับด้วยสายตาจริงจังแต่อย่างใด คงแปลว่าถ้าเลือกที่ยืนดีๆ
ก็คงไม่ถูกมองว่าเกะกะเท่าไหร่
ครู่หนึ่งเมื่อสำเหนียกรู้ว่าเขาปักหลักกับที่แน่
แพตรีก็พึมพำ
"เราทานอาหารมังสวิรัติกัน
อาจไม่ถูกปากคุณ"
"งั้นหรือฮะ"
เกาทัณฑ์เบิกตาเล็กน้อย "อยากรู้เหมือนกันว่าอาหารมังสวิรัติรสชาติเป็นยังไง
เผื่อติดใจอาจคิดทานไปเรื่อยๆมั่ง"
พูดพลางวิตกเล็กๆ
รู้จักหล่อนเพิ่มขึ้นอีกนิด ในแง่มุมที่ค่อนข้างน่าลำบากใจ
แค่นึกว่าวันหนึ่งถ้าพาไปทานข้าวมื้อเที่ยงหรือมื้อเย็นนอกบ้าน
จะหาร้านมังสวิรัติที่ไหนดีก็เหนื่อยแล้ว
“แพกับปู่คงเคร่งน่าดูเลย
ออกข้างนอกก็ทานกันอย่างนี้หรือฮะ?”
เกาทัณฑ์ถามให้ฟังปกติ
แพตรีไม่ทันคิดว่าเขาถามด้วยความกังวลไปถึงอนาคตก็ตอบตามซื่อ
“ค่ะ”
“คงหาร้านยากเหมือนกันใช่ไหม?”
พูดแล้วนึกได้ว่านั่นเป็นการถามเชิงบ่นในเรื่องส่วนตัวหล่อนก็รีบเปลี่ยนเรื่อง
"ผมถือว่าตัวเองเป็นหนี้บุญคุณแพเรื่องหนึ่ง"
ชายหนุ่มทอดตามองงานในมือแม่ครัวสาว
ชอบกิริยานิ่มนวลทว่าฉับไวชวนมองเพลินอันเป็นหนึ่งในคุณลักษณ์ของหล่อน
ท่าทางแพตรีคงเก่งงานบ้านไปทุกอย่าง
"เรื่องอะไรคะ?”
เกาทัณฑ์ถอยเท้าไปพิงขอบโต๊ะ
ยกแขนกอดอก
"แพนำผมไปพบกับพระดี
เชื่อไหมว่าตอนนี้ผมฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่านแล้ว?"
หญิงสาวเงียบเป็นครู่
ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบานุ่มทว่ามีกังวานและน้ำหนักจริงใจ
"อนุโมทนาด้วยค่ะ"
วางมือจากมีดแล้วหันไปตั้งกระทะ
เทน้ำมันพืชและเจียวกระเทียมบนเตา
"ไม่ถามหรือฮะว่าผมเรียนอะไรมาบ้าง
ถึงอ้างได้ว่าเป็นลูกศิษย์ท่าน"
"ค่ะ
ถาม...คุณเรียนอะไรมาบ้างคะ?"
ชายหนุ่มหัวเราะตาเป็นประกาย
คำพูดของแพตรีมีเสน่ห์บางชนิดที่ตรึงใจคนฟังอย่างละเมียดละไม อยู่ใกล้หล่อนเหมือนห่างไกลออกมาจากสิ่งที่เคยเห็น
เคยได้ยินมาก่อนทุกอย่าง
"ท่านสอนให้ผมทำสมาธิ
และตอนนี้ผมรู้แล้วล่ะว่าพระดีท่านบวชกันเพื่อกิจชนิดไหน"
ด้วยสติสตังในขณะนั้น
เกาทัณฑ์รู้สึกตัวขึ้นมาว่ากำลังจะทำตนเป็นฆ้องที่อยู่ๆก็ดังขึ้นเอง
อยากคุยโวจนคันปากยิบๆว่าได้ลุถึงสมาธิระดับใด รวดเร็วน่าอัศจรรย์ปานไหน
แต่ก็ประจักษ์ใจในบัดนั้นว่าเรื่องสมาธินี่เอามาอวดกันเหมือนโชว์ฟอร์มเด่นในเกมกีฬาไม่ได้
มันเป็นของข้างใน พูดออกไปแล้วคนฟังจะรับอะไรนอกจากฝอยน้ำลาย
ด้วยดำริประการฉะนี้
เกาทัณฑ์จึงเบนเข็มไปสรรเสริญผู้อื่นเสียแทนความอยากโอ้อวดฤทธิ์เดชในตน
"อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่าตอนวัยรุ่นผมเคยเข้าคอร์สฝึกสมาธิกับเขามาแล้วแต่เหลว
นึกด้วยซ้ำว่าคงเอาถ่านทางนี้ไม่ไหว
ใจมันคะนองเกินกว่าจะบังคับตัวนั่งนิ่งๆยังกับถูกสาปให้เป็นใบ้
มาวันนี้เพราะพระที่ทรงคุณอย่างหลวงตาแขวนแท้ๆทำให้ผมตาสว่าง
ได้รู้จักรสชาติหวานชื่นของสมาธิกับท่านบ้าง ถึงจะเตาะแตะไม่ประสีประสาเท่าไหร่
