บทที่ ๘ ฝันหวาน
ในความหลับใหลอย่างอิ่มเอมเปรมสุข
เกาทัณฑ์รู้สึกเหมือนความรับรู้แผ่กว้างออกไปในอาณาเขตห้อง สว่างไสวเรืองรอง
ตัวสติทั้งเหมือนมีและไม่มีครือกัน คล้ายใจรู้ตัวว่าเป็นนายเกาทัณฑ์
แต่คิดอย่างที่นายเกาทัณฑ์คิดไม่ได้ ควบคุมตัวเองไม่ได้
เลือนรางเหมือนอุปาทาน
ในความสว่างที่แผ่ไปนั้นส่องกระทบข้าวของต่างๆและส่งภาพกลับมาให้ใจเห็นเป็นเค้าเป็นเงา
ดูคล้ายเป็นเรื่องปกติ ในเมื่อจิตสว่างและแผ่พ้นกายก็ต้องเห็นรอบกายไปด้วย
แล้วก็เกิดชั่วขณะแห่งการเปลี่ยนแปลงอันน่าประหลาด
คล้ายตกไปอยู่ในห้วงภวังค์ครู่ใหญ่ จากนั้นกลับมารู้สึกตัวว่าตนมีร่างเหยียดนอน
แล้วเหมือนเปลี่ยนอิริยาบถอย่างรวดเร็วจากนอนกลายเป็นเดิน
เคยเต็มตื่นอย่างไรก็อย่างนั้น
เกาทัณฑ์เห็นตนเองก้าวเข้าไปในเขตบ้านของปู่ชนะ
และด้วยตาเปล่าที่มองทุกสิ่งได้ชัดผิดปกติ เขาเห็นรังสีกุศลฉายแสงอยู่ทั่วไป
คล้ายกับอากาศสว่างในตัวเองด้วยแสงทองงามละไมเย็นตาเย็นใจ
รู้สึกเป็นสุขและปลอดภัยยิ่ง
ลมหายใจสดชื่นบริสุทธิ์ราวกับอยู่บนยอดผาสูงในเวลาเช้าตรู่
มีกลิ่นหอมรวยรินของดอกไม้นานาพันธุ์กระจายตัวอย่างอ่อนโยนทั่วทุกหนทุกแห่ง
บังเกิดความคิดขึ้นมาในบัดดลว่าปู่ชนะกับแพตรีมีบุญมากจริงๆ
ที่อยู่อาศัยจึงเอิบอาบไปด้วยสันติสุขควรพิสมัยปานนี้
น่าปลาบปลื้มชื่นชมด้วยเหลือเกิน
ในเขตอันชะโลมไปด้วยความฉ่ำชื่นอย่างบอกไม่ถูกนั้นทำให้เขาเปิดยิ้ม
เป็นยิ้มอิ่มใจที่เป็นไปเองโดยปราศจากเจตนาช่วย
เดินอ้อมไม้ใหญ่หน้าบ้าน
บ้านปู่ดูกว้างโล่งกว่าเคย เรียงรายด้วยบุปผชาติอันทรงชีวิตชีวาเหลือคณานับ
ในชั่วเวลานั้นเกาทัณฑ์เกิดความเข้าอกเข้าใจว่าดอกไม้ส่งยิ้มให้คนได้อย่างไร
พวกมันยิ้มได้จริงๆ ไม่ใช่เรื่องเล่น เพียงแต่มิได้ใช้ปากเหมือนอย่างคน
ทว่าใช้ความมีชีวิตชีวาทั้งหมดนั่นแหละยิ้ม
ด้วยนิสัยช่างหาเหตุผลประจำตัว
เกาทัณฑ์คิดๆแล้วก็บอกตนเองว่าเพียงสัมผัสถึงความมีชีวิตของต้นไม้
กระแสใจที่เข้าถึงจะทำให้เกิดภาวะเห็นที่แตกต่างไป
เราจะรู้ได้ว่ามันกำลังแย้มยิ้มหรืออับเฉา
ปกติเราไม่รับรู้สุขทุกข์ของต้นไม้เพราะไม่ใส่ใจ ไม่สัมผัสเข้าถึงความมีชีวิตของมัน
คนจึงเห็นต้นไม้เป็นวัตถุธรรมดาเช่นเดียวกับอิฐปูน
ภาวะการเห็นจึงไม่ผิดไม่ต่างไปจากภาวะการเห็นสิ่งไร้ชีวิต
ต่อเมื่อสำเหนียกกำหนดถึงความมีชีวิต จึงจะมีคลื่นความรู้บวกเข้าไปในคลองสายตาได้
บัดนี้เขาเห็นความมีชีวิตของบรรดาพฤกษ์พันธุ์อย่างชัดเจนเหลือเกิน
ไม่ว่าจะนิ่งหรือไหวไกวตามสายลมผ่าน
ทั้งหมดล้วนเป็นกิริยาของสิ่งมีชีวิตชัดตาชัดใจราวกับถูกขยายด้วยแว่นวิเศษไร้ตน
เหมือนพวกมันจะพูดทักทายยินดีต้อนรับเขาได้ฉะนั้น
ขณะเพลินกับมิติใหม่แห่งสัมผัสภายในนั่นเอง
ก็เผอิญเหลือบแลไปเห็นสาวน้อยนางหนึ่งนั่งอยู่บนชิงช้ากลางลานหญ้าขจีนุ่ม
ชายหนุ่มหันขวับไปมองตรงๆ
หล่อนอยู่ในชุดขาวสะอาดและมองจับมาทางเขาอยู่ก่อนด้วยนิลเนตรทอดสงบ
เกาทัณฑ์ยิ้มกว้างขึ้น
ผู้หญิงคนนั้นมีความงดงามที่ก่อความรู้สึกแสนดีได้ล้นใจ
ดีจนแทบไม่อาจเห็นด้วยซ้ำว่าเป็นเพียงอิตถีเพศ ราวกับหล่อนมีภาวะที่ดูเกินความเป็นอิสตรีไปอย่างยากจะอธิบาย
เดินเข้าไปหาหล่อน เหมือนคนกันเอง
อยู่บ้านเดียวกันมานมนาน ถึงจะห่างกันไปพักหนึ่ง
ในที่สุดก็กลับมาอยู่ด้วยกันได้ด้วยบรรยากาศความสนิทแน่นแฟ้นดังเดิม
"แพนั่งอยู่ที่นี่นานแล้วหรือ?"
