วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทางนฤพาน บทที่ ๖ จอมศิลปิน

บทที่ ๖  จอมศิลปิน


ออกจากวัดทางนฤพาน ขับรถมาเกือบถึงหน้าบ้านปู่ ชายหนุ่มเหลือบมองไปทางเบาะด้านข้าง มีหนังสือที่ปู่ให้มาสองเล่มคือพุทธธรรมกับพจนานุกรมพุทธศาสน์ เขาเตรียมจะคืนในวันนี้ เพื่อเป็นเหตุประเภทติดไม้ติดมืออ้างมาหาปู่อีกครั้ง

ตั้งใจมาต้อนคนแก่ให้จนมุมเต็มที่ คราวนี้กับคราวที่แล้วจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะมีการตระเตรียมเป็นเรื่องเป็นราว จะไม่มีการเหวี่ยงแหไร้ทิศทางอย่างเมื่อก่อนอีก โดยเฉพาะประเด็นหลักของพุทธ คือทุกข์และการดับทุกข์ ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสกล่าวอย่างชัดเจนว่าพระองค์ตรัสสอนแต่เรื่องนี้เท่านั้น

เกาทัณฑ์กะพริบตาทีหนึ่งด้วยความรู้สึกกึ่งขัดแย้ง บัดนี้เขาได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ของ ‘พระ’ ในพุทธศาสนา เริ่มเข้าใจการตั้งจิตเป็นสมาธิ ยอมรับว่าเบื้องแรกไม่ได้มองหลวงตาแขวนเกินไปกว่าผู้วิเศษ แน่ใจเพียงว่าท่านมิใช่นักมายากล หรือผู้มีอำนาจจิตสะกดให้เห็นไปต่างๆเพียงชั่วขณะ เพราะหนังสือพิมพ์มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านจริง และเมื่อลอบสังเกตเพดานกุฏิในวันนี้ ก็ยังพบร่องรอยไหม้เกรียมซึ่งเกิดจากลิ้นไฟเนรมิตของท่าน เมื่อฝากตัวเป็นสานุศิษย์ก็ให้ความเคารพนับถือเป็นครูบาอาจารย์ ทว่าก็ด้วยประสงค์เพียงเรียนรู้ศาสตร์แขนงหนึ่ง ทำนองเดียวกับที่ยกย่องนักกีฬาเก่งๆเป็นครูฝึกสอน โดยไม่จำเป็นต้องเตรียมใจยอมคล้อยตาม 'ความเชื่อ' ทั้งหมดของท่าน

อย่างไรก็ตาม ท่านทิ้งท้ายไว้เป็นที่ปลุกเร้าความสนใจลงไปถึงราก นั่นคือประเด็นเกี่ยวกับภพชาติ ซึ่งกำลังวนเวียนอยู่ในความสงสัยของเขาพอดี เพราะเมื่อศึกษาพุทธศาสนาในเชิงอรรถแล้ว พบว่าจะมีความหมายต่อชีวิตที่สุขพร้อมสมบูรณ์แบบเช่นเขา ก็ต่อเมื่อตระหนักแน่แก่ใจว่าการ 'ดับทุกข์' นั้น คือเลิกเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ บอดใบ้เรื่องกฎกติกาว่าทำเหตุอย่างไรจะถูกเหวี่ยงไปเกิดในภพไหนภูมิไหน

เกาทัณฑ์สรุปได้อย่างหนึ่งว่าถ้าทฤษฎีเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดของพุทธเป็นของจริง ก็แปลว่าธรรมชาติออกจะโหดเหี้ยมเอามาก คือไม่บอกกฎให้ใครรู้ แต่ใครผิดกฎเมื่อไหร่ ก็เสร็จเมื่อนั้น ไปเกิดร้ายตายดีก็ด้วยความไม่รู้ หลงก่อกรรมทำเข็ญจนวิญญาณชุ่มบาปอย่างน่าอเนจอนาถ เสร็จแล้วต้องก้มหน้าก้มตาไปรับกรรมแล้วๆเล่าๆอย่างปราศจากที่สิ้นสุด เพราะเหตุแห่งการเกิดยังสืบเนื่องเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ไปเรื่อย

ถ้าอาทิตย์หน้าเขารู้ว่าชาติก่อนชาติหน้ามีจริง หมายความว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหมด ความคิดอ่านกับความเชื่อที่ผ่านมานับแต่จำความได้ ล้วนต้องถูกจัดเป็นความบื้อ ความหลงละเมอเพ้อพกของสิ่งมีชีวิตอีกหน่วยหนึ่ง ที่ทะนงนึกว่าตนทรงภูมิ ทรงความรู้ล้ำลึก ทว่าแท้จริงไม่ได้รู้อะไรเลย

ไม่รู้จักกระทั่งตนเอง แล้วจะขึ้นชื่อว่า 'รู้' ได้อย่างไร

ใจแกว่งเล็กน้อยเมื่อชะลอความเร็วของรถ เป็นความหวั่นไหวชนิดหนึ่งที่เขาไม่กล้าสำรวจหาสาเหตุ เท้าแตะเบรกเตรียมหยุดรถเทียบข้างประตูรั้ว แต่แล้วก็แตะค้างเมื่อเหลียวไปเห็นสองหนุ่มสาวใต้ร่มไม้หน้าบ้าน เป็นแวบเดียวแห่งการเห็นและถูกสารพันความรู้สึกจู่โจม จนต้องย้ายเท้ามาลงน้ำหนักเหยียบคันเร่งให้รถพุ่งฉิวห่างหายไปจากที่นั้นในพริบตา

แพตรีมองตามการจากไปของเรือนรถเพรียวลมสีสดสะดุดตาด้วยแววเฉยนิ่ง

"ดูเหมือนจะเป็นคนนั้นใช่มั้ยฮะ?"

เป็นเสียงถามอ่อนๆจากมติ

"คนไหน?"

หญิงสาวถามกลับ

"ก็...ที่เขานั่งคุยกับพี่แพเมื่ออาทิตย์ก่อน"

"คงใช่มั้ง"

มติรู้เห็นเรื่องราวเพียงน้อย แต่เขาก็เป็นผู้มีสามัญสำนึกดีเท่าๆชายทั่วไป และด้วยปกติของสามัญสำนึกดังกล่าว ก็ทำให้ทราบว่าไม่ธรรมดาเลย ที่รถคันนั้นชะลอลงเหมือนจะจอดแล้วกลับบึ่งจากไปเฉยๆ

อย่างปราศจากความไยดีคั่งค้าง แพตรีก้มหน้าพิจารณากรอบภาพสีน้ำมันบนผ้าใบผืนใหญ่บนโต๊ะ มติเอามาให้หล่อนดู มันเป็นภาพสายลูกไฟที่ยืดยาวไร้ต้นไร้ปลายในห้วงว่างมหันต์ คล้ายสร้อยไข่มุกที่เรียงเม็ดคดเคี้ยวอยู่บนสายยาวจากอนันตภาพเบื้องลึกสู่อนันตภาพเบื้องไกลโพ้น การนำเสนอของภาพเน้นไปที่ลูกไฟใหญ่สองสามดวงใกล้ตา นั่นคือฝีมือนักศึกษาวิจิตรศิลป์ของมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งทางนี้ แนวคิดของภาพทำให้มันได้ชื่อว่า ‘สังสารวัฏ'

