บทที่ ๗ อุปจารสมาธิ
เกาทัณฑ์ขับรถกลับที่พักด้วยความรู้สึกเศร้าอย่างประหลาด
มีความอาลัย เสียดาย คล้ายทำสิ่งหวงแหนหาย
หวงแหน…
เคยหวงมานับครั้งไม่ถ้วน
ผิดกันก็แต่คราวนี้มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป กับทั้งรุนแรงและกัดลึกอย่างน่าอับอาย
จิตใจวนเวียนอยู่กับภาพบาดตาที่บ้านปู่ชนะเมื่อครู่จนคล้ายตกอยู่ในห้วงฝันหลอน
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อรถจอดที่แยกไฟแดงแห่งหนึ่ง
หัวเราะเพราะขบขันความบ้าบอของตนเอง
กะแค่เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่...น่าสนใจ...อยู่กับชายอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่เขา
ถึงกับเกิดอาการวังเวงเชียวหรือ? หล่อนมีดีอะไรกัน
ก็แค่สวย เขาหาสวยๆ อย่างนี้ได้เยอะแยะ
หรี่ตามองออกไปนอกกระจกรถ
สบตากับสาวน้อยในรถด้านข้าง หล่อนนั่งอยู่ริมซ้ายและเผอิญหันมาจังหวะพอดีกัน
กะพริบตาทีหนึ่ง
ต่างฝ่ายต่างมีแรงดึงดูดที่ทำให้ไม่อาจถอนสายตาจากกันง่ายนัก
แต่ชั่วขณะเมื่อใจเกิดนึกเปรียบเทียบกับผู้หญิงอีกคนที่บ้านปู่
เกาทัณฑ์ก็เบือนหน้าไปทางอื่น ได้คำตอบบางอย่างให้ตนเอง
เกือบจะเป็นครั้งแรกๆในชีวิตที่นึกขึ้นได้
ว่าตลอดมาเขาตีค่าผู้หญิงด้วยรูปร่างหน้าตาเป็นหลัก
เพียงเพราะหลงใหลอยากกอดจูบสิ่งที่เห็นและจับต้องได้ภายนอก ถ้ารวย เก่ง พูดจาดี
ก็จะเป็นแค่ปัจจัยเสริมให้รู้สึกเร้าใจขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น
ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่เขาจะคำนึงถึงและยกย่องว่าควรค่าแก่การฝากใจอะไรเลย
เดี๋ยวนี้รู้แล้ว
ว่าค่าทางใจมีความหมายอย่างไร...
มาถึงห้องพักและเปิดตู้เย็นทำแซนด์วิชทานไปแกนๆ
เลิกคิดวกวนและพยายามกลับมาเป็นตัวของตัวเอง
เขาเกลียดเรื่องรบกวนจิตใจที่บั่นทอนความเชื่อมั่นทุกชนิด
เมื่อทานอาหารเที่ยงมื้อง่ายเสร็จก็เข้าห้องน้ำ
ขัดสีฉวีวรรณเสียใหม่จนแจ่มใส ผิวปากหลอกตัวเองว่ากำลังสดชื่น
เห็นเจ้าหล่อนที่รบกวนจิตใจเขาเป็นแค่ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง
หล่อนไร้รสนิยมจนมองไม่เห็นค่าในตัวเขา ทำไมเขาจะต้องพยายามลืม
แบบหล่อนนี่น่าลืมโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
หลอกตัวเองให้คิดและเชื่อเช่นนั้น
ก็ดันนึกขึ้นมาได้อีกว่ามีแต่เขาเท่านั้นที่เป็นฝ่ายเห็นค่าหล่อน
รสนิยมชั้นสูงของเขานี่แหละที่ให้ค่าหล่อนปีนระดับขึ้นจนเกินขีด
ต้องว้าวุ่นอย่างน่ารำคาญตัวเองอยู่นี่ เสียเชิงพิลึกล่ะ
เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย
มายืนอยู่นิ่งๆกลางห้องโดยไร้ความคิดหลอกตัวเอง ก็พบความจริงที่เหลือฝืนจะยอมรับ
นั่นคือเขากระวนกระวาย คิดถึงหล่อน อยากคุยกับหล่อน
อยากให้ตนไปถึงบ้านปู่เร็วกว่านั้น ก่อนหน้าที่ใครมาชิงจับจองเวลาไปก่อนเขา
ชายหนุ่มยกมือเสยผม
เกลียดความหดหู่ที่เกิดจากเพศตรงข้าม
แบบเดียวกับคนเชื่อมั่นว่าต้องสอบได้คะแนนเต็มเสมอ
ต้องมาพบว่าครั้งหนึ่งตกรูดอย่างหมดท่า
สั่งตัวเองว่าต้องเคลื่อนไหว
ต้องหาอะไรทำให้ลืมหล่อน ซึ่งดูไม่น่าจะยากนัก
หยิบวารสารต่างประเทศที่ชอบขึ้นมากางอ่าน
เรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆจับใจเขาได้เสมอมา เขาสามารถอ่านหนังสือเชิงเทคนิคที่ยุ่งยากสลับซับซ้อนได้ด้วยความรู้สึกผ่อนคลายแบบเดียวกับหนังสืออ่านเล่น
สงบใจขลุกขลุ่ย เพลิดเพลินอยู่ได้เป็นวันๆ
ลำบากตอนรวบรวมสติให้มีใจนึกตามข้อความที่กำลังผ่านตา
แต่ความเคยชินในการไล่สายตาแบบไล่กวาดลงทีละบรรทัดบังคับให้เกิดการรวมกระแสสติในเวลาอันสั้น
สายตาของเขาเห็นได้กว้าง เก็บได้ครบ เข้าอกเข้าใจถี่ถ้วน และจำได้แม่น
คลื่นความปั่นป่วนในสมองเมื่อครู่ถูกแทรกแซงด้วยคลื่นความคิดอ่าน
ความคำนึงนึกต่างรูปแบบที่เป็นระบบระเบียบมากกว่ากัน
อ่านจบไปสองเรื่องก็ลุกขึ้นรินน้ำอัดลมใส่แก้ว
เปิดสเตอริโอฟัง แล้วกลับมานั่งเอกเขนกอย่างบรมสุข
หยิบหนังสือขึ้นพลิกหาเรื่องอ่านต่อ
ปากดูดน้ำจากแก้วในมือแล้ววางลงบนโต๊ะกระจกข้างตัวดังกริ๊กเล็กๆ
