บทที่ ๖ จอมศิลปิน
ออกจากวัดทางนฤพาน
ขับรถมาเกือบถึงหน้าบ้านปู่ ชายหนุ่มเหลือบมองไปทางเบาะด้านข้าง
มีหนังสือที่ปู่ให้มาสองเล่มคือพุทธธรรมกับพจนานุกรมพุทธศาสน์
เขาเตรียมจะคืนในวันนี้ เพื่อเป็นเหตุประเภทติดไม้ติดมืออ้างมาหาปู่อีกครั้ง
ตั้งใจมาต้อนคนแก่ให้จนมุมเต็มที่
คราวนี้กับคราวที่แล้วจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เพราะมีการตระเตรียมเป็นเรื่องเป็นราว
จะไม่มีการเหวี่ยงแหไร้ทิศทางอย่างเมื่อก่อนอีก โดยเฉพาะประเด็นหลักของพุทธ
คือทุกข์และการดับทุกข์
ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสกล่าวอย่างชัดเจนว่าพระองค์ตรัสสอนแต่เรื่องนี้เท่านั้น
เกาทัณฑ์กะพริบตาทีหนึ่งด้วยความรู้สึกกึ่งขัดแย้ง
บัดนี้เขาได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ของ ‘พระ’ ในพุทธศาสนา
เริ่มเข้าใจการตั้งจิตเป็นสมาธิ
ยอมรับว่าเบื้องแรกไม่ได้มองหลวงตาแขวนเกินไปกว่าผู้วิเศษ
แน่ใจเพียงว่าท่านมิใช่นักมายากล หรือผู้มีอำนาจจิตสะกดให้เห็นไปต่างๆเพียงชั่วขณะ
เพราะหนังสือพิมพ์มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านจริง และเมื่อลอบสังเกตเพดานกุฏิในวันนี้
ก็ยังพบร่องรอยไหม้เกรียมซึ่งเกิดจากลิ้นไฟเนรมิตของท่าน
เมื่อฝากตัวเป็นสานุศิษย์ก็ให้ความเคารพนับถือเป็นครูบาอาจารย์
ทว่าก็ด้วยประสงค์เพียงเรียนรู้ศาสตร์แขนงหนึ่ง ทำนองเดียวกับที่ยกย่องนักกีฬาเก่งๆเป็นครูฝึกสอน
โดยไม่จำเป็นต้องเตรียมใจยอมคล้อยตาม 'ความเชื่อ' ทั้งหมดของท่าน
อย่างไรก็ตาม
ท่านทิ้งท้ายไว้เป็นที่ปลุกเร้าความสนใจลงไปถึงราก นั่นคือประเด็นเกี่ยวกับภพชาติ
ซึ่งกำลังวนเวียนอยู่ในความสงสัยของเขาพอดี เพราะเมื่อศึกษาพุทธศาสนาในเชิงอรรถแล้ว
พบว่าจะมีความหมายต่อชีวิตที่สุขพร้อมสมบูรณ์แบบเช่นเขา
ก็ต่อเมื่อตระหนักแน่แก่ใจว่าการ 'ดับทุกข์' นั้น คือเลิกเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่
บอดใบ้เรื่องกฎกติกาว่าทำเหตุอย่างไรจะถูกเหวี่ยงไปเกิดในภพไหนภูมิไหน
เกาทัณฑ์สรุปได้อย่างหนึ่งว่าถ้าทฤษฎีเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดของพุทธเป็นของจริง
ก็แปลว่าธรรมชาติออกจะโหดเหี้ยมเอามาก คือไม่บอกกฎให้ใครรู้ แต่ใครผิดกฎเมื่อไหร่
ก็เสร็จเมื่อนั้น ไปเกิดร้ายตายดีก็ด้วยความไม่รู้
หลงก่อกรรมทำเข็ญจนวิญญาณชุ่มบาปอย่างน่าอเนจอนาถ เสร็จแล้วต้องก้มหน้าก้มตาไปรับกรรมแล้วๆเล่าๆอย่างปราศจากที่สิ้นสุด
เพราะเหตุแห่งการเกิดยังสืบเนื่องเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ไปเรื่อย
ถ้าอาทิตย์หน้าเขารู้ว่าชาติก่อนชาติหน้ามีจริง
หมายความว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหมด
ความคิดอ่านกับความเชื่อที่ผ่านมานับแต่จำความได้ ล้วนต้องถูกจัดเป็นความบื้อ ความหลงละเมอเพ้อพกของสิ่งมีชีวิตอีกหน่วยหนึ่ง
ที่ทะนงนึกว่าตนทรงภูมิ ทรงความรู้ล้ำลึก ทว่าแท้จริงไม่ได้รู้อะไรเลย
ไม่รู้จักกระทั่งตนเอง
แล้วจะขึ้นชื่อว่า 'รู้' ได้อย่างไร
ใจแกว่งเล็กน้อยเมื่อชะลอความเร็วของรถ
เป็นความหวั่นไหวชนิดหนึ่งที่เขาไม่กล้าสำรวจหาสาเหตุ
เท้าแตะเบรกเตรียมหยุดรถเทียบข้างประตูรั้ว
แต่แล้วก็แตะค้างเมื่อเหลียวไปเห็นสองหนุ่มสาวใต้ร่มไม้หน้าบ้าน
เป็นแวบเดียวแห่งการเห็นและถูกสารพันความรู้สึกจู่โจม
จนต้องย้ายเท้ามาลงน้ำหนักเหยียบคันเร่งให้รถพุ่งฉิวห่างหายไปจากที่นั้นในพริบตา
แพตรีมองตามการจากไปของเรือนรถเพรียวลมสีสดสะดุดตาด้วยแววเฉยนิ่ง
"ดูเหมือนจะเป็นคนนั้นใช่มั้ยฮะ?"
เป็นเสียงถามอ่อนๆจากมติ
"คนไหน?"