ได้ยินตนเองกล่าวทักออกไปเช่นนั้น
เขาเห็นหล่อนพยักหน้ายิ้มให้ เป็นยิ้มละไมที่แฝงความเศร้าอย่างน่าประหลาดชวนใจหาย
"แพรอพี่เต้อยู่นานแล้ว"
กระแสเสียงนุ่มเย็นนั้นเป็นเสมือนไฟฟ้าแรงสูงที่ทำเอาเขาชาดิกไปทั้งร่าง
หล่อนเรียกชื่อเขาเป็นครั้งแรก แถมด้วยความในใจที่เกินเชื่อว่าจะเป็นจริง
นั่นแลกได้กับรางวัลมีค่าที่สุดเท่าที่เขาเคยรับมาชั่วชีวิตทีเดียว
"รอพี่..." เขาชักเงอะงะ
เพราะตื้นตันจนพูดอะไรไม่ถูก "พี่อยู่ตรงนี้แล้ว จะช่วยอะไรแพได้บ้างล่ะ?"
สายลมหอบหนึ่งรำเพยผ่าน
ปอยผมบนหน้าผากของหล่อนไหวตัวน้อยๆ ดวงตาคู่งามเหมือนจะส่งแสงพ้อมายังเขา
เกาทัณฑ์รู้สึกผิดและอบอุ่นยินดีปนเปกันอย่างยากจะแยก
"แพเหงากับการรอจนกลายเป็นสุขที่ได้เลิกรอแล้วล่ะค่ะ
ไม่ต้องช่วยแล้ว..."
บรรยากาศทั่วบริเวณกลายตัวจากความอบอุ่นเป็นวังเวงไปในทันที
เกาทัณฑ์เกิดความเวทนาหล่อนอย่างจับใจ
"พี่จะอยู่เป็นเพื่อน"
ชายหนุ่มลดตัวลงนั่งชันเข่าข้างหนึ่ง
วางมือลงบนตักหญิงสาวอย่างปลอบประโลม
สายตาที่ส่งไปยังหล่อนเปี่ยมไปด้วยความเห็นใจอย่างลึกซึ้ง เขายิ้มอย่างชาย
รู้สึกถึงไหล่ที่ตั้งผงาดและพลังความเข้มแข็งในตัว
บอกตนเองว่าพร้อมจะปกป้องหล่อนจากทุกสิ่ง
แพตรีทอดตาลงมอง เกาทัณฑ์สัมผัสได้ถึงความไม่เชื่อถือในตาคู่นั้น
"ทำไมถึงไม่เชื่อพี่ล่ะ?"
เขาถามออกมาตรงใจ
ที่นั่นเขากับหล่อนสามารถคุยกันได้โดยไร้ม่านอันใดปิดบัง
แพตรีขยับหน้าตักและผลักมือเขาออกโดยละม่อม
"พี่มองเห็นแต่ความสวยของผู้หญิง
ไม่เคยเห็นตัวของแพหรอก วันที่แพไม่สวย พี่ก็จะมองผ่านแพไป
อย่าว่าแต่คิดอยู่เป็นเพื่อนเลย"
เกาทัณฑ์ส่ายหน้า
"วิธีคิด
วิธีพูดของแพนี่หลับตาก็รู้ได้ว่าสวย
แต่แพคงกำลังพูดถึงความสวยที่ต้องลืมตาเสียก่อนถึงจะเห็น
ถ้าอย่างนั้นพี่เห็นวิธีที่แพยิ้ม วิธีที่แพใช้สายตามองคนอื่น
นั่นก็พอแล้วกับการผูกใจให้อยู่นิ่ง ถ้านิสัยใจคอยังเป็นอยู่อย่างนี้
จะมีวันไหนที่แพไร้ความสวยให้พี่มองผ่านได้?”
แพตรีนิ่งไป
เขาน่าจะได้เห็นหล่อนโอนอ่อน แต่ก็ไม่ใช่
"คำพูดของพี่ลบความจำแพไม่ได้เสียด้วยสิคะ
ในวันที่แพดูต่ำต้อย พี่มองผ่านแพไปเหมือนไม่มีแพอยู่ในทางตา ทั้งที่...นานมาแล้ว เราเคยอธิษฐานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่วมกันว่าจะรักและจดจำกันไปทุกภพทุกชาติ"
ชายหนุ่มเย็นวูบไปตลอดสันหลัง
ขนลุกเกรียวตั้งแต่หนังศีรษะแล่นลงไปจนถึงฝ่าเท้า ณ
บัดนั้นเขาพบบางสิ่งที่ขาดหายไป บางสิ่งที่เคยถวิลหา ทว่าตลอดมาไม่รู้ว่าคืออะไร
"พี่..." เกาทัณฑ์นึกหาคำแก้ตัวไม่ทัน
"ตอนที่เรายังเด็กอยู่ด้วยกัน ตอนนั้นพี่ค่อนข้างจะ...ไม่ชอบมองคน"
"ค่ะ
ถ้าคนไม่สวยจะไม่ชอบมองเลย"
เป็นคำตัดพ้อที่ทำให้เกาทัณฑ์สะอึกอึ้ง
กระแอมทีหนึ่งอย่างเกือบจนปัญญา ทำไมถึงเค้นหาคำพูดยากนัก
สมองว่างวายราวกับกำลังอยู่ในฝัน…นี่เขากำลังฝันไปหรือเปล่า? ถ้าเป็นฝันทำไมสาวน้อยที่นั่งอยู่เบื้องหน้าถึงดูมีชีวิตจิตใจ
คิดอ่านโต้ตอบได้ปานนั้น?
