วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทางนฤพาน บทที่ ๕ เข้าสมาธิ

บทที่ ๕  เข้าสมาธิ


    เป็นเช้าที่เกาทัณฑ์นอนแช่บนเตียงนานผิดไปกว่าเคย เหมือนไม่พร้อมจะทำอะไรทั้งนั้น สมองปั่นป่วนสับสนคล้ายคนป่วย ภาพหญิงสาวกับชายชราสลับกันเวียนวนอยู่ในหัวแบบลอยไปลอยมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นไม่ใช่แบบแผนระบบความคิดของเขาเลย

    ความเนือยนายและความเชื่อมั่นที่ถูกสั่นคลอนแบบนี้ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก หลานสาวคนสวยของปู่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีค่าต่ำต้อยกว่าเจ้าหนุ่มน้อยผอมแห้งท่าทางกระจอกๆ ส่วนปู่ชนะก็ทำให้เขาเกิดความคิดถกเถียงอยู่ในใจอย่างต่อเนื่อง เหมือนสงสัยชีวิตขึ้นเป็นครั้งแรก ทั้งที่ผ่านมาชีวิตเขาให้คำตอบกับตัวเองเป็นฉากๆ เริ่มต้นด้วยความพร้อมทางกำลังกาย กำลังสติปัญญา ตามด้วยความสำเร็จ ผลงาน และลงเอยด้วยสง่าราศีจับตาคนรอบข้างทั้งใกล้และไกล เขาควรอยู่ในครรลองแห่งตัวตนอันน่าภาคภูมิจวบถึงอายุขัย

    ภาพลักษณ์ชีวิตปรากฏคล้ายธงชัยแห่งความเป็นหนึ่งที่ชูสูงตลอดกาล จู่ๆจะให้ยอมรับหรือว่าทั้งหมดคืออุปาทานทั้งเพ ที่ขยับแขนขาได้ อ้าปากพูดได้นี่เป็นก้อนอนัตตาในระหว่างแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตายอันเป็นทุกข์ทั้งสิ้น

    ชีวิตคือผลงาน ทำงานสำเร็จชีวิตก็สำเร็จ ทำงานชนะชีวิตก็ชนะ เขาเห็นจริงมาตลอดตามนั้น และมีสัจจะสูงสุดอยู่เท่านั้น

    แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อคืนเขานอนก่ายหน้าผาก...

    ถ้าหากคนโบราณพูดถูก สมมุติว่านรกสวรรค์เป็นเรื่องจริง สมมุติว่าชีวิตนี้เป็นแค่รูปแบบหนึ่งระหว่างการคลี่คลายของกระบวนการเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด มิแปลว่าคนทั้งโลกสั่งสอนและร่ำเรียนกันผิดๆ เอาแค่ชีวิตรอดไปวันๆ โดยมองไม่เห็นภยันตรายใหญ่หลวงที่รออยู่ข้างหน้า ไม่มีการเน้นหนักเอาจริงเอาจังกับการเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวในกาลต่อไปหรอกหรือ?

    พลิกตัวจุดบุหรี่สูบมวนหนึ่งแล้วนอนหงายหน้ามองเพดาน ห้องนี้เป็นเขตส่วนตัว เป็นกรรมสิทธิ์ของเขา เป็นเครื่องแสดงความสามารถเอาตัวรอดได้ ในวันที่เขาซื้อด้วยเงินสดโดยไม่ต้องผ่อนอย่างคนอื่น วันนั้นเขาเห็นตนเองมีหลักประกันชีวิต หรือใบรับรองความสามารถยืนหยัดด้วยลำแข้งตนเองเต็มภาคภูมิ และเป็นผลให้วันนี้เขากำลังคิดก้าวต่อไปอีก คืออยากมีบ้านที่ใหญ่ขึ้น ในสิ่งแวดล้อมระดับสูงขึ้น แสดงพัฒนาการของชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม ถูกจังหวะจะโคนตามกาล

    เขายังซื้อบ้านหรูหลังใหญ่ด้วยเงินสดไม่ได้เหมือนซื้อห้องเป็นกล่องๆแบบนี้แน่ ถ้าคิดครอบครองบ้านใหญ่ ก็คงต้องใช้เงินผ่อน ซึ่งก็พอไหวอยู่ ต่อให้เดือนละหลายๆหมื่นก็เถอะ ปัญหาคือเขาเกลียดการเป็นหนี้ยืดเยื้อยาวนาน ความรู้สึกมันวิ่งไปไม่ไกลถึงขีดของการครอบครองเต็มภาคภูมิ เขาจะต้องทำงานแบบห้ามพัก มีรายได้ประจำต่อเนื่องนับสิบปี ซึ่งคนเราต้องมีสิ่งผลักดันหรือแรงบันดาลใจใหญ่พอ จึงจะมุแบกภาระยืดยาวปานนั้นโดยไม่ท้อเสียกลางคัน