มีเศษกระดาษต่างหากอีกแผ่นบรรจุถ้อยคำที่เรียงร้อยบรรยายไว้ หญิงสาวนั่งอ่านในใจเงียบๆอย่างมีจินตภาพละเอียดอ่อนตามกลอนแต่ละบาทแต่ละบท

อันเปลวไฟใดก่อก็รอลับ                จะวับดับกลับวายสลายร้อน

นี่ยับย่อยร่อยหรอแล้วต่อตอน          พอรอนลับกลับฟื้นคืนวังวน

เป็นโซ่ห่วงล่วงดับสลับถ่าย             สืบทอดเยื่อเชื้อร้ายขยายผล

ดวงต่อดวงลวงตาเป็นตัวตน           ให้สับสนหนทางอันร้างรา

ก่อรูปคุดุแดงดูแรงร้าย                 แล้วกลับกลายฉายแสงเสน่หา

เป็นนรกผกผันสวรรคา                  เมื่อหันหาสิหายหนทุกตนจร

ตะลอนต่อตลอดหนไร้ต้นปลาย        คายไว้เพียงทุกข์กับทิ้งสิ่งลวงหลอน

เรียกวังวน 'สังสารวัฏ' ไม่ตัดตอน    ให้ไฟร้อนประการเดียวเที่ยวเกิดตาย!

เมื่ออ่านจบแพตรีก็สยายยิ้มกว้าง มติจะนำงานชิ้นนี้ไปประกวดในงานทางพุทธศาสนาที่ภาคเอกชนร่วมกับสถาบันศึกษาใหญ่จัดขึ้น หญิงสาวเหลือบตามองรูปแล้วพยักหน้านิดๆเป็นเชิงชม

"อื้อม์..."

"พอใช้ได้ไหมฮะ?"

แพตรีพยักหน้าซ้ำอย่างเต็มใจ

"อย่างนี้เรียกเยี่ยมเลยไม่ใช่แค่พอใช้ ต้องรับรางวัลใดรางวัลหนึ่งแน่ๆ พี่ไม่อวยพรล่ะ แต่ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าไว้ก่อนเลย"

มติเป็นจิตรกรที่เล่นสีเก่ง ลูกไฟบางดวงแดงโชติฉานดูน่าสะพรึงกลัวดุจจะแทนไฟนรกได้จริงๆ บางดวงก็มีสีสันวิจิตรน่าหลงมองเพลินตาราวกับลูกไฟสวรรค์ได้ปานกัน วิธีวางตำแหน่งอย่างถูกหลักการสร้างมิติที่สามทำให้คนดูรู้สึกเป็นจริงเป็นจังถึงอนันตภาพทั้งของสายลูกไฟอันยืดยาวและห้วงมืดอันลี้ลับ

มาบวกเข้ากับแนวคิดและคำกลอนกำกับภาพกินใจอย่างนี้ จึงน่าจะจัดเป็นผลงานประกวดที่เข้าตากรรมการง่ายหน่อย

"ในวันตัดสินเขาจัดนิทรรศการให้คนทั่วไปเข้าชมด้วย พี่แพไปกับผมนะฮะ"

เขาชวนอย่างรู้ว่าหล่อนจะไม่ปฏิเสธ และหล่อนก็พยักหน้ารับง่ายๆดังคาด

"ได้สิ ไปดูเธอรับรางวัล จะได้ดีใจด้วย"

หญิงสาวทอดตามองภาพ แล้วยกมือชี้ไปยังลูกไฟดวงเด่นที่สุดในภาพ

"นี่คงแทนมนุษยภูมิใช่มั้ย?"

"ฮะ เป็นลูกไฟที่แปลกและแตกต่าง ปราศจากเอกภาพ บางส่วนดูสวย บางส่วนดูพลุ่งพล่านรุ่มร้อน ขาดความสม่ำเสมอ"

"ถ้ามีความรู้ทางพุทธศาสนาดี คงดูภาพของเธอเข้าใจและแปลความหมายออกทุกอย่างนะ แค่รู้ชื่อภาพก็พอแล้ว"

ชายหนุ่มลดสีหน้ายิ้มลงนิดหนึ่ง

"เพื่อนผมบางคนบอกว่า...ถ้ากรรมการไม่เชื่อ ความหมายของภาพนี้จะด้อยไปมาก"

แพตรีลดเปลือกตาลง นิ่งคิดแล้วก็เห็นตาม จริงแหละ พุทธศาสนิกชนมีหลายประเภทนัก ล้วนมีทรรศนะและความเชื่อส่วนตัวแตกต่างกันไป น้อยเสียเมื่อไหร่ที่คนตำแหน่งสูงๆและมีบทบาทต่อวงการศาสนาพุทธไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาบางคำสอนอันเป็นหลักสำคัญยิ่งอย่างเช่นภพภูมิและการเกิดตายแล้วๆเล่าๆ

หญิงสาวมองภาพบนผืนผ้าใบตรงหน้าด้วยอาการใคร่ครวญนิ่งเป็นดุษณี หล่อนกำลังคิด และมติก็เพลินมองอาการนั้นของหล่อนด้วยสายตาของศิลปินที่ไวกับรายละเอียดความงดงามทุกชนิด เขาชอบพินิจดูหล่อนในอิริยาบถตริตรอง ดวงหน้าอ่อนเยาว์ปราศจากริ้วรอยความกังวลทั้งปวง ตัดกันกับนัยน์ตาฉายแสงแห่งความคิดฉลาดลึกซึ้งอย่างผู้ใหญ่ที่มีความมั่นคงทางปัญญาและอารมณ์ ทุกมุมสะท้อนแสงของแก้วตาแพตรีทอประกายงามราวกับเครื่องประดับในฝัน หากเชื่อว่าคนเราวาดรูปตัวเองด้วยกรรม อดีตและปัจจุบันของหล่อนก็คงเป็นจิตรกรผู้มีฝีมือน่าพิศวงชวนเลื่อมใสยิ่ง

"น่าเสียดายนะ" หล่อนเอ่ยขึ้นในที่สุด "ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ลองเปลี่ยนแนวคิดของภาพเป็น ‘ตรัสรู้’ แทนได้ก็ดีหรอก ให้ปลายทางของสายลูกไฟเป็นดวงประกายพรึกเด่นที่แทนความหมายของการสว่างรู้ เต็มตื่นเป็นไฟล้างตัวเองจากเชื้อร้าย แล้วลูกไฟที่ผ่านมาจะได้ใช้แทนความหมายของการหลงทุกข์หลงสุขชั่วครู่ชั่วคราว อย่างนี้จะมีความหมายกับศาสนิกชนทุกทรรศนะ เพราะจุดหมายอันเป็นที่สุดของเนื้อหาในพุทธศาสน์คือการมีดวงจิตสว่างรู้หลุดพ้นจากความทุกข์และความขึ้นลงไม่เป็นสาระต่างๆ"

มติเบิกตาโพลง จับมองใบหน้าหญิงสาวด้วยแววจรัสแสงกล้าของศิลปิน

"เออแฮะ" เขายิ้มกระจ่าง "ไอเดียนี้เข้าท่าจริงๆ ผมไม่ทันคิดสะระตะเสียก่อน มัวแต่คิดถึงความยืดยาวไม่รู้จบของสังสารวัฏซึ่งน้อยคนจะอ่านออกและคล้อยตาม สู้ความเชื่อซึ่งเป็นสาธารณะเช่นการสว่างรู้เหนือทุกข์สุขไม่ได้ ยังไม่สายหรอกฮะ ผมใช้เวลาวาดสักสองสามอาทิตย์ ทันส่งถมเถ"

ความจริงการเสกสรรค์ปั้นแต่งงานที่ลุล่วงไปแล้วขึ้นมาใหม่หมดนั้นควรแก่การเบือนหน้าหนีเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับงานศิลป์ที่ต้องการความละเอียดปราณีตและการทุ่มเทแรงกายแรงใจมากๆอย่างนี้ แต่มติกลับไม่นำพาความเหนื่อยยาก แสดงให้เห็นถึงศรัทธาปสาทะและแรงบันดาลใจทางศาสนาอย่างเปี่ยมล้น

เมื่อหญิงสาวทราบเจตจำนงของน้องเช่นนั้น ก็ชำเลืองตาจ้องยิ้มๆ

"ศรัทธาแก่กล้าดีจริง"

"ภาพนี้ผมให้พี่แพก็แล้วกัน"

เขายกให้ง่ายๆ แพตรีเบิกตาเล็กน้อย

"ไม่ขายล่ะ? ถึงคนดูไม่รู้เรื่องก็อยากซื้อได้นะ ภาพสวยออกอย่างนี้"

"ไม่ตั้งใจจะขายอยู่แล้วนี่ฮะ"

หญิงสาวนิ่งไปครู่ ก่อนจะกวาดตาพินิจรายละเอียดบนแผ่นภาพและยิ้มรับ

"งั้นก็...ขอบใจนะ"

รู้ว่าปู่ก็ต้องชอบ นึกหาที่แขวนเหมาะๆได้เดี๋ยวนั้น มติกับหล่อนมอบของน้อยใหญ่ให้แก่กันมาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่จำเป็นต้องย้ำคะยั้นคะยอหรือกระทำพิธีบ่ายเบี่ยงใดให้มากความ

พอพูดถึงปู่ มติก็เปลี่ยนเรื่องอย่างนึกขึ้นได้

"วันก่อนปู่คุยกับผม บอกผมว่าพอพี่แพเรียนจบ มีงานทำเลี้ยงตัวได้ ไม่น่าเป็นห่วงแล้ว...ปู่จะบวช"

ด้วยความเฝ้าสังเกตอยู่ตลอดเวลา มติไม่เห็นแม้แต่ความกระเพื่อมไหวในแววตาสงบดุจแผ่นน้ำนิ่งของแพตรี หล่อนยังระบายยิ้มอ่อนให้กับภาพตรงหน้าเฉย แต่เพราะมติรู้จักใกล้ชิดมาเนิ่นนานจนเข้าถึงและสัมผัสได้กระทั่งส่วนลึก จึงทราบดีว่าภายใต้ความไม่ไหวติงนั้น ที่แท้หล่อนเก็บซ่อนความโศกเศร้าเอาไว้อย่างเงียบเชียบ

มติถอนใจ จะให้เขานิ่งดูดายได้อย่างไร

"พี่แพรู้แล้วใช่ไหมฮะ?"

"รู้แล้ว"

หล่อนตอบเบาๆ ปราศจากวี่แววสะเทือนใจปนออกมา

"แล้วคิดยังไงต่อไปฮะ?"

หญิงสาวเหลือบตาขึ้นสบกับเพื่อนรุ่นน้องที่สนิทคุ้น แล้วเบนไปทางตัวเรือนซึ่งปู่คงกำลังนั่งอ่านหนังสือธรรมะหรือเดินจงกรมอยู่ในห้องพระตามลำพัง สิ่งเหล่านั้นเป็นกิจวัตรของปู่เมื่อท่านปิดประตูห้อง

"พี่อนุโมทนากับความตั้งใจของท่าน พี่คงทำงานทำประโยชน์ให้สมค่าความรู้ที่ร่ำเรียนมาสักสองสามปี แล้วจากนั้น..." ปลายเสียงของหล่อนแผ่วลง แต่แล้วก็กลับหนักแน่นขึ้นอีกครั้ง "พี่จะบวชชี อยู่ในเพศพรหมจรรย์บูชาพระคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และคุณปู่"

ถ้อยคำบ่งบอกเจตนารมณ์นั้นทำให้มติงันนิ่งไป เด็กหนุ่มเม้มปากและมีคิ้วเคร่งเล็กน้อย

"แน่ใจแล้วหรือฮะ?"

แพตรีพยักหน้าช้าๆ เป็นความเนิบช้าที่ทำให้มติสัมผัสความพะวงบางประการที่แอบแฝงอยู่ในชั้นลึกสุด

"เป็นความตั้งใจที่ดี"

เขาบอกอย่างนั้น แต่มิได้กล่าวอนุโมทนาด้วย กลับเปลี่ยนเรื่องถามมาอีกทาง

"พี่แพเอาไม้แคระไปไว้มุมไหน"

บ้านซึ่งเต็มไปด้วยชั้นวางไม้ดอกไม้ประดับนั้น ทำให้เขาขี้เกียจกวาดตาควานหาพันธุ์ไม้แคระซึ่งตนอุตส่าห์ซอกซอนไปพบถึงบนยอดเขาใกล้กับหมู่บ้านชนบทที่กลุ่มอาสาพัฒนาของเขายกขบวนไปถึงเมื่ออาทิตย์ก่อนๆ

"หลังบ้าน"

แพตรีตอบทั้งยิ้ม อันที่จริงมติไม่ใช่นักเลงต้นไม้ แต่นานทีก็หาพันธุ์แปลกมากำนัลหล่อน ไม่ว่าจะแปลกขนานแท้หรือเขานึกเอาเองว่าแปลกก็ตาม มันมีค่าเสมอ เพราะเขาไม่เคยซื้อมาโดยง่าย แต่หามาด้วยลำแข้ง...ลำแข้งจริงๆไม่ใช่อุปมาอุปไมย มติชอบท่องเที่ยวไปตามป่าเขาและชายทะเล นั่นทำให้เขามีโอกาสเสาะสำรวจธรรมชาติได้หลากหลายภูมิประเทศ

"บางครั้งผมเกือบเข้าใจว่าสัมผัสพิเศษที่พี่แพมีต่อต้นไม้เป็นยังไง" เขากล่าว "เวลาผมมองดีๆแล้วรู้สึกว่าพวกมันมีสัญญาณชีวิต สำเหนียกรู้ได้ว่านั่นคือวิญญาณ คือพลังที่ให้ความอ่อนโยนกับโลก อารมณ์ของผมจะแปลกไป คือกลมกลืนไปกับความเยือกเย็น สงบเรียบง่าย และเหมือน...เอ่อ"

เด็กหนุ่มหรี่ตาพักเฟ้นคำ

"ไม่เคยต้องคิด ชีวิตไม่มีเรื่องน่ากังวลอยู่เลย"

แพตรีต่อคำให้เมื่อเห็นมติเหมือนจะจนด้วยถ้อย เด็กหนุ่มพยักหน้ารับด้วยตาสดใส

"ใช่...แบบเดียวกับที่เต๋าชี้ให้เห็นการเติบโตอย่างง่ายดายตามธรรมชาติ ถ้าเข้าถึงได้ก็มีความดื่มด่ำเยือกเย็น เพราะจิตเสมอกับธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นไปอย่างไร จิตก็ปรับแปรตามนั้น พอปราศจากความขัดแย้งกับธรรมชาติ ก็เหลือแต่ความเรียบง่ายที่เป็นไปเอง"

หญิงสาวคลี่ยิ้ม มองอีกฝ่ายด้วยสายตาแห่งการถ่ายทอดสัมผัสโดยตรงจากใจ

"ถ้าเธอรักพวกมันมากพอจะ ‘คุย’ กับมันได้เหมือนอย่างที่คุยกับเพื่อนสนิทสักคน เธอจะเข้าใจ ‘เสียงเงียบ’ ที่สื่อกันอยู่ระหว่างฝั่งเราผู้เฝ้ามอง และฝั่งชีวิตที่ถูกมอง เป็นคลื่นสัญญาณอีกแบบหนึ่ง บอบบาง แต่ก็มีกระแสแรง"

มติหัวเราะเอื่อยๆ ใช่จะเยาะด้วยความขบขัน แต่หัวเราะอย่างรู้ตัวว่ายังไม่อาจเข้าถึงรหัสสัญญาณชีวิตระดับนั้น เข้าใจแต่ว่าเมื่อจิตมนุษย์เพ่งอยู่กับอะไรบางอย่างชั่วนาตาปี เมื่อแนบแน่นมากเข้าก็จะเกิดภาวะ ‘เห็น’ ความเป็นสิ่งนั้นๆขึ้นมาอย่างกระจะกระจ่าง หยั่งลงสู่สัมผัสพิเศษที่คนอื่นดูด้วยตา ฟังด้วยหูแล้วไม่เข้าใจ

"พี่แพถึงเหมือนต้นไม้เข้าไปทุกวัน...เคยสับสนไหมฮะเมื่อต้องกลับมาพูดภาษามนุษย์ ถ้าผมคุยกับต้นไม้ได้บ้าง เราอาจคุยกันในรูปแบบที่แปลกขึ้นกว่าเดิมก็ได้นะ"

มติพูดกึ่งเล่นกึ่งจริง แพตรีหัวเราะหน่อยๆแล้วเงียบ

"ว่าแต่ว่าพี่พูดกับต้นไม้ยังไง ได้ความหมายเป็นใจความเหมือนอย่างติดต่อกับผู้คนหรือเปล่า?"

หญิงสาวส่ายหน้า

"มนุษย์เราสื่อสารกันด้วยการถ่ายทอดความคิด ความคิดเป็นเปลือกที่อยู่ผิวนอกของใจ ถูกขับออกมาเป็นระลอกด้วยเจตนาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง หากเจตนาเป็นโทษ คลื่นของจิตก็ส่งออกมาหยาบๆน่าระคาย หากเจตนาเป็นคุณ คลื่นของจิตก็ส่งออกมาละเอียดน่าสบายหน่อย แต่ส่วนใหญ่เราไม่ทันซึมซับรับรู้ลักษณะคลื่นของจิตมนุษย์มากนัก เพราะใจมัวไปทำงานแปลความหมายของภาษาพูดเสียหมด เราถึงถูกหลอกบ้าง ถูกทำให้เขวบ้าง เพราะฟังเฉพาะภาษาเป็นคำๆ"

พูดแล้วก็เบนสายตาไปจับดอกพิกุลซึ่งอยู่ห่างจากตรงนั้นเพียงสี่ห้าก้าว ดวงหน้าของหล่อนอ่อนสงบยิ่งในการเฝ้ามองของมติ

“แต่สัญญาณสื่อสารจากต้นไม้ไม่ได้มาจากระบบความคิด ไม่ได้มาจากภาษา ปราศจากเจตนาดีร้ายซ่อนอยู่เบื้องหลัง ไม่มีการปรุง ไม่มีการปั้น ทุกอย่างถ่ายทอดตรงไปตรงมาจากความเป็นต้นไม้เองทั้งร่าง สื่อสารกันจากวิญญาณถึงวิญญาณ ถ้าคลื่นวิญญาณส่งออกมาดีๆ ก็แปลว่ามันกำลังเป็นอยู่เหมือนคนที่มีสุขภาพดีและร่าเริง ถ้าคลื่นวิญญาณส่งออกมาอับหมอง ก็อาจสันนิษฐานว่ามีบางอย่างผิดปกติไป อาจจะเพลี้ยลง หรือได้น้ำได้ปุ๋ยน้อย ดีอย่างนี้แหละที่เราสามารถรู้จักพวกมันโดยปราศจากภาษาขวางกั้น เพราะเราจะไม่มีวันเข้าใจผิดหรือถูกหลอกให้เลี้ยงดูคลาดเคลื่อนจากที่ควรเลย”

มติยิ้มกว้าง

"อย่างนี้เองพี่แพถึงไวนัก กับการหลบคนใจร้าย ใจกระด้าง เพราะคุ้นที่จะสัมผัสแต่สิ่งละเอียดอ่อน" พักมองโดยรอบ แล้วเอ่ยถาม "เคยได้ยินว่าความสั่นสะเทือนจากจิตวิญญาณเจ้าของ จะติดอยู่กับต้นไม้ด้วย เวลาดูต้นไม้นอกบ้านนี่พี่แพอ่านออกจากสัมผัสพิเศษไหมว่าเจ้าของเป็นคนนิสัยใจคอยังไง"

แพตรีกะพริบตาทีหนึ่ง หล่อนคุยกับมติโดยไม่จำเป็นต้องเก็บงำสิ่งใดไว้เป็นความลับ

"ถ้าฝากสัญญาณไว้เด่นพอ ก็อาจจับได้อยู่บ้างมั้ง อย่างเรื่องความสดใสเนี่ย ถ้าเจ้าของมีจิตใจที่สว่างและเดินมารดน้ำต้นไม้ รินใจเผื่อแผ่ต้นไม้บ่อยๆ พวกมันก็จะมีความสว่างตาม เราสัมผัสแล้วสดชื่นตามได้ง่ายๆ แต่ถ้าเจ้าของปล่อยให้ต้นไม้ยืนอยู่ตามยถากรรม รอฝนตกลงมาเลี้ยงเอง ก็ไม่มีคลื่นความใส่ใจของมนุษย์ฝากไว้"

มตินิ่งฟังอย่างสนใจ พอแพตรีพูดจบก็เล่าว่า

"ผมเคยเห็นอยู่รายหนึ่งบอกว่าเขารู้ความต้องการของต้นไม้ที่เลี้ยงไว้ รู้หมดเลยว่ามันอยากได้ดินใหม่ อยากให้งดปุ๋ยที่กำลังใช้ หรือต้องการน้ำมากขึ้นอะไรทำนองนั้น ผมฟังแล้วบางทีก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเขารักต้นไม้มากจนเกิดอุปาทาน หรือคลุกคลีผูกพันจนเกิดความหยั่งรู้พิเศษขึ้นมาเอง ใช่ว่าได้รับการติดต่อจากต้นไม้ แต่ฟังจากที่พี่แพพูดแล้ว ก็ทำให้คิดว่าอาจมีบางอย่างที่ก้ำกึ่งกันระหว่างอุปาทานกับ ‘เสียงจริง’ จากต้นไม้”

"จะอุปาทานหรือของจริงก็ไม่น่าสนใจไปกว่าที่ว่า เมื่อทำตามต้นไม้ต้องการแล้วต้นไม้ดีขึ้นหรือเลวลง"

เด็กหนุ่มครางในลำคอเบาๆอย่างเห็นด้วย เคยได้ยินมานานแล้วเรื่องความเจริญงอกงามเป็นพิเศษของต้นไม้ถ้าคนเลี้ยงมีใจให้ บางรายเลี้ยงได้ถึงขั้นมหัศจรรย์ โตเร็ว เติบใหญ่กว่าธรรมชาติ และงดงามกว่าของชาวบ้านทั่วไปทั้งที่มีพืชพันธุ์ ดิน แดด และปุ๋ยอย่างเดียวกันทุกประการ

“คนมีความสุขกับต้นไม้นี่ดูสันโดษและเหมือนไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่รักต้นไม้ อยู่กับต้นไม้ก็พอ นับว่าพี่แพนี่น่าอิจฉาเหมือนกันนะ"

“แต่เธอคงไม่อิจฉาพี่มั้ง เพราะรู้จักบรมสุขในงานศิลปะอยู่แล้วนี่ อย่างที่เคยเห็นเธอทำงาน ดูหน้าตาอิ่มเอิบดีออก”

แพตรีหมายถึงเมื่อครั้งเขานั่งวาดรูปเหมือนให้หล่อน

“ตอนวาดได้อย่างใจก็อิ่มเอิบดีหรอกฮะ แต่ถ้าเป็นตรงข้าม ก็หงุดหงิดเอาบ่อยๆเหมือนกัน ต่างจากความสุขสนิทใจที่ได้จากต้นไม้อย่างพี่แพ มีแต่สุขเย็น ไม่ต้องหงุดหงิดเลย”

แพตรีเลิกคิ้วสูงด้วยความฉงน รู้จักกันมาแต่เล็ก เห็นหน้าเห็นตาในสารพัดเหตุการณ์ หากคัดเป็นภาพก็คงได้นับพันนับหมื่น จำได้ว่าไม่เคยเห็นสีหน้าขุ่นขึ้งของเขาแทรกขึ้นมาเลยสักภาพเดียว

“อย่างเธอเคยหงุดหงิดด้วยหรือ?”

“เคยสิฮะ”

เขาตอบกลั้วหัวเราะ

“ไม่รู้สินะ ในความรู้สึกของพี่เธอเหมือนคนที่เข้าถึงศิลปะลึกซึ้งมาก เห็นเธอทำงานแล้วเหมือนกำลังแยกตัวเองไปอยู่อีกมิติหนึ่ง ล่องลอยเบาสบายอยู่ตามลำพัง อีกอย่าง เธอเข้าใจพระธรรมคำสอนดี แล้วก็ทำสมาธิได้ผลกว่าพี่มาก ยังหงุดหงิดกับอารมณ์หยาบๆได้อีกหรือ?”

“ศิลปินส่วนใหญ่ฝันแรง แล้วก็อยากแรงฮะ ตราบใดที่ยังกลมกลืนไปกับศิลปะบริสุทธิ์ไม่ได้อย่างถ่องแท้ พี่แพอาจมีโอกาสรู้จักพวกมีหัวทางนี้น้อย แต่ละคนปึงปังเป็นฟืนไฟง่ายจะตาย”

"สำหรับเธอ ความหงุดหงิดคงถูกขังไว้แต่ข้างในแหละนะ ข้างนอกเธอสงบมาตลอดนี่ พี่ยังเผลอนึกว่าเธอหมดโกรธ หมดอยากไปแล้วด้วยซ้ำ" หล่อนกล่าวทั้งกลั้วหัวเราะ "คงมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นแหละนะที่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้หมดไปหรือยัง"

มติมองหญิงสาวรุ่นพี่ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป คล้ายจุดประกายความมาดหมายเร้นลับทอตัวเป็นแสงเข้มในแก้วตาที่เคยเยือกเย็นอ่อนโยนเป็นนิจ

"ผมเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่มีมนุษย์ธรรมดาคนไหนจบความอยากได้เพียงเพราะมีใจฝักใฝ่ศิลปะและสมาธิ ผมมีอยากที่ยิ่งกว่าศิลปะและสมาธิ ผู้ชายอื่นทะยานยังไง ผมก็ไม่ต่างจากนั้น”

หญิงสาวสะอึกอึ้งนิดหนึ่ง แต่ทำเป็นไม่เห็นสายตาชนิดนั้นของเขา เสมองไปทางอื่นและพูดเอื่อยๆคล้ายผสมโรง

"ใช่ พอพี่ตื่นจากโลกของต้นไม้ พี่ก็พบว่าความเป็นมนุษย์นี่ยุ่งเหยิงด้วยความอยากหลายๆอย่าง แล้วก็น่าตลกที่บางทีมันขัดกันเอง"

ก็เช่นที่หล่อนอยากให้ปู่บวชตามความปรารถนาของท่าน อยากจริงๆมิใช่การเสแสร้งทำใจเป็นหลานผู้ประเสริฐ แต่ขณะเดียวกันหล่อนก็มีความอยากทั้งในส่วนตื้นกับส่วนลึกที่จะให้ปู่อยู่กับหล่อนตลอดกาล...อย่างน้อยก็จนกว่าสังขารของท่านจะพาท่านไปจากหล่อนเองในวาระอันควร

มติใช้ข้อนิ้วเกลี่ยปลายจมูก ขยับจะพูดอะไรอย่างหนึ่ง แต่แล้วก็เสพูดไปอีกอย่าง

"ครั้งหนึ่งผมเคยวาดรูปชื่อ ‘ตามนุษย์' ไว้ รู้สึกจะไม่เคยเอามาให้พี่แพดู ขายไปแล้วล่ะฮะ สะใจกับความไม่อาจถูกหยั่งถึงก้นบึ้งของมัน ผมว่าตามนุษย์เป็นสัญลักษณ์ของความซับซ้อนหาที่สุดไม่เจอ สลับสับเปลี่ยนแวว เปลี่ยนนัยได้สารพัดในกาลเทศะต่างๆ เข้าใจยากยิ่งกว่าความลี้ลับของร่างกาย ของถนนหนทางคดเคี้ยว ของน้ำดินหรือดวงดาวและจักรวาลไหนๆทั้งหมด"

แวบหนึ่ง แพตรีนึกถึงประกายตาคมกล้าของเกาทัณฑ์ จริงแหละที่มันน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของสุดยอดความซับซ้อน อำนาจโลกียวิสัยที่เขามีคงมาจากพลังในขุมสมองและกิเลสหยาบเยี่ยงคนเมือง ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เป็นความวิจิตรพิสดารของดวงจิตในภูมิที่ความใฝ่สูงและความใฝ่ต่ำทะยานเข้าชนกันอย่างบ้าคลั่ง ภูมิที่ดวงวิญญาณมีอุปกรณ์และศักยภาพที่บันดลบันดาลสารพันดีเลวใดๆให้เกิดขึ้นก็ได้ทั้งสิ้น

ฝ่ายมติ ขณะพูดก็พินิจแพตรีไปด้วย เห็นนัยน์ตาที่เปล่งประกายฉลาดล้ำทว่าส่องแววซื่อจนคล้ายอ่อนเดียงสาของหล่อนแล้วเกิดความต้องการปกป้อง อยากคุ้มครอง อยากเป็นปราการกั้นหล่อนจากความสับสนวุ่นวายและความพลิกไปพลิกมาของผู้คนรอบด้าน เขาเจอมาแล้ว ทุกคนเจอมาแล้ว และหล่อนก็คงไม่แคล้วต้องเจอมาแล้วเช่นกัน จะอ้อนวอนอะไรมาช่วยปกป้องในวันต่อๆไปเล่า? เขาไม่ใช่วิญญาณหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อาจตามไปพิทักษ์หล่อนทุกฝีก้าว

นึกแล้วก็ชักเห็นดีเห็นงามกับเจตนาออกบวชของแพตรี เขาห่วงหล่อนจากใจ และเข้าใจศาสนาพุทธจนไม่เห็นที่พึ่งอื่นปลอดภัยไปกว่าการปฏิบัติธรรมหาทางหลุดพ้นจากสังสารวัฏ

ทว่าแม้เห็นจริงดังนั้น ใจก็ยังไม่อาจอนุโมทนาได้อยู่ดี...เพราะกิเลสมันกั้นไว้หนาแน่น

"ชาตินี้ผมอาจไม่รวย"

ดวงตาของมติเหม่อจับยอดไม้เบื้องไกลขณะเปรยลอยๆ เขาอายุน้อยกว่าแพตรีเกือบสองปี ทว่ามีความสามารถเชิงวิจิตรศิลป์เข้าขั้นหารายได้มานานแล้ว และนั่นก็ทำให้เห็นชัดว่าหากไม่มีทางลัดอื่น กว่าจะมีเงินหลายๆล้านคงนานเน เขาเคยใช้เวลานับเดือนวาดภาพชนิด 'สุดฝีมือ' เพื่อฝากขายในราคาระดับดาวน์รถมือสองมาขับได้ แต่วางอยู่เป็นปียังไม่มีเศรษฐีคนไหนตัดสินใจซื้อ อาจเพราะฝากวางได้แค่กับร้านเล็ก ร้านใหญ่ยังไม่กล้าเสี่ยงกับจิตรกรหน้าใหม่ โอกาสที่ลูกค้ากระเป๋าหนักจะกรายมาชมจึงพลอยยากไปด้วย นั่นเองมติจึงได้บทเรียนมาตระหนักว่าเขาเพิ่งเริ่มต้น ต้องสร้างงานแบบไต่ระดับขึ้นไปอีกนาน จะหวังข้ามขั้นด้วยความมั่นใจในคุณภาพอย่างเดียวนั้น เห็นทีคงเหลือวิสัย

แพตรีประหลาดใจกับคำเปรยของเขาอยู่บ้าง

"ก็ดีแล้วนี่ เธอจะได้ไม่ต้องทุกข์กับความรวยและความอยากอันเป็นสิ่งแปลกหน้า แล้วมีความสุขต่อไปกับความสมถะประจำตัวที่สนิทคุ้นเคยเรื่อยมาและน่าจะเรื่อยไป"

"แต่สมมุติว่าผมจะต้องมีผู้หญิงสักคน กับเด็กเล็กให้ช่วยกันเลี้ยงดู ผมก็คงทำให้พวกเขาลำบากและไม่เป็นสุขกับความสันโดษชนิดนี้แน่"

เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อน แต่หันมองหล่อนด้วยสายตาตรง ฉายเจตจำนงบางอย่างแรงจนดึงหล่อนมาสบได้ มติดูเป็นหนุ่มที่คมคายและเก่งกาจในยามนั้น แต่อย่างไรก็คือน้องชายหล่อนอยู่นั่นเอง

"พี่ว่าทั้งผู้หญิงและเด็กไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับเธอหรอกมั้ง"

แพตรีทำเสียงให้ออกทำนองสันนิษฐานมากกว่าสรุปเดาใจ

"เหรอฮะ?" มติเลิกคิ้วนิดหนึ่งอย่างแสร้งฉงน "เพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนี้เอง"

แล้วเขาก็ส่งสายตาเลยหล่อนไปทางอื่น แพตรีอึกอัก การสนทนาเริ่มหักเหและอ้อมค้อม หล่อนไม่ชอบ มติกับหล่อนไม่เคยต้องพูดจากันด้วยวิธีพรางเจตนาเช่นนี้ มันทำให้การต่อคำสนทนาฝืดลง

แต่ครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยด้วยปลายเสียงทอดเนิบเป็นปกติ

"พี่แพไม่ได้ไปบ้านผมนานแล้ว มีภาพใหม่ๆเยอะเลย อยากดูไหม?"

"อยาก"

ห่างจากบ้านหล่อนไปเพียงสองหลังก็ถึงบ้านมติ ตัวบ้านดูโกโรโกโสสักหน่อยเพราะขาดการบำรุงภายนอกซึ่งนับวันมีแต่เสื่อมลงตามอายุ มติอยู่กับพ่อและน้องชายเพียงสามคน ไร้แม่บ้านคอยดูแล แต่ทุกห้องหับจัดวางข้าวของเข้าที่เข้าทางเป็นระเบียบ ไม่รกรุงรังขนาดหาของทีเหงื่อตกกีบอย่างบ้านชายล้วนบางแห่ง

อันเนื่องจากเข้าออกบ้านของแต่ละฝ่ายมาแต่เด็ก เลยมีความสนิทคุ้นไม่เห็นเป็นอื่น แม้บัดนี้โตเป็นหนุ่มสาวกันแล้ว แพตรีก็ยังแวะเวียนเข้ามาช่วยตัดแต่งต้นไม้รอบบ้านให้เกือบทุกเดือน เหตุหนึ่งเป็นเพราะบ้านปู่ชนะมีบริเวณไม่พอจะรับพฤกษานานาพันธุ์ของหล่อนได้ทั้งหมด จึงต้องแบ่งมาให้บ้านมติช่วยรับไว้บ้าง และนั่นก็เป็นผลให้เกิดความห่วงตามมาดูแล บำบัดทุกข์บำรุงสุขบริวารซึ่งบางครั้งอดๆอยากๆด้วยความไม่เอาใจใส่ของเจ้าบ้าน

มติมีแบบฉบับคล้ายศิลปินที่สร้างโลกเงียบส่วนตัวให้ตนเอง แต่งตัวง่ายๆ แค่เสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์มอซอ ผอมแห้งและเหมือนเซื่องเฉยในบางครั้ง ห้องนอนของเขาสะท้อนบุคลิกชนิดนี้ คืออวลกลิ่นอายสี กาว และดูคล้ายโรงเก็บเครื่องเคราศิลปะเสียมากกว่าจะเป็นสถานที่เอนกายหลับ ขนาดที่แพตรีก้าวเข้ามาแล้วไม่เกิดความตะขิดตะขวงก็แล้วกัน

ทั้งบ้านปลอดคน มติเปิดประตูหน้าต่างโดยรอบ ปล่อยให้พี่สาวเข้าไปดูภาพซึ่งเรียงเป็นตั้งพิงผนังห้องหลายสิบกรอบตามลำพัง

"เอาโกโก้ไหมพี่แพ?"

เสียงเด็กหนุ่มดังออกมาจากห้องครัว แพตรีส่งเสียงตอบปฏิเสธพลางพินิจดูภาพสีน้ำมันทีละกรอบ มติเป็นคนมีพลังสร้างสรรค์ งานของเขาสะท้อนให้เห็นชัด เกือบทุกภาพชวนทัศนาไม่จืดตา กับทั้งสามารถจุดประกายความคิดได้เสมอ นั่นเป็นแรงดึงดูดใจให้แพตรีนึกอยากชมงานใหม่ๆของเขาอยู่เรื่อย

"เธอน่าจะมีแกลอรี่เป็นของตัวเองนะมติ"

หล่อนเอ่ยเชิงชมด้วยระดับเสียงธรรมดา เขาควรจะได้ยินในความเงียบของบ้านและความห่างไม่เกินสิบก้าวนั้น

"ถ้ามีเงินก็ทำได้สิฮะ"

เขาตอบกลับมา แพตรีมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาสนใจ ภาพที่กำลังพินิจนั้นเป็นแก้วเจียระไนทรงสูง แบบบางและงดงามระเหิดระหง สะท้อนแสงทองออกมาเป็นหลากสีแพรวใสจับตายิ่งนัก ทว่าในแก้วกลับบรรจุอยู่ด้วยเลือด...ที่รู้ว่าเลือดก็เพราะนอกแก้วซึ่งเป็นพื้นโต๊ะปูผ้าขาวนั้น เต็มไปด้วยหยดเลือดและมีดแหลมคมเปื้อนเลือดวางอยู่ใกล้ๆ

หลังภาพมีกระดาษเขียนปิดไว้ว่า ‘ความสุขบนความตาย'

เป็นภาพที่สะเทือนอารมณ์และนึกไปได้ถึงหลายเรื่องหลายราวบนโลกที่พ้องพาน มติไม่นิยมเรื่องโหดเหี้ยมอำมหิต เขาคงไปพบข่าวหรือเหตุการณ์ใกล้ตัวบางอย่าง แล้วเกิดแรงบันดาลใจจะใช้ความเป็นศิลปินสะท้อนความรู้สึกที่ได้รับออกมาเท่านั้น อีกทั้งคงไม่ตั้งใจจะขายภาพนี้แต่อย่างใด...มันน่ากลัวเกินไป

นำภาพที่ชมแล้วไปวางพิงผนังด้านว่าง แล้วกลับมาเลือกดูภาพต่อๆไป มติวาดหลายแบบ มีทั้งธรรมชาติ วัดวาอาราม เหตุการณ์สับสน คนเหมือน ตลอดจนรูปทรงพิสดารหลากหลายจากจินตนาการ ล้วนทรงชีวิตชีวาให้สัมผัสรู้สึก อย่างรูปคนเหมือนนี่ราวกับจ้องมองหล่อนด้วยกระแสตาของคนจริงๆ คล้ายกอปรพร้อมด้วยชีวิตวิญญาณที่อาจขยับเขยื้อนหรือเปล่งเสียงพูดกับหล่อนได้เดี๋ยวนั้น

มติทำให้แพตรีซาบซึ้งว่าศิลปินฝากพลังและวิญญาณไว้กับงานอย่างนี้เอง ภาพวาดของเขามีความ 'จริง' เสียยิ่งกว่าภาพถ่าย ก็ด้วยใจที่ฝากไว้นี่แหละ

มีอีกภาพที่กว้างใหญ่ผิดจากกรอบอื่นค่อนข้างมาก ให้หล่อนกางแขนทั้งสองออกจนสุดก็ยังกว้างไม่เท่า เห็นแล้วสะดุดตาสะดุดใจแต่แรก มันเป็นภาพดวงประกายพรึกฟ้าอมทองสว่างไสวงามงดดวงหนึ่งในห้วงมืด ล้อมรอบด้วยวงรี มองผาดๆแล้วคล้ายภาพดาวเสาร์กับวงแหวนนั่นเอง ต่างกันตรงที่ดาวเสาร์ถูกแทนด้วยดวงประกายพรึก และวงแหวนถูกแทนด้วยพระพุทธเจ้าหลายองค์ขัดสมาธิคู้บัลลังก์เรียงรอบ

ยิ่งแปลกตรงที่รูปโฉมของแต่ละพระองค์ต่างกันมาก ปราศจากเอกภาพโดยสิ้นเชิง บางองค์มีพระกรัชกายตามมหาปุริสลักษณะ เช่นพระหนุดุจคางราชสีห์ บางองค์มีพระหนุเหลี่ยมดุจชายผู้ทรงภูมิทั่วไป บางองค์มีพระฉัพพรรณรังสี บางองค์แค่มีรัศมีสง่า บางองค์มีมวยเกศา บางองค์ปราศจากเกศา บางองค์ดูท้วม (ตามลักษณะการสร้างพระพุทธรูปของบางประเทศ) บางองค์ดูสมส่วนองอาจ ผิดแผกแตกต่างนับแต่พระพักตร์ไปจนถึงพระกาย ราวกับมิใช่รูปพระมหาบุรุษองค์เดียวกัน ทว่าพิศผาดแล้วทราบทันทีว่าเป็นพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น

นี่คงเป็นรูปที่มติคิดวาดแบบเผื่อเลือกเพื่อนำเข้าประกวดอีกชิ้นหนึ่ง แต่ไม่ตัดสินใจส่งด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่งของเขา แพตรีพยายามตามความคิดมติ ภาพนั้นชื่อ ‘พระพุทธเจ้า' ดูผิวเผินเหมือนมีเจตนาเหนี่ยวนำให้นึกถึงดาวพระเสาร์ หล่อนตาสว่างและคิดขึ้นได้ว่าเมื่อพูดถึง ‘ดาวเสาร์’ เรารู้ว่าคือดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีวงแหวน แต่เราจะไม่นึกว่าดาวเสาร์คือวงแหวน เช่นเดียวกับเมื่อพูดถึง ‘พระพุทธเจ้า’ เราก็ไม่ควรนึกถึงพระกรัชกายที่เป็นเนื้อหนังมากกว่าพระธรรมกายอันเป็นเนื้อแท้ เราเถียงกันเสมอว่าพระองค์มีรูปโฉมผิดแผกหรือเหมือนสามัญชน ซึ่งเถียงให้คอเป็นเอ็นอย่างไรก็ไม่มีวันพิสูจน์ได้ ในเมื่อพระกรัชกายอันเป็นรูปธรรมสิ้นสูญไปแล้ว

ดวงจิตของพระองค์ต่างหากที่พิสูจน์ได้ เพราะถ้าเป็นของจริง คำสอนก็ต้องจริงตาม ปฏิบัติแล้วได้ผลเป็นประกายพรึกชนิดเดียวกันไปด้วย

รูปโฉมอันเป็นกายหยาบนั้นอยู่เพียงรอบนอก ขอเพียงพระรูปหนึ่งๆโน้มใจให้ศรัทธาและระลึกถึงพระทัยอันบริสุทธิ์ทรงคุณได้ก็เพียงพอแล้ว ใจที่นึกถึงพระองค์แล้วเป็นกุศลได้จริงๆนั่นแหละควรเป็นสิ่งน่าคำนึง

เพียงด้วยรูปนั้น จินตภาพเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าของแพตรีเกือบถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นี่เป็นภาพแทนพระสุคตที่ลึกซึ้งมาก ดวงประกายพรึกสื่อถึงจิตสว่างรู้พ้นกิเลสของพระสัมมาสัมพุทธะ ควรเป็นสิ่งเด่นชัดที่น่ามองให้เห็นมากกว่ารูปพระกายของพระองค์

นี่เองหน้าที่หนึ่งของศิลปิน คือเปลี่ยนโลกทัศน์ของผู้พินิจงานของพวกเขาด้วยมุมมองภายในที่แตกต่าง ผ่านภาพวาดอันเป็นรูปธรรมจับต้องได้

แพตรีมีความรู้และสายตาที่ไม่คมลึกนักกับงานศิลปะ แต่วัดด้วยความเป็นผู้มีตาช่างสังเกตให้กับสิ่งสวยงาม หล่อนก็พอบอกได้ว่าไม่แปลกเลย ถ้าต่อไปมติจะโด่งดังขึ้นมาในวงการสักคน

ภาพเขียนดีๆเป็นสิ่งมีพลังดึงดูดสายตาในตัวเอง เป็นสิ่งที่เห็นแล้วก่อความสุขให้แก่คนรู้จักดู รู้จักพิจารณาได้ เป็นสื่อจินตนาการจากใจถึงใจได้ เป็นความหมายแทนคำพูดพันคำได้ และเป็นอะไรต่อมิอะไรอีกหลายต่อหลายอย่างสุดแล้วแต่ผู้ส่งสารและผู้รับสารจะมีความกว้างยาวลึกทางอารมณ์และความคิดสอดรับกันเพียงไร

"ถ้าภาพพวกนี้ถูกขายออกไปสมค่าตามจริง แค่สิบภาพพี่ก็ว่าเธอน่าจะมีแกลอรี่ของตัวเองแล้วล่ะ เป็นห้องโตๆด้วย"

แว่วเสียงหัวเราะขันเหมือนมติกำลังเดินใกล้เข้ามา

"เธอเก่งมากนะมติ"

แพตรีชมซ้ำ พลางนำภาพพระพุทธเจ้าแยกไปวางต่างหากในที่สูงกว่าภาพอื่น ออกจะนึกตำหนิน้องชายอยู่ในใจที่ไม่คัดแยกกลุ่มภาพให้เหมาะควร รวมภาพทุกประเภทไว้ในตั้งเดียวกันบนพื้นอย่างนี้ อย่างไรก็ตามใบหน้าของหล่อนยังคงบ่มด้วยความพอใจสบายตาไม่สร่าง ทว่าเมื่อหันกลับมายังภาพสุดท้าย ก็ชะงักงัน หน้าซีดลงเกือบจะในทันที ก่อนที่ครู่หนึ่งจะกลับแดงขึ้นจนเข้ม

นานครั้งที่หล่อนจะเกิดอาการตะลึงตะไลไม่คาดฝันอย่างเดี๋ยวนี้ ตรงหน้าคือภาพคู่บ่าวสาวในชุดวิวาห์ที่งามเกินจริงสมกับเป็นรูปวาด ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากคู่บ่าวสาว รอยยิ้ม ช่อกุหลาบสีชมพู และกลิ่นไอความสุขสีขาวอมฟ้ากว้างไกล ภาพดูมีชีวิต มีมิติเคลื่อนไหวได้ ราวกับหนุ่มสาวในรูปกำลังส่งยิ้มถึงหล่อนโดยเฉพาะ

มติเป็นคนมีฤทธิ์ และเขาก็ฝากฤทธิ์แรงที่สุดไว้กับภาพนี้

"อย่างที่บอกใช่มั้ยฮะ ชีวิตผมยังมีอยากที่ยิ่งไปกว่าศิลปะ"

หญิงสาวหันขวับไปทางต้นเสียง ถึงกับมือไม้สั่น เขากำลังยืนพิงกรอบประตูห้อง แววตาที่ทอดสบกับหล่อนดูสงบเงียบนิ่งเย็นไม่เป็นอันตรายอย่างไรก็อย่างนั้น


ภาพชื่อ ‘สมรส' เจ้าบ่าวคือเขา เจ้าสาวคือหล่อน...


ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น