หลังจากเพียรสรรถ้อยอยู่นานก็นึกออกจนได้ว่าควรจะพูดอะไร
คำแก้ตัวพรั่งพรูออกจากปากอย่างรวดเร็วราวกับน้ำไหล
"ในความเป็นเด็ก
เรารู้จักแต่สิ่งกระตุ้นความสนใจที่เด่นชัด แต่เมื่อโตขึ้น
เราก็จะรู้จักสำรวจคุณค่าของสิ่งต่างๆ
แยกแยะได้ออกว่าหลายสิ่งในโลกนี้ไม่ควรมองผ่าน
และถ้าได้รู้ว่าครั้งหนึ่งเคยมองผ่านสิ่งมีค่ามาแล้วด้วยความโง่เขลา
ทั้งหมดที่ทำได้ก็คือสำนึกเสียใจและอยากพูดว่า...พี่ขอโทษ"
ถ้อยสุดท้ายนั้นหนักแน่นด้วยสำนึกอย่างชาย
ทว่าแฝงกระแสความอ่อนโยนจริงใจจนทำให้แววหมางในตาสวยจางลง
"พี่พูดเก่งนะคะ"
หล่อนลุกขึ้นยืน "แต่คนไม่จริงใจเท่านั้นแหละที่พูดเก่ง"
เกาทัณฑ์ลุกขึ้นยืนตาม
"ถ้าไม่ให้พูดพี่ก็จะแทนด้วยการทำให้แพเห็น…พี่จะจริงใจกับแพ"
หญิงสาวช้อนตาขึ้นสบ
นัยน์ตาเงางามทอแสงเข้มกว่าเมื่อครู่
“อย่าเลยค่ะ แพเห็นอนิจจังแล้ว
ต่อให้เคยครองกัน อธิษฐานร่วมกัน ซื่อสัตย์ต่อกันจนนาทีสุดท้าย
เมื่อถึงเวลาก็ต้องลืม ต้องพรากจาก
ต้องกลายเป็นคนแปลกหน้ากัน…แพลาพี่ไปตามทางดีกว่า จะได้ไม่ต้องเจอให้จำแล้วลืมกันอีก”
แม้ฟังไม่เข้าใจกระจ่างนัก
เกาทัณฑ์ก็ใจหายจนเผลอยึดข้อมือหล่อนไว้
“แพพูดเรื่องอะไรอยู่หรือ? ถ้าทำผิดเพราะเจตนา พี่จะชดใช้ให้จนกว่าแพจะพอใจ
แต่ถ้าหากเกินวิสัยที่คนธรรมดาคนหนึ่งจะรู้ ก็ขอให้บอกดีๆ
อย่าเก็บงำแล้วตัดบทอย่างไม่ให้โอกาสกัน”
หญิงสาวดึงข้อมือออกจากการกุมของเขา
“ของแบบนี้ถ้าไม่รู้เองก็อย่ารู้จากคนอื่นเลยค่ะ”
เกาทัณฑ์ถอนใจเฮือกก่อนหัวเราะอย่างอัดอั้น
“แพเป็นเสียอย่างนี้”
“ค่ะ…เป็นอย่างนี้แหละ”
แล้วหล่อนก็หันหลัง
ท่าทางกำลังจะเดินจากไปเฉยๆ
“เดี๋ยวซี่แพ…”
ชักงงเมื่อรู้สึกว่าเท้าชา
มือชาอย่างรวดเร็ว และไล่ลามไปถึงประสาทรับรู้ส่วนกลาง
เหลือเพียงสายตาที่ยังเห็นภาพตรงหน้า แพตรีกำลังเดินห่างออกไป
หล่อนจะรู้หรือเปล่าว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา
“แพ…”
เหมือนมีนุ่นยัดลงไปในคอ
จะอ้าปากก็อึดอัด ยิ่งฝืนก็ยิ่งเลือน จนกระทั่งที่สุดเห็นหล่อนเหลียวกลับมา
ซึ่งก็คงหันตามเสียงเรียกสุดท้ายของเขา เกาทัณฑ์เห็นแววหมางเมินเหินห่าง
รู้สึกทรมานกับภาพชนิดนั้น หล่อนกำลังตั้งใจเดินจากเขาไป…
ภาพฝันจางลง
แต่ยังทิ้งร่องรอยไว้กับความรู้สึกชัดลึกเสมือนจริง
เหมือนจะขาดใจเมื่อพบว่าภาพร่างไกลๆของแพตรีคืออากาศธาตุ
และจะเป็นอากาศธาตุไปชั่วนิรันดร์
เกาทัณฑ์ลืมตาตื่นขึ้นด้วยกิริยายกมือคว้าอากาศตรงหน้า ใจเต้นด้วยความเสียใจรุนแรง
ช่างเป็นฝันที่มีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยรายละเอียดแจ่มชัดอะไรปานนั้น
ทั้งสว่างหวานตรึงใจ และทั้งเศร้าสร้อยกัดลึกปนกันจนหยุดความคิดทุกชนิดลงพักใหญ่
เกาทัณฑ์นอนตาค้างก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่งนิ่ง
บอกตนเองด้วยใจชื้นว่าในโลกแห่งความจริง หล่อนยังอยู่
ยังรอให้เขาใช้ความพยายามไขว่คว้ามา
นาฬิกาบอกเวลาเกือบห้าทุ่ม
เขาเห็นแค่นั้น แล้วเหมือนมีแรงผลัก มันไม่ใช่ตัวเขาเองเลยที่ลุกขึ้นคว้ากุญแจรถ
เปิดปิดประตูห้องปึงปังลงไปยังลานจอดรถ
นำพาหนะคู่กายโลดแล่นออกสู่ถนนสีชมพูอันวายรถอย่างเป็นใจให้กดเท้าเหยียบคันเร่งลึก