ก็นับได้ว่าเริ่มอยากสร้างความก้าวหน้าให้กับตัวเองบ้างแล้ว”
เว้นจังหวะนิดหนึ่ง
เอียงคอเพ่งตานิ่ง หวังว่าหล่อนจะเหลียวมามอง แต่ก็เปล่า
“และจะใครถ้าไม่ใช่แพ
ที่นำผมไปพบกับหลวงตาแขวน ผมจึงถือว่าแพมีบุญคุณกับผม ผมจะจำไว้"
"เป็นวาสนาของคุณต่างหากล่ะคะ
ดิฉันไม่ได้มีส่วนช่วยด้วยเจตนาสักหน่อย อยู่ๆก็เป็นธุระขนถังสังฆทานให้เอง"
พูดเท้าความถึงวันที่เขาเจ้ากี้เจ้าการอาสาช่วยเหลือโดยหล่อนไม่ได้วานขอ
พลางตักข้าวจากหม้อหุงซึ่งอุ่นและทิ้งให้เย็นล่วงหน้าไว้แล้วลงกระทะน้ำมันร้อนได้ที่
ตามด้วยเครื่องปรุงอื่นๆพวกถั่วฝักยาว ถั่วแดง ถั่วลิสง ซอส
ซีอิ๊วขาวและน้ำตาลทราย ลงตะหลิวผัดคลุกแกร๊กๆ
"อือม์ จริง นึกได้ล่ะ
เพราะความยุ่มย่ามอยากช่วยเหลือคนดีอย่างแพ จึงนำผลดีๆกลับมาตอบแทนอย่างนี้"
เกาทัณฑ์เออออรับยิ้มๆ
"รู้ไหม ผมเคยได้ยินมานะ
ว่าเข้าใกล้คนมีบุญนี่จะมีจิตใจเป็นบุญตาม ผมก็ฟังแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวหรอก
เพราะตลอดมาเคยแต่เข้าใกล้คนมีจิตใจชุ่มบาปด้วยกัน
และผมก็คงพบเห็นอยู่แค่นั้นตลอดไป ถ้าวันก่อนผมไม่คิดมาเยี่ยมปู่ที่นี่"
หล่อนง่วนผัดข้าวหอมฉุยโดยไม่โต้ตอบ
เกลี่ยข้าวไปรอบกระทะ เหลือที่ว่างตรงกลางเติมน้ำมันตอกไข่ใส่
รอจนเหลืองจึงนำข้าวกลับมาผัดคลุก
เกาทัณฑ์มองหล่อนทำอาหารจากด้านหลังแล้วเกิดความรู้สึกแสนดี
สาวที่เป็นแม่บ้านแม่เรือนสมัยนี้หายาก
แบบแผนของสังคมรุ่นใหม่เลิกยกย่องเสน่ห์ปลายจวักของเพศหญิงมานานแล้ว
ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกุ๊กตามเหลาตามร้านนอกบ้านไป
นานๆแหละถึงเจออย่างแพตรีที่หน่วยก้านบอกเลยว่าใช่อะไรที่เขาเรียกแม่ศรีเรือน
ผู้ทำให้บ้านมีความหมายในใจเหนือกว่าอิฐปูนคุ้มแดดคุ้มฝน
"ผมอยากได้ส่วนบุญจากแพบ้าง...นี่ไม่ได้หมายความว่าเป็นเปรตนะ
อย่าเข้าใจผิด เป็นมนุษย์นี่แหละ แต่ยังไม่ประสาเรื่องบุญเรื่องกุศลเท่าไหร่
ต้องพึ่งพาคนอิ่มบุญอย่างแพไปก่อน"
เห็นเสี้ยวหน้าของหล่อนจากมุมเยื้องว่ายิ้มขันในวิธีพูดของเขา
โดยพื้นฐานแล้วแพตรีน่าจะเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
ธรรมะในจิตใจเท่านั้นที่ยกหล่อนขึ้นสูงจนเหมือนเกินเอื้อม
"ถ้าได้แพเป็นกัลยาณมิตร
เป็นพี่เลี้ยงคอยชี้นำ คอยบอกว่าอย่างนี้ชอบ อย่างนี้ไม่ชอบ วันหน้าผมคงไปรอด
ไม่โดนมารฮุบไปกินเสียก่อนถึงฝั่ง"
"คุณก็ศิษย์มีอาจารย์
อย่ามาถ่อมตัวรับการตักเตือนติติงจากดิฉันอีกเลย"
"อาจารย์อยู่กับลูกศิษย์ตลอดเวลาไม่ได้นี่ฮะ"
พูดเฉียดๆจะลดเลี้ยว
คล้ายบอกว่าต่อไปอยากให้หล่อนอยู่กับเขาตลอดเวลา
และเป็นธรรมดาที่แพตรีคงพบกับพวกช่างเกี้ยวมาแต่แรกสาว
หล่อนจึงพอจะไหวตัวทันและสงบคำไป
"ผมเชื่อว่าใจบุญอย่างแพยินดีช่วยคนเพิ่งเริ่มหัดว่ายน้ำให้เอาตัวรอดได้แน่ๆ
จริงไหม?”