หญิงสาวถามกลับ
"ก็...ที่เขานั่งคุยกับพี่แพเมื่ออาทิตย์ก่อน"
"คงใช่มั้ง"
มติรู้เห็นเรื่องราวเพียงน้อย
แต่เขาก็เป็นผู้มีสามัญสำนึกดีเท่าๆชายทั่วไป และด้วยปกติของสามัญสำนึกดังกล่าว
ก็ทำให้ทราบว่าไม่ธรรมดาเลย ที่รถคันนั้นชะลอลงเหมือนจะจอดแล้วกลับบึ่งจากไปเฉยๆ
อย่างปราศจากความไยดีคั่งค้าง
แพตรีก้มหน้าพิจารณากรอบภาพสีน้ำมันบนผ้าใบผืนใหญ่บนโต๊ะ มติเอามาให้หล่อนดู
มันเป็นภาพสายลูกไฟที่ยืดยาวไร้ต้นไร้ปลายในห้วงว่างมหันต์
คล้ายสร้อยไข่มุกที่เรียงเม็ดคดเคี้ยวอยู่บนสายยาวจากอนันตภาพเบื้องลึกสู่อนันตภาพเบื้องไกลโพ้น
การนำเสนอของภาพเน้นไปที่ลูกไฟใหญ่สองสามดวงใกล้ตา นั่นคือฝีมือนักศึกษาวิจิตรศิลป์ของมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งทางนี้
แนวคิดของภาพทำให้มันได้ชื่อว่า ‘สังสารวัฏ'
มีเศษกระดาษต่างหากอีกแผ่นบรรจุถ้อยคำที่เรียงร้อยบรรยายไว้
หญิงสาวนั่งอ่านในใจเงียบๆอย่างมีจินตภาพละเอียดอ่อนตามกลอนแต่ละบาทแต่ละบท
อันเปลวไฟใดก่อก็รอลับ จะวับดับกลับวายสลายร้อน
นี่ยับย่อยร่อยหรอแล้วต่อตอน พอรอนลับกลับฟื้นคืนวังวน
เป็นโซ่ห่วงล่วงดับสลับถ่าย สืบทอดเยื่อเชื้อร้ายขยายผล
ดวงต่อดวงลวงตาเป็นตัวตน ให้สับสนหนทางอันร้างรา
ก่อรูปคุดุแดงดูแรงร้าย แล้วกลับกลายฉายแสงเสน่หา
เป็นนรกผกผันสวรรคา เมื่อหันหาสิหายหนทุกตนจร
ตะลอนต่อตลอดหนไร้ต้นปลาย คายไว้เพียงทุกข์กับทิ้งสิ่งลวงหลอน
เรียกวังวน 'สังสารวัฏ' ไม่ตัดตอน ให้ไฟร้อนประการเดียวเที่ยวเกิดตาย!
เมื่ออ่านจบแพตรีก็สยายยิ้มกว้าง
มติจะนำงานชิ้นนี้ไปประกวดในงานทางพุทธศาสนาที่ภาคเอกชนร่วมกับสถาบันศึกษาใหญ่จัดขึ้น
หญิงสาวเหลือบตามองรูปแล้วพยักหน้านิดๆเป็นเชิงชม
"อื้อม์..."
"พอใช้ได้ไหมฮะ?"
แพตรีพยักหน้าซ้ำอย่างเต็มใจ
"อย่างนี้เรียกเยี่ยมเลยไม่ใช่แค่พอใช้
ต้องรับรางวัลใดรางวัลหนึ่งแน่ๆ พี่ไม่อวยพรล่ะ
แต่ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าไว้ก่อนเลย"
มติเป็นจิตรกรที่เล่นสีเก่ง
ลูกไฟบางดวงแดงโชติฉานดูน่าสะพรึงกลัวดุจจะแทนไฟนรกได้จริงๆ
บางดวงก็มีสีสันวิจิตรน่าหลงมองเพลินตาราวกับลูกไฟสวรรค์ได้ปานกัน
วิธีวางตำแหน่งอย่างถูกหลักการสร้างมิติที่สามทำให้คนดูรู้สึกเป็นจริงเป็นจังถึงอนันตภาพทั้งของสายลูกไฟอันยืดยาวและห้วงมืดอันลี้ลับ
มาบวกเข้ากับแนวคิดและคำกลอนกำกับภาพกินใจอย่างนี้
จึงน่าจะจัดเป็นผลงานประกวดที่เข้าตากรรมการง่ายหน่อย
"ในวันตัดสินเขาจัดนิทรรศการให้คนทั่วไปเข้าชมด้วย
พี่แพไปกับผมนะฮะ"
เขาชวนอย่างรู้ว่าหล่อนจะไม่ปฏิเสธ
และหล่อนก็พยักหน้ารับง่ายๆดังคาด
"ได้สิ ไปดูเธอรับรางวัล
จะได้ดีใจด้วย"
หญิงสาวทอดตามองภาพ
แล้วยกมือชี้ไปยังลูกไฟดวงเด่นที่สุดในภาพ
"นี่คงแทนมนุษยภูมิใช่มั้ย?"
"ฮะ เป็นลูกไฟที่แปลกและแตกต่าง
ปราศจากเอกภาพ บางส่วนดูสวย บางส่วนดูพลุ่งพล่านรุ่มร้อน ขาดความสม่ำเสมอ"
"ถ้ามีความรู้ทางพุทธศาสนาดี
คงดูภาพของเธอเข้าใจและแปลความหมายออกทุกอย่างนะ แค่รู้ชื่อภาพก็พอแล้ว"
ชายหนุ่มลดสีหน้ายิ้มลงนิดหนึ่ง
"เพื่อนผมบางคนบอกว่า...ถ้ากรรมการไม่เชื่อ
ความหมายของภาพนี้จะด้อยไปมาก"
แพตรีลดเปลือกตาลง
นิ่งคิดแล้วก็เห็นตาม จริงแหละ พุทธศาสนิกชนมีหลายประเภทนัก
ล้วนมีทรรศนะและความเชื่อส่วนตัวแตกต่างกันไป
น้อยเสียเมื่อไหร่ที่คนตำแหน่งสูงๆและมีบทบาทต่อวงการศาสนาพุทธไม่เชื่อ
ไม่ศรัทธาบางคำสอนอันเป็นหลักสำคัญยิ่งอย่างเช่นภพภูมิและการเกิดตายแล้วๆเล่าๆ
หญิงสาวมองภาพบนผืนผ้าใบตรงหน้าด้วยอาการใคร่ครวญนิ่งเป็นดุษณี
หล่อนกำลังคิด
และมติก็เพลินมองอาการนั้นของหล่อนด้วยสายตาของศิลปินที่ไวกับรายละเอียดความงดงามทุกชนิด
เขาชอบพินิจดูหล่อนในอิริยาบถตริตรอง