ทะยานตัวด้วยประสิทธิภาพเครื่องยนต์กำลังสูง
พุ่งปราดไปจนภาพถนนและไฟท้ายรถข้างหน้าถูกดูดเข้ามาฮวบฮาบภาพแล้วภาพเล่า
รถวิ่งเร็วราวกับลูกปืน แต่ก็ไม่ด่วนเท่าทันใจเขาในยามนี้เลย
ดับเครื่องแต่ไกล
ปล่อยให้รถคลานด้วยแรงเฉื่อยมาจอดเทียบหน้าบ้านกลางซอยอย่างแช่มช้า
สติค่อยกลับมาเป็นตัวของตัวเองเหมือนกายเพิ่งตามใจทัน
เกาทัณฑ์มาบ้านนี้จนมีโอกาสสังเกตรู้ว่าห้องของแพตรีคือส่วนใด
ไฟห้องหล่อนสว่างเรือง แสดงว่ายังไม่หลับ
เป็นอันแน่ล่ะว่าเมื่อครู่เขาฝันละเมอเพ้อพกไปคนเดียว
หล่อนอาจจะกำลังอ่านตำราเรียน หรือหนังสือเกี่ยวกับต้นไม้ที่หล่อนรัก
หรือนั่งทำสมาธิภาวนาอย่างสุขสบายเอกา เขาอยากรู้แต่คงรู้ไม่ได้
มีสิทธิ์อย่างมากแค่เห็นแสงไฟห้องเปิด กับรับทราบว่าหล่อนอยู่ในนั้น
นั่งกอดอกยิ้มมองหน้าต่างห้องของหญิงสาวด้วยแรงประทับล้ำลึก
เคยเห็นเพื่อนทำอย่างนี้แล้วขำ แต่ตอนนี้เข้าใจเลย
มันไม่ใช่หน้าต่างหรอกที่ทำให้เขายิ้ม
ความรู้สึกว่าใกล้หล่อนแค่นี้ต่างหากที่ก่อสุข
คิดอยากนั่งมองไปเรื่อยๆจนกว่าใจจะพอ
ได้หล่อนมากอดคงดีกว่าฝัน…
ทั้งซอยปราศจากการสัญจร
ในความเงียบของยามดึกมีแต่เสียงจักจั่นเรไรจากพงหญ้า
ยามนี้ช่างฟังเพราะและขับกล่อมให้ใจสงบ เป็นครั้งแรกที่เขาเงี่ยหูฟังอย่างดื่มด่ำ
แสงไฟจากห้องหล่อนดูสวยหลอกตาน่าเพลินหลงเสียยิ่งกว่าคมเสี้ยวจันทร์สีเงินยวงเบื้องบน
ใจที่ฝันเพ้อทำให้โลกเปลี่ยนไปได้อย่างนี้เอง
เกือบตีหนึ่งแสงไฟจึงปิดมืด
หล่อนคงเข้านอนแล้ว เกิดความรู้สึกดีขึ้นมาขณะหนึ่ง
เหมือนตอนนั้นเขาคอยเฝ้าระวังภัยให้
และแน่ใจว่าจะไม่มีใครผ่านเขาเข้าไปหาหล่อนได้เลย
หลับตานิ่งเป็นครู่
ก่อนลงจากรถโดยตั้งใจจะเข็นไปสตาร์ทไกลๆไม่ส่งเสียงให้แพตรีได้ยิน
เพราะใจนึกเกรงไปเองว่าหล่อนคงจำเสียงเครื่องรถเขาได้และอาจชะโงกมองลงมา
กลัวเดารู้ว่าเขามาด้อมๆมองๆเหมือนกระต่ายแหงนคอมองกระต่ายอีกตัวบนดวงจันทร์
ขายหน้าตายชัก
แต่ขณะที่กำลังออกแรงดันหน้ารถก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินกังวานเสียงนุ่มของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ
"มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?"
ชายหนุ่มหันขวับ แพตรี!
หัวใจเต้นแรงเหมือนจะวาย หล่อนมายืนชิดรั้วแค่นี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เป็นนานกว่าจะปรับสติและออกแรงยิ้มเจื่อนๆสำเร็จ
"อ้อ…แพ"
เอ่ยออกมาได้เท่านั้นจริงๆ
หล่อนคงลงมาเดินเล่น เขาผิดเองที่นึกว่าไฟห้องปิดหมายถึงหล่อนเข้านอน
"รถเสียหรือคะ?"
เป็นเสียงถามตามซื่อ
ชั่วขณะนั้นหล่อนอาจยังไม่แน่ใจนักว่าอะไรเป็นอะไร
"เปล่าฮะ"
วูบนั้นเกาทัณฑ์บังเกิดความกล้าเดิมๆขึ้นมา
อาการตกประหม่าแบบวัยรุ่นเพิ่งเริ่มจีบสาวปลาสนาการเป็นปลิดทิ้ง
"รถเป็นปกติดี
แต่พี่อยากเข็นไปสตาร์ทไกลๆ เสียงเครื่องจะได้ไม่กวนแพกับปู่"
แพตรีมองไปที่รถเขาเหมือนคิดตาม
อย่างนี้แปลว่าอะไรก็ไม่ยากแล้ว ครู่หนึ่งก็กอดอกนิ่งไม่พูดจา
เกาทัณฑ์ยิ้มออกมาได้ เขารักทุกกิริยาของหล่อน
สิ่งที่แฝงอยู่ในความนิ่งและการเคลื่อนไหวของแพตรีช่างก่อความรู้สึกแสนดีให้กับคนเห็น
"เมื่อกี้แพอ่านหนังสือหรือฮะ?"