หญิงสาวเงียบอย่างคิดหาคำพูด
ที่สุดก็เอ่ยออกมา
"อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะคะ
แพ...ดิฉัน..."
เกาทัณฑ์หูผึ่ง
ยิ้มกว้างจนเห็นฟันเต็มปาก อย่างนั้นซี่แม่เอ๋ย
ใจหล่อนคงเริ่มรู้สึกคุ้นสนิทกับเขาแล้ว ถึงเผลอเรียกชื่อเล่นตัวเองออกมา
ประเดี๋ยวเถิด เขาจะพังกำแพงที่หล่อนตั้งขึ้นกั้นชายแปลกหน้าให้สำเร็จในเร็ววัน
"เกรงว่าคุณจะเข้าใจบางอย่างผิดไป
ดิฉันยังไม่ได้ดีอะไรเลย ใจยังมีกิเลสอยู่มาก รู้สึกว่ายังบุญน้อย
ไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยใครให้ได้ดีขึ้นมา"
"บ้านนี้ชอบถ่อมตัวกันจัง
แพกับปู่ถ่อมตัวทีไรผมสะดุ้งทุกที ถ้าอย่างแพบุญน้อย
ผมไม่กลายเป็นองคุลีมาลเหรอะ"
แพตรีปล่อยหัวเราะออกมาหน่อยหนึ่ง
ที่ตรงนั้นเกาทัณฑ์คิดว่าหล่อนเริ่มมาอยู่ในบรรยากาศของเขาบ้างแล้ว
“ท่านองคุลีมาลความจริงเป็นคนดีนะคะ
ที่พลาดผิดไปชั่วขณะ ไล่ฆ่าคนไม่เลือกหน้าก็เพราะถูกหลอกให้อยากได้วิชา
เมื่อพบพระพุทธองค์แล้วก็สำนึกเร็ว และออกถือบวชจนสำเร็จมรรคผลขั้นสูงสุด
เป็นพระผู้หมดกิเลสในเวลาอันสั้น
เราต้องกราบไหว้บูชาฐานะสุดท้ายของท่านเท่าพระอรหันต์องค์อื่น”
"อ๋อ…ฮะ"
เกาทัณฑ์ครางรับรู้ ผู้ศรัทธาจริงย่อมละเอียดอ่อนแม้กับสิ่งที่ถูกมองข้ามโดยคนหมู่มาก
ชายหนุ่มเงียบไปพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นมาลอยๆ
“ผมต้องเร่งทำความดีให้เร็วหน่อยเหมือนกัน
ไม่งั้นเดินไปเดินมาในบ้านนี้อยู่ดีๆ…อาจถูกธรณีสูบจ๊วบเดียวหายไปเลย”
เขาทำทีวิตกร้อนตัวและใช้สุ้มเสียงได้น่าขัน
ส่งผลคือหญิงสาวยืนหัวเราะร่วนให้ได้ยินเป็นครั้งแรก
เกาทัณฑ์นิ่งฟังด้วยนัยน์ตาเป็นประกายสุข อึดใจต่อมาหล่อนจึงหยุด
หยุดแบบเงียบไปเฉยๆ ก่อนเหลียวหน้ามาหาเขาเนิบช้า สบตาและส่งยิ้มให้
"ส่งจานให้หน่อยสิคะ"
เกาทัณฑ์เบิกตานิดหนึ่ง
สะบัดมองซ้ายขวารวดเร็ว เมื่อเห็นชั้นวางจานก็รีบก้าวไปหยิบมาสามใบ
แล้วเข้าไปยืนรีรอใกล้ๆเตรียมยื่นส่ง
เมื่อแพตรีผัดจนร้อนทั่วแล้วก็หันมารับจานจากเขาไปตักข้าวใส่ทีละใบ
ใกล้หล่อนเพียงก้าวเดียว
รู้สึกเย็นเข้าไปถึงกลางอก หล่อนคนนี้แน่แล้วที่เขาต้องการ
หวั่นใจก็แต่ว่าเขาอาจไม่เป็นที่ต้องการของหล่อน
ครั้งเมื่อแพตรียังอยู่ในวัยช่างฝัน ไม่รู้จักโลก ไม่ซึ้งรสธรรมะ