เกิดความรู้สึกขึ้นมาในชั่วขณะนั้นว่าชีวิตคนเราเต็มไปด้วยรายละเอียดและสีสันหลายหลาก
หากจะพลิกจากทุกข์เป็นสุข หรือสุขเป็นทุกข์
ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือกหยิบสิ่งที่มีอยู่รอบตัวแต่ละคนขึ้นมา
ลืมน้ำผึ้งผสมบอระเพ็ดอึกเดิมไปเสียได้
มีใจเต็มๆให้กับข่าวคราวทันสมัยเรื่องแล้วเรื่องเล่า
หมดเรื่องน่าสนใจเล่มหนึ่งก็หยิบอีกเล่มขึ้นอ่านต่อ
กระทั่งเงยหน้าดูนาฬิกาบนผนังห้อง เห็นได้เวลาออกกำลังก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ
เขาชอบกีฬาหลายอย่าง
ต่อให้เป็นวันทำงานก็ต้องหาเวลาเล็กๆน้อยๆยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย
ยิ่งถ้าเป็นวันหยุดอย่างนี้ก็มีโอกาสบันเทิงกับการกีฬาได้มากขึ้น
เลือกไปว่ายน้ำ
เกาทัณฑ์โทร.ไปชวนเพื่อนสนิทคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในอาคารเดียวกัน
แต่หมอนั่นออกไปข้างนอก เลยตัดสินใจไปคนเดียว
สระว่ายน้ำแห่งนั้นอยู่บนยอดตึกโรงแรมชั้นหนึ่งกลางกรุงซึ่งใกล้กับที่พัก
มีคนมาลงว่ายประปรายทั้งไทยและฝรั่ง เป็นผู้ใหญ่ล้วนๆ ส่วนมากรวย
เพราะค่าบริการและค่าสมาชิกแพงหูฉี่สมกับที่อยู่ชั้นลอยฟ้า
วันนี้พอมาถึงก็กระโจนลงว่ายเอาๆเป็นปลา
ไม่รู้ว่ากี่รอบต่อกี่รอบ ถ้านับเป็นระยะคงเกือบสองกิโลฯ เขาว่ายน้ำทน
เมื่อสมัยเรียนมัธยมเคยเล่นกีฬาให้โรงเรียน
ได้ยืนบนแป้นหมายเลขหนึ่งบ่อยกว่าใครเพื่อน
ขึ้นจากสระด้วยอาการมึนนิดๆ
ปีนี้เขายังไม่ถึงยี่สิบหก แต่เหมือนร่างกายเริ่มเปลี่ยนไปจากแต่ก่อน
ความอึดความทนลดน้อยลง นั่นทำให้ไพล่นึกถึงความเป็นอนิจจังแห่งสังขารขึ้นวูบหนึ่ง
คิดแล้วก็หัวเราะ
ถ้าเห็นอะไรๆเข้าข่ายความเป็นอนิจจังอย่างนี้บ่อยๆคงแก่ทันปู่ชนะในเร็ววัน
เช็ดตัว เช็ดผม
แล้วลงนั่งผึ่งลมบนเก้าอี้ยาวริมสระ
ทอดตาดูน้ำสีฟ้าสวยใสที่มีชาวไทยและเทศลงไปสำเริงสำราญกัน 4-5 คน
มันเป็นยามเย็นที่น่าระรื่นบนตึกสูงขนาดควันรถขึ้นมากวนไม่ถึง
ลมพัดเฉื่อยฉิวท่ามกลางบรรยากาศสบายด้วยสวนหย่อมประดับพื้นที่
แถมมีตาสีเขียวมรกตปิ๊งๆของสาวผมทองส่งมาให้จากฝั่งสระตรงข้ามอีกต่างหาก
ชายหนุ่มส่งตาตอบพลางจุดยิ้มมุมปากหน่อยๆ
ท่าทางหล่อนเอกเขนกตรงนั้นนานแล้วและกำลังเฝ้ามองเขาอยู่ทุกขณะ
การว่ายไปว่ายมาไม่หยุดก็เป็นจุดเด่นของสระได้เหมือนกัน
เพื่อนๆวิจารณ์ด้วยความอิจฉาเสมอเกี่ยวกับความกำยำได้รูปสวยของเรือนกายเขา
โดยเฉพาะเมื่อกำลังว่ายฟรีสไตล์หรือท่าผีเสื้ออยู่ในน้ำ
และจากการเห็นเองแทบทุกครั้งเมื่อขึ้นจากน้ำ
ก็มักพบสายตาชนิดนี้จากเพศตรงข้ามส่งมาให้เป็นประจำ
เกาทัณฑ์ยีผมบนศีรษะเบาๆด้วยผ้าขนหนู
สายตายังวางจับแน่นิ่งไปทางสัดส่วนโดดเด่นในชุดว่ายน้ำเว้าแหว่งล่อตาจนหล่อนต้องแสร้งเมินไปทางอื่นอย่างมีมายา
สะสวยไม่ใช่เล่นทีเดียวล่ะ ประมาณจากตาเปล่าเดี๋ยวนี้ เก็งดูอายุแค่เฉียดสามสิบ
ทรวดทรงองค์เอว ขา แขน ผิวกายยังไร้ที่ติไปทุกกระเบียดเนื้อ
ท่วงทีสำรวยระเหิดระหงเท่าที่เห็น ชวนให้นึกชมมองไม่เบื่อ ต่อให้ถูกบังคับห้ามถอนสายตาไปจากหล่อนสักชั่วโมงก็ตาม
ดูท่าคงไม่ใช่แหม่มที่มาเมืองไทยตัวคนเดียว
หล่อนอาจมากับแฟน กับเพื่อน หรือกับพ่อแม่
แต่สายตาที่หวนกลับมาสบอย่างเปิดเผยนั้นประกาศให้ทราบชัดราวกับมีโทรจิตสื่อกันว่าเขาอาจเดินเข้าไปทักทายทำความรู้จักกับหล่อนได้
และหล่อนก็พร้อมที่จะมีเพื่อนชายชาวไทยสักสองสามวันโดยไม่มีใครมากั้นขวางขัดกลาง
ความคิดของเกาทัณฑ์ลึกลงไป
คนเจนโลกีย์ด้วยกันย่อมดึงดูดเข้าหากันโดยง่ายคล้ายมีแม่เหล็กคนละขั้วฝังอยู่ในตัวแต่ละฝ่าย
เชื้อชาติที่แตกต่างคือรูปแบบแปลกตาน่าระทึก วาดได้เป็นฉากๆว่าหากต้องการรู้จักหล่อน
เขาจะต้องเข้าไปด้วยลีลาเช่นไร เริ่มต้นทักด้วยคำพูดใด
และหล่อนจะมีทีท่าโต้ตอบมาไม้ไหน ในที่สุดเขาจะต้อนหล่อนเข้ามุม
ลงเอยเกษมสันต์หรรษากันครั้งแรกถึงใจเพียงใด
ความขึ้นใจกับเกมชีวิตประเภทนี้ทำให้เขามีสัมผัสต่อเหตุการณ์ที่กำลังจะมาถึงได้ชัดเจนราวกับเกิดขึ้นแล้ว
เกาทัณฑ์รู้ว่าถ้าปล่อยหล่อนผ่านไป