ถามอย่างใจอยากรู้ ราวกับสนิทกันพอ
หญิงสาวปรายตาสบ
แสงสลัวเลือนจากไฟแรงเทียนต่ำข้างทางพอทำให้เห็นแววห่างเหินที่ส่งมาอย่างจงใจ
"ทำธุระส่วนตัวน่ะค่ะ…คุณล่ะคะ?"
เกาทัณฑ์หน้าชา
เอ่ยคำต่อมาถึงกับอึกอัก
"พี่...เอ่อ ผม..."
อากาศชื้นน้ำค้างทำให้แยกแยะรับรู้ความแตกต่างระหว่างฝันกับจริง
ตอนนี้ของจริง
ก็ถ้าจริงแล้วทำไมต้องกลัว…
"ผมไม่ได้ตั้งใจมารบกวนแพเลย
แค่อยากรู้สึกว่าได้อยู่ใกล้แพสักพักหนึ่งเท่านั้น"
ไร้ร่องรอยเคอะเขินหรือคาดไม่ถึงใดๆในดวงตาสงบเฉย
เกาทัณฑ์เจ็บแปลบเพียงนึกว่าตนอาจเป็นไอ้หนุ่มหัวใจละลายอันดับหนึ่งร้อยที่เอารถมาจอดแหงนหน้าฝันหาดาวตรงนี้
"น่าเสียดาย..." เขาพูดคล้ายอับจน
"ทำไมเราไม่สนิทกันเสียตั้งแต่เด็กนะ
ถ้าเคยคุยกันแล้วเห็นผมเป็นญาติ…ป่านนี้แพอาจชวนผมเข้าไปนั่งเล่นข้างในมั่ง”
แพตรีเบนหน้าไปอีกทางอย่างรู้นัย
“คุณกลับเถอะค่ะ”
เกาทัณฑ์ระบายลมหายใจยาว
ห้วงฟ้ามืดดูกว้าง ลึก อลังการด้วยดวงดาวและเยือกหนาวด้วยความห่าง
เขาเงยหน้ามองเบื้องบนขณะยิ้มรับคำไล่ของหล่อน
“ฮะ…”
ตาจับดาวดวงหนึ่งไม่วางพลางเอ่ยเนิบแผ่ว “แถวนี้ดีจัง น่าปูเสื่อนอนมองฟ้านะ”
เว้นระยะไปครู่อย่างเตรียมตัดใจเอ่ยลาและหันหลังกลับ
แต่เหมือนข้างในมันเฉื่อยและเหนื่อยล้าเกินกว่าจะทำตามสมองสั่ง เบนสายตากลับมามองดวงหน้าที่ดูสงบละไมอยู่ในเงามืด
หล่อนนิ่งมองทิศทางอื่นที่ไกลจากเขามาก
"ผมรักแพ!"
เป็นเสี้ยววินาทีที่เขาเองก็คาดไม่ถึงว่าคำสารภาพหลุดจากริมฝีปากไปได้
เสียวปลาบไปตลอดทรวงอกเมื่อหลุดคำนั้นออกมา แต่ก็ดีไปอย่าง
สติถูกเรียกกลับคืนมาสานต่อความเผลอไผลอย่างรวดเร็ว
ตัดสินใจเสี่ยงทิ้งไพ่ใบสุดท้ายทั้งที่รู้เห็นแค่ครึ่งๆกลางๆ
“รู้ว่าเราเพิ่งพูดกันแค่สองสามคำ
รู้ว่าแพเห็นผมเป็นแค่นายอะไรคนหนึ่งที่มาติดหลงหน้าตา แต่ความจริงไม่ใช่
ถ้าอธิบายด้วยคำพูดที่ดีที่สุด ตรงจริงที่สุด
อย่างมากก็แค่ทำให้แพหัวเราะเยาะผมน้อยลง
เพราะฉะนั้นอย่าเพ้ออะไรให้เห็นผมเป็นตัวตลกให้มากจะดีกว่า ขอแค่พูดว่า…ถ้าแพจำผมได้
ก็อย่าแกล้งเมินกันอีกเลย”
หญิงสาวหันมาจ้อง
หล่อนยืนเม้มปากอยู่นานมาก เกาทัณฑ์ไม่กล้าพูดต่อ
เพราะลึกๆก็ไม่แน่ใจว่าตนเป็นบ้าไปคนเดียวหรือเปล่า
อดทนรอดูทีท่าของแพตรีจนหล่อนกล่าวอะไรออกมาได้เอง
"ขอโทษนะคะ
ดิฉันฟังไม่รู้เรื่อง"
แล้วหล่อนก็หมุนตัวกลับ
ทำท่าจะสาวเท้าขึ้นเรือนหนีเขา
"แพ!"