ดวงหน้าอ่อนเยาว์ปราศจากริ้วรอยความกังวลทั้งปวง
ตัดกันกับนัยน์ตาฉายแสงแห่งความคิดฉลาดลึกซึ้งอย่างผู้ใหญ่ที่มีความมั่นคงทางปัญญาและอารมณ์
ทุกมุมสะท้อนแสงของแก้วตาแพตรีทอประกายงามราวกับเครื่องประดับในฝัน
หากเชื่อว่าคนเราวาดรูปตัวเองด้วยกรรม
อดีตและปัจจุบันของหล่อนก็คงเป็นจิตรกรผู้มีฝีมือน่าพิศวงชวนเลื่อมใสยิ่ง
"น่าเสียดายนะ"
หล่อนเอ่ยขึ้นในที่สุด "ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ลองเปลี่ยนแนวคิดของภาพเป็น
‘ตรัสรู้’ แทนได้ก็ดีหรอก
ให้ปลายทางของสายลูกไฟเป็นดวงประกายพรึกเด่นที่แทนความหมายของการสว่างรู้
เต็มตื่นเป็นไฟล้างตัวเองจากเชื้อร้าย
แล้วลูกไฟที่ผ่านมาจะได้ใช้แทนความหมายของการหลงทุกข์หลงสุขชั่วครู่ชั่วคราว
อย่างนี้จะมีความหมายกับศาสนิกชนทุกทรรศนะ
เพราะจุดหมายอันเป็นที่สุดของเนื้อหาในพุทธศาสน์คือการมีดวงจิตสว่างรู้หลุดพ้นจากความทุกข์และความขึ้นลงไม่เป็นสาระต่างๆ"
มติเบิกตาโพลง
จับมองใบหน้าหญิงสาวด้วยแววจรัสแสงกล้าของศิลปิน
"เออแฮะ" เขายิ้มกระจ่าง
"ไอเดียนี้เข้าท่าจริงๆ ผมไม่ทันคิดสะระตะเสียก่อน
มัวแต่คิดถึงความยืดยาวไม่รู้จบของสังสารวัฏซึ่งน้อยคนจะอ่านออกและคล้อยตาม
สู้ความเชื่อซึ่งเป็นสาธารณะเช่นการสว่างรู้เหนือทุกข์สุขไม่ได้ ยังไม่สายหรอกฮะ
ผมใช้เวลาวาดสักสองสามอาทิตย์ ทันส่งถมเถ"
ความจริงการเสกสรรค์ปั้นแต่งงานที่ลุล่วงไปแล้วขึ้นมาใหม่หมดนั้นควรแก่การเบือนหน้าหนีเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะกับงานศิลป์ที่ต้องการความละเอียดปราณีตและการทุ่มเทแรงกายแรงใจมากๆอย่างนี้
แต่มติกลับไม่นำพาความเหนื่อยยาก
แสดงให้เห็นถึงศรัทธาปสาทะและแรงบันดาลใจทางศาสนาอย่างเปี่ยมล้น
เมื่อหญิงสาวทราบเจตจำนงของน้องเช่นนั้น
ก็ชำเลืองตาจ้องยิ้มๆ
"ศรัทธาแก่กล้าดีจริง"
"ภาพนี้ผมให้พี่แพก็แล้วกัน"
เขายกให้ง่ายๆ แพตรีเบิกตาเล็กน้อย
"ไม่ขายล่ะ? ถึงคนดูไม่รู้เรื่องก็อยากซื้อได้นะ
ภาพสวยออกอย่างนี้"
"ไม่ตั้งใจจะขายอยู่แล้วนี่ฮะ"
หญิงสาวนิ่งไปครู่
ก่อนจะกวาดตาพินิจรายละเอียดบนแผ่นภาพและยิ้มรับ
"งั้นก็...ขอบใจนะ"
รู้ว่าปู่ก็ต้องชอบ
นึกหาที่แขวนเหมาะๆได้เดี๋ยวนั้น มติกับหล่อนมอบของน้อยใหญ่ให้แก่กันมาแต่ไหนแต่ไร
จึงไม่จำเป็นต้องย้ำคะยั้นคะยอหรือกระทำพิธีบ่ายเบี่ยงใดให้มากความ
พอพูดถึงปู่
มติก็เปลี่ยนเรื่องอย่างนึกขึ้นได้
"วันก่อนปู่คุยกับผม
บอกผมว่าพอพี่แพเรียนจบ มีงานทำเลี้ยงตัวได้ ไม่น่าเป็นห่วงแล้ว...ปู่จะบวช"
ด้วยความเฝ้าสังเกตอยู่ตลอดเวลา
มติไม่เห็นแม้แต่ความกระเพื่อมไหวในแววตาสงบดุจแผ่นน้ำนิ่งของแพตรี
หล่อนยังระบายยิ้มอ่อนให้กับภาพตรงหน้าเฉย
แต่เพราะมติรู้จักใกล้ชิดมาเนิ่นนานจนเข้าถึงและสัมผัสได้กระทั่งส่วนลึก
จึงทราบดีว่าภายใต้ความไม่ไหวติงนั้น
ที่แท้หล่อนเก็บซ่อนความโศกเศร้าเอาไว้อย่างเงียบเชียบ
มติถอนใจ
จะให้เขานิ่งดูดายได้อย่างไร
"พี่แพรู้แล้วใช่ไหมฮะ?"
"รู้แล้ว"
หล่อนตอบเบาๆ
ปราศจากวี่แววสะเทือนใจปนออกมา
"แล้วคิดยังไงต่อไปฮะ?"
หญิงสาวเหลือบตาขึ้นสบกับเพื่อนรุ่นน้องที่สนิทคุ้น
แล้วเบนไปทางตัวเรือนซึ่งปู่คงกำลังนั่งอ่านหนังสือธรรมะหรือเดินจงกรมอยู่ในห้องพระตามลำพัง
สิ่งเหล่านั้นเป็นกิจวัตรของปู่เมื่อท่านปิดประตูห้อง
"พี่อนุโมทนากับความตั้งใจของท่าน
พี่คงทำงานทำประโยชน์ให้สมค่าความรู้ที่ร่ำเรียนมาสักสองสามปี
แล้วจากนั้น..." ปลายเสียงของหล่อนแผ่วลง แต่แล้วก็กลับหนักแน่นขึ้นอีกครั้ง
"พี่จะบวชชี อยู่ในเพศพรหมจรรย์บูชาพระคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
และคุณปู่"
ถ้อยคำบ่งบอกเจตนารมณ์นั้นทำให้มติงันนิ่งไป
เด็กหนุ่มเม้มปากและมีคิ้วเคร่งเล็กน้อย
"แน่ใจแล้วหรือฮะ?"
แพตรีพยักหน้าช้าๆ
เป็นความเนิบช้าที่ทำให้มติสัมผัสความพะวงบางประการที่แอบแฝงอยู่ในชั้นลึกสุด
"เป็นความตั้งใจที่ดี"
เขาบอกอย่างนั้น
แต่มิได้กล่าวอนุโมทนาด้วย กลับเปลี่ยนเรื่องถามมาอีกทาง
"พี่แพเอาไม้แคระไปไว้มุมไหน"
บ้านซึ่งเต็มไปด้วยชั้นวางไม้ดอกไม้ประดับนั้น
ทำให้เขาขี้เกียจกวาดตาควานหาพันธุ์ไม้แคระซึ่งตนอุตส่าห์ซอกซอนไปพบถึงบนยอดเขาใกล้กับหมู่บ้านชนบทที่กลุ่มอาสาพัฒนาของเขายกขบวนไปถึงเมื่ออาทิตย์ก่อนๆ
"หลังบ้าน"
แพตรีตอบทั้งยิ้ม
อันที่จริงมติไม่ใช่นักเลงต้นไม้ แต่นานทีก็หาพันธุ์แปลกมากำนัลหล่อน
ไม่ว่าจะแปลกขนานแท้หรือเขานึกเอาเองว่าแปลกก็ตาม มันมีค่าเสมอ
เพราะเขาไม่เคยซื้อมาโดยง่าย แต่หามาด้วยลำแข้ง...ลำแข้งจริงๆไม่ใช่อุปมาอุปไมย
มติชอบท่องเที่ยวไปตามป่าเขาและชายทะเล
นั่นทำให้เขามีโอกาสเสาะสำรวจธรรมชาติได้หลากหลายภูมิประเทศ
"บางครั้งผมเกือบเข้าใจว่าสัมผัสพิเศษที่พี่แพมีต่อต้นไม้เป็นยังไง"
เขากล่าว "เวลาผมมองดีๆแล้วรู้สึกว่าพวกมันมีสัญญาณชีวิต
สำเหนียกรู้ได้ว่านั่นคือวิญญาณ คือพลังที่ให้ความอ่อนโยนกับโลก
อารมณ์ของผมจะแปลกไป คือกลมกลืนไปกับความเยือกเย็น สงบเรียบง่าย
และเหมือน...เอ่อ"
เด็กหนุ่มหรี่ตาพักเฟ้นคำ
"ไม่เคยต้องคิด
ชีวิตไม่มีเรื่องน่ากังวลอยู่เลย"
แพตรีต่อคำให้เมื่อเห็นมติเหมือนจะจนด้วยถ้อย
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับด้วยตาสดใส
"ใช่...แบบเดียวกับที่เต๋าชี้ให้เห็นการเติบโตอย่างง่ายดายตามธรรมชาติ
ถ้าเข้าถึงได้ก็มีความดื่มด่ำเยือกเย็น เพราะจิตเสมอกับธรรมชาติ
ธรรมชาติเป็นไปอย่างไร จิตก็ปรับแปรตามนั้น พอปราศจากความขัดแย้งกับธรรมชาติ
ก็เหลือแต่ความเรียบง่ายที่เป็นไปเอง"
หญิงสาวคลี่ยิ้ม
มองอีกฝ่ายด้วยสายตาแห่งการถ่ายทอดสัมผัสโดยตรงจากใจ
"ถ้าเธอรักพวกมันมากพอจะ ‘คุย’
กับมันได้เหมือนอย่างที่คุยกับเพื่อนสนิทสักคน เธอจะเข้าใจ ‘เสียงเงียบ’
ที่สื่อกันอยู่ระหว่างฝั่งเราผู้เฝ้ามอง และฝั่งชีวิตที่ถูกมอง
เป็นคลื่นสัญญาณอีกแบบหนึ่ง บอบบาง แต่ก็มีกระแสแรง"
มติหัวเราะเอื่อยๆ
ใช่จะเยาะด้วยความขบขัน
แต่หัวเราะอย่างรู้ตัวว่ายังไม่อาจเข้าถึงรหัสสัญญาณชีวิตระดับนั้น
เข้าใจแต่ว่าเมื่อจิตมนุษย์เพ่งอยู่กับอะไรบางอย่างชั่วนาตาปี
เมื่อแนบแน่นมากเข้าก็จะเกิดภาวะ ‘เห็น’ ความเป็นสิ่งนั้นๆขึ้นมาอย่างกระจะกระจ่าง
หยั่งลงสู่สัมผัสพิเศษที่คนอื่นดูด้วยตา ฟังด้วยหูแล้วไม่เข้าใจ
"พี่แพถึงเหมือนต้นไม้เข้าไปทุกวัน...เคยสับสนไหมฮะเมื่อต้องกลับมาพูดภาษามนุษย์
ถ้าผมคุยกับต้นไม้ได้บ้าง เราอาจคุยกันในรูปแบบที่แปลกขึ้นกว่าเดิมก็ได้นะ"
มติพูดกึ่งเล่นกึ่งจริง
แพตรีหัวเราะหน่อยๆแล้วเงียบ
"ว่าแต่ว่าพี่พูดกับต้นไม้ยังไง
ได้ความหมายเป็นใจความเหมือนอย่างติดต่อกับผู้คนหรือเปล่า?"
หญิงสาวส่ายหน้า
"มนุษย์เราสื่อสารกันด้วยการถ่ายทอดความคิด
ความคิดเป็นเปลือกที่อยู่ผิวนอกของใจ
ถูกขับออกมาเป็นระลอกด้วยเจตนาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง หากเจตนาเป็นโทษ คลื่นของจิตก็ส่งออกมาหยาบๆน่าระคาย
หากเจตนาเป็นคุณ คลื่นของจิตก็ส่งออกมาละเอียดน่าสบายหน่อย
แต่ส่วนใหญ่เราไม่ทันซึมซับรับรู้ลักษณะคลื่นของจิตมนุษย์มากนัก
เพราะใจมัวไปทำงานแปลความหมายของภาษาพูดเสียหมด เราถึงถูกหลอกบ้าง ถูกทำให้เขวบ้าง
เพราะฟังเฉพาะภาษาเป็นคำๆ"
พูดแล้วก็เบนสายตาไปจับดอกพิกุลซึ่งอยู่ห่างจากตรงนั้นเพียงสี่ห้าก้าว
ดวงหน้าของหล่อนอ่อนสงบยิ่งในการเฝ้ามองของมติ
“แต่สัญญาณสื่อสารจากต้นไม้ไม่ได้มาจากระบบความคิด
ไม่ได้มาจากภาษา ปราศจากเจตนาดีร้ายซ่อนอยู่เบื้องหลัง ไม่มีการปรุง ไม่มีการปั้น
ทุกอย่างถ่ายทอดตรงไปตรงมาจากความเป็นต้นไม้เองทั้งร่าง
สื่อสารกันจากวิญญาณถึงวิญญาณ ถ้าคลื่นวิญญาณส่งออกมาดีๆ
ก็แปลว่ามันกำลังเป็นอยู่เหมือนคนที่มีสุขภาพดีและร่าเริง
ถ้าคลื่นวิญญาณส่งออกมาอับหมอง ก็อาจสันนิษฐานว่ามีบางอย่างผิดปกติไป
อาจจะเพลี้ยลง หรือได้น้ำได้ปุ๋ยน้อย ดีอย่างนี้แหละที่เราสามารถรู้จักพวกมันโดยปราศจากภาษาขวางกั้น
เพราะเราจะไม่มีวันเข้าใจผิดหรือถูกหลอกให้เลี้ยงดูคลาดเคลื่อนจากที่ควรเลย”
มติยิ้มกว้าง
"อย่างนี้เองพี่แพถึงไวนัก
กับการหลบคนใจร้าย ใจกระด้าง เพราะคุ้นที่จะสัมผัสแต่สิ่งละเอียดอ่อน"
พักมองโดยรอบ แล้วเอ่ยถาม "เคยได้ยินว่าความสั่นสะเทือนจากจิตวิญญาณเจ้าของ
จะติดอยู่กับต้นไม้ด้วย
เวลาดูต้นไม้นอกบ้านนี่พี่แพอ่านออกจากสัมผัสพิเศษไหมว่าเจ้าของเป็นคนนิสัยใจคอยังไง"
แพตรีกะพริบตาทีหนึ่ง
หล่อนคุยกับมติโดยไม่จำเป็นต้องเก็บงำสิ่งใดไว้เป็นความลับ
"ถ้าฝากสัญญาณไว้เด่นพอ
ก็อาจจับได้อยู่บ้างมั้ง อย่างเรื่องความสดใสเนี่ย
ถ้าเจ้าของมีจิตใจที่สว่างและเดินมารดน้ำต้นไม้ รินใจเผื่อแผ่ต้นไม้บ่อยๆ
พวกมันก็จะมีความสว่างตาม เราสัมผัสแล้วสดชื่นตามได้ง่ายๆ
แต่ถ้าเจ้าของปล่อยให้ต้นไม้ยืนอยู่ตามยถากรรม รอฝนตกลงมาเลี้ยงเอง ก็ไม่มีคลื่นความใส่ใจของมนุษย์ฝากไว้"
มตินิ่งฟังอย่างสนใจ
พอแพตรีพูดจบก็เล่าว่า
"ผมเคยเห็นอยู่รายหนึ่งบอกว่าเขารู้ความต้องการของต้นไม้ที่เลี้ยงไว้
รู้หมดเลยว่ามันอยากได้ดินใหม่ อยากให้งดปุ๋ยที่กำลังใช้
หรือต้องการน้ำมากขึ้นอะไรทำนองนั้น ผมฟังแล้วบางทีก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเขารักต้นไม้มากจนเกิดอุปาทาน
หรือคลุกคลีผูกพันจนเกิดความหยั่งรู้พิเศษขึ้นมาเอง
ใช่ว่าได้รับการติดต่อจากต้นไม้ แต่ฟังจากที่พี่แพพูดแล้ว
ก็ทำให้คิดว่าอาจมีบางอย่างที่ก้ำกึ่งกันระหว่างอุปาทานกับ ‘เสียงจริง’ จากต้นไม้”
"จะอุปาทานหรือของจริงก็ไม่น่าสนใจไปกว่าที่ว่า
เมื่อทำตามต้นไม้ต้องการแล้วต้นไม้ดีขึ้นหรือเลวลง"
เด็กหนุ่มครางในลำคอเบาๆอย่างเห็นด้วย
เคยได้ยินมานานแล้วเรื่องความเจริญงอกงามเป็นพิเศษของต้นไม้ถ้าคนเลี้ยงมีใจให้
บางรายเลี้ยงได้ถึงขั้นมหัศจรรย์ โตเร็ว เติบใหญ่กว่าธรรมชาติ
และงดงามกว่าของชาวบ้านทั่วไปทั้งที่มีพืชพันธุ์ ดิน แดด
และปุ๋ยอย่างเดียวกันทุกประการ
“คนมีความสุขกับต้นไม้นี่ดูสันโดษและเหมือนไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
แค่รักต้นไม้ อยู่กับต้นไม้ก็พอ นับว่าพี่แพนี่น่าอิจฉาเหมือนกันนะ"
“แต่เธอคงไม่อิจฉาพี่มั้ง
เพราะรู้จักบรมสุขในงานศิลปะอยู่แล้วนี่ อย่างที่เคยเห็นเธอทำงาน
ดูหน้าตาอิ่มเอิบดีออก”
แพตรีหมายถึงเมื่อครั้งเขานั่งวาดรูปเหมือนให้หล่อน
“ตอนวาดได้อย่างใจก็อิ่มเอิบดีหรอกฮะ
แต่ถ้าเป็นตรงข้าม ก็หงุดหงิดเอาบ่อยๆเหมือนกัน
ต่างจากความสุขสนิทใจที่ได้จากต้นไม้อย่างพี่แพ มีแต่สุขเย็น ไม่ต้องหงุดหงิดเลย”
แพตรีเลิกคิ้วสูงด้วยความฉงน
รู้จักกันมาแต่เล็ก เห็นหน้าเห็นตาในสารพัดเหตุการณ์
หากคัดเป็นภาพก็คงได้นับพันนับหมื่น
จำได้ว่าไม่เคยเห็นสีหน้าขุ่นขึ้งของเขาแทรกขึ้นมาเลยสักภาพเดียว
“อย่างเธอเคยหงุดหงิดด้วยหรือ?”
“เคยสิฮะ”
เขาตอบกลั้วหัวเราะ
“ไม่รู้สินะ
ในความรู้สึกของพี่เธอเหมือนคนที่เข้าถึงศิลปะลึกซึ้งมาก เห็นเธอทำงานแล้วเหมือนกำลังแยกตัวเองไปอยู่อีกมิติหนึ่ง
ล่องลอยเบาสบายอยู่ตามลำพัง อีกอย่าง เธอเข้าใจพระธรรมคำสอนดี
แล้วก็ทำสมาธิได้ผลกว่าพี่มาก ยังหงุดหงิดกับอารมณ์หยาบๆได้อีกหรือ?”
“ศิลปินส่วนใหญ่ฝันแรง
แล้วก็อยากแรงฮะ ตราบใดที่ยังกลมกลืนไปกับศิลปะบริสุทธิ์ไม่ได้อย่างถ่องแท้
พี่แพอาจมีโอกาสรู้จักพวกมีหัวทางนี้น้อย แต่ละคนปึงปังเป็นฟืนไฟง่ายจะตาย”
"สำหรับเธอ
ความหงุดหงิดคงถูกขังไว้แต่ข้างในแหละนะ ข้างนอกเธอสงบมาตลอดนี่
พี่ยังเผลอนึกว่าเธอหมดโกรธ หมดอยากไปแล้วด้วยซ้ำ"
หล่อนกล่าวทั้งกลั้วหัวเราะ "คงมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นแหละนะที่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้หมดไปหรือยัง"
มติมองหญิงสาวรุ่นพี่ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
คล้ายจุดประกายความมาดหมายเร้นลับทอตัวเป็นแสงเข้มในแก้วตาที่เคยเยือกเย็นอ่อนโยนเป็นนิจ
"ผมเป็นมนุษย์ธรรมดา
ไม่มีมนุษย์ธรรมดาคนไหนจบความอยากได้เพียงเพราะมีใจฝักใฝ่ศิลปะและสมาธิ
ผมมีอยากที่ยิ่งกว่าศิลปะและสมาธิ ผู้ชายอื่นทะยานยังไง ผมก็ไม่ต่างจากนั้น”
หญิงสาวสะอึกอึ้งนิดหนึ่ง
แต่ทำเป็นไม่เห็นสายตาชนิดนั้นของเขา เสมองไปทางอื่นและพูดเอื่อยๆคล้ายผสมโรง
"ใช่ พอพี่ตื่นจากโลกของต้นไม้
พี่ก็พบว่าความเป็นมนุษย์นี่ยุ่งเหยิงด้วยความอยากหลายๆอย่าง
แล้วก็น่าตลกที่บางทีมันขัดกันเอง"
ก็เช่นที่หล่อนอยากให้ปู่บวชตามความปรารถนาของท่าน
อยากจริงๆมิใช่การเสแสร้งทำใจเป็นหลานผู้ประเสริฐ
แต่ขณะเดียวกันหล่อนก็มีความอยากทั้งในส่วนตื้นกับส่วนลึกที่จะให้ปู่อยู่กับหล่อนตลอดกาล...อย่างน้อยก็จนกว่าสังขารของท่านจะพาท่านไปจากหล่อนเองในวาระอันควร
มติใช้ข้อนิ้วเกลี่ยปลายจมูก
ขยับจะพูดอะไรอย่างหนึ่ง แต่แล้วก็เสพูดไปอีกอย่าง
"ครั้งหนึ่งผมเคยวาดรูปชื่อ
‘ตามนุษย์' ไว้ รู้สึกจะไม่เคยเอามาให้พี่แพดู
ขายไปแล้วล่ะฮะ สะใจกับความไม่อาจถูกหยั่งถึงก้นบึ้งของมัน
ผมว่าตามนุษย์เป็นสัญลักษณ์ของความซับซ้อนหาที่สุดไม่เจอ สลับสับเปลี่ยนแวว
เปลี่ยนนัยได้สารพัดในกาลเทศะต่างๆ เข้าใจยากยิ่งกว่าความลี้ลับของร่างกาย
ของถนนหนทางคดเคี้ยว ของน้ำดินหรือดวงดาวและจักรวาลไหนๆทั้งหมด"
แวบหนึ่ง
แพตรีนึกถึงประกายตาคมกล้าของเกาทัณฑ์
จริงแหละที่มันน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของสุดยอดความซับซ้อน
อำนาจโลกียวิสัยที่เขามีคงมาจากพลังในขุมสมองและกิเลสหยาบเยี่ยงคนเมือง
ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เป็นความวิจิตรพิสดารของดวงจิตในภูมิที่ความใฝ่สูงและความใฝ่ต่ำทะยานเข้าชนกันอย่างบ้าคลั่ง
ภูมิที่ดวงวิญญาณมีอุปกรณ์และศักยภาพที่บันดลบันดาลสารพันดีเลวใดๆให้เกิดขึ้นก็ได้ทั้งสิ้น
ฝ่ายมติ ขณะพูดก็พินิจแพตรีไปด้วย
เห็นนัยน์ตาที่เปล่งประกายฉลาดล้ำทว่าส่องแววซื่อจนคล้ายอ่อนเดียงสาของหล่อนแล้วเกิดความต้องการปกป้อง
อยากคุ้มครอง
อยากเป็นปราการกั้นหล่อนจากความสับสนวุ่นวายและความพลิกไปพลิกมาของผู้คนรอบด้าน
เขาเจอมาแล้ว ทุกคนเจอมาแล้ว และหล่อนก็คงไม่แคล้วต้องเจอมาแล้วเช่นกัน
จะอ้อนวอนอะไรมาช่วยปกป้องในวันต่อๆไปเล่า? เขาไม่ใช่วิญญาณหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อาจตามไปพิทักษ์หล่อนทุกฝีก้าว
นึกแล้วก็ชักเห็นดีเห็นงามกับเจตนาออกบวชของแพตรี
เขาห่วงหล่อนจากใจ
และเข้าใจศาสนาพุทธจนไม่เห็นที่พึ่งอื่นปลอดภัยไปกว่าการปฏิบัติธรรมหาทางหลุดพ้นจากสังสารวัฏ
ทว่าแม้เห็นจริงดังนั้น
ใจก็ยังไม่อาจอนุโมทนาได้อยู่ดี...เพราะกิเลสมันกั้นไว้หนาแน่น
"ชาตินี้ผมอาจไม่รวย"
ดวงตาของมติเหม่อจับยอดไม้เบื้องไกลขณะเปรยลอยๆ
เขาอายุน้อยกว่าแพตรีเกือบสองปี
ทว่ามีความสามารถเชิงวิจิตรศิลป์เข้าขั้นหารายได้มานานแล้ว
และนั่นก็ทำให้เห็นชัดว่าหากไม่มีทางลัดอื่น กว่าจะมีเงินหลายๆล้านคงนานเน
เขาเคยใช้เวลานับเดือนวาดภาพชนิด 'สุดฝีมือ' เพื่อฝากขายในราคาระดับดาวน์รถมือสองมาขับได้
แต่วางอยู่เป็นปียังไม่มีเศรษฐีคนไหนตัดสินใจซื้อ อาจเพราะฝากวางได้แค่กับร้านเล็ก
ร้านใหญ่ยังไม่กล้าเสี่ยงกับจิตรกรหน้าใหม่
โอกาสที่ลูกค้ากระเป๋าหนักจะกรายมาชมจึงพลอยยากไปด้วย นั่นเองมติจึงได้บทเรียนมาตระหนักว่าเขาเพิ่งเริ่มต้น
ต้องสร้างงานแบบไต่ระดับขึ้นไปอีกนาน
จะหวังข้ามขั้นด้วยความมั่นใจในคุณภาพอย่างเดียวนั้น เห็นทีคงเหลือวิสัย
แพตรีประหลาดใจกับคำเปรยของเขาอยู่บ้าง
"ก็ดีแล้วนี่
เธอจะได้ไม่ต้องทุกข์กับความรวยและความอยากอันเป็นสิ่งแปลกหน้า แล้วมีความสุขต่อไปกับความสมถะประจำตัวที่สนิทคุ้นเคยเรื่อยมาและน่าจะเรื่อยไป"
"แต่สมมุติว่าผมจะต้องมีผู้หญิงสักคน
กับเด็กเล็กให้ช่วยกันเลี้ยงดู
ผมก็คงทำให้พวกเขาลำบากและไม่เป็นสุขกับความสันโดษชนิดนี้แน่"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อน
แต่หันมองหล่อนด้วยสายตาตรง ฉายเจตจำนงบางอย่างแรงจนดึงหล่อนมาสบได้
มติดูเป็นหนุ่มที่คมคายและเก่งกาจในยามนั้น
แต่อย่างไรก็คือน้องชายหล่อนอยู่นั่นเอง
"พี่ว่าทั้งผู้หญิงและเด็กไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับเธอหรอกมั้ง"
แพตรีทำเสียงให้ออกทำนองสันนิษฐานมากกว่าสรุปเดาใจ
"เหรอฮะ?" มติเลิกคิ้วนิดหนึ่งอย่างแสร้งฉงน
"เพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนี้เอง"
แล้วเขาก็ส่งสายตาเลยหล่อนไปทางอื่น
แพตรีอึกอัก การสนทนาเริ่มหักเหและอ้อมค้อม หล่อนไม่ชอบ
มติกับหล่อนไม่เคยต้องพูดจากันด้วยวิธีพรางเจตนาเช่นนี้
มันทำให้การต่อคำสนทนาฝืดลง
แต่ครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยด้วยปลายเสียงทอดเนิบเป็นปกติ
"พี่แพไม่ได้ไปบ้านผมนานแล้ว
มีภาพใหม่ๆเยอะเลย อยากดูไหม?"
"อยาก"
ห่างจากบ้านหล่อนไปเพียงสองหลังก็ถึงบ้านมติ
ตัวบ้านดูโกโรโกโสสักหน่อยเพราะขาดการบำรุงภายนอกซึ่งนับวันมีแต่เสื่อมลงตามอายุ
มติอยู่กับพ่อและน้องชายเพียงสามคน ไร้แม่บ้านคอยดูแล
แต่ทุกห้องหับจัดวางข้าวของเข้าที่เข้าทางเป็นระเบียบ
ไม่รกรุงรังขนาดหาของทีเหงื่อตกกีบอย่างบ้านชายล้วนบางแห่ง
อันเนื่องจากเข้าออกบ้านของแต่ละฝ่ายมาแต่เด็ก
เลยมีความสนิทคุ้นไม่เห็นเป็นอื่น แม้บัดนี้โตเป็นหนุ่มสาวกันแล้ว
แพตรีก็ยังแวะเวียนเข้ามาช่วยตัดแต่งต้นไม้รอบบ้านให้เกือบทุกเดือน
เหตุหนึ่งเป็นเพราะบ้านปู่ชนะมีบริเวณไม่พอจะรับพฤกษานานาพันธุ์ของหล่อนได้ทั้งหมด
จึงต้องแบ่งมาให้บ้านมติช่วยรับไว้บ้าง และนั่นก็เป็นผลให้เกิดความห่วงตามมาดูแล
บำบัดทุกข์บำรุงสุขบริวารซึ่งบางครั้งอดๆอยากๆด้วยความไม่เอาใจใส่ของเจ้าบ้าน
มติมีแบบฉบับคล้ายศิลปินที่สร้างโลกเงียบส่วนตัวให้ตนเอง
แต่งตัวง่ายๆ แค่เสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์มอซอ ผอมแห้งและเหมือนเซื่องเฉยในบางครั้ง
ห้องนอนของเขาสะท้อนบุคลิกชนิดนี้ คืออวลกลิ่นอายสี กาว
และดูคล้ายโรงเก็บเครื่องเคราศิลปะเสียมากกว่าจะเป็นสถานที่เอนกายหลับ
ขนาดที่แพตรีก้าวเข้ามาแล้วไม่เกิดความตะขิดตะขวงก็แล้วกัน
ทั้งบ้านปลอดคน
มติเปิดประตูหน้าต่างโดยรอบ
ปล่อยให้พี่สาวเข้าไปดูภาพซึ่งเรียงเป็นตั้งพิงผนังห้องหลายสิบกรอบตามลำพัง
"เอาโกโก้ไหมพี่แพ?"
เสียงเด็กหนุ่มดังออกมาจากห้องครัว
แพตรีส่งเสียงตอบปฏิเสธพลางพินิจดูภาพสีน้ำมันทีละกรอบ มติเป็นคนมีพลังสร้างสรรค์
งานของเขาสะท้อนให้เห็นชัด เกือบทุกภาพชวนทัศนาไม่จืดตา
กับทั้งสามารถจุดประกายความคิดได้เสมอ
นั่นเป็นแรงดึงดูดใจให้แพตรีนึกอยากชมงานใหม่ๆของเขาอยู่เรื่อย
"เธอน่าจะมีแกลอรี่เป็นของตัวเองนะมติ"
หล่อนเอ่ยเชิงชมด้วยระดับเสียงธรรมดา
เขาควรจะได้ยินในความเงียบของบ้านและความห่างไม่เกินสิบก้าวนั้น
"ถ้ามีเงินก็ทำได้สิฮะ"
เขาตอบกลับมา
แพตรีมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาสนใจ ภาพที่กำลังพินิจนั้นเป็นแก้วเจียระไนทรงสูง
แบบบางและงดงามระเหิดระหง สะท้อนแสงทองออกมาเป็นหลากสีแพรวใสจับตายิ่งนัก
ทว่าในแก้วกลับบรรจุอยู่ด้วยเลือด...ที่รู้ว่าเลือดก็เพราะนอกแก้วซึ่งเป็นพื้นโต๊ะปูผ้าขาวนั้น
เต็มไปด้วยหยดเลือดและมีดแหลมคมเปื้อนเลือดวางอยู่ใกล้ๆ
หลังภาพมีกระดาษเขียนปิดไว้ว่า
‘ความสุขบนความตาย'
เป็นภาพที่สะเทือนอารมณ์และนึกไปได้ถึงหลายเรื่องหลายราวบนโลกที่พ้องพาน
มติไม่นิยมเรื่องโหดเหี้ยมอำมหิต เขาคงไปพบข่าวหรือเหตุการณ์ใกล้ตัวบางอย่าง
แล้วเกิดแรงบันดาลใจจะใช้ความเป็นศิลปินสะท้อนความรู้สึกที่ได้รับออกมาเท่านั้น
อีกทั้งคงไม่ตั้งใจจะขายภาพนี้แต่อย่างใด...มันน่ากลัวเกินไป
นำภาพที่ชมแล้วไปวางพิงผนังด้านว่าง
แล้วกลับมาเลือกดูภาพต่อๆไป มติวาดหลายแบบ มีทั้งธรรมชาติ วัดวาอาราม
เหตุการณ์สับสน คนเหมือน ตลอดจนรูปทรงพิสดารหลากหลายจากจินตนาการ
ล้วนทรงชีวิตชีวาให้สัมผัสรู้สึก
อย่างรูปคนเหมือนนี่ราวกับจ้องมองหล่อนด้วยกระแสตาของคนจริงๆ
คล้ายกอปรพร้อมด้วยชีวิตวิญญาณที่อาจขยับเขยื้อนหรือเปล่งเสียงพูดกับหล่อนได้เดี๋ยวนั้น
มติทำให้แพตรีซาบซึ้งว่าศิลปินฝากพลังและวิญญาณไว้กับงานอย่างนี้เอง
ภาพวาดของเขามีความ 'จริง' เสียยิ่งกว่าภาพถ่าย ก็ด้วยใจที่ฝากไว้นี่แหละ
มีอีกภาพที่กว้างใหญ่ผิดจากกรอบอื่นค่อนข้างมาก
ให้หล่อนกางแขนทั้งสองออกจนสุดก็ยังกว้างไม่เท่า เห็นแล้วสะดุดตาสะดุดใจแต่แรก
มันเป็นภาพดวงประกายพรึกฟ้าอมทองสว่างไสวงามงดดวงหนึ่งในห้วงมืด ล้อมรอบด้วยวงรี
มองผาดๆแล้วคล้ายภาพดาวเสาร์กับวงแหวนนั่นเอง
ต่างกันตรงที่ดาวเสาร์ถูกแทนด้วยดวงประกายพรึก
และวงแหวนถูกแทนด้วยพระพุทธเจ้าหลายองค์ขัดสมาธิคู้บัลลังก์เรียงรอบ
ยิ่งแปลกตรงที่รูปโฉมของแต่ละพระองค์ต่างกันมาก
ปราศจากเอกภาพโดยสิ้นเชิง บางองค์มีพระกรัชกายตามมหาปุริสลักษณะ
เช่นพระหนุดุจคางราชสีห์ บางองค์มีพระหนุเหลี่ยมดุจชายผู้ทรงภูมิทั่วไป
บางองค์มีพระฉัพพรรณรังสี บางองค์แค่มีรัศมีสง่า บางองค์มีมวยเกศา
บางองค์ปราศจากเกศา บางองค์ดูท้วม (ตามลักษณะการสร้างพระพุทธรูปของบางประเทศ) บางองค์ดูสมส่วนองอาจ
ผิดแผกแตกต่างนับแต่พระพักตร์ไปจนถึงพระกาย ราวกับมิใช่รูปพระมหาบุรุษองค์เดียวกัน
ทว่าพิศผาดแล้วทราบทันทีว่าเป็นพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น
นี่คงเป็นรูปที่มติคิดวาดแบบเผื่อเลือกเพื่อนำเข้าประกวดอีกชิ้นหนึ่ง
แต่ไม่ตัดสินใจส่งด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่งของเขา แพตรีพยายามตามความคิดมติ
ภาพนั้นชื่อ ‘พระพุทธเจ้า' ดูผิวเผินเหมือนมีเจตนาเหนี่ยวนำให้นึกถึงดาวพระเสาร์
หล่อนตาสว่างและคิดขึ้นได้ว่าเมื่อพูดถึง ‘ดาวเสาร์’
เรารู้ว่าคือดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีวงแหวน แต่เราจะไม่นึกว่าดาวเสาร์คือวงแหวน
เช่นเดียวกับเมื่อพูดถึง ‘พระพุทธเจ้า’
เราก็ไม่ควรนึกถึงพระกรัชกายที่เป็นเนื้อหนังมากกว่าพระธรรมกายอันเป็นเนื้อแท้
เราเถียงกันเสมอว่าพระองค์มีรูปโฉมผิดแผกหรือเหมือนสามัญชน
ซึ่งเถียงให้คอเป็นเอ็นอย่างไรก็ไม่มีวันพิสูจน์ได้
ในเมื่อพระกรัชกายอันเป็นรูปธรรมสิ้นสูญไปแล้ว
ดวงจิตของพระองค์ต่างหากที่พิสูจน์ได้
เพราะถ้าเป็นของจริง คำสอนก็ต้องจริงตาม
ปฏิบัติแล้วได้ผลเป็นประกายพรึกชนิดเดียวกันไปด้วย
รูปโฉมอันเป็นกายหยาบนั้นอยู่เพียงรอบนอก
ขอเพียงพระรูปหนึ่งๆโน้มใจให้ศรัทธาและระลึกถึงพระทัยอันบริสุทธิ์ทรงคุณได้ก็เพียงพอแล้ว
ใจที่นึกถึงพระองค์แล้วเป็นกุศลได้จริงๆนั่นแหละควรเป็นสิ่งน่าคำนึง
เพียงด้วยรูปนั้น
จินตภาพเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าของแพตรีเกือบถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
นี่เป็นภาพแทนพระสุคตที่ลึกซึ้งมาก
ดวงประกายพรึกสื่อถึงจิตสว่างรู้พ้นกิเลสของพระสัมมาสัมพุทธะ ควรเป็นสิ่งเด่นชัดที่น่ามองให้เห็นมากกว่ารูปพระกายของพระองค์
นี่เองหน้าที่หนึ่งของศิลปิน
คือเปลี่ยนโลกทัศน์ของผู้พินิจงานของพวกเขาด้วยมุมมองภายในที่แตกต่าง
ผ่านภาพวาดอันเป็นรูปธรรมจับต้องได้
แพตรีมีความรู้และสายตาที่ไม่คมลึกนักกับงานศิลปะ
แต่วัดด้วยความเป็นผู้มีตาช่างสังเกตให้กับสิ่งสวยงาม
หล่อนก็พอบอกได้ว่าไม่แปลกเลย ถ้าต่อไปมติจะโด่งดังขึ้นมาในวงการสักคน
ภาพเขียนดีๆเป็นสิ่งมีพลังดึงดูดสายตาในตัวเอง
เป็นสิ่งที่เห็นแล้วก่อความสุขให้แก่คนรู้จักดู รู้จักพิจารณาได้
เป็นสื่อจินตนาการจากใจถึงใจได้ เป็นความหมายแทนคำพูดพันคำได้
และเป็นอะไรต่อมิอะไรอีกหลายต่อหลายอย่างสุดแล้วแต่ผู้ส่งสารและผู้รับสารจะมีความกว้างยาวลึกทางอารมณ์และความคิดสอดรับกันเพียงไร
"ถ้าภาพพวกนี้ถูกขายออกไปสมค่าตามจริง
แค่สิบภาพพี่ก็ว่าเธอน่าจะมีแกลอรี่ของตัวเองแล้วล่ะ เป็นห้องโตๆด้วย"
แว่วเสียงหัวเราะขันเหมือนมติกำลังเดินใกล้เข้ามา
"เธอเก่งมากนะมติ"
แพตรีชมซ้ำ
พลางนำภาพพระพุทธเจ้าแยกไปวางต่างหากในที่สูงกว่าภาพอื่น
ออกจะนึกตำหนิน้องชายอยู่ในใจที่ไม่คัดแยกกลุ่มภาพให้เหมาะควร
รวมภาพทุกประเภทไว้ในตั้งเดียวกันบนพื้นอย่างนี้
อย่างไรก็ตามใบหน้าของหล่อนยังคงบ่มด้วยความพอใจสบายตาไม่สร่าง
ทว่าเมื่อหันกลับมายังภาพสุดท้าย ก็ชะงักงัน หน้าซีดลงเกือบจะในทันที
ก่อนที่ครู่หนึ่งจะกลับแดงขึ้นจนเข้ม
นานครั้งที่หล่อนจะเกิดอาการตะลึงตะไลไม่คาดฝันอย่างเดี๋ยวนี้
ตรงหน้าคือภาพคู่บ่าวสาวในชุดวิวาห์ที่งามเกินจริงสมกับเป็นรูปวาด
ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากคู่บ่าวสาว รอยยิ้ม ช่อกุหลาบสีชมพู
และกลิ่นไอความสุขสีขาวอมฟ้ากว้างไกล ภาพดูมีชีวิต มีมิติเคลื่อนไหวได้
ราวกับหนุ่มสาวในรูปกำลังส่งยิ้มถึงหล่อนโดยเฉพาะ
มติเป็นคนมีฤทธิ์
และเขาก็ฝากฤทธิ์แรงที่สุดไว้กับภาพนี้
"อย่างที่บอกใช่มั้ยฮะ
ชีวิตผมยังมีอยากที่ยิ่งไปกว่าศิลปะ"
หญิงสาวหันขวับไปทางต้นเสียง
ถึงกับมือไม้สั่น เขากำลังยืนพิงกรอบประตูห้อง
แววตาที่ทอดสบกับหล่อนดูสงบเงียบนิ่งเย็นไม่เป็นอันตรายอย่างไรก็อย่างนั้น
ภาพชื่อ ‘สมรส' เจ้าบ่าวคือเขา เจ้าสาวคือหล่อน...
ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น