พลาดโอกาสทำความรู้จักเสียเดี๋ยวนี้ คงหมายถึงการจากกันชั่วนิรันดร์
เหมือนไอศกรีมสุดอร่อยที่จ่อปากอยู่รอมร่อ จะอ้างับก็ง่ายนิดเดียว แต่เมื่อรอนาน
มันก็จะละลายหาย หมดเวลารับรางวัลสำหรับคนอ้อยอิ่ง
ร่ำๆจะลุกขึ้นและก้าวเดินไปสู่อนาคตคือวิมานฉิมพลี
แต่เวรกรรมที่ยังจำได้ชัดว่าให้สัญญากับหลวงตาแขวนไว้อย่างไร
ตลอดอาทิตย์นี้เขาจะต้องงดเสพกาม…
ถอนใจเฮือก
เตือนตนเองว่าแม้สบตาด้วยกระแสความรู้สึกใคร่อยากเช่นนี้ก็เท่ากับละเมิดสัญญาทีละน้อย
เหมือนปล่อยข้าศึกให้เข้าประชิดเมือง ขึ้นชื่อว่าข้าศึกนั้น
เมื่อถึงเมืองแล้วจะให้อยู่เฉยหรือถูกเชิญถอยไปดีๆคงไม่มี อย่างไรก็ต้องปะทะ
อย่างไรก็ต้องล้มตายกันในที่สุด
ดีเหมือนกัน
เมื่อทุกอย่างผ่านเลยไปแล้วๆเล่าๆ
ถึงเวลาเสียทีกระมังที่เขาจะปรารถนาบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่าการเสพสมเนื้อหนังมังสา
ถึงเวลาแสวงหาผู้หญิงสักคนที่ทำให้รู้จักโลกนี้ในอีกมิติหนึ่ง
ที่ห่างไกลจากเบื้องต่ำอันอุดมด้วยความหยาบโลนชั่ววูบผ่านผิวเผิน
เกาทัณฑ์ลุกขึ้นเดินจากสระแห่งนั้นไปไม่เหลียวหลัง
ตอนนี้จะคิดอะไร ทำอะไร ให้มาลงเอยที่เจ้าหล่อนหลานปู่ชนะจนได้ซีน่า
ทานข้าวเย็นคนเดียวจนอิ่มตื้อ
นี่เห็นจะเป็นการอยู่ตามลำพังที่ยาวนานทำลายสถิติทั้งหมดในชีวิตกระมัง
เขาเดินขึ้นลิฟท์เข้าห้องพักคนเดียว ไม่ขับรถไปที่บ้านเพื่อนคนไหน
ไม่แวะเคาะประตูห้องใคร
และหนักที่สุดคือไม่แยแสเสียงกริ่งโทรศัพท์ที่ดังขณะไขกุญแจประตูห้อง ปล่อยให้เครื่องตอบรับอัตโนมัติทำงานแทน
"นี่แอ้พูดนะคะ
เพื่อนๆนัดเจอกันที่เดิมคืนนี้สี่ทุ่มครึ่ง ไปให้ได้นะ...ปิดมือถือไว้เหรอ
ติดต่อทั้งวันไม่ได้เลย"
เสียงแจ๋วๆจากลำโพงเครื่องตอบรับมิได้ทำให้เขายินยลสักนิด
ถ้าเป็นเมื่อเดือนก่อน เขาคงวิ่งหน้าตื่นไปปิดเครื่องตอบรับและคว้าหูโทรศัพท์ขึ้นพูดโดยพลัน
เพราะหล่อนที่เรียกตัวเองว่า ‘แอ้’
กำลังเป็นปลามันชิ้นงามที่เขากับเพื่อนสนิทคนหนึ่งออกแรงแย่งกันอย่างสนุกสนาน
ยิ้มเปิดโลกกับท่วงทีเก๋ไก๋เฉพาะตัว รวมทั้งแบบฉบับสาวเก่งผิดวัย
ทำให้หล่อนมีเอกลักษณ์พิเศษบาดใจเกินใคร
ยืนฟังเพื่อนสาวตัดพ้อต่อว่าอย่างเซื่องเฉยคล้ายสมองเลิกทำงาน
เชื่อแล้วว่าตนกำลังหลงผู้หญิงคนหนึ่งอยู่อย่างไม่อาจเปิดหูเปิดตาให้ใครอื่น
จนเสียงจากลำโพงเครื่องตอบรับเงียบสนิท
จึงเดินเข้ามายกกระบอกโทรศัพท์ขึ้น กดเบอร์ต่อสายไปที่บ้านพ่ออย่างปราศจากจุดหมาย
"ฮัลโหล"
เสียงห้าวลึกตอบมาเมื่อสัญญาณดังเพียงสองครั้ง
"พ่อเหรอฮะ" เกาทัณฑ์ทัก
"ผมนะ"
"ไง นายเต้ หายเงียบไปเลย"
พ่อทักตอบเนือยๆ
มีเสียงพลิกกระดาษแว่วเข้าหู เกาทัณฑ์จึงรู้ว่าพ่อกำลังนั่งตรวจงาน
อันเป็นกิจวัตรที่เขาเห็นจนคุ้นมาแต่ไหนแต่ไร
"ฮะ" เขาพูดซึมๆ
"ไม่เจอกันนานแล้ว วันอาทิตย์พรุ่งนี้ผมจะไปทานข้าวเช้าด้วย"
"เออ ดี
แม่บ่นคิดถึงแกอยู่เมื่อวานนี้เอง ทำอะไรอยู่ไม่โผล่หัวมาเลย"
"กำลังสนุกกับชีวิตน่ะฮะ"
ลูกชายตอบกลั้วหัวเราะเอื่อย
"เสียงเหมือนไม่สนุกอย่างปากพูดเลยนี่ฮึ"
พ่อของเขาไวและแม่นเสมอกับความจริง
โดยเฉพาะความจริงที่ถูกซ่อนไว้ด้วยความพยายามของมนุษย์ เกาทัณฑ์หัวเราะออกมาอีก
แต่คราวนี้ขบขันตนเองที่ปล่อยให้พ่อรู้ว่ากำลังห่อเหี่ยว
แม้เพิ่งได้ยินเสียงแค่สองสามคำ
"มีอะไรให้ทำเยอะฮะ
ชีวิตมีอะไรแปลกใหม่เข้ามาได้เรื่อยๆ…"
เขาหมายความตามนั้น
แล้วก็แต่งเสียงใสขึ้นเหมือนจะเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาให้ร่าเริง
"พ่อ…ผมไปเยี่ยมปู่ชนะมา!"
"เหรอะ"
พ่อทำเสียงไม่คาดฝัน "ขับไปแถวนั้นแล้วน้ำมันหมดพอดีรึไง?"
เกาทัณฑ์ยิ้ม
พูดแล้วก็เพิ่งรู้ว่าโทร.หาพ่อทำไม เขาต้องการคุยกับใครสักคนที่น่าจะรู้จักหล่อนคนนั้น
อยากฟังอะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับหล่อน
“ตั้งใจไปเยี่ยมสิฮะ
เกิดไปติดเนื้อต้องใจสาวสวยในบ้านปู่มาด้วย"
ชายหนุ่มอำพรางความในใจด้วยการพูดเรื่องจริงให้ฟังเหมือนเล่น
พ่อเงียบเหมือนอึ้งไป ก่อนจะเอ่ยเนิบ
“แกไม่ไปหาปู่ตั้งหลายปีแล้วนี่
ก่อนไปเรียนโทใช่ไหม?”
“ฮะ นานไปหน่อย…แปลกนะพ่อ
ผมน่าจะรู้จักแพมาได้ตั้งนานแล้ว ทำไมเหมือนเพิ่งมาเห็นก็ไม่รู้”
“สงสัยเพราะเพิ่งสวยน่ะซี”
ผู้เป็นพ่อทำเสียงรู้แกว
ทำให้ฝ่ายลูกหัวเราะเก้อๆ
“พอนึกออกเหมือนกันแหละฮะว่าเคยเห็นเขายืนเดินอยู่ในบ้านปู่
แต่เหลือเชื่อที่โตแล้วต่างกับสมัยก่อนอย่างกับเป็นคนละคน”
“แกก็ไปบ้านปู่ไม่กี่ครั้งนี่นะ
ส่วนใหญ่ฉันพาไปไหว้ตอนปู่มาค้างที่บ้านอา แล้วตอนวัยรุ่นน่ะแกเต๊ะยังกับอะไร
ท่าทางเหมือนไม่เคยมองหน้ามนุษย์ คนเราต่อให้อยู่บ้านติดกัน
แต่ถ้าไม่เคยมองหน้าให้เต็มตา เจอข้างนอกก็นึกว่าคนอื่น”
เกาทัณฑ์เห็นจริงตามนั้น
คำพูดของพ่อทำให้เพิ่งตระหนักว่าสมัยก่อนเขาไม่เคยมองหน้าหล่อนให้จะแจ้งเลยสักครั้งเดียว
อีกอย่างช่วงนั้นบ้านปู่มีคนเยอะ เขาติดจะขี้รำคาญ
ขนาดญาติที่ต้องยกมือไหว้ยังขี้เกียจมอง
ประสาอะไรกับเด็กผู้หญิงที่ยังปราศจากฝาดเลือดสาวสะพรั่งอย่างหล่อน
"ปู่ได้มายังไงฮะ?"
“เห็นว่าเป็นลูกหลานของคนรู้จักเก่าแก่น่ะ
ปู่แกไปเยี่ยมแล้วเห็นเพิ่งเสียชีวิตกะทันหัน ญาติๆเกี่ยงกันเพราะต่างมีภาระ
มีลูกเต้ากันอยู่แล้ว ปู่สงสารเลยขอรับมาเลี้ยงเอง”
ชายหนุ่มยิ้มแหย
“จดทะเบียนรับเป็นลูกบุญธรรมหรือฮะ?”
“เปล่า ช่วงนั้นลุงของแกอายุมากพอจะเป็นธุระให้แล้ว
ปู่เลยขอให้เป็นพ่อในนามแทน แต่ตลอดมาปู่เป็นคนเลี้ยงเอง”
เกาทัณฑ์ถอนใจโล่งอก
ถ้าปู่รับหล่อนเป็นลูกบุญธรรม แม้จะเป็นเพียงในนาม
ก็คงต้องถือว่าหล่อนเป็นน้องสาวพ่อเขา
"รู้ชื่อจริงเขาไหมฮะ
ผมได้ยินแต่ปู่เรียกแพ"
"แพตรี"
เกาทัณฑ์ตาสว่าง
เป็นนามที่ฟังสะดุดหู
"แพตรี…” เขาทวนคำ “เก๋ดีแฮะ
เกิดมาเพิ่งเคยได้ยิน”
ยิ่งทวนชื่ออยู่ในใจยิ่งรู้สึกว่าหล่อนโดดเด่นอย่างประหลาด
พ่อลูกเงียบเสียงกันพักหนึ่ง อย่างที่ต่างฝ่ายต่างคิดไปคนละทาง
"ดูตอนปู่มองแพหรือพูดถึงแพ
รู้สึกท่านรักเหมือนเป็นลูกจริงๆ"
"คงธรรมะธัมโมเหมือนๆกันมั้ง
เลยอาจถูกใจเอ็นดูยายแพเป็นพิเศษ"
"เอ่อ...แล้วมีแฟนรึยังพอรู้มั้ยฮะ?"
ฝ่ายพ่อหัวเราะหึๆ
ตั้งแต่ลูกชายแตกเนื้อหนุ่มและริจีบสาว เพิ่งเคยมีก็นี่แหละที่มาพูด
มาถามซอกแซกกับตนขนาดนี้
“นี่แกจริงจังมากหรือเต้?”
เกาทัณฑ์เงียบไปหน่อยหนึ่ง
“ถ้าจริงล่ะฮะ?”
“จริงก็ดีไป แต่เขาเหมือนญาติ
เกี้ยวพาราสีได้เป็นแฟนแล้วทิ้งขว้างกันง่ายๆไม่ได้นา พ่อเองก็เอ็นดูเขา
เคยนึกอยากชวนให้แกคบหาเหมือนกัน ผู้หญิงอย่างนี้ใครได้ไปก็ยิ่งกว่าได้แก้ว
แต่เห็นความช่างเปลี่ยนและขี้เบื่อของแกแล้วกลัวใจว่ะ”
“อย่าว่าแต่จะมีโอกาสทิ้งขว้างเลยฮะ
แค่จีบให้ติดยังไม่รู้จะไหวหรือเปล่า เขา…มีบางอย่างที่เข้าถึงยาก
สิ่งที่เขาเลือกเหมือนจะไม่มีอยู่ในผมหรือใครทั้งนั้น
พ่อเคยได้ยินว่าเขามีแฟนไหมล่ะฮะ?”
“ก็…เห็นเด็กใกล้บ้านติดพันสนิทสนมกันแต่เล็กนี่นะ
ที่ชื่อ…อะไรล่ะ ลืมแล้ว”
เสียวหัวใจปลาบ
รู้ทั้งรู้ว่าอาจได้ยินอะไรอย่างนี้ยังดันถามออกไปอีก
เกาทัณฑ์แกล้งหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะเบี่ยงหัวข้อสนทนาไปทางการเมืองหน้าตาเฉย
ไม่แวะเวียนมาใกล้เรื่องราวในบ้านปู่ชนะอีกเลย
เป็นครู่จึงขอวางสาย
และยืนยันว่าพรุ่งนี้จะไปทานข้าวมื้อเช้าด้วย ล่ำลาเรียบร้อยจึงวางโทรศัพท์ลง
กลับมานั่งถอนใจตามลำพัง นึกถึงแต่ชื่อแพตรีวนไปเวียนมา
กระแสใจไหลวนเข้าไปรวมอยู่กับมโนภาพความเป็นหล่อน แต่พอนึกถึงไอ้หนุ่มที่มากดออด
ก็หงุดหงิดหัวใจขึ้นมารำไร คำพูดของพ่อยืนยันว่าสายตาคนภายนอกเห็นแพตรีกับหมอนั่นเป็นแฟนกัน
เพราะคบหาสนิทสนมมาแต่เล็ก เหลือเชื่อเลยว่าเป็นไปได้
แค่ความสวยหวานที่เป็นผิวนอกของหล่อนก็เพียงพอที่จะดึงดูดลูกชายอาเสี่ยร้อยล้านพันล้านมาติดพัน
ชนิดยินดีรับบัญชา พร้อมจะเอาเบนซ์สปอร์ตพุ่งปร๊าดมารับไปจ่ายตลาดหน้าปากซอยทันใจ
ขอเพียงหล่อนโทร.ไปเรียก นี่ตลกอย่างไร แพตรีถึงเลือกเอาแค่นี้?
เขาเองออกจะพร้อมไปทุกสิ่ง
สายตาของผู้หญิงที่ผ่านมายืนยันให้เชื่อมั่นในตัวเองได้อย่างล้นเหลือ
แต่กำลังคุยกับหล่อนแท้ๆ
พอหนุ่มรุ่นน้องมาเรียกทีเดียวถึงกับกระวีกระวาดลุกไปเปิดประตู
ลืมสนิทว่ากำลังคุยกับเขาอยู่ก่อนหน้า
คนเคยเป็นหนึ่ง
เป็นตัวเลือกแรกมาตลอดอย่างเขาน่ะหรือ ด้อยกว่าเจ้านั่น?? หน้าตาท่าทางเหมือนขอมดำดินอย่างนั้น
เกาทัณฑ์เชื่อว่าแม้แต่ผู้หญิงที่เขาทิ้งได้ในคืนเดียวยังเมินเลย
เอาก็เอาซี มันต้องมีครั้งแรกเสมอ
เกิดมาเคยแต่ชกกับรุ่นใหญ่ ถ้าต้องลดชั้นลงไปฟัดกับมวยวัดมั่ง
ก็ทำใจคิดเสียว่ายอมเปื้อนเพื่อควานหยิบเพชรซึ่งเผอิญหล่นไปอยู่ในตมแล้วกัน
เล่ห์รักมีออกเต็มกระเป๋าจะไปกลัวอะไร
ถ้าเล่ห์รักหมดกระเป๋าก็งัดกล งัดลูกไม้มาต่อ
และถ้าลูกไม้ไม่ได้ผล...เขากำลังสั่งสมพลังจิตให้มีอำนาจเหนือมนุษย์
จะแปลกอะไรที่ขั้นสุดท้ายจะทุ่มด้วยมนตร์คาถาเพื่อเอาหล่อนมาเป็นของเขา
คิดชั่วได้ดังนั้นก็ชักกระฉับกระเฉง
นึกขึ้นมาว่าน่าจะได้เวลาฝึกหัดภาวนาสมาธิเสียที
เข้าห้องน้ำชะล้างคราบไคลและกลิ่นคลอรีนจากสระ
เพียงสิบนาทีให้หลัง เกาทัณฑ์ก็มานั่งเข้าที่ ขัดสมาธิคู้บัลลังก์กลางห้อง
ตัวตรงไม่เกร็ง มือขวาทับมือซ้าย ขาขวาซ้อนขาซ้าย เลิกคิด
เลิกพะวงเรื่องอื่นใดทั้งหมด
สำรวจตลอดองค์ร่างที่นั่งคู้บัลลังก์อยู่
ดูว่ามีส่วนใดเครียดหรือเกร็งบ้าง ก็พบว่าส่วนหลังและน่องซ้ายเกร็งๆอยู่เล็กน้อย
จึงทำตามสูตร คือสั่งกายให้ละลายความเกร็งทั้งหมดนั้นลง
กล้ามเนื้อทุกส่วนจึงวางอยู่บนรูปนั่งที่ผ่อนคลายไม่ไหวติง
มีศูนย์และสมดุลที่เหมาะแก่การคงสติระลึกรู้อารมณ์สมาธิ
กายที่สบายนั้นเองปรุงให้ใจสบายตาม
กายที่ตั้งตรงนั้นเองค้ำสติให้ดำรงมั่น
อากาศเย็นพอเหมาะและความเงียบรอบด้านช่วยได้มาก
ชายหนุ่มกำหนดสติเข้ามาที่กายนั่ง ทราบจังหวะความต้องการดึงลมหายใจเข้าตามจริง
ก็อัดลมเข้าเต็มปอด แล้วผ่อนระบายออกพร้อมกับเริ่มกำกับสติรู้ว่าหายใจออก
เมื่อรู้จนสุดลมก็กำหนดสติอยู่กับกาย เมื่อกายต้องการลมเข้า
ก็ลากลมด้วยสติรู้ว่ากำลังหายใจเข้า กับทั้งทราบชัดว่ายาวหรือสั้นด้วย
ทำไปทำมาเข้าออกเพียงสองสามครั้งอย่างถูกต้อง
ทุกอย่างก็เหมือนเข้าที่อัตโนมัติ เมื่อกายกับใจประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน
ไม่ขัดแย้งกัน ใจทำหน้าที่เพียงมีสติจ่อกับกาย
ทราบความต้องการของกายอย่างตรงจังหวะ ว่าเมื่อไหร่ควรคายลมออก
เมื่อไหร่จะควรดึงลมเข้า ไม่เร่งร้อนตามอำเภอใจ นานไปลมหายใจก็ปรากฏเป็นสายเดียว
จิตแยกไปตั้งมั่นเป็นฝ่ายรู้ เรียบง่ายตรงไปตรงมา ส่งผลให้กายนิ่ง
ไม่ไหวติงส่วนอื่นใดนอกเหนือทางเดินลม
พอกายกับใจปรับตัวเข้าสู่ภาวะละเอียดขึ้น
จิตก็เห็นนิมิตสายลมหายใจนิ่มนวลและเหยียดยาวเหมือนสายน้ำตก
ความรู้สึกแผ่ออกสบายไม่กระจุกตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่งให้อึดอัด
เมื่อจิตดิ่งลงสู่ความเงียบนิ่ง เมื่อนั้นเสียงความคิดในคลื่นสมองก็เงียบตามไปด้วย
มโนภาพและหน้าตาของผู้ทำสมาธิหายไป
สายลมหายใจเป็นเสมือนแท่งแม่เหล็กดึงดูดกระแสจิตให้เข้ามาผนึกตัวรวมกัน
ยิ่งรู้ชัดในสายลมหายใจมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแน่วนึกแนบนิ่งเป็นหนึ่งเดียว
มีความเป็นปึกแผ่นแน่นหนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เกาทัณฑ์เริ่มตื่นพร้อมเต็มที่
จิตจับลมถนัดอย่างนี้เป็นที่น่าสนุกดีนัก อาการนึกก็เกิดแล้ว
อาการเข้าคลุกวงในก็เกิดแล้ว ความสงบเย็นแบบที่เรียก ‘ปัสสัทธิ’ ก็เกิดแล้ว
ลักษณะกระแสจิตจึงเคลื่อนเข้าสู่สภาพล็อกนิ่งรวมดวงชั่วขณะ
บอกตนเองว่านั่นเองคือขณิกสมาธิหรือสมาธิชั่วคราวเต็มบริบูรณ์
ที่ว่าชั่วคราวเพราะรวมเดี๋ยวหนึ่ง
ก็คลายออกอย่างไม่อาจรั้ง
กับทั้งยังไม่เกิดปีติชนิดที่ให้ผลเป็นความสุขเอิบอาบซาบซ่าน
อย่างไรก็ตาม
เมื่อใดกระแสจิตดึงดูดเข้ารวมที่ศูนย์กลางคือสายลมหายใจ
ก็เหมือนทั้งร่างผนึกติดแน่นเป็นอันเดียวกันทุกส่วน
ทำให้รู้ตลอดองค์ร่างได้ทั่วพร้อม จิตเหมือนมีกำลังในภายใน กำหนดจี้ลงจับอารมณ์ได้สนิท
เช่นเดียวกับรู้จักใช้มือจับราวโหนให้แน่น
เกาทัณฑ์สำเหนียกถึงขุมพลังที่ซ่อนอยู่มหาศาลในกายใจ
บอกตนเองว่าเขาพร้อมจะกลับไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ได้อีกและอีก
ในเมื่อมองเห็นทางสมาธิชัดเจนขนาดนี้ ไม่มีอะไรมาก
ไม่ยุ่งยากอย่างที่คนส่วนใหญ่ท้อกัน ขอเพียงนั่งให้ถูก ตั้งจิตให้สบาย
ทราบความต้องการของกายตามจริง ลมหายใจออกก็รู้ ลมหายใจเข้าก็รู้ ลมหายใจหยุดก็รู้
ถ้าฟุ้งซ่านขึ้นมาก็เท่าทัน แล้วทำไม่รู้ไม่ชี้
เบนความสนใจกลับมาอยู่กับขั้นตอนระลึกลมตามแนวอานาปานสติ
นานไปเกาทัณฑ์ยิ่งกำหนดรู้ได้ถึงความแช่มชื่นเมื่อนำลมบริสุทธิ์เข้าร่าง
และกำหนดรู้ถึงความผ่อนกายสบายใจเมื่อกลุ่มลมที่อัดอยู่ในอกถูกระบายออก
ชักเกิดความสุขเย็นแปลกๆ
เขาสามารถจับอาการรวมนิ่งเป็นดวงสว่างน้อยๆของจิตได้แต่แรกเริ่ม
และเกือบจะทันรู้ว่ามันเสียอาการทรงตัวไปเมื่อไหร่ ความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้นแทนเมื่อใด
คล้ายเห็นหลอดไฟดับๆติดๆ ติดทีก็เกิดกำลังใจที
ครั้งหนึ่งจิตประหวัดถึงแหม่มคนสวยในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยที่สระน้ำ
เกิดอาการดิ้นรนซัดส่ายกระหายอยากขึ้นมาวูบหนึ่ง
ในบัดนั้นเองเพิ่งเกิดประสบการณ์ครั้งแรกที่ได้รู้จักว่า 'ตัดไฟแต่ต้นลม' เป็นอย่างไร เสมือนเขาเป็นช่างตัดต่อภาพผู้ชำนาญ เมื่อเห็น 'ภาพผิด' โผล่ขึ้นมา
ก็รีบเปลี่ยนไปหาภาพที่ถูกแทน คือรีบกลับมาปักสติกำหนดรู้ลมแทนมโนภาพบาดจิต
คลื่นกามปั่นป่วนก็พลันสงบรำงับลงทันใด
ความดิ้นรนอันทนได้ยากนั้น
หากยังไม่ลุกลามเกาะกินแก่นกายแน่นหนาเกินแก้แล้ว จะคล้ายลมแผ่วที่ฤทธิ์น้อยจนไม่อาจกระชากสติให้หลุดจากราวยึดได้ไหว
แต่ถ้าปล่อยปละละเลย สติวิ่งไล่กวดภาพเก่าที่เร้าใจในหัวไม่ทัน
ปล่อยให้เกิดปฏิกิริยาสนองตอบทางกายเต็มที่แล้ว ก็เหมือนนักมวยปล้ำผู้มีกำลังมาก
อาจกดคนกำลังอ่อนให้จมน้ำมิดหัวได้ง่ายดาย
ขยายหน้าท้องออกอย่างใจเย็นและมีมานะ
เห็นสายลมหายใจออกและเข้า ตั้งสติรู้ไม่ลดละ เมื่อเกิดความคิดนอกลู่นอกทางอีก
ก็หันเหความสนใจกลับมาเพ่งลมหายใจอีกและอีก
ด้วยความมีไฟอันโชติแรง
บวกกับการปฏิบัติที่ถูกวิธี จึงไม่ทำให้เกาทัณฑ์ง่วงงุนหรือหลงสติ
ภาวะจิตทรงตัวดีขึ้นเรื่อยๆจนกายกับจิตผสานกันถูกส่วนถึงที่สุด ณ
จุดนั้นเขาเกิดความเข้าใจว่าจะคุมจิตให้เปิดโล่งแผ่ออกเป็นวงกว้างได้อย่างไร
ฉับพลันก็บังเกิดความสว่างไสว เบาตัวและเกิดผัสสะกระจะกระจ่าง
แช่มชัดละเอียดอ่อนผิดไปจากธรรมดา
ลิ้มรสปีติสุขแปลกใหม่ที่เยือกเย็นปราณีตแตกต่างจากสุขอื่นที่เคยรู้จักมาก่อนทั้งหมด
บอกตัวเองทันทีว่านี่คือภาวะการรวมตัวอย่างเป็นเรื่องเป็นราวของจิต
เกาทัณฑ์ค่อนข้างจะตื่นเต้น แล้วก็ต้องพบกับความเสียดายที่ไม่มีความสามารถจะประคองภาวะนั้นให้เนิ่นนานออกไป
ความสว่างโรยลง และเขาก็ไม่สามารถผสานการนึกเข้ากับสายลมหายใจต่อไปได้
เสมือนแม่เหล็กเสื่อมแรงดึงดูดลงทีละน้อยจนหมดสภาพ
เอ...นี่เองกระมังเรียกว่าอุปจารสมาธิ
ทั้งสุกสว่าง ทั้งปีติสุขในรสวิเวกดื่มด่ำล้ำคำบรรยาย
แต่คงเป็นอุปจารสมาธิอย่างอ่อน
เพราะวูบมาเพียงนาทีเดียวก็เหี่ยวเฉาโรยราลงเสียแล้ว
โยคาวจรหนุ่มพยายามตั้งสติให้มั่นคง
สำรวจความพร้อมของร่างกายก็พบว่ายังอยู่ในสภาพที่มีกำลังใช้งานได้
นึกถึงภาวะนิ่งปราณีตด้วยความหวนคิดอยากกลับไปมีความสุขเช่นนั้นอีก คิดอยู่แต่ว่าจะเข้าถึงภาวะนั้นอีกให้จงได้
จึงมีกำลังใจขึ้น ตามรู้ลมหายใจออกและลมหายใจเข้านับครั้งไม่ถ้วน
บังคับตนเองไม่ให้คลาดสติสักครั้ง แต่น่าเจ็บใจที่ยิ่งนานจิตยิ่งมืด
นอกจากไม่รวมเป็นสมาธิสว่างเย็นแล้ว ยังเกิดความฟุ้งซ่านกระวนกระวาย
ทุรนทุรายจนต้องเปิดตาขึ้นในที่สุด
ด้วยโครงสร้างทางจิตใจที่เต็มไปด้วยความพิเคราะห์
แทนที่จะล้มตัวลงนอนแผ่หราอย่างคนทั่วไป
เกาทัณฑ์กลับครุ่นคิดและถึงบางอ้อภายในพริบตาเดียว
ว่าเขาไม่สามารถเร่งรัดตัวเองให้เข้าสู่สภาวะสมาธิได้เลยถ้าขาดเหตุปัจจัยที่ถูกต้อง
ถึงจะเคยรู้จักสภาวะสมาธิมาแล้วก็เปล่าประโยชน์
ทุกอย่างต้องเป็นไปตามวิถีทางอย่างมีลำดับ
เขาก้าวเข้าไปถึงเส้นชัยโดยเริ่มจากหนึ่ง สอง สามมิใช่กระโดดพรวดเดียวถึงเส้นชัย
หากจะไปให้ถึงเส้นชัยอีกครั้ง ก็ต้องย้อนกลับมาเริ่มจากหนึ่งใหม่
ชายหนุ่มมีจิตใจที่เยือกเย็นลงในบัดดล
ด้วยไหวทันแล้วว่าความเร่งร้อนนั่นเองเป็นอุปสรรคใหญ่
เขาจะเริ่มทุกขั้นตอนใหม่หมดด้วยกำลังสติและกำลังปัญญาที่ไม่เจือด้วยความโลภทั้งมวล
ลุกขึ้นเดินไปเดินมาเพื่อบรรเทาความเมื่อยขบและเหน็บชาที่กัดกินไปทั้งขา
แรกๆถึงกับต้องโขยกเขยก เดาด้วยปัญญาในขณะนั้นว่าอย่างนี้เองพระสงฆ์องค์เจ้าถึงต้องเดินจงกรม
ที่แท้ก็เอาไว้แก้เมื่อยขบหลังนั่งสมาธินี่เอง
เดินจนพอหายขาแข็ง
แล้วก็เลื่อนประตูกระจกเปิดออกไปยืนริมระเบียง มองมหานครพราวแสงจากตึกรามยามราตรี
สำเหนียกว่าภาวะหลังสมาธิก่อความคิดนึกแปลกๆแตกต่างไปจากเดิมอยู่บ้าง
เริ่มต้นที่ความเข้มข้นเกี่ยวกับตัวตน
ภาวะเข้มแข็งของจิตใหญ่ทวีอัตตาให้ยิ่งยงขึ้นอย่างเหลือคณานับ
ทั้งความนิ่งทรงอำนาจในตาและพลังที่ประจุแน่นในร่าง
ล้วนเป็นสัญลักษณ์ของธรรมชาติความยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น ชายหนุ่มมองเลยไปไกล
อะไรๆดูเหมือนอยู่ใต้ฝ่าเท้าเขาไปเสียทั้งนั้น
เงยหน้ามองดาวดวงหนึ่ง
คิดถึงแพตรี…คล้ายเห็นดาวอยู่ใกล้แค่เอื้อม
เขาว่าเขายื่นมือไปคว้าเมื่อไหร่ก็ได้...
ความเย็นสบายของสายลมและความบางเบาในอากาศระดับสูง
กล่อมเกลาให้ใจเคลิ้มลงสู่ความสงบ
อยู่ๆเกาทัณฑ์ก็นึกอยากปิดตากำหนดลมหายใจในท่ายืนนั้นเอง
กระแสจิตควบเข้าหาศูนย์กลางเป็นหนึ่งเดียว
เด่นดวงเหนือการปรากฏของกายและสรรพสิ่งรอบข้าง
ทั้งโลกปรากฏแต่ลมหายใจผ่านเข้าผ่านออก ผ่านเข้าผ่านออก
ในที่สุดก็เกิดธรรมชาติการรวมจิตผนึกแน่นเป็นดวงสว่างเงียบเยือกเย็นขึ้นอีกครั้งในอิริยาบถยืนนั่นเอง
เกาทัณฑ์วางอุเบกขา
ไม่ตื่นเต้นกับการรวมตัวครั้งใหม่ เฝ้าดูและประคองจิตไปเรื่อยๆ
มีความโคลงเคลงกระเพื่อมไหวอยู่บ้าง
แต่ความแรงของจิตอันเด่นดวงเป็นเสมือนคบเพลิงนำทาง
ขจัดแมงหวี่แมงวันที่เข้ามารบกวนประปรายเสียได้โดยง่าย
เมื่อเดินกำลังมาถึงจุดหนึ่งก็เหมือนจะคล้อยหลับ
เคลิ้มสติลง และถัดจากนั้นอีกหน่อย กายที่เหมือนหายหนไปก็เริ่มปรากฏขึ้นอีก
และปรากฏชัดกว่าปกติมาก อีกทั้งเริ่มชาเห่อแปลกๆตามอวัยวะใหญ่น้อย
คล้ายตัวเขาเป็นลูกโป่งที่ถูกอัดตัวขยายขึ้น
ใหญ่โตผิดปกติจนชักกลัวว่าจะปริระเบิดออกไป
กลายเป็นข่าวประหลาดพาดหัวหนังสือพิมพ์ในวันรุ่ง
ชายหนุ่มสะกดใจ ถามตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นหวา
ร่ำๆจะลืมตาขึ้นด้วยความปอดลอย
ยังดีที่ได้สตินึกถึงคำเตือนของพระอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องการเกิดปิติในรูปแบบต่างๆ
เป็นต้นว่าคล้ายตัวโย้ไปมา ขนลุกน้ำตาไหล ร่างขยายขึ้นคล้ายจะคับห้อง
เบาเหมือนกำลังลอยขึ้นไปเรื่อยๆ หรือเห็นภูตผีเทวดานางฟ้า ล้วนแล้วเป็นสิ่งน่าประหวั่นสำหรับผู้เริ่มต้น
ให้แก้ด้วยวิธีง่ายและตรงที่สุดคือวางใจเป็นกลาง
สักแต่รู้อาการนั้นๆกระทั่งจิตย้อนกลับมารู้ตัวเอง
เห็นปฏิกิริยาของตนเป็นความนิ่งเฉย
ระลึกได้เช่นนั้นก็ข่มใจแบบทำใจดีสู้เสือ
ดึงสติมาฝากไว้กับตัวรู้ภายใน เอาความเชื่อมั่นในพระอาจารย์เป็นหลักยึด
เฝ้าดูกายเหมือนขยายขึ้นแล้วหดลงเป็นช่วงคล้ายจะแกล้งให้ใจคอตุ๊มๆต่อมๆเล่น
มันไม่อยู่ในความควบคุมเอาเลย ราวกับไม่ใช่ร่างกายและจิตใจของเขาอีกแล้ว
ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นถนัดที่สุดตั้งแต่เกิดมา
มันดังตุบๆๆไม่หยุด แทบเห็นหัวใจเป็นก้อนอยู่ในอกเลยด้วยซ้ำ
ตอนแรกอาการของกายถูกเพ่งจับ ถูกยึดติดแนบแน่นจนไม่อาจกำหนดได้ว่าจิตอันเป็นผู้รู้
ผู้ดู ผู้เฝ้าสังเกตนั้นอยู่ตรงไหน ต่อเมื่อค่อยๆพิจารณา ว่าอาการทางกายนั้นเป็นเพียงอารมณ์ที่ถูกรู้
ไม่ต่างกับลมหายใจ ไม่ต่างกับวัตถุต่างๆ จึงถอยมากำหนดได้ ว่าภาวะอันเป็นนามธรรม
ตั้งอยู่ในอาการรู้ อาการนิ่งเป็นกลางนั่นเอง คือธรรมชาติที่เรียกว่าจิต
เมื่อเห็นจิต
ก็เห็นปฏิกิริยาของจิตอย่างแจ่มชัดว่าขณะนี้คือกลัว และพอเห็นตัวความกลัวเป็นเพียงปฏิกิริยาทางจิตชนิดหนึ่ง
เป็นของภายใน มิใช่เสือสิงห์ภายนอกมาขย้ำหัวแต่ไหน จิตก็เริ่มออกอาการทราบชัด
ว่าความกลัวก็ส่วนหนึ่ง ตัวจิตผู้รู้ผู้ดูก็ส่วนหนึ่ง แยกจากกันได้เด็ดขาด
พอประจักษ์ธรรมเช่นนั้น
จู่ๆทุกอย่างก็สงบเงียบลงเฉยๆ เหมือนหลุดผลัวะออกมาสู่แสงสว่างทั้งที่เพิ่งมีพายุฝนมืดครึ้มครืนครั่น
จิตยวบตัวยุบลงมาปับหนึ่ง แล้วกายกับจิตก็มีขนาดคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง
ทุกสิ่งสงบอย่างยิ่ง สว่างยิ่ง
เป็นประสบการณ์ใหม่เอี่ยมที่ชายหนุ่มต้องฉงนระคนปรีดา
ในความสว่างไสวเอกานั้น
เขาเห็นสายลมหายใจใสสะอาดเหยียดยาว มันชัดเสียยิ่งกว่าชัด
ขณะนั้นมีแต่ลมหายใจที่เป็นความจริง ร่างกายและความคิดกลายเป็นสิ่งเลือนราง
กล่าวได้อีกอย่างว่ามีอัตตาที่อยู่สูงกว่ากายและความคิดอันเป็นจุดอ้างอิงเดิม
นั่นคือการถึงอุปจารสมาธิอีกครั้ง
คราวนี้ลงมาอยู่ที่ฐานอุปจาระหนักแน่น ยืดยาว เพราะประกอบด้วยสติและกำลัง
โดยปราศจากความตื่นเต้นต่อรสปีติและสุขอันเย็นแปลกเหมือนพ้นสภาวะบุคคลออกไป
การทำสมาธิภาวนาช่างเป็นกิจกรรมอันแสนสนุกเพลินใจและมีสีสันพันลึก
สมาธิไม่ใช่สิ่งจืดชืดไร้รสอย่างที่เขาเคยประมาณเอาจากการเห็นคนนั่งเฉยเมยเป็นแท่งหิน
อาการไม่ไหวติงภายนอกที่แท้มีความเคลื่อนไหวและการรู้เห็นอันโอฬารภายในอย่างนี้เอง
เพลินสุขได้เพียงช่วงลมหายใจร้อยกว่าครั้ง
กำลังก็ถดถอย เขาสังเกตรู้ได้อย่างชัดเจนถึงความเสื่อมถอย เพราะใจจดอยู่แล้ว
มันเริ่มด้วยความคลายจากอาการดึงดูดเหมือนแม่เหล็กอ่อนแรง จิตไม่ผนึกรวมเป็นดวงเด่นอีกต่อไป
พยายามยับยั้งอย่างไรก็ไม่เป็นผล ตามด้วยความสุขที่มอดลงกลายเป็นความชืดชาสามัญ
อาการล็อกจิตติดกับลมหายใจหมดไป เห็นเป็นลมหายใจเข้าออกธรรมดา
มิใช่สายน้ำตกใสสว่าง เข้าอกเข้าใจถ่องแท้ในบัดนั้นว่ากำลังจิตเป็นอย่างไร
มีความหมายเพียงใด เมื่อเสื่อมไปแล้วตกกลับมาสู่สามัญภาพเช่นไร
ครั้งนี้ชักเหนื่อย
ร่างกายอ่อนแรงลงมาก อยากหงายหลังลงนอน แล้วเขาก็โอนอ่อนตามใจ
เดินกลับเข้าห้องแล้วเอนหลังนอนบนฟูกจริงๆ ใจยินดีปรีดากับความสำเร็จในการทำสมาธิ
นี่เป็นแค่การหัดทำสมาธิจริงจังครั้งที่สอง นับจากครั้งแรกที่กุฏิหลวงตาแขวน
แต่เขาทำได้น่าพึงใจปานนี้
จึงเห่อเหิมและนึกลำพองสงสัยขึ้นมาว่าจะมีใครในโลกทำสมาธิได้ดี
ได้ไวเท่าเขาหรือไม่
ว่ากันว่าบางคนเพียรทำสมาธิอยู่ในป่าในเขาตั้งสิบยี่สิบปียังเข็นให้ถึงอุปจารสมาธิไม่สำเร็จด้วยซ้ำ
แต่เขาลุถึงในวันเดียว!
เกาทัณฑ์มารู้ในภายหลังว่าเมื่อสองพันห้าร้อยปีล่วงแล้ว
ยังมีเด็กชายอายุเจ็ดขวบคนหนึ่ง นั่งขัดสมาธิรอผู้เป็นพ่ออยู่คนเดียวใต้ร่มไม้
สงบใจหลับตาตามรู้ลมหายใจโดยไม่มีใครสอน แล้วจิตก็ปฏิรูปตัวเป็นเปลวมหัศจรรย์
เพราะล่วงเข้าถึงสมาธิระดับปฐมฌาน แนบแน่นและยิ่งใหญ่กว่าสมาธิที่เขาทำได้เพราะมีคนสอนหลายเท่านัก
และเด็กคนนั้นก็คือสิทธัตถกุมาร
ผู้ที่เจริญวัยต่อมาเห็นภัยในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ออกบำเพ็ญเพียรหาทางหลุดพ้นจนสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
บรมศาสดาผู้เป็นอาจารย์ของอาจารย์เขาอีกที!
ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น