เป็นเสียงเรียกที่ประกาศิตพอใช้
หญิงสาวหยุดกึกเหมือนถูกสะกดด้วยฤทธิ์พ่อมด
"ถ้าผมละเมอเพ้อพกจนคุณคิดว่าเสียสติอยู่คนเดียวก็ช่างเถอะ
เราเพิ่งรู้จัก และคุยกันแค่นับคำได้นี่นะ
แต่สังหรณ์ว่าผมเกือบจะทำสิ่งมีค่าบางอย่างหายไป
เพียงเพราะเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้…และความลืม
เหมือนอย่างที่มนุษย์คนหนึ่งเขาเป็นกัน”
ชายหนุ่มหรี่ตาลงนิดหนึ่ง
ขณะกำลังพูดได้มีสัญชาตญาณบางอย่างเกิดขึ้นเดี๋ยวนั้น เหมือนกับเป็นตัวเขาเอง
ทว่าเป็นอีกภาคหนึ่งซึ่งอยู่ลึกลงไป และไม่เคยปรากฏแม้กับความรับรู้ของตนเอง
“ผมเห็นอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในใจคุณนะแพ
ทุกครั้งที่คุณมองผม แววตาเหมือนบอกว่าคุณรู้…หรือจำอะไรที่เกินวิสัยผมจะเดา
แต่เสียดายที่คุณคงไม่คิดบอกเล่าให้ผมฟังตลอดไป”
แพตรีขยับเหมือนจะเหลียวหน้ากลับมา
แต่แล้วก็หยุดชะงักนิ่งเสียกลางคัน เกาทัณฑ์ยกมือเกาะซี่กรงประตู
“ผมเป็นคนธรรมดา
ไม่ได้มีอำนาจวิเศษเหนือมนุษย์ มีแต่นิสัยอย่างหนึ่ง
คือเมื่อแน่ใจว่าอะไรควรเป็นสมบัติของตัว ก็ต้องเอาคืนมาให้ได้
แม้จะเคยเผลอทำหายไปครั้งหนึ่งด้วยความรู้เท่าไม่ถึง”
หล่อนยังนิ่งอยู่กับที่
ไม่เหลียวกลับ ไม่เดินหน้าต่อ ทว่าแค่นั้นเกาทัณฑ์ก็พอใจแล้ว
ชายหนุ่มกลับขึ้นรถ
สตาร์ทเครื่องและขับจากไปเงียบๆ
เหมือนมีตาที่สามมองเห็นได้ว่าเบื้องหลังที่เขาจากมานั้น
คือร่างนิ่งของหญิงสาวซึ่งยังยืนค้างอยู่ตรงจุดเดิมอีกเนิ่นนาน…
เกาทัณฑ์ยกมือไหว้ปู่อย่างนอบน้อม
ไหว้แล้วก็อดเหลียวซ้ายแลขวาล่อกแล่กไม่ได้
"มองหาอะไร?"
ปู่ถามพลางไขกุญแจประตูให้
"หาแพครับ"
เป็นคำตอบตรงไปตรงมา
ต่อไปนี้เขาจะเลิกอมพะนำเสแสร้ง...ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
ปู่ชนะหัวเราะเล็กน้อย
แต่ก็ไม่ทำให้หลานชายกระอักกระอ่วนด้วยการซักถามว่าจะหาแพไปทำไม
แค่เดินนำขึ้นเรือนเงียบๆเท่านั้น
"ผมเอาหนังสือมาคืนปู่"
ชายหนุ่มยื่นหนังสือพุทธธรรมและพจนานุกรมพุทธศาสน์วางไว้บนโต๊ะกลาง
"อ่านจบแล้วรึ?"
"ผมซื้อไว้เองครบชุดแล้วครับ"
ฉับพลันก็เบนเรื่อง "แพไม่อยู่หรอกหรือฮะ?"
"เห็นน้องเขามาชวนไปซื้อของ"
"น้อง?"
แปลบกลางอกขึ้นมาอีกกับแค่ได้ยินคำนั้น
เข้าใจแล้วว่าตอนผีดูดเลือดถูกทิ่มอกด้วยเหล็กแหลมมันปวดเสียวอย่างไร
"ชื่อมติน่ะ
เด็กใกล้บ้านนี่แหละ โตมาด้วยกัน"
"สนิทกันมากไหมฮะ?"
เป็นคำถามที่แผ่วสิ้นดี
"ก็เห็นแพเขาคบอยู่คนเดียวนี่"
เกาทัณฑ์สะอึกอึ้ง เริ่มท้อขึ้นมาอีก
เขากำลังจะเปิดศึกตีชิงกับเจ้าเด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่ง ซึ่งอาจชวนหล่อนไปเที่ยว
และให้หล่อนเป็นฝ่ายออกค่ารถเมล์ ช่างเป็นเรื่องเหลือฝืนเสียจริงๆ
แต่ก็ทำเป็นใจเย็น
ยิ้มเหมือนพระอิฐพระปูน ชวนปู่คุยเรื่องแพตรีต่อโดยไม่เบี่ยงเบนไปทางอื่น
"ชื่อเต็มของแพคือแพตรีใช่ไหมฮะ? เข้าใจว่าปู่เป็นคนคิดตั้งให้"
ปู่พยักหน้า
"อือม์"
"ปู่ตั้งใจให้มีความหมายยังไงฮะ?"
ปู่ชนะยกชาขึ้นจิบ
เกาทัณฑ์คิดว่าอีกหน่อยตอนเขาแก่และนึกถึงปู่
เขาคงจำภาพท่านยกถ้วยน้ำชาได้มากกว่าภาพอื่นหมด
"ก็ไม่มีอะไรมาก พุทธศาสนามีพระรัตนตรัยคือพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์เป็นหลักที่พึ่งทางใจ มีสุจริตสามคือกายสุจริต
วจีสุจริตและมโนสุจริตเป็นหลักพึงกระทำ มีสิกขาสามคืออธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา
และอธิปัญญาสิกขาเป็นหลักศึกษาและปฏิบัติยิ่งๆขึ้นไป และที่สุดมีญาณสามคือสัจจญาณ
กิจจญาณ และกตญาณเป็นปริโยสาน ฉันคิดถึงหมวดสามเหล่านี้แล้วก็รวมลงตั้งชื่อให้เขา
เวลาสอนให้เขารู้ความหมายจะได้จำง่ายว่าถ้าจะไปนิพพานต้องขึ้นยานแห่งความเป็นสามใดในพุทธศาสนาบ้าง"
เกาทัณฑ์อึ้งไป
ความคิดอ่านของปู่ชนะไม่ธรรมดาเลย เขาเอ่ยถามด้วยเสียงแปร่งไปเล็กน้อยในเวลาต่อมา
"หมวดสามอื่นผมพอเข้าใจอยู่
แต่ญาณสามคือสัจจญาณ กิจจญาณ กับกตญาณนี่ ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมครับ?"
ผู้อาวุโสตอบทันทีโดยไม่ต้องหยุดคิดทบทวน
"สัจจญาณคือญาณหยั่งรู้อริยสัจสี่
คือเท่าทันว่าอย่างนี้ทุกข์ อย่างนี้ไม่ทุกข์ ทำอย่างไรจึงทุกข์หรือไม่ทุกข์
ส่วนกิจจญาณคือญาณหยั่งรู้กิจที่ต้องทำเพื่อให้หลุดจากข่ายทุกข์
ปฏิบัติจิตเช่นไรแล้วล้างกิเลสจากสันดานได้
สุดท้ายกตญาณคือญาณหยั่งรู้ว่ากิจแต่ละอย่างได้ทำไปแล้ว ทุกข์ก็ทำให้แจ้งแล้ว
ต้นเหตุทุกข์ก็ทำให้แจ้งแล้ว ทางดับทุกข์ก็ทำให้แจ้งแล้ว
ที่สุดคือความดับทุกข์ได้เกิดขึ้นก็รู้แจ้งแล้ว"
เกาทัณฑ์กะพริบตา
พุทธศาสน์มีความลาดลึก แจกแจงเป็นทางตรงและปริยายต่างๆได้พิสดารยิ่ง
นับวันผูกพันใกล้ชิดก็เห็นมากขึ้นทุกที
แค่มองจากผิวนอกทางปริยัติในคัมภีร์ที่มีแต่ตัวหนังสือ
ก็จะเหมือนศาสตร์ทางโลกศาสตร์หนึ่งซึ่งต้องใช้กำลังสมองอย่างใหญ่หลวงในการแทงให้ทะลุ
ความคิดจะชวนปู่ถกเถียงหัวข้อธรรมเพื่อจับผิดแบบเด็กไม่รู้ประสาเหือดหายไปเฉยๆ
เขากระแอมนิดหนึ่ง ก่อนเล่าด้วยเสียงสั่นหน่อยๆ
เพราะทราบแก่ใจว่ามีเจตนาเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไรในการเริ่มเล่านั้น
"ตอนนี้ผมเป็นลูกศิษย์ของหลวงตาแขวน"
ปู่ยิ้มและรับฟังโดยไม่ขัดจังหวะ
อีกทั้งปราศจากวี่แววประหลาดใจอันใดทั้งสิ้น
"เดือนหน้าผมอยากลางานสักอาทิตย์หนึ่งเพื่อทุ่มเทจริงจังกับการเรียนทำสมาธิภาวนา
ปัญหาของผมคือยังไม่พร้อมแม้แต่จะถือศีลหรือนุ่งขาวห่มขาว
เพราะไม่แน่ใจในกิเลสตัวเอง กลัวว่าถ้าเข้าไปอยู่ในวัดแล้วจะเป็นสิ่งแปดเปื้อนแก่วัด
แต่ขณะเดียวกันก็ทนปฏิบัติอยู่ในห้องพักหรือบ้านพ่อแม่ไม่ได้ด้วย
เพราะต้องมีสิ่งดึงใจให้ไขว้เขวไหลมาเทมาตลอดเวลาแน่นอน ผมจึงอยากขอปู่
จะเป็นการรบกวนไหมฮะถ้าขออาศัยที่นี่สักอาทิตย์? บ้านปู่ไม่มีข้อบีบรัดให้ต้องกังวลว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วเป็นความผิดความถูก
แต่ขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยผมออกจากเครื่องของและผู้คนแวดล้อมเดิมๆ
เป็นสัปปายะเหมาะตัวที่สุดเท่าที่ผมจะนึกออกในเวลานี้"
หลานรูปหล่อร่ายยาวแต่ต้นจนจบชุดจากต้นสายถึงปลายสายแบบไม่ให้ตั้งตัว
ปู่ชนะหัวเราะเล็กน้อย สายตาไม่ส่งกระทั่งแววรู้ทันออกมา
"อยู่ไหวเหรอะ
ห้องหับกลายเป็นที่เก็บของ ทิ้งตู้เตียงไปหมดแล้ว"
"ผมตั้งใจว่าจะขอนอนบนแคร่ในห้องเก็บของใต้บันไดใกล้ห้องครัวนั่นแหละครับ"
เกาทัณฑ์พูดด้วยท่าทางน่าสงสารเหมือนคนไร้ที่อยู่อาศัย
หมดทางเลือกแล้วอย่างสิ้นเชิงจึงบากหน้าหนีร้อนมาขอพึ่งเย็น
"อยากถ่อสังขารมาลำบากถึงนี่ก็ตามใจแก"
เป็นคำตอบตกลงที่ง่ายดายเกินคาด
ชายหนุ่มตาสว่างราวกับติดนีออนเป็นแผง ไม่นึกว่าเรื่องจะง่ายขนาดนี้
"ปู่อนุญาตหรือครับ?"
"เออ!"
ชายหนุ่มระงับความดีใจแทบออกนอกหน้าอย่างยากเย็น
กลัวปู่จะเอะใจเสียก่อน
"บ้านนี้มีผู้หญิง"
ปู่เอ่ยเสียงต่ำขึ้นมากลางความลิงโลดของเขา
"อยู่นี่ก็ทำอะไรให้เหมาะควรหน่อย"
"ครับ!"
รีบรับปากทันควันอย่างกลัวปู่จะเปลี่ยนใจเพราะฉุกคิดได้ "ขอให้ปู่ไว้ใจ ผมอาจดูไม่ใช่คนดีนัก
แต่เรื่องนี้ผมรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร"
"ไปเป็นลูกศิษย์ท่านแขวนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ?"
ชายชราเบี่ยงเรื่องถามมาอีกทาง
"เมื่อวานนี้เองฮะ
เผอิญเมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมเห็นแพกำลังจะไปทำสังฆทาน
กำลังหอบถังขึ้นแท็กซี่อยู่พอดี เลยอาสาช่วยเอาขึ้นรถผมแทน แล้วก็ได้ไปพบท่าน
เกิดความเลื่อมใสบางอย่าง คิดอยากเรียนฝึกสมาธิภาวนาดูบ้าง
เมื่อวานเลยไปฝากตัวเป็นศิษย์ และเพราะได้อาจารย์ดี
ตอนนี้ผมพบว่าตัวเองอยากจะเอาดีตามท่าน เลยคิดจริงจัง
มาขอร้องปู่เรื่องสถานที่"
ปู่พยักหน้าตามเคย สงบคำตามนิสัย
ทั้งคู่เงียบเสียงกันไป แพตรียังไม่มาสักที แต่ต่อให้ต้องรอถึงค่ำ
เขาก็จะทู่ซี้อยู่นี่แหละ ยังไงต้องเห็นหน้าให้ได้
เกาทัณฑ์นึกว่าปู่จะแปลกใจบ้าง
ซักถามอะไรเกี่ยวกับการเป็นลูกศิษย์หลวงตาแขวนของเขาเสียหน่อย แต่ก็เปล่า
จนต้องเป็นฝ่ายเลียบเคียงเสียเอง เงียบนานๆเดี๋ยวปู่เอ่ยปากไล่เท่านั้น
"ปู่รู้จักท่านมานานหรือยังฮะ?"
"ตั้งแต่ท่านมาอยู่ที่วัดเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน"
"อ้อ นับว่านานเหมือนกัน
แล้วก่อนนี้ท่านอยู่ที่ไหน? ผมยังไม่มีโอกาสถามประวัติหรือเรื่องราวของท่านเลย"
"บ้านเดิมท่านอยู่นครสวรรค์
แต่ปักหลักที่กรุงเทพฯตั้งแต่วัยรุ่น บวชที่วัดทางนฤพานเมื่ออายุได้เกือบสามสิบ
ร่ำเรียนและรับใช้พระอุปัชฌาย์แค่ห้าพรรษาก็ออกเดินทางธุดงค์จากเหนือจดใต้ตลอดอายุบรรพชิต
เพิ่งเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนคราวมาเยี่ยมพระอุปัชฌาย์ครั้งสุดท้าย
ได้รับการขอร้องให้ช่วยสืบตำแหน่งเจ้าอาวาสแทน
ท่านแขวนก็เห็นสังขารตัวเองโรยราไม่เหมาะแก่การธุดงค์แล้ว
จึงรับรักษาวัดซึ่งเก่าแก่หลายชั่วอายุคนนี้เรื่อยมา"
"อือม์" เกาทัณฑ์ครางเบาๆ
"พระอุปัชฌาย์ท่านมรณภาพนานหรือยังครับ?"
"วันเดียวหลังจากที่ท่านแขวนรับจะดูแลวัดให้"
ชายหนุ่มขนลุกหน่อยๆ
แต่แล้วก็ทำใจสงบเฉย
"แล้วที่ท่านสละเพศฆราวาสออกบวชเป็นพระตั้งแต่ยังหนุ่มแน่นนี่มีเหตุผลอะไรฮะ?"
"จริงๆท่านศึกษาพระธรรมคำสอนและมีศรัทธาปสาทะมานานแล้ว
ตั้งแต่ก่อนร่ำเรียนจบมาทำงานทำการเหมือนหนุ่มๆทั่วไป
แต่วันหนึ่งบุญพาวาสนาส่งให้ท่านไปพบกับพระดีที่วัดทางนฤพาน เห็นปฏิปทาน่าเลื่อมใส
ก็ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ตั้งใจถือบวชจริงจังหันหลังให้กับความก้าวหน้าที่รออยู่ในอาชีพการงานทั้งหมด"
ฟังแล้วเกาทัณฑ์ชักหนาวๆร้อนๆ
เพราะดูวิถีทางท่านแล้วเผอิญคล้ายเขาอย่างไรพิกล
บอกตนเองว่าต่อให้ศรัทธาพระอาจารย์หรือพระธรรมคำสอนมากกว่านี้อีกร้อยเท่า
เขาก็คงกิเลสหนาเกินกว่าจะอุทิศตัวบวชเป็นพระภิกษุไปตลอดชีวิตอย่างหลวงตาแขวนแน่ๆ
ถ้าสักสามเดือนค่อยว่าไปอย่าง
"ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมาผมอ่านหนังสือธรรมะและปรัชญาไปหลายเล่ม
บางเล่มที่น่าสนใจก็อ่านตลอด
บางเล่มอ่านคร่าวๆพอให้รู้ว่าทรรศนะของคนเขียนเป็นอย่างไร ผมพบว่า..."
คำพูดตั้งประเด็นธรรมสากัจฉานั้นขาดห้วงไป
เมื่อหางตาเห็นเงาร่างใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเงียบกริบ
ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น