เห็นเด็กหนุ่มรูปงามเป็นเจ้าชายในนิทานไปหมด
เขาเคยทำลายความรู้สึกของหล่อนมาแล้วด้วยสีหน้าเย็นชาตอบยิ้มทอดไมตรี
เข้าใจดีว่าหล่อนเคยรู้สึกอย่างไร เดาไม่ถูกเท่านั้นว่าเดี๋ยวนี้ยังจำยังย้ำคิดแค่ไหน
ความหลงที่กลายเป็นเกลียดของผู้หญิงส่วนมากยากนักจะแก้กลับให้เป็นตรงข้าม
เกาทัณฑ์เป็นคนนำจานข้าวมาวางบนโต๊ะ
เพียงเห็นข้าวเรียงเม็ดสวยและได้กลิ่นหอมโชยแตะจมูกก็รู้เลยว่าอร่อย
แพตรีเอามะเขือเทศมาใส่พร้อมแตงกวากับผักกาดหอม ระหว่างที่หล่อนจัดหน้าให้ดูดีอยู่นั้น
เขาก็ช่วยหยิบกระปุกพริกไทย น้ำส้ม น้ำตาล
กับซีอิ๊วขาวซึ่งผู้นิยมมังสวิรัติใช้แทนน้ำปลามาวางร่วมกันในถาดเล็ก
ปากก็ถามเอื่อยๆ
"บอกได้ไหม
ที่สุดของความพอใจสำหรับแพคืออะไร?"
เมื่อเขาทำท่าเข้าใกล้เกินจำเป็น
แพตรีก็ขยับห่างไปยืนล้างมือที่อ่างอะลูมิเนียมอีกทาง
“การได้อยู่อย่างสบายใจ
ไม่มีใครมาเบียดเบียนมั้งคะ”
ชายหนุ่มตะแคงหน้ามอง ยิ้มมุมปาก
หล่อนยืนหันหลังให้เขาอีกแล้ว
เชื่อเชียวล่ะว่าผู้หญิงคนนี้อยู่คนเดียวได้ด้วยความสุขกับตัวเองตามลำพัง
เสียงที่หล่อนใช้ตอบแฝงสำเนียงปิดกั้นการพยายามตีสนิทของเขาค่อนข้างชัด
เกือบล้อว่าถ้าชอบอย่างนั้นสงสัยต้องไปอยู่ป่าแบบทาร์ซาน แต่ไม่แน่ใจว่าหล่อนจะขำด้วยหรือเปล่า
เลยพูดอีกอย่าง
“สันโดษดีนะ
คงต้องขอวิธีปฏิบัติจิตให้เกิดความสุข ความพอใจจะได้อยู่คนเดียวแบบแพบ้าง
ทุกวันนี้ผมค่อนข้างจะติดเพื่อน ติดญาติมากไปหน่อย”
หญิงสาวปิดน้ำ เช็ดมือกับผ้าบนผนัง
แล้วหยิบถาดใหญ่จากชั้นวางเดินกลับมาที่โต๊ะ ระหว่างทางก็ตอบว่า
"คุณเป็นลูกศิษย์หลวงตาแขวนแล้วนี่คะ
สักวันดิฉันอาจต้องถามขอวิธีปฏิบัติจิตให้เกิดความสุขจากคุณบ้างก็ได้"
"ถึงวันนั้นผมก็คงบอกแพทันทีว่า...จงเป็นตัวเองต่อไป"
"ดิฉันก็จะตอบค่ะว่า...แค่นั้นไม่พอหรอก"
เมื่อจัดจานใส่ถาดเรียบร้อย แพตรีทำท่าจะยกขึ้น
"ให้ผมยกไปเถอะครับ"
แขนมาซ้อนกันแนบเนื้อแตะเนื้อนิดหนึ่ง
หญิงสาวรีบหลีกตัวออกมาอย่างทราบเจตนาล่วงเกินของอีกฝ่าย
เกาทัณฑ์หันไปพบแววระคางในดวงตาคู่งาม จึงรู้ตัวว่าพลาดไปหน่อย
อดใจไม่ไหวจริงๆที่จะแตะต้องตัวสักนิดเมื่อสบโอกาส
วันหนึ่งเขาจะเป็นเจ้าของทั้งหมดที่เป็นหล่อนไม่ว่ากายหรือใจ
ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น