    แรงผลักดันอะไรล่ะที่ทำให้คนเรายอมแบกงานหนักได้นานๆ? การเป็นหมายเลขหนึ่ง การเป็นที่รู้จักทั่วประเทศหรือกระทั่งทั่วโลกอย่างนั้นหรือ? เกาทัณฑ์แวบคิดขึ้นมาว่าหากชื่อเสียงและเงินทองเป็นเพียงเหยื่อล่อให้โถมตัวไปข้างหน้า หลงตามเหยื่อไปเรื่อยๆ ก็ควรแก่การอ่อนล้าระย่อ วันหนึ่งอาจเฉลียวคิดได้ว่าตัวเองสู้เหนื่อยตามเหยื่อไปทำไม ในเมื่อกินอิ่มเพียงพออยู่แล้ว

    เขาผ่านจุดของความสำเร็จมาหลายครั้ง นับแต่เรื่องกีฬา เรื่องเรียน มาถึงเรื่องงาน ทุกครั้งพบรางวัลใหญ่เดียวกันเป็นประจำ นั่นคือการดับความกระวนกระวาย ดับความทะยานอยากชนะชั่วแล่น แต่ละจุดของความสำเร็จไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นเลยจริงๆ

    เพิ่งได้คำตอบชัดๆว่าคนเราต้องมีครอบครัว มีความอบอุ่นในรักแท้เป็นเครื่องหนุนหลัง เพื่อไม่ให้คิดพักนิ่งอยู่กับที่ ครอบครัวจะเป็นเหตุผลและคำตอบให้ใจตัวเองได้ว่าที่ก้าวรุดๆไปข้างหน้านั้น จะเพื่ออะไร

    หรี่ตาลงเป็นเส้นตรงจนสามารถเห็นภาพสาวน้อยในบ้านปู่ผุดชัดขึ้นในมโนนึก หล่อนวิเศษสักแค่ไหนหรือ จึงทำให้เขาคิดถึงการมีครอบครัว คิดถึงการลงหลักปักฐานเป็นฝั่งฝาชั่วข้ามคืนที่รู้จัก

    เขาเป็นพวกเกิดมากับความพรั่งพร้อมทุกด้าน ทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และคุณสมบัติ พูดง่ายๆว่าหล่อ รวย เก่ง อันเป็นที่ไขว่คว้าโหยหาของเพศตรงข้าม และหมายความว่าวิถีทางย่อมเรียงรายด้วยการหยิบยื่น การกลุ้มรุมเสนอตัว กระแสสังคมปัจจุบันโยนสาวเนื้อหวานมากหน้าหลายตามาให้เขาเชือดราวกับผักปลา มีหรือชายหนุ่มอย่างเขาจะไม่หลงตัว และเห็นเพศสตรีเป็นเพียงเครื่องบำรุงสุขชั่วคราว

    แต่สาวน้อยนางนั้นพลิกมุมมองชีวิตของเขาได้เพียงชั่วระยะเวลาที่พบปะกันเพียงผ่านเผิน อย่างน้อยเขาต้องทบทวนและถามตนเองจริงจัง ว่าสุดยอดของชีวิตควรจะเป็นอย่างไร สะดุดเข้ากับรักแท้ ตกร่องปล่องชิ้น แล้วครองเรือนร่วมกันอย่างผาสุกสวัสดีเหมือนบรรทัดสุดท้ายของนิทานก่อนนอนอย่างนั้นหรือ?

    สลัดความฟุ้งซ่านทิ้ง หยิบรีโมทคอนโทรลจากโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาเล็งไปที่โทรทัศน์แล้วกดปุ่มเปิด ภาพแรกที่เห็นคือข่าวปล้นฆ่ากลางเมือง ชายร่างใหญ่นอนคว่ำหน้าจมกองเลือดกับพื้นบ้านของตัวเอง เกาทัณฑ์ดูอยู่ครึ่งนาทีแล้วเปลี่ยนไปยังช่องทีวีต่างประเทศ เจอข่าวเครื่องบินตกกลางมหาสมุทรแปซิฟิก คนตายไปสองร้อยกว่าๆ สำนักข่าวต่างประเทศประโคมกันเป็นเรื่องใหญ่โต เพราะถือว่าการตายนับร้อยชีวิตพร้อมกันบนเครื่องบินคือโศกนาฏกรรมสะเทือนขวัญระดับโลก

    ชายหนุ่มปรือตาหัวเราะหึหึ โธ่เอ๋ย แค่สองร้อยกว่าเอง คงมีน้อยคนที่ทราบสถิติขององค์กรอนามัยโลก ว่าปีหนึ่งๆมีคนตายตั้ง 56 ล้าน หรือเฉลี่ยกว่าแสนห้าคนหมื่นต่อวัน เมื่อวานแสนห้า วันนี้อีกแสนห้า พรุ่งนี้จะอีกแสนห้า นี่สิโศกนาฏกรรมของแท้ สองร้อยกว่าชีวิตบนเครื่องบินก็แค่ส่วนกระจิ๋วที่จะถูกนำไปนับรวมกับอีกแสนห้าเท่านั้น ทิ้งคนในโลกให้ตื่นเต้นกับข่าวเครื่องบินตกโดยไม่อาจกลับมาร่วมตื่นเต้นและตั้งตาคอยการสืบหาสาเหตุเช่นเดียวกับคนตายกลุ่มอื่นๆ

    เปอร์เซนต์การเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุก็ต่ำเพียงหนึ่งในสิบของสาเหตุการตายทั้งหมด แต่ข่าวการตายด้วยอุบัติเหตุหรือการทำร้าย ข่มขืนฆ่า กลับถูกหยิบยกมานำเสนอเป็นหลัก ด้วยเหตุผลคือการแก่ตายและเป็นโรคตายนั้น ไม่สะเทือนขวัญเท่า ทั้งที่จริงมันก็ตายเหมือนกัน

    ความตายมีค่าเสมอกันสำหรับคนตาย จะพิเศษอยู่บ้างก็สำหรับคนเป็นเท่านั้นกระมัง

    ฉุกคิดย้อนกลับไปถึงเรื่องที่เพิ่งคำนึงเมื่อครู่ ถ้าหากการตายไม่ใช่การดับสูญ ยังมีทางต่ออีกล่ะ เช่นนี้ความตายก็มีค่าไม่เสมอกันแม้สำหรับคนตายด้วยกันแล้วซี?

    ความทรงจำรางเลือนสมัยเด็กผุดขึ้นมา เคยได้ยินว่าพระพุทธองค์ตรัสเกี่ยวกับคติ หรือที่ไปของคนตาย ว่าร่วงลงสู่อบายนั้นเหมือนจำนวนขนบนตัววัว ส่วนที่ขึ้นสูงสู่สวรรค์หรือกลับมาโลกมนุษย์นั้น น้อยเท่าจำนวนเขาของวัว

    ขนหัวลุกขึ้นมาหน่อยๆ เพราะถ้านั่นเป็นเรื่องจริง ก็แปลว่ามีภาพใหญ่ที่น่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้นทุกวันโดยไม่เป็นที่รู้ นั่นคือมนุษย์นับแสนคนต้องไหลลงเหวนรกอย่างต่อเนื่อง ถ้าหากทำเป็นข่าวได้ถึงทางไปอันแท้จริงของคนตายทั้งหมดถ้วนทั่วเพียงวันเดียว ก็คงสะเทือนขวัญ ช็อกโลกให้แข้งขาสั่นยิ่งกว่าทุกข่าวโศกนาฏกรรมทั้งหมดในประวัติศาสตร์ทีเดียว!

    ที่ผ่านมาเขาก็เหมือนคนอื่นๆ คือรับรู้ข่าวคราวการตายอย่างผิวเผิน ถ้าทราบสถิติก็สักแต่เป็นเรื่องของตัวเลขในหน้ากระดาษที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตจริง อาจตื่นเต้นฉาบฉวยแบบเดียวกับที่ทราบว่าเดิมทีเมื่อหลายพันปีก่อน โลกมีประชากรอยู่ราว 150 ล้าน เพิ่งพุ่งขึ้นเป็น 500 ล้านในกลางศตวรรษที่ 17 และกระโดดพรวดอย่างน่าตกใจเป็นหนึ่ง 1,000 ล้านเมื่อสองร้อยปีก่อน แถมอีกร้อยปีต่อมาพุ่งกระฉูดแทบเป็นกราฟตั้งฉากถึง 2,000 ล้าน และในร้อยปีเดียวกันนั้นเอง เหมือนมีใครปล่อยกรงจากแหล่งลี้ลับให้วิญญาณมาครองอัตภาพมนุษย์ทั้งหมดร่วม 6,000 ล้าน!

    ตัวเลขนั้น ต่อให้ใหญ่โตแค่ไหนก็ก่อความยินดียินร้ายขึ้นในใจมนุษย์ไม่ได้ ต่อเมื่อมนุษย์คิดถึงข้อเท็จจริงในแง่มุมต่างๆของตัวเลข นั่นแหละความยินดียินร้ายจึงค่อยครอบงำหรือคุกคามเข้าได้

    เกาทัณฑ์บังเกิดความประหวั่นพรั่นในส่วนลึกเมื่อคำนึงคำนวณเกี่ยวกับมนุษย์จำนวนมหาศาลที่ทยอยไหลลงอบาย คนเราอาจตายในวันใดวันหนึ่งก็ได้ อันนั้นเป็นความจริงแท้ และคนเราถูกกระทบให้คิด ให้ตรอง ให้กล้า ให้กลัว หรือให้เปลี่ยนความเชื่อไปเรื่อยๆได้สารพัดทุกวัน เท่ากับว่าใช้ชีวิตมาถึงความเชื่อแบบไหน ก็จัดว่าเตรียมตัวตายในแบบนั้นนั่นเอง

    เสียแต่คนส่วนใหญ่อาจใช้ชีวิตแบบผิดๆ เรียกว่าเป็นการเตรียมตายแบบไม่พร้อม หรือเตรียมแบบไม่รู้ จึงต้องร่วมเป็นหนึ่งในจำนวนขนวัวที่จะเดินทางไปอบาย

    ชั่วขณะต่อมา เกาทัณฑ์ก็บังเกิดความตระหนักว่าทั้งหมดในหัวเป็นเรื่องของจินตนาการเท่านั้น จินตนาการที่จิตสร้างภาพปลอมๆในอากาศขึ้นมาจากตัวเลขซึ่งเป็นของจริง เพียงเท่านั้นชายหนุ่มก็หัวเราะขบขันให้กับตนเองที่คิดเพ้อเป็นตุเป็นตะอย่างไร้สาระไปได้

    เปลี่ยนไปอีกช่องที่มีภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดฉายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง หนังที่ฉายเป็นเรื่องของเด็กสาวหน้าตาบริสุทธิ์ไร้เดียงสาผู้มีชีวิตผันผวนเข้ามาพัวพันกับอันธพาล ฉายมาได้ถึงกลางเรื่องแล้ว เป็นฉากประเภทสูตรสำเร็จที่พระเอกบุกรังผู้ร้ายเพื่อช่วงชิงนางเอกกลับคืนสู่อ้อมอกพ่อแม่พี่น้อง เกาทัณฑ์ยิ้มหยัน โลกนี้มีสักกี่คนที่คิดว่าตัวเองเป็นพระเอก พยายามกลับเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี แต่ละคนทำเพื่อความอยู่รอด ใช้ศักยภาพเพื่อสนองความอยาก ความต้องการเฉพาะหน้าของตัวเองกันทั้งนั้น

    เหม่อมองจอแก้วแล้วสะดุดหูสะดุดตา เมื่อยินนางเอกเรียกชื่อพระเอกเสียงหลง ช่วยไม่ได้ที่มันสะกิดแผลเขา ให้ใจประหวัดถึงเสียงร้องยินดีของหลานสาวปู่ ที่ขานเรียกหนุ่มน้อยผู้ทะเล่อทะล่ามาขัดจังหวะเขา ราวกับหมอนั่นเป็นกรรมการตีระฆังพักยกให้หล่อนปลีกตัวจากบุคคลอันไม่พึงประสงค์

    ทั้งภาพและเสียงยังบาดเข้าไปทุกอณูสำนึกจนลมหายใจล่าสุด ไหนจะรอยยิ้มโล่งอกเมื่อเห็นเขาลาผละขึ้นเรือนอีกล่ะ ช่างน่าคับแค้นขนาดไหน ความเป็นชายที่พร้อมไปทุกสิ่งทำให้เกาทัณฑ์ไม่เคยเจออะไรอย่างนี้มาก่อน ยิ่งคิดยิ่งเดือดปุดจนร่ำๆนึกอยากเป็นโจรร้าย วางแผนฉุดคร่ามาขยี้ขยำให้สาแก่ใจ รับรองครั้งเดียวเท่านั้นจะเอาให้อ่อนเปียกลงกอดขาเขาแน่นทีเดียว เขาทำได้แน่อยู่แล้ว

    กำหมัดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความมันเขี้ยว การอยู่คนเดียวตามลำพังโดยมีหนังยั่วยุปลุกเร้าสัญชาตญาณเถื่อนเยี่ยงนี้ ก่อความคิดชั่วร้ายขึ้นมาโลดแล่นชะงัดนัก ผู้ร้ายที่แสดงบทฉุดคร่านั้น บางทีทำให้คนดูสะใจและส่งเสียงเชียร์ในส่วนลึกเสียยิ่งกว่าพระเอกที่เข้าไปปลดพันธนาการจากข้อมือข้อเท้านางเอกเสียอีก คนเราไม่สนใจหรอกว่าใครคือผู้ร้าย ใครคือพระเอก สนแต่สิ่งที่เห็นแล้วเร่งเร้าสัญชาตญาณดิบเท่านั้นแหละ

    ความคิดด้านมืดดำเนินต่อเนื่องไปเป็นฉากๆอยู่พัก ก็เกิดคำเด่นขึ้นมาในหัว

    ผู้ร้าย...

    ชายหนุ่มหัวเราะหึๆ สมัยนี้คำว่าผู้ร้ายหรือวายร้ายกวนเมืองกลายเป็นคำเรียกเท่ๆไปแล้วด้วยซ้ำ วัยรุ่นวัยคะนองหลายคนใส่เสื้อกางเกงรูปกะโหลกกะลาตาปลิ้นลิ้นแลบ แสดงความฝักใฝ่ในบรรยากาศผีห่าซาตานกันให้เกลื่อน

    ไม่เคยมีสถานการณ์คับขันบีบคั้นให้เขาสำแดงแปลงกายเป็นวีรบุรุษ แบบเหาะไปช่วยสาวออกมาจากตึกไฟไหม้ หรือจับเหล่าร้ายมัดรวมเหมือนหมูรอตำรวจมารับไปนอนซังเต ถ้าอย่างประเภทฉวยลูกหมาให้รอดจากการโดนรถทับอย่างหวุดหวิดนี่เคยมาบ้างนิดหน่อย หรือเห็นยายแก่เดินโต๋เต๋จะเป็นลมแล้วช่วยพาส่งบ้านนี่ก็พอมี แต่ล้วนเป็นเรื่องดาษๆที่ใครเขาก็ทำกันทั้งโลก หากละเลยเฉยเมยต่างหาก ถึงจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนใจดำไป

    สรุปแล้วชั่วชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีโอกาสเป็นพระเอกใหญ่ แต่วันนี้ร่ำๆจะกลายเป็นวายร้ายตัวเอ้ คิดฉุดคร่า ‘นางเอก’ มาสนองสันดานเถื่อนเสียแล้ว

    เกาทัณฑ์ขบริมฝีปาก ใจภาคหนึ่งกระซิบตนเองด้วยกระแสกุศลประหลาด ว่าหากเขาจะได้หล่อน ต้องไม่ใช่ด้วยวิถีทางโสโครกของยักษ์มาร แต่ด้วยวิถีทางอันสะอาดของมนุษย์ดีๆคนหนึ่ง ตลอดมาไม่เคยรู้สึกละเอียดอ่อนกับผู้หญิงคนไหนเท่านี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็อยากรักษาไว้ เพราะถ้าทำลายแล้ว ก็ไม่ทราบว่าชั่วชีวิตที่เหลือจะยังมีโอกาสพบเจอหัวใจตนเองอีกหรือเปล่า

    กดสวิทช์ปิดทีวี นอนปิดตาฟังเสียงลมหายใจตนเองกลางห้องนอนฉ่ำเย็นสงบเงียบ เหมือนถูกทิ้งไว้คนเดียวในโลก เหลือแต่เขาผู้มีใจกระสับกระส่ายสับสนนอนนิ่งไร้ประโยชน์ตามลำพัง อัดควันบุหรี่เข้าปอดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนลืมตาลุกขึ้นเดินย่ำพรมนุ่มไปขยี้ก้นกรองที่เหลือกับจานรอง

    เดินไปเดินมา ความคิดกระโดดไปจับที่การสนทนาระหว่างเขากับปู่ชนะ ชักนึกขัดอกขัดใจที่ต้องเอาแต่ยอมรับคำพูดลุ่มลึกของท่าน ชนิดที่ต้องกลับมานอนก่ายหน้าผาก สมองอึงอลไปด้วยเครื่องหมายคำถาม เขาอยากผูกมัดความเชื่อแบบเก่าๆเอาไว้ ถ้าถูกสั่นคลอนไป ระบบความคิดคงระส่ำระสายอีกนาน

    คงต้องตั้งอกตั้งใจศึกษาและวินิจฉัยประเด็นหลักทางศาสนาให้แยบคายแล้วกระมัง เขาเชื่อล่ะว่าพุทธศาสนาพูดถึงเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ แต่ปัจจุบันก็มีเทคนิควิธีร้อยแปดพันเก้าเอาไว้ดับทุกข์ ตั้งแต่ของดีราคาถูกไปจนถึงของหรูราคาแพง ทั้งวิธีอันเป็นธรรมชาติ และทั้งเทคโนโลยีแสงเสียงชั้นสูงที่ปู่คงไม่เคยรู้จัก

    ทราบดีว่าความเชื่อทางศาสนาสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตใครต่อใครได้หลายคน ตรงนั้นแหละที่เขาอยากจับเป็นประเด็น เรื่องทุกข์และการดับทุกข์ขอให้ยกไว้เสีย เพราะเป็นเรื่องที่ใครๆก็พูดขึ้นมาเป็นบทตั้งได้อยู่แล้ว วิธีการหรือกลยุทธ์ในการดับทุกข์ต่างหาก ที่น่าวิเคราะห์ว่ามีความเป็นไปได้สูงหรือต่ำเพียงใด

    ใจที่มีพื้นเป็นนักวิทยาศาสตร์ขนานแท้ ทำให้เกาทัณฑ์ปักใจเชื่ออยู่อย่างหนึ่ง คือคำพูดของคนโบราณผิดได้เสมอ ต่อให้เป็นปราชญ์ผู้ชาญฉลาดล้ำลึกเพียงใดก็ตาม เครื่องไม้เครื่องมือและระบบวิธีหาคำตอบ หาความจริงยังล้าสมัย เช่นที่สมัยหนึ่งอริสโตเติลแทบจะเป็นศูนย์กลางการอ้างอิงความรู้และความเชื่อ ยังเคยปล่อยไก่สรุปง่ายๆว่าของหนักย่อมตกถึงพื้นก่อนของเบา ที่ด่วนสรุปก็เพียงเพราะเห็นของแข็งร่วงลงพื้นเร็วกว่าขนนก ยังไม่ได้ทดลองให้เห็นจริงอย่างกาลิเลโอเลยว่าแม้ของแข็งน้ำหนักต่างกันมากก็ตกถึงพื้นพร้อมกันได้ ที่ขนนกตกลงมาช้าก็เพราะเบาเสียจนถูกแรงลมต้าน ถ่วงเวลาเอาไว้ต่างหาก

    เขาอยากมองให้ออก อ่านให้ขาดด้วยมันสมองของคนยุคใหม่ ว่ารายละเอียดต่างๆในเนื้อหาพระธรรมวินัยนั้น ตรงไหนบ้างที่ขัดกับความจริง ชนิดที่ลองชี้ให้ปู่เห็นแล้ว จะได้ทราบว่าความเชื่อของปู่ อาจมีจุดด่างพร้อยอยู่ และเมื่อมีจุดด่างพร้อย ก็แปลว่ามรดกทางศาสนาน่าจะปรับประยุกต์ไปตามยุคสมัย เช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์ยอมรับทฤษฎีใหม่ที่ค้านทฤษฎีเก่าอย่างเต็มอกเต็มใจ ถ้าพิสูจน์กันเจ๋งๆได้ว่า ‘ใช่ยิ่งกว่าเดิม’

    มาหยุดยืนตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองดูสารรูปตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ เห็นชายวัยเบญจเพส หนวดเคราเขียวครึ้ม หัวหูยุ่งเหยิงอย่างคนนอนดิ้น อยู่ในชุดเสื้อกางเกงแพรยับยู่ยี่ ดวงตาที่เคยสดใสและแรงด้วยรังสีทรงภูมิดูแห้งๆชอบกล ไม่ชอบเงาตัวเองตอนนี้เลย

    เหลือบตามองดูหนังสือธรรมะที่ปู่ยื่นให้ก่อนกลับ มีอยู่สองเล่ม เล่มหนึ่งชื่อ ‘พุทธธรรม’ อีกเล่มหนึ่งเป็นพจนานุกรมพุทธศาสน์

    หรี่ตาลงเล็กน้อย ปู่คงหวังจะให้เขาซาบซึ้งในธรรมะล่ะสิ ฝันไปเถอะ โครงสร้างทางจิตใจของเขามันรับเรื่องไร้รสเผ็ดร้อนทำนองนี้ไม่ไหวหรอก เขายังหนุ่ม ยังชอบสัมผัส ยังโหยหิวความเข้มข้นของชีวิต ยังใจร้อนและมีไฟกับความก้าวหน้าใหม่ๆ ใครล่ะจะทิ้งความสนุกสุดเหวี่ยงแห่งวัยได้ลงคอ คนวัยปู่เหมาะจะใช้เวลาว่างที่เหลือเตรียมทิ้งชีวิตด้วยความคิดและความทรงจำเก่าๆ ส่วนคนที่ยังหนุ่มแน่นอย่างเขาเหมาะกับการใช้เวลาอันมีค่าสร้างชีวิตด้วยน้ำพักน้ำแรงมากกว่า

    แต่นาทีนั้น หนังสือพุทธธรรมถูกมองเป็นอาหารสมองจานใหญ่ หาก ‘วิธีดับทุกข์’ ถูกแสดงไว้อย่างเปิดเผย ถือเป็นสรณะ เป็นหลักปฏิบัติในปัจจุบันของปู่มีจุดน่าสนใจให้จับผิด คราวหน้าคงมีประเด็นต่อความยาวได้อีกไกล เขาจะเลิกเป็นฝ่ายฟังข้างเดียวเสียที

    หยิบหนังสือปกแข็งขนาดใหญ่ติดมือมานั่งที่โต๊ะทำงาน เปิดไฟโคม วางคัมภีร์อันหนักอึ้งลงบนแผ่นหนังรองพื้น เหลือบดูชื่อผู้เขียนตามนิสัยนักอ่านที่ดี เห็นชื่อพระธรรมปิฎกและมีวงเล็บว่า ‘ประยุทธ์ ปยุตฺโต’ แล้วพลิกเปิดดูเนื้อหาภายใน โดยเริ่มต้นที่หัวข้อทั้งหมดในหน้าสารบัญตามแบบวิธีของนักศึกษายุคใหม่

    เป็นหนังสือที่เหมาะกับคนเก่งวิชาการอย่างเขา ทั้งเล่มเต็มไปด้วยความรัดกุมในการนำเสนอ ทุกขั้นตอนประจุด้วยจุดมุ่งหมายและเนื้อหาสาระตามหัวข้อกำหนดเป๊ะ กับทั้งมีแหล่งที่มาอ้างอิงละเอียดยิบแทบทุกประโยค ทุกย่อหน้า เรียกว่ามั่นใจได้ว่าเป็นการกรองเอาพระไตรปิฎกมาเป็นประเด็นธรรมอันครอบคลุมความใฝ่รู้ของผู้ศึกษาครบถ้วน

    เขาอ่านได้อย่างง่ายดายด้วยบรรยากาศการทำงานของสมองแบบเดียวกับอ่านตำราใหญ่ๆในรั้วมหาวิทยาลัย ได้เข้าใจประเด็นหลักของพระพุทธศาสนาทีละจุด เริ่มจากการมองชีวิตเบื้องต้นในแง่ต่างๆ ตลอดจนกระทั่งคำแนะนำเกี่ยวกับชีวิตในอุดมคติเชิงพุทธปรัชญา ได้ทบทวนศัพท์แสงกับรายละเอียดที่หลงลืมไปหมดแล้ว อย่างเช่นขันธ์ 5 อายตนะ 6 ไตรลักษณ์ ปฏิจจสมุปปบาท กรรม นิพพาน มัชฌิมาปฏิปทา และสรุปด้วยอริยสัจ 4

    เกาทัณฑ์มารวมความเข้าใจเชิงประเด็นสัมพันธ์ว่าเนื้อหาหลักแห่งพุทธศาสนากล่าวถึงการประกอบขึ้นเป็นตัวตนของสิ่งมีชีวิตหนึ่งๆด้วยขันธ์ห้า มีกรรมวิบากเป็นปัจจัยปรุงแต่ง มองความต่อเนื่องของสายชีวิตได้แบบปฏิจจสมุปบาท มีผลลัพธ์เป็นทุกข์ จะดับทุกข์ได้ก็ด้วยมรรคแปด

    เขาพบความเชื่อมโยงมากมายที่ค่อนข้างซับซ้อนระหว่างจุดต่างๆ มีศัพท์เฉพาะหลากหลายที่บางครั้งพูดถึงสิ่งเดียวกัน แต่เป็นคนละนัย ทว่าด้วยความปราดเปรื่องและวิธีอ่านอันแยบคายมีขั้นตอน กระโดดผ่านเป็น ปะติดปะต่อเป็น ตั้งคำถามดักรอคำตอบเป็น ผนวกเข้ากับความสามารถอ่านเร็วและอ่านทนยิ่งยวด อีกทั้งมีพจนานุกรมพุทธศาสน์เป็นคู่มือช่วย การสร้างสะพานเชื่อมความรู้ให้เป็นโครงข่ายใยมหึมาจึงเกิดขึ้นในเวลาอันลัดสั้น เพียงเจ็ดชั่วโมงเศษๆจากเช้าถึงบ่าย เกาทัณฑ์ก็คิดว่าเขาได้ข้อมูลเกี่ยวกับพุทธศาสน์ไว้ในหัวเพียบแปล้ตามต้องการ ถึงแม้จะไม่ละเอียดจบกระบวนความทั้งหมดของหนังสือ ก็พอพูดได้ว่าบัดนี้กระบะสมองบรรทุกสาระอันเป็นแก่นสำคัญที่เอาไว้สนทนากับปู่ได้อย่างถึงรสไหวแล้ว

    ด้วยสายตาของคนช่างจับผิดทำให้ชายหนุ่ม ‘ไม่รับ’ เนื้อธรรมไปทำความสว่างให้จิตใจเท่าไหร่ ข้อธรรมมากมายเป็นเรื่องเกินวิสัยพิสูจน์ นับแต่กรรมวิบาก ปฏิจจสมุปบาท หรือกระทั่งเป้าหมายสูงสุดเช่นพระนิพพาน ทว่าก็มีข้อธรรมน่าสนใจที่ทำให้เห็นมุมมองอันน่าทึ่งของปราชญ์ผู้ปรากฏตัวอยู่เมื่อสองพันกว่าปีก่อน เช่นขันธ์ห้า คือการแยกแยะมนุษย์ออกเป็นองค์ประกอบต่างๆ เพื่อง่ายต่อการศึกษาและเข้าถึงความจริงในแต่ละองค์ประกอบ อันนี้เป็นหลักการเดียวกันกับนักวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบัน

    เช่นทางจิตวิทยาก็แยกแยะมนุษย์ออกโดยนัยเดียวกับสิ่งที่เรียก ‘ขันธ์ห้า’ กล่าวคือเลิกมองมนุษย์เป็นบุคคล เพราะหากมองเช่นนั้นจะมีการผูกโยงเข้ากับตัวตนอันน่ารักหรือน่าชัง ทำให้การวิเคราะห์วิจัยเป็นไปโดยอคติหรือลำเอียง ทางที่ดีคือแยกออกเป็นส่วนๆเสีย ได้แก่ระบบประสาททางกาย ความรู้สึกรู้สา ความกำหนดจดจำ ความมีเจตจำนง และความมีสำนึกรู้ น่าแปลกที่สอดคล้องกับเกณฑ์การแยกแยะของพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง

    สิ่งที่สรุปไว้ใกล้เคียงกันอีกอย่างคือระบบประสาท อันเป็นส่วนของกายนั้น มีส่วนสัมพันธ์ตรงไปตรงมากับจิตใจ พูดให้ฟังง่ายกว่านั้นคือทางประสาทวิทยา ‘เชื่อ’ ว่าจิตใจก็คือกิจกรรมของเครือข่ายประสาทอันสลับซับซ้อนนั่นเอง ทางพุทธศาสนาก็ยอมรับว่าผัสสะดีร้ายทางกายเป็นปัจจัยให้เกิดการเสวยอารมณ์ เมื่อเสวยอารมณ์ก็เกิดการหมายรู้ เมื่อหมายรู้ก็เกิดการตรึกนึกต่างๆนานาในอารมณ์นั้นๆ

    อย่างไรก็ตาม เส้นแบ่งแยกอย่างเป็นขั้วตรงข้ามระหว่างจิตวิทยากับพุทธศาสนาก็คือเรื่องของตัวตน ทางจิตวิทยายอมรับว่าผลผลิตอันเกิดจากการผสานงานระหว่างกายใจ อันได้แก่ความรู้สึกในตัวตนนั้นถูกต้อง เป็นเรื่องธรรมดาอย่างที่สุด ในขณะที่พุทธศาสนามองว่า “ความยึดมั่นในตัวตน” เป็นเพียงสิ่งที่เรียก ‘อุปาทานขันธ์ห้า’

    ถ้าจินตนาการว่าคนๆเดียวในยุคสองพันกว่าปีก่อนสามารถคิดได้เท่ากับศาสตร์สมัยใหม่ของตะวันตก กับทั้งล้ำหน้าไปขั้นหนึ่งด้วยมุมมองสรุปรวบยอดที่ว่าความรู้สึกในตัวตนเป็นเพียงอุปาทาน หรือความยึดมั่นผิดๆในของสิ่งที่ปรุงประกอบกัน ก็ต้องนับว่าเป็นแนวคิดที่เกินธรรมดา เหลือเชื่อว่าสามัญมนุษย์สามารถตีโจทย์แตก และจับประเด็นความจริงในชีวิตเพื่อดับทุกข์ได้น่าทึ่งปานนี้

    หากพูดแบบไม่อ้อมค้อม เขาเห็นทฤษฎีทางพุทธศาสนาทั้งหมดเป็นผลงานของสมองปราชญ์โบราณขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยผู้ฉลาดคิดเกี่ยวกับกลไกการทำงานของจิตใจสักกลุ่ม ตั้งไอเดียเพื่อบรรเทาทุกข์แก่คนทั้งหลาย จากนั้นก็มีการสืบทอดมรดกทางปัญญา ค่อยๆพัฒนาทฤษฎีต่างๆขึ้นหลายยุคหลายสมัยจนดูสมจริงสมจังและมีน้ำหนักเหตุผลน่าเชื่อถือจนถึงที่สุด ชนิดมีหลักฐานความรู้ประกอบอุดช่องโหว่จนหมดสิ้น ทำนองเดียวกับที่นักวิทยาศาสตร์สืบทอดความก้าวหน้าจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่งนั่นเอง

    ครั้งเมื่อศึกษาพุทธศาสนาในโรงเรียน ซึ่งเขาให้ความสนใจอ่านแบบท่องจำก่อนสอบ ความรู้เชิงจริยธรรมที่ปะปนมากับองค์ความรู้สำคัญของพุทธทำให้มองข้ามความน่าสนใจเกี่ยวกับแก่นศาสนาไป เพิ่งมาเริ่มอ่านด้วยสายตาช่างคิดช่างวิเคราะห์ก็คราวนี้

    สัจจะในมุมมองของปราชญ์และนักวิทยาศาสตร์ยุคใกล้กับพระพุทธองค์คือการมองไปรอบๆ แล้วพูดอย่างไรก็ได้ให้ธรรมชาติเข้ามาอยู่ในการรับรู้ ด้วยลักษณะเป็นเหตุเป็นผล ทว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้จะฉีกแนวออกไป กล่าวโดยย่นย่อคือความจริงสูงสุดจะสืบสาวได้จากกายตนเองและใจตนเอง โดยตั้งสติรู้เข้าไปตรงๆ ตั้งสติพิจารณาเข้าไปตามจริง กระทั่งลุถึงเป้าหมายสูงสุดในเชิงปฏิบัติ อันได้แก่ ‘เห็น’ เหตุแห่งทุกข์คือเชื้อกิเลส และมีความสามารถทางจิตที่จะล้างเชื้อกิเลสอย่างหมดจด

    พูดให้ง่ายคือพระพุทธเจ้าและพระสาวกจะพึงพอใจกับคำตอบที่เป็นตัวสภาวะ เมื่อไหร่จิตถึงสภาวะที่ไม่ทำตัวเป็นเชื้อกิเลส เมื่อนั้นถือว่าจบปริญญาเอกทางