วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทางนฤพาน บทที่ ๗ อุปจารสมาธิ

บทที่ ๗  อุปจารสมาธิ


เกาทัณฑ์ขับรถกลับที่พักด้วยความรู้สึกเศร้าอย่างประหลาด มีความอาลัย เสียดาย คล้ายทำสิ่งหวงแหนหาย

หวงแหน…

เคยหวงมานับครั้งไม่ถ้วน ผิดกันก็แต่คราวนี้มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป กับทั้งรุนแรงและกัดลึกอย่างน่าอับอาย จิตใจวนเวียนอยู่กับภาพบาดตาที่บ้านปู่ชนะเมื่อครู่จนคล้ายตกอยู่ในห้วงฝันหลอน

ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อรถจอดที่แยกไฟแดงแห่งหนึ่ง หัวเราะเพราะขบขันความบ้าบอของตนเอง กะแค่เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่...น่าสนใจ...อยู่กับชายอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่เขา ถึงกับเกิดอาการวังเวงเชียวหรือ? หล่อนมีดีอะไรกัน ก็แค่สวย เขาหาสวยๆ อย่างนี้ได้เยอะแยะ

หรี่ตามองออกไปนอกกระจกรถ สบตากับสาวน้อยในรถด้านข้าง หล่อนนั่งอยู่ริมซ้ายและเผอิญหันมาจังหวะพอดีกัน

กะพริบตาทีหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างมีแรงดึงดูดที่ทำให้ไม่อาจถอนสายตาจากกันง่ายนัก แต่ชั่วขณะเมื่อใจเกิดนึกเปรียบเทียบกับผู้หญิงอีกคนที่บ้านปู่ เกาทัณฑ์ก็เบือนหน้าไปทางอื่น ได้คำตอบบางอย่างให้ตนเอง

เกือบจะเป็นครั้งแรกๆในชีวิตที่นึกขึ้นได้ ว่าตลอดมาเขาตีค่าผู้หญิงด้วยรูปร่างหน้าตาเป็นหลัก เพียงเพราะหลงใหลอยากกอดจูบสิ่งที่เห็นและจับต้องได้ภายนอก ถ้ารวย เก่ง พูดจาดี ก็จะเป็นแค่ปัจจัยเสริมให้รู้สึกเร้าใจขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่เขาจะคำนึงถึงและยกย่องว่าควรค่าแก่การฝากใจอะไรเลย

เดี๋ยวนี้รู้แล้ว ว่าค่าทางใจมีความหมายอย่างไร...

มาถึงห้องพักและเปิดตู้เย็นทำแซนด์วิชทานไปแกนๆ เลิกคิดวกวนและพยายามกลับมาเป็นตัวของตัวเอง เขาเกลียดเรื่องรบกวนจิตใจที่บั่นทอนความเชื่อมั่นทุกชนิด

เมื่อทานอาหารเที่ยงมื้อง่ายเสร็จก็เข้าห้องน้ำ ขัดสีฉวีวรรณเสียใหม่จนแจ่มใส ผิวปากหลอกตัวเองว่ากำลังสดชื่น เห็นเจ้าหล่อนที่รบกวนจิตใจเขาเป็นแค่ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง หล่อนไร้รสนิยมจนมองไม่เห็นค่าในตัวเขา ทำไมเขาจะต้องพยายามลืม แบบหล่อนนี่น่าลืมโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

หลอกตัวเองให้คิดและเชื่อเช่นนั้น ก็ดันนึกขึ้นมาได้อีกว่ามีแต่เขาเท่านั้นที่เป็นฝ่ายเห็นค่าหล่อน รสนิยมชั้นสูงของเขานี่แหละที่ให้ค่าหล่อนปีนระดับขึ้นจนเกินขีด ต้องว้าวุ่นอย่างน่ารำคาญตัวเองอยู่นี่ เสียเชิงพิลึกล่ะ

เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย มายืนอยู่นิ่งๆกลางห้องโดยไร้ความคิดหลอกตัวเอง ก็พบความจริงที่เหลือฝืนจะยอมรับ นั่นคือเขากระวนกระวาย คิดถึงหล่อน อยากคุยกับหล่อน อยากให้ตนไปถึงบ้านปู่เร็วกว่านั้น ก่อนหน้าที่ใครมาชิงจับจองเวลาไปก่อนเขา

ชายหนุ่มยกมือเสยผม เกลียดความหดหู่ที่เกิดจากเพศตรงข้าม แบบเดียวกับคนเชื่อมั่นว่าต้องสอบได้คะแนนเต็มเสมอ ต้องมาพบว่าครั้งหนึ่งตกรูดอย่างหมดท่า

สั่งตัวเองว่าต้องเคลื่อนไหว ต้องหาอะไรทำให้ลืมหล่อน ซึ่งดูไม่น่าจะยากนัก

หยิบวารสารต่างประเทศที่ชอบขึ้นมากางอ่าน เรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆจับใจเขาได้เสมอมา เขาสามารถอ่านหนังสือเชิงเทคนิคที่ยุ่งยากสลับซับซ้อนได้ด้วยความรู้สึกผ่อนคลายแบบเดียวกับหนังสืออ่านเล่น สงบใจขลุกขลุ่ย เพลิดเพลินอยู่ได้เป็นวันๆ

ลำบากตอนรวบรวมสติให้มีใจนึกตามข้อความที่กำลังผ่านตา แต่ความเคยชินในการไล่สายตาแบบไล่กวาดลงทีละบรรทัดบังคับให้เกิดการรวมกระแสสติในเวลาอันสั้น สายตาของเขาเห็นได้กว้าง เก็บได้ครบ เข้าอกเข้าใจถี่ถ้วน และจำได้แม่น คลื่นความปั่นป่วนในสมองเมื่อครู่ถูกแทรกแซงด้วยคลื่นความคิดอ่าน ความคำนึงนึกต่างรูปแบบที่เป็นระบบระเบียบมากกว่ากัน

อ่านจบไปสองเรื่องก็ลุกขึ้นรินน้ำอัดลมใส่แก้ว เปิดสเตอริโอฟัง แล้วกลับมานั่งเอกเขนกอย่างบรมสุข หยิบหนังสือขึ้นพลิกหาเรื่องอ่านต่อ ปากดูดน้ำจากแก้วในมือแล้ววางลงบนโต๊ะกระจกข้างตัวดังกริ๊กเล็กๆ เกิดความรู้สึกขึ้นมาในชั่วขณะนั้นว่าชีวิตคนเราเต็มไปด้วยรายละเอียดและสีสันหลายหลาก หากจะพลิกจากทุกข์เป็นสุข หรือสุขเป็นทุกข์ ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือกหยิบสิ่งที่มีอยู่รอบตัวแต่ละคนขึ้นมา

ลืมน้ำผึ้งผสมบอระเพ็ดอึกเดิมไปเสียได้ มีใจเต็มๆให้กับข่าวคราวทันสมัยเรื่องแล้วเรื่องเล่า หมดเรื่องน่าสนใจเล่มหนึ่งก็หยิบอีกเล่มขึ้นอ่านต่อ กระทั่งเงยหน้าดูนาฬิกาบนผนังห้อง เห็นได้เวลาออกกำลังก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เขาชอบกีฬาหลายอย่าง ต่อให้เป็นวันทำงานก็ต้องหาเวลาเล็กๆน้อยๆยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย ยิ่งถ้าเป็นวันหยุดอย่างนี้ก็มีโอกาสบันเทิงกับการกีฬาได้มากขึ้น

เลือกไปว่ายน้ำ เกาทัณฑ์โทร.ไปชวนเพื่อนสนิทคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในอาคารเดียวกัน แต่หมอนั่นออกไปข้างนอก เลยตัดสินใจไปคนเดียว

สระว่ายน้ำแห่งนั้นอยู่บนยอดตึกโรงแรมชั้นหนึ่งกลางกรุงซึ่งใกล้กับที่พัก มีคนมาลงว่ายประปรายทั้งไทยและฝรั่ง เป็นผู้ใหญ่ล้วนๆ ส่วนมากรวย เพราะค่าบริการและค่าสมาชิกแพงหูฉี่สมกับที่อยู่ชั้นลอยฟ้า

วันนี้พอมาถึงก็กระโจนลงว่ายเอาๆเป็นปลา ไม่รู้ว่ากี่รอบต่อกี่รอบ ถ้านับเป็นระยะคงเกือบสองกิโลฯ เขาว่ายน้ำทน เมื่อสมัยเรียนมัธยมเคยเล่นกีฬาให้โรงเรียน ได้ยืนบนแป้นหมายเลขหนึ่งบ่อยกว่าใครเพื่อน

ขึ้นจากสระด้วยอาการมึนนิดๆ ปีนี้เขายังไม่ถึงยี่สิบหก แต่เหมือนร่างกายเริ่มเปลี่ยนไปจากแต่ก่อน ความอึดความทนลดน้อยลง นั่นทำให้ไพล่นึกถึงความเป็นอนิจจังแห่งสังขารขึ้นวูบหนึ่ง คิดแล้วก็หัวเราะ ถ้าเห็นอะไรๆเข้าข่ายความเป็นอนิจจังอย่างนี้บ่อยๆคงแก่ทันปู่ชนะในเร็ววัน

เช็ดตัว เช็ดผม แล้วลงนั่งผึ่งลมบนเก้าอี้ยาวริมสระ ทอดตาดูน้ำสีฟ้าสวยใสที่มีชาวไทยและเทศลงไปสำเริงสำราญกัน 4-5 คน มันเป็นยามเย็นที่น่าระรื่นบนตึกสูงขนาดควันรถขึ้นมากวนไม่ถึง ลมพัดเฉื่อยฉิวท่ามกลางบรรยากาศสบายด้วยสวนหย่อมประดับพื้นที่ แถมมีตาสีเขียวมรกตปิ๊งๆของสาวผมทองส่งมาให้จากฝั่งสระตรงข้ามอีกต่างหาก

ชายหนุ่มส่งตาตอบพลางจุดยิ้มมุมปากหน่อยๆ ท่าทางหล่อนเอกเขนกตรงนั้นนานแล้วและกำลังเฝ้ามองเขาอยู่ทุกขณะ การว่ายไปว่ายมาไม่หยุดก็เป็นจุดเด่นของสระได้เหมือนกัน เพื่อนๆวิจารณ์ด้วยความอิจฉาเสมอเกี่ยวกับความกำยำได้รูปสวยของเรือนกายเขา โดยเฉพาะเมื่อกำลังว่ายฟรีสไตล์หรือท่าผีเสื้ออยู่ในน้ำ และจากการเห็นเองแทบทุกครั้งเมื่อขึ้นจากน้ำ ก็มักพบสายตาชนิดนี้จากเพศตรงข้ามส่งมาให้เป็นประจำ

เกาทัณฑ์ยีผมบนศีรษะเบาๆด้วยผ้าขนหนู สายตายังวางจับแน่นิ่งไปทางสัดส่วนโดดเด่นในชุดว่ายน้ำเว้าแหว่งล่อตาจนหล่อนต้องแสร้งเมินไปทางอื่นอย่างมีมายา สะสวยไม่ใช่เล่นทีเดียวล่ะ ประมาณจากตาเปล่าเดี๋ยวนี้ เก็งดูอายุแค่เฉียดสามสิบ ทรวดทรงองค์เอว ขา แขน ผิวกายยังไร้ที่ติไปทุกกระเบียดเนื้อ ท่วงทีสำรวยระเหิดระหงเท่าที่เห็น ชวนให้นึกชมมองไม่เบื่อ ต่อให้ถูกบังคับห้ามถอนสายตาไปจากหล่อนสักชั่วโมงก็ตาม

ดูท่าคงไม่ใช่แหม่มที่มาเมืองไทยตัวคนเดียว หล่อนอาจมากับแฟน กับเพื่อน หรือกับพ่อแม่ แต่สายตาที่หวนกลับมาสบอย่างเปิดเผยนั้นประกาศให้ทราบชัดราวกับมีโทรจิตสื่อกันว่าเขาอาจเดินเข้าไปทักทายทำความรู้จักกับหล่อนได้ และหล่อนก็พร้อมที่จะมีเพื่อนชายชาวไทยสักสองสามวันโดยไม่มีใครมากั้นขวางขัดกลาง

ความคิดของเกาทัณฑ์ลึกลงไป คนเจนโลกีย์ด้วยกันย่อมดึงดูดเข้าหากันโดยง่ายคล้ายมีแม่เหล็กคนละขั้วฝังอยู่ในตัวแต่ละฝ่าย เชื้อชาติที่แตกต่างคือรูปแบบแปลกตาน่าระทึก วาดได้เป็นฉากๆว่าหากต้องการรู้จักหล่อน เขาจะต้องเข้าไปด้วยลีลาเช่นไร เริ่มต้นทักด้วยคำพูดใด และหล่อนจะมีทีท่าโต้ตอบมาไม้ไหน ในที่สุดเขาจะต้อนหล่อนเข้ามุม ลงเอยเกษมสันต์หรรษากันครั้งแรกถึงใจเพียงใด ความขึ้นใจกับเกมชีวิตประเภทนี้ทำให้เขามีสัมผัสต่อเหตุการณ์ที่กำลังจะมาถึงได้ชัดเจนราวกับเกิดขึ้นแล้ว

เกาทัณฑ์รู้ว่าถ้าปล่อยหล่อนผ่านไป พลาดโอกาสทำความรู้จักเสียเดี๋ยวนี้ คงหมายถึงการจากกันชั่วนิรันดร์ เหมือนไอศกรีมสุดอร่อยที่จ่อปากอยู่รอมร่อ จะอ้างับก็ง่ายนิดเดียว แต่เมื่อรอนาน มันก็จะละลายหาย หมดเวลารับรางวัลสำหรับคนอ้อยอิ่ง

ร่ำๆจะลุกขึ้นและก้าวเดินไปสู่อนาคตคือวิมานฉิมพลี แต่เวรกรรมที่ยังจำได้ชัดว่าให้สัญญากับหลวงตาแขวนไว้อย่างไร ตลอดอาทิตย์นี้เขาจะต้องงดเสพกาม…

ถอนใจเฮือก เตือนตนเองว่าแม้สบตาด้วยกระแสความรู้สึกใคร่อยากเช่นนี้ก็เท่ากับละเมิดสัญญาทีละน้อย เหมือนปล่อยข้าศึกให้เข้าประชิดเมือง ขึ้นชื่อว่าข้าศึกนั้น เมื่อถึงเมืองแล้วจะให้อยู่เฉยหรือถูกเชิญถอยไปดีๆคงไม่มี อย่างไรก็ต้องปะทะ อย่างไรก็ต้องล้มตายกันในที่สุด

ดีเหมือนกัน เมื่อทุกอย่างผ่านเลยไปแล้วๆเล่าๆ ถึงเวลาเสียทีกระมังที่เขาจะปรารถนาบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่าการเสพสมเนื้อหนังมังสา ถึงเวลาแสวงหาผู้หญิงสักคนที่ทำให้รู้จักโลกนี้ในอีกมิติหนึ่ง ที่ห่างไกลจากเบื้องต่ำอันอุดมด้วยความหยาบโลนชั่ววูบผ่านผิวเผิน

เกาทัณฑ์ลุกขึ้นเดินจากสระแห่งนั้นไปไม่เหลียวหลัง ตอนนี้จะคิดอะไร ทำอะไร ให้มาลงเอยที่เจ้าหล่อนหลานปู่ชนะจนได้ซีน่า



ทานข้าวเย็นคนเดียวจนอิ่มตื้อ นี่เห็นจะเป็นการอยู่ตามลำพังที่ยาวนานทำลายสถิติทั้งหมดในชีวิตกระมัง เขาเดินขึ้นลิฟท์เข้าห้องพักคนเดียว ไม่ขับรถไปที่บ้านเพื่อนคนไหน ไม่แวะเคาะประตูห้องใคร และหนักที่สุดคือไม่แยแสเสียงกริ่งโทรศัพท์ที่ดังขณะไขกุญแจประตูห้อง ปล่อยให้เครื่องตอบรับอัตโนมัติทำงานแทน

"นี่แอ้พูดนะคะ เพื่อนๆนัดเจอกันที่เดิมคืนนี้สี่ทุ่มครึ่ง ไปให้ได้นะ...ปิดมือถือไว้เหรอ ติดต่อทั้งวันไม่ได้เลย"

เสียงแจ๋วๆจากลำโพงเครื่องตอบรับมิได้ทำให้เขายินยลสักนิด ถ้าเป็นเมื่อเดือนก่อน เขาคงวิ่งหน้าตื่นไปปิดเครื่องตอบรับและคว้าหูโทรศัพท์ขึ้นพูดโดยพลัน เพราะหล่อนที่เรียกตัวเองว่า ‘แอ้’ กำลังเป็นปลามันชิ้นงามที่เขากับเพื่อนสนิทคนหนึ่งออกแรงแย่งกันอย่างสนุกสนาน ยิ้มเปิดโลกกับท่วงทีเก๋ไก๋เฉพาะตัว รวมทั้งแบบฉบับสาวเก่งผิดวัย ทำให้หล่อนมีเอกลักษณ์พิเศษบาดใจเกินใคร

ยืนฟังเพื่อนสาวตัดพ้อต่อว่าอย่างเซื่องเฉยคล้ายสมองเลิกทำงาน เชื่อแล้วว่าตนกำลังหลงผู้หญิงคนหนึ่งอยู่อย่างไม่อาจเปิดหูเปิดตาให้ใครอื่น

จนเสียงจากลำโพงเครื่องตอบรับเงียบสนิท จึงเดินเข้ามายกกระบอกโทรศัพท์ขึ้น กดเบอร์ต่อสายไปที่บ้านพ่ออย่างปราศจากจุดหมาย

"ฮัลโหล"

เสียงห้าวลึกตอบมาเมื่อสัญญาณดังเพียงสองครั้ง

"พ่อเหรอฮะ" เกาทัณฑ์ทัก "ผมนะ"

"ไง นายเต้ หายเงียบไปเลย"

พ่อทักตอบเนือยๆ มีเสียงพลิกกระดาษแว่วเข้าหู เกาทัณฑ์จึงรู้ว่าพ่อกำลังนั่งตรวจงาน อันเป็นกิจวัตรที่เขาเห็นจนคุ้นมาแต่ไหนแต่ไร

"ฮะ" เขาพูดซึมๆ "ไม่เจอกันนานแล้ว วันอาทิตย์พรุ่งนี้ผมจะไปทานข้าวเช้าด้วย"

"เออ ดี แม่บ่นคิดถึงแกอยู่เมื่อวานนี้เอง ทำอะไรอยู่ไม่โผล่หัวมาเลย"

"กำลังสนุกกับชีวิตน่ะฮะ"

ลูกชายตอบกลั้วหัวเราะเอื่อย

"เสียงเหมือนไม่สนุกอย่างปากพูดเลยนี่ฮึ"

พ่อของเขาไวและแม่นเสมอกับความจริง โดยเฉพาะความจริงที่ถูกซ่อนไว้ด้วยความพยายามของมนุษย์ เกาทัณฑ์หัวเราะออกมาอีก แต่คราวนี้ขบขันตนเองที่ปล่อยให้พ่อรู้ว่ากำลังห่อเหี่ยว แม้เพิ่งได้ยินเสียงแค่สองสามคำ

"มีอะไรให้ทำเยอะฮะ ชีวิตมีอะไรแปลกใหม่เข้ามาได้เรื่อยๆ…"

เขาหมายความตามนั้น แล้วก็แต่งเสียงใสขึ้นเหมือนจะเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาให้ร่าเริง

"พ่อ…ผมไปเยี่ยมปู่ชนะมา!"

"เหรอะ" พ่อทำเสียงไม่คาดฝัน "ขับไปแถวนั้นแล้วน้ำมันหมดพอดีรึไง?"

เกาทัณฑ์ยิ้ม พูดแล้วก็เพิ่งรู้ว่าโทร.หาพ่อทำไม เขาต้องการคุยกับใครสักคนที่น่าจะรู้จักหล่อนคนนั้น อยากฟังอะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับหล่อน

“ตั้งใจไปเยี่ยมสิฮะ เกิดไปติดเนื้อต้องใจสาวสวยในบ้านปู่มาด้วย"

ชายหนุ่มอำพรางความในใจด้วยการพูดเรื่องจริงให้ฟังเหมือนเล่น พ่อเงียบเหมือนอึ้งไป ก่อนจะเอ่ยเนิบ

“แกไม่ไปหาปู่ตั้งหลายปีแล้วนี่ ก่อนไปเรียนโทใช่ไหม?”

“ฮะ นานไปหน่อย…แปลกนะพ่อ ผมน่าจะรู้จักแพมาได้ตั้งนานแล้ว ทำไมเหมือนเพิ่งมาเห็นก็ไม่รู้”

“สงสัยเพราะเพิ่งสวยน่ะซี”

ผู้เป็นพ่อทำเสียงรู้แกว ทำให้ฝ่ายลูกหัวเราะเก้อๆ

“พอนึกออกเหมือนกันแหละฮะว่าเคยเห็นเขายืนเดินอยู่ในบ้านปู่ แต่เหลือเชื่อที่โตแล้วต่างกับสมัยก่อนอย่างกับเป็นคนละคน”

“แกก็ไปบ้านปู่ไม่กี่ครั้งนี่นะ ส่วนใหญ่ฉันพาไปไหว้ตอนปู่มาค้างที่บ้านอา แล้วตอนวัยรุ่นน่ะแกเต๊ะยังกับอะไร ท่าทางเหมือนไม่เคยมองหน้ามนุษย์ คนเราต่อให้อยู่บ้านติดกัน แต่ถ้าไม่เคยมองหน้าให้เต็มตา เจอข้างนอกก็นึกว่าคนอื่น”

เกาทัณฑ์เห็นจริงตามนั้น คำพูดของพ่อทำให้เพิ่งตระหนักว่าสมัยก่อนเขาไม่เคยมองหน้าหล่อนให้จะแจ้งเลยสักครั้งเดียว อีกอย่างช่วงนั้นบ้านปู่มีคนเยอะ เขาติดจะขี้รำคาญ ขนาดญาติที่ต้องยกมือไหว้ยังขี้เกียจมอง ประสาอะไรกับเด็กผู้หญิงที่ยังปราศจากฝาดเลือดสาวสะพรั่งอย่างหล่อน

"ปู่ได้มายังไงฮะ?"

“เห็นว่าเป็นลูกหลานของคนรู้จักเก่าแก่น่ะ ปู่แกไปเยี่ยมแล้วเห็นเพิ่งเสียชีวิตกะทันหัน ญาติๆเกี่ยงกันเพราะต่างมีภาระ มีลูกเต้ากันอยู่แล้ว ปู่สงสารเลยขอรับมาเลี้ยงเอง”

ชายหนุ่มยิ้มแหย

“จดทะเบียนรับเป็นลูกบุญธรรมหรือฮะ?”

“เปล่า ช่วงนั้นลุงของแกอายุมากพอจะเป็นธุระให้แล้ว ปู่เลยขอให้เป็นพ่อในนามแทน แต่ตลอดมาปู่เป็นคนเลี้ยงเอง”

เกาทัณฑ์ถอนใจโล่งอก ถ้าปู่รับหล่อนเป็นลูกบุญธรรม แม้จะเป็นเพียงในนาม ก็คงต้องถือว่าหล่อนเป็นน้องสาวพ่อเขา

"รู้ชื่อจริงเขาไหมฮะ ผมได้ยินแต่ปู่เรียกแพ"

"แพตรี"

เกาทัณฑ์ตาสว่าง เป็นนามที่ฟังสะดุดหู

"แพตรี…” เขาทวนคำ “เก๋ดีแฮะ เกิดมาเพิ่งเคยได้ยิน”

ยิ่งทวนชื่ออยู่ในใจยิ่งรู้สึกว่าหล่อนโดดเด่นอย่างประหลาด พ่อลูกเงียบเสียงกันพักหนึ่ง อย่างที่ต่างฝ่ายต่างคิดไปคนละทาง

"ดูตอนปู่มองแพหรือพูดถึงแพ รู้สึกท่านรักเหมือนเป็นลูกจริงๆ"

"คงธรรมะธัมโมเหมือนๆกันมั้ง เลยอาจถูกใจเอ็นดูยายแพเป็นพิเศษ"

"เอ่อ...แล้วมีแฟนรึยังพอรู้มั้ยฮะ?"

ฝ่ายพ่อหัวเราะหึๆ ตั้งแต่ลูกชายแตกเนื้อหนุ่มและริจีบสาว เพิ่งเคยมีก็นี่แหละที่มาพูด มาถามซอกแซกกับตนขนาดนี้

“นี่แกจริงจังมากหรือเต้?”

เกาทัณฑ์เงียบไปหน่อยหนึ่ง

“ถ้าจริงล่ะฮะ?”

“จริงก็ดีไป แต่เขาเหมือนญาติ เกี้ยวพาราสีได้เป็นแฟนแล้วทิ้งขว้างกันง่ายๆไม่ได้นา พ่อเองก็เอ็นดูเขา เคยนึกอยากชวนให้แกคบหาเหมือนกัน ผู้หญิงอย่างนี้ใครได้ไปก็ยิ่งกว่าได้แก้ว แต่เห็นความช่างเปลี่ยนและขี้เบื่อของแกแล้วกลัวใจว่ะ”

“อย่าว่าแต่จะมีโอกาสทิ้งขว้างเลยฮะ แค่จีบให้ติดยังไม่รู้จะไหวหรือเปล่า เขา…มีบางอย่างที่เข้าถึงยาก สิ่งที่เขาเลือกเหมือนจะไม่มีอยู่ในผมหรือใครทั้งนั้น พ่อเคยได้ยินว่าเขามีแฟนไหมล่ะฮะ?”

“ก็…เห็นเด็กใกล้บ้านติดพันสนิทสนมกันแต่เล็กนี่นะ ที่ชื่อ…อะไรล่ะ ลืมแล้ว”

เสียวหัวใจปลาบ รู้ทั้งรู้ว่าอาจได้ยินอะไรอย่างนี้ยังดันถามออกไปอีก เกาทัณฑ์แกล้งหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะเบี่ยงหัวข้อสนทนาไปทางการเมืองหน้าตาเฉย ไม่แวะเวียนมาใกล้เรื่องราวในบ้านปู่ชนะอีกเลย

เป็นครู่จึงขอวางสาย และยืนยันว่าพรุ่งนี้จะไปทานข้าวมื้อเช้าด้วย ล่ำลาเรียบร้อยจึงวางโทรศัพท์ลง กลับมานั่งถอนใจตามลำพัง นึกถึงแต่ชื่อแพตรีวนไปเวียนมา กระแสใจไหลวนเข้าไปรวมอยู่กับมโนภาพความเป็นหล่อน แต่พอนึกถึงไอ้หนุ่มที่มากดออด ก็หงุดหงิดหัวใจขึ้นมารำไร คำพูดของพ่อยืนยันว่าสายตาคนภายนอกเห็นแพตรีกับหมอนั่นเป็นแฟนกัน เพราะคบหาสนิทสนมมาแต่เล็ก เหลือเชื่อเลยว่าเป็นไปได้ แค่ความสวยหวานที่เป็นผิวนอกของหล่อนก็เพียงพอที่จะดึงดูดลูกชายอาเสี่ยร้อยล้านพันล้านมาติดพัน ชนิดยินดีรับบัญชา พร้อมจะเอาเบนซ์สปอร์ตพุ่งปร๊าดมารับไปจ่ายตลาดหน้าปากซอยทันใจ ขอเพียงหล่อนโทร.ไปเรียก นี่ตลกอย่างไร แพตรีถึงเลือกเอาแค่นี้?

เขาเองออกจะพร้อมไปทุกสิ่ง สายตาของผู้หญิงที่ผ่านมายืนยันให้เชื่อมั่นในตัวเองได้อย่างล้นเหลือ แต่กำลังคุยกับหล่อนแท้ๆ พอหนุ่มรุ่นน้องมาเรียกทีเดียวถึงกับกระวีกระวาดลุกไปเปิดประตู ลืมสนิทว่ากำลังคุยกับเขาอยู่ก่อนหน้า

คนเคยเป็นหนึ่ง เป็นตัวเลือกแรกมาตลอดอย่างเขาน่ะหรือ ด้อยกว่าเจ้านั่น?? หน้าตาท่าทางเหมือนขอมดำดินอย่างนั้น เกาทัณฑ์เชื่อว่าแม้แต่ผู้หญิงที่เขาทิ้งได้ในคืนเดียวยังเมินเลย

เอาก็เอาซี มันต้องมีครั้งแรกเสมอ เกิดมาเคยแต่ชกกับรุ่นใหญ่ ถ้าต้องลดชั้นลงไปฟัดกับมวยวัดมั่ง ก็ทำใจคิดเสียว่ายอมเปื้อนเพื่อควานหยิบเพชรซึ่งเผอิญหล่นไปอยู่ในตมแล้วกัน

เล่ห์รักมีออกเต็มกระเป๋าจะไปกลัวอะไร ถ้าเล่ห์รักหมดกระเป๋าก็งัดกล งัดลูกไม้มาต่อ และถ้าลูกไม้ไม่ได้ผล...เขากำลังสั่งสมพลังจิตให้มีอำนาจเหนือมนุษย์ จะแปลกอะไรที่ขั้นสุดท้ายจะทุ่มด้วยมนตร์คาถาเพื่อเอาหล่อนมาเป็นของเขา

คิดชั่วได้ดังนั้นก็ชักกระฉับกระเฉง นึกขึ้นมาว่าน่าจะได้เวลาฝึกหัดภาวนาสมาธิเสียที

เข้าห้องน้ำชะล้างคราบไคลและกลิ่นคลอรีนจากสระ เพียงสิบนาทีให้หลัง เกาทัณฑ์ก็มานั่งเข้าที่ ขัดสมาธิคู้บัลลังก์กลางห้อง ตัวตรงไม่เกร็ง มือขวาทับมือซ้าย ขาขวาซ้อนขาซ้าย เลิกคิด เลิกพะวงเรื่องอื่นใดทั้งหมด

สำรวจตลอดองค์ร่างที่นั่งคู้บัลลังก์อยู่ ดูว่ามีส่วนใดเครียดหรือเกร็งบ้าง ก็พบว่าส่วนหลังและน่องซ้ายเกร็งๆอยู่เล็กน้อย จึงทำตามสูตร คือสั่งกายให้ละลายความเกร็งทั้งหมดนั้นลง กล้ามเนื้อทุกส่วนจึงวางอยู่บนรูปนั่งที่ผ่อนคลายไม่ไหวติง มีศูนย์และสมดุลที่เหมาะแก่การคงสติระลึกรู้อารมณ์สมาธิ

กายที่สบายนั้นเองปรุงให้ใจสบายตาม กายที่ตั้งตรงนั้นเองค้ำสติให้ดำรงมั่น

อากาศเย็นพอเหมาะและความเงียบรอบด้านช่วยได้มาก ชายหนุ่มกำหนดสติเข้ามาที่กายนั่ง ทราบจังหวะความต้องการดึงลมหายใจเข้าตามจริง ก็อัดลมเข้าเต็มปอด แล้วผ่อนระบายออกพร้อมกับเริ่มกำกับสติรู้ว่าหายใจออก เมื่อรู้จนสุดลมก็กำหนดสติอยู่กับกาย เมื่อกายต้องการลมเข้า ก็ลากลมด้วยสติรู้ว่ากำลังหายใจเข้า กับทั้งทราบชัดว่ายาวหรือสั้นด้วย

ทำไปทำมาเข้าออกเพียงสองสามครั้งอย่างถูกต้อง ทุกอย่างก็เหมือนเข้าที่อัตโนมัติ เมื่อกายกับใจประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกัน ใจทำหน้าที่เพียงมีสติจ่อกับกาย ทราบความต้องการของกายอย่างตรงจังหวะ ว่าเมื่อไหร่ควรคายลมออก เมื่อไหร่จะควรดึงลมเข้า ไม่เร่งร้อนตามอำเภอใจ นานไปลมหายใจก็ปรากฏเป็นสายเดียว จิตแยกไปตั้งมั่นเป็นฝ่ายรู้ เรียบง่ายตรงไปตรงมา ส่งผลให้กายนิ่ง ไม่ไหวติงส่วนอื่นใดนอกเหนือทางเดินลม

พอกายกับใจปรับตัวเข้าสู่ภาวะละเอียดขึ้น จิตก็เห็นนิมิตสายลมหายใจนิ่มนวลและเหยียดยาวเหมือนสายน้ำตก ความรู้สึกแผ่ออกสบายไม่กระจุกตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่งให้อึดอัด เมื่อจิตดิ่งลงสู่ความเงียบนิ่ง เมื่อนั้นเสียงความคิดในคลื่นสมองก็เงียบตามไปด้วย มโนภาพและหน้าตาของผู้ทำสมาธิหายไป สายลมหายใจเป็นเสมือนแท่งแม่เหล็กดึงดูดกระแสจิตให้เข้ามาผนึกตัวรวมกัน ยิ่งรู้ชัดในสายลมหายใจมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแน่วนึกแนบนิ่งเป็นหนึ่งเดียว มีความเป็นปึกแผ่นแน่นหนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เกาทัณฑ์เริ่มตื่นพร้อมเต็มที่ จิตจับลมถนัดอย่างนี้เป็นที่น่าสนุกดีนัก อาการนึกก็เกิดแล้ว อาการเข้าคลุกวงในก็เกิดแล้ว ความสงบเย็นแบบที่เรียก ‘ปัสสัทธิ’ ก็เกิดแล้ว ลักษณะกระแสจิตจึงเคลื่อนเข้าสู่สภาพล็อกนิ่งรวมดวงชั่วขณะ บอกตนเองว่านั่นเองคือขณิกสมาธิหรือสมาธิชั่วคราวเต็มบริบูรณ์

ที่ว่าชั่วคราวเพราะรวมเดี๋ยวหนึ่ง ก็คลายออกอย่างไม่อาจรั้ง กับทั้งยังไม่เกิดปีติชนิดที่ให้ผลเป็นความสุขเอิบอาบซาบซ่าน

อย่างไรก็ตาม เมื่อใดกระแสจิตดึงดูดเข้ารวมที่ศูนย์กลางคือสายลมหายใจ ก็เหมือนทั้งร่างผนึกติดแน่นเป็นอันเดียวกันทุกส่วน ทำให้รู้ตลอดองค์ร่างได้ทั่วพร้อม จิตเหมือนมีกำลังในภายใน กำหนดจี้ลงจับอารมณ์ได้สนิท เช่นเดียวกับรู้จักใช้มือจับราวโหนให้แน่น

เกาทัณฑ์สำเหนียกถึงขุมพลังที่ซ่อนอยู่มหาศาลในกายใจ บอกตนเองว่าเขาพร้อมจะกลับไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ได้อีกและอีก ในเมื่อมองเห็นทางสมาธิชัดเจนขนาดนี้ ไม่มีอะไรมาก ไม่ยุ่งยากอย่างที่คนส่วนใหญ่ท้อกัน ขอเพียงนั่งให้ถูก ตั้งจิตให้สบาย ทราบความต้องการของกายตามจริง ลมหายใจออกก็รู้ ลมหายใจเข้าก็รู้ ลมหายใจหยุดก็รู้ ถ้าฟุ้งซ่านขึ้นมาก็เท่าทัน แล้วทำไม่รู้ไม่ชี้ เบนความสนใจกลับมาอยู่กับขั้นตอนระลึกลมตามแนวอานาปานสติ

นานไปเกาทัณฑ์ยิ่งกำหนดรู้ได้ถึงความแช่มชื่นเมื่อนำลมบริสุทธิ์เข้าร่าง และกำหนดรู้ถึงความผ่อนกายสบายใจเมื่อกลุ่มลมที่อัดอยู่ในอกถูกระบายออก ชักเกิดความสุขเย็นแปลกๆ เขาสามารถจับอาการรวมนิ่งเป็นดวงสว่างน้อยๆของจิตได้แต่แรกเริ่ม และเกือบจะทันรู้ว่ามันเสียอาการทรงตัวไปเมื่อไหร่ ความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้นแทนเมื่อใด คล้ายเห็นหลอดไฟดับๆติดๆ ติดทีก็เกิดกำลังใจที

ครั้งหนึ่งจิตประหวัดถึงแหม่มคนสวยในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยที่สระน้ำ เกิดอาการดิ้นรนซัดส่ายกระหายอยากขึ้นมาวูบหนึ่ง ในบัดนั้นเองเพิ่งเกิดประสบการณ์ครั้งแรกที่ได้รู้จักว่า 'ตัดไฟแต่ต้นลม' เป็นอย่างไร เสมือนเขาเป็นช่างตัดต่อภาพผู้ชำนาญ เมื่อเห็น 'ภาพผิด' โผล่ขึ้นมา ก็รีบเปลี่ยนไปหาภาพที่ถูกแทน คือรีบกลับมาปักสติกำหนดรู้ลมแทนมโนภาพบาดจิต คลื่นกามปั่นป่วนก็พลันสงบรำงับลงทันใด

ความดิ้นรนอันทนได้ยากนั้น หากยังไม่ลุกลามเกาะกินแก่นกายแน่นหนาเกินแก้แล้ว จะคล้ายลมแผ่วที่ฤทธิ์น้อยจนไม่อาจกระชากสติให้หลุดจากราวยึดได้ไหว แต่ถ้าปล่อยปละละเลย สติวิ่งไล่กวดภาพเก่าที่เร้าใจในหัวไม่ทัน ปล่อยให้เกิดปฏิกิริยาสนองตอบทางกายเต็มที่แล้ว ก็เหมือนนักมวยปล้ำผู้มีกำลังมาก อาจกดคนกำลังอ่อนให้จมน้ำมิดหัวได้ง่ายดาย

ขยายหน้าท้องออกอย่างใจเย็นและมีมานะ เห็นสายลมหายใจออกและเข้า ตั้งสติรู้ไม่ลดละ เมื่อเกิดความคิดนอกลู่นอกทางอีก ก็หันเหความสนใจกลับมาเพ่งลมหายใจอีกและอีก

ด้วยความมีไฟอันโชติแรง บวกกับการปฏิบัติที่ถูกวิธี จึงไม่ทำให้เกาทัณฑ์ง่วงงุนหรือหลงสติ ภาวะจิตทรงตัวดีขึ้นเรื่อยๆจนกายกับจิตผสานกันถูกส่วนถึงที่สุด ณ จุดนั้นเขาเกิดความเข้าใจว่าจะคุมจิตให้เปิดโล่งแผ่ออกเป็นวงกว้างได้อย่างไร ฉับพลันก็บังเกิดความสว่างไสว เบาตัวและเกิดผัสสะกระจะกระจ่าง แช่มชัดละเอียดอ่อนผิดไปจากธรรมดา ลิ้มรสปีติสุขแปลกใหม่ที่เยือกเย็นปราณีตแตกต่างจากสุขอื่นที่เคยรู้จักมาก่อนทั้งหมด

บอกตัวเองทันทีว่านี่คือภาวะการรวมตัวอย่างเป็นเรื่องเป็นราวของจิต เกาทัณฑ์ค่อนข้างจะตื่นเต้น แล้วก็ต้องพบกับความเสียดายที่ไม่มีความสามารถจะประคองภาวะนั้นให้เนิ่นนานออกไป ความสว่างโรยลง และเขาก็ไม่สามารถผสานการนึกเข้ากับสายลมหายใจต่อไปได้ เสมือนแม่เหล็กเสื่อมแรงดึงดูดลงทีละน้อยจนหมดสภาพ

เอ...นี่เองกระมังเรียกว่าอุปจารสมาธิ ทั้งสุกสว่าง ทั้งปีติสุขในรสวิเวกดื่มด่ำล้ำคำบรรยาย แต่คงเป็นอุปจารสมาธิอย่างอ่อน เพราะวูบมาเพียงนาทีเดียวก็เหี่ยวเฉาโรยราลงเสียแล้ว

โยคาวจรหนุ่มพยายามตั้งสติให้มั่นคง สำรวจความพร้อมของร่างกายก็พบว่ายังอยู่ในสภาพที่มีกำลังใช้งานได้ นึกถึงภาวะนิ่งปราณีตด้วยความหวนคิดอยากกลับไปมีความสุขเช่นนั้นอีก คิดอยู่แต่ว่าจะเข้าถึงภาวะนั้นอีกให้จงได้ จึงมีกำลังใจขึ้น ตามรู้ลมหายใจออกและลมหายใจเข้านับครั้งไม่ถ้วน บังคับตนเองไม่ให้คลาดสติสักครั้ง แต่น่าเจ็บใจที่ยิ่งนานจิตยิ่งมืด นอกจากไม่รวมเป็นสมาธิสว่างเย็นแล้ว ยังเกิดความฟุ้งซ่านกระวนกระวาย ทุรนทุรายจนต้องเปิดตาขึ้นในที่สุด

ด้วยโครงสร้างทางจิตใจที่เต็มไปด้วยความพิเคราะห์ แทนที่จะล้มตัวลงนอนแผ่หราอย่างคนทั่วไป เกาทัณฑ์กลับครุ่นคิดและถึงบางอ้อภายในพริบตาเดียว ว่าเขาไม่สามารถเร่งรัดตัวเองให้เข้าสู่สภาวะสมาธิได้เลยถ้าขาดเหตุปัจจัยที่ถูกต้อง ถึงจะเคยรู้จักสภาวะสมาธิมาแล้วก็เปล่าประโยชน์ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามวิถีทางอย่างมีลำดับ เขาก้าวเข้าไปถึงเส้นชัยโดยเริ่มจากหนึ่ง สอง สามมิใช่กระโดดพรวดเดียวถึงเส้นชัย หากจะไปให้ถึงเส้นชัยอีกครั้ง ก็ต้องย้อนกลับมาเริ่มจากหนึ่งใหม่

ชายหนุ่มมีจิตใจที่เยือกเย็นลงในบัดดล ด้วยไหวทันแล้วว่าความเร่งร้อนนั่นเองเป็นอุปสรรคใหญ่ เขาจะเริ่มทุกขั้นตอนใหม่หมดด้วยกำลังสติและกำลังปัญญาที่ไม่เจือด้วยความโลภทั้งมวล

ลุกขึ้นเดินไปเดินมาเพื่อบรรเทาความเมื่อยขบและเหน็บชาที่กัดกินไปทั้งขา แรกๆถึงกับต้องโขยกเขยก เดาด้วยปัญญาในขณะนั้นว่าอย่างนี้เองพระสงฆ์องค์เจ้าถึงต้องเดินจงกรม ที่แท้ก็เอาไว้แก้เมื่อยขบหลังนั่งสมาธินี่เอง

เดินจนพอหายขาแข็ง แล้วก็เลื่อนประตูกระจกเปิดออกไปยืนริมระเบียง มองมหานครพราวแสงจากตึกรามยามราตรี สำเหนียกว่าภาวะหลังสมาธิก่อความคิดนึกแปลกๆแตกต่างไปจากเดิมอยู่บ้าง เริ่มต้นที่ความเข้มข้นเกี่ยวกับตัวตน ภาวะเข้มแข็งของจิตใหญ่ทวีอัตตาให้ยิ่งยงขึ้นอย่างเหลือคณานับ ทั้งความนิ่งทรงอำนาจในตาและพลังที่ประจุแน่นในร่าง ล้วนเป็นสัญลักษณ์ของธรรมชาติความยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น ชายหนุ่มมองเลยไปไกล อะไรๆดูเหมือนอยู่ใต้ฝ่าเท้าเขาไปเสียทั้งนั้น

เงยหน้ามองดาวดวงหนึ่ง คิดถึงแพตรี…คล้ายเห็นดาวอยู่ใกล้แค่เอื้อม เขาว่าเขายื่นมือไปคว้าเมื่อไหร่ก็ได้...

ความเย็นสบายของสายลมและความบางเบาในอากาศระดับสูง กล่อมเกลาให้ใจเคลิ้มลงสู่ความสงบ อยู่ๆเกาทัณฑ์ก็นึกอยากปิดตากำหนดลมหายใจในท่ายืนนั้นเอง

กระแสจิตควบเข้าหาศูนย์กลางเป็นหนึ่งเดียว เด่นดวงเหนือการปรากฏของกายและสรรพสิ่งรอบข้าง ทั้งโลกปรากฏแต่ลมหายใจผ่านเข้าผ่านออก ผ่านเข้าผ่านออก  ในที่สุดก็เกิดธรรมชาติการรวมจิตผนึกแน่นเป็นดวงสว่างเงียบเยือกเย็นขึ้นอีกครั้งในอิริยาบถยืนนั่นเอง

เกาทัณฑ์วางอุเบกขา ไม่ตื่นเต้นกับการรวมตัวครั้งใหม่ เฝ้าดูและประคองจิตไปเรื่อยๆ มีความโคลงเคลงกระเพื่อมไหวอยู่บ้าง แต่ความแรงของจิตอันเด่นดวงเป็นเสมือนคบเพลิงนำทาง ขจัดแมงหวี่แมงวันที่เข้ามารบกวนประปรายเสียได้โดยง่าย

เมื่อเดินกำลังมาถึงจุดหนึ่งก็เหมือนจะคล้อยหลับ เคลิ้มสติลง และถัดจากนั้นอีกหน่อย กายที่เหมือนหายหนไปก็เริ่มปรากฏขึ้นอีก และปรากฏชัดกว่าปกติมาก อีกทั้งเริ่มชาเห่อแปลกๆตามอวัยวะใหญ่น้อย คล้ายตัวเขาเป็นลูกโป่งที่ถูกอัดตัวขยายขึ้น ใหญ่โตผิดปกติจนชักกลัวว่าจะปริระเบิดออกไป กลายเป็นข่าวประหลาดพาดหัวหนังสือพิมพ์ในวันรุ่ง

ชายหนุ่มสะกดใจ ถามตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นหวา ร่ำๆจะลืมตาขึ้นด้วยความปอดลอย ยังดีที่ได้สตินึกถึงคำเตือนของพระอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องการเกิดปิติในรูปแบบต่างๆ เป็นต้นว่าคล้ายตัวโย้ไปมา ขนลุกน้ำตาไหล ร่างขยายขึ้นคล้ายจะคับห้อง เบาเหมือนกำลังลอยขึ้นไปเรื่อยๆ หรือเห็นภูตผีเทวดานางฟ้า ล้วนแล้วเป็นสิ่งน่าประหวั่นสำหรับผู้เริ่มต้น ให้แก้ด้วยวิธีง่ายและตรงที่สุดคือวางใจเป็นกลาง สักแต่รู้อาการนั้นๆกระทั่งจิตย้อนกลับมารู้ตัวเอง เห็นปฏิกิริยาของตนเป็นความนิ่งเฉย

ระลึกได้เช่นนั้นก็ข่มใจแบบทำใจดีสู้เสือ ดึงสติมาฝากไว้กับตัวรู้ภายใน เอาความเชื่อมั่นในพระอาจารย์เป็นหลักยึด เฝ้าดูกายเหมือนขยายขึ้นแล้วหดลงเป็นช่วงคล้ายจะแกล้งให้ใจคอตุ๊มๆต่อมๆเล่น มันไม่อยู่ในความควบคุมเอาเลย ราวกับไม่ใช่ร่างกายและจิตใจของเขาอีกแล้ว

ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นถนัดที่สุดตั้งแต่เกิดมา มันดังตุบๆๆไม่หยุด แทบเห็นหัวใจเป็นก้อนอยู่ในอกเลยด้วยซ้ำ ตอนแรกอาการของกายถูกเพ่งจับ ถูกยึดติดแนบแน่นจนไม่อาจกำหนดได้ว่าจิตอันเป็นผู้รู้ ผู้ดู ผู้เฝ้าสังเกตนั้นอยู่ตรงไหน ต่อเมื่อค่อยๆพิจารณา ว่าอาการทางกายนั้นเป็นเพียงอารมณ์ที่ถูกรู้ ไม่ต่างกับลมหายใจ ไม่ต่างกับวัตถุต่างๆ จึงถอยมากำหนดได้ ว่าภาวะอันเป็นนามธรรม ตั้งอยู่ในอาการรู้ อาการนิ่งเป็นกลางนั่นเอง คือธรรมชาติที่เรียกว่าจิต

เมื่อเห็นจิต ก็เห็นปฏิกิริยาของจิตอย่างแจ่มชัดว่าขณะนี้คือกลัว และพอเห็นตัวความกลัวเป็นเพียงปฏิกิริยาทางจิตชนิดหนึ่ง เป็นของภายใน มิใช่เสือสิงห์ภายนอกมาขย้ำหัวแต่ไหน จิตก็เริ่มออกอาการทราบชัด ว่าความกลัวก็ส่วนหนึ่ง ตัวจิตผู้รู้ผู้ดูก็ส่วนหนึ่ง แยกจากกันได้เด็ดขาด

พอประจักษ์ธรรมเช่นนั้น จู่ๆทุกอย่างก็สงบเงียบลงเฉยๆ เหมือนหลุดผลัวะออกมาสู่แสงสว่างทั้งที่เพิ่งมีพายุฝนมืดครึ้มครืนครั่น จิตยวบตัวยุบลงมาปับหนึ่ง แล้วกายกับจิตก็มีขนาดคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งสงบอย่างยิ่ง สว่างยิ่ง เป็นประสบการณ์ใหม่เอี่ยมที่ชายหนุ่มต้องฉงนระคนปรีดา

ในความสว่างไสวเอกานั้น เขาเห็นสายลมหายใจใสสะอาดเหยียดยาว มันชัดเสียยิ่งกว่าชัด ขณะนั้นมีแต่ลมหายใจที่เป็นความจริง ร่างกายและความคิดกลายเป็นสิ่งเลือนราง กล่าวได้อีกอย่างว่ามีอัตตาที่อยู่สูงกว่ากายและความคิดอันเป็นจุดอ้างอิงเดิม

นั่นคือการถึงอุปจารสมาธิอีกครั้ง คราวนี้ลงมาอยู่ที่ฐานอุปจาระหนักแน่น ยืดยาว เพราะประกอบด้วยสติและกำลัง โดยปราศจากความตื่นเต้นต่อรสปีติและสุขอันเย็นแปลกเหมือนพ้นสภาวะบุคคลออกไป

การทำสมาธิภาวนาช่างเป็นกิจกรรมอันแสนสนุกเพลินใจและมีสีสันพันลึก สมาธิไม่ใช่สิ่งจืดชืดไร้รสอย่างที่เขาเคยประมาณเอาจากการเห็นคนนั่งเฉยเมยเป็นแท่งหิน อาการไม่ไหวติงภายนอกที่แท้มีความเคลื่อนไหวและการรู้เห็นอันโอฬารภายในอย่างนี้เอง

เพลินสุขได้เพียงช่วงลมหายใจร้อยกว่าครั้ง กำลังก็ถดถอย เขาสังเกตรู้ได้อย่างชัดเจนถึงความเสื่อมถอย เพราะใจจดอยู่แล้ว มันเริ่มด้วยความคลายจากอาการดึงดูดเหมือนแม่เหล็กอ่อนแรง จิตไม่ผนึกรวมเป็นดวงเด่นอีกต่อไป พยายามยับยั้งอย่างไรก็ไม่เป็นผล ตามด้วยความสุขที่มอดลงกลายเป็นความชืดชาสามัญ อาการล็อกจิตติดกับลมหายใจหมดไป เห็นเป็นลมหายใจเข้าออกธรรมดา มิใช่สายน้ำตกใสสว่าง เข้าอกเข้าใจถ่องแท้ในบัดนั้นว่ากำลังจิตเป็นอย่างไร มีความหมายเพียงใด เมื่อเสื่อมไปแล้วตกกลับมาสู่สามัญภาพเช่นไร

ครั้งนี้ชักเหนื่อย ร่างกายอ่อนแรงลงมาก อยากหงายหลังลงนอน แล้วเขาก็โอนอ่อนตามใจ เดินกลับเข้าห้องแล้วเอนหลังนอนบนฟูกจริงๆ ใจยินดีปรีดากับความสำเร็จในการทำสมาธิ นี่เป็นแค่การหัดทำสมาธิจริงจังครั้งที่สอง นับจากครั้งแรกที่กุฏิหลวงตาแขวน แต่เขาทำได้น่าพึงใจปานนี้ จึงเห่อเหิมและนึกลำพองสงสัยขึ้นมาว่าจะมีใครในโลกทำสมาธิได้ดี ได้ไวเท่าเขาหรือไม่

ว่ากันว่าบางคนเพียรทำสมาธิอยู่ในป่าในเขาตั้งสิบยี่สิบปียังเข็นให้ถึงอุปจารสมาธิไม่สำเร็จด้วยซ้ำ แต่เขาลุถึงในวันเดียว!

เกาทัณฑ์มารู้ในภายหลังว่าเมื่อสองพันห้าร้อยปีล่วงแล้ว ยังมีเด็กชายอายุเจ็ดขวบคนหนึ่ง นั่งขัดสมาธิรอผู้เป็นพ่ออยู่คนเดียวใต้ร่มไม้ สงบใจหลับตาตามรู้ลมหายใจโดยไม่มีใครสอน แล้วจิตก็ปฏิรูปตัวเป็นเปลวมหัศจรรย์ เพราะล่วงเข้าถึงสมาธิระดับปฐมฌาน แนบแน่นและยิ่งใหญ่กว่าสมาธิที่เขาทำได้เพราะมีคนสอนหลายเท่านัก


และเด็กคนนั้นก็คือสิทธัตถกุมาร ผู้ที่เจริญวัยต่อมาเห็นภัยในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ออกบำเพ็ญเพียรหาทางหลุดพ้นจนสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรมศาสดาผู้เป็นอาจารย์ของอาจารย์เขาอีกที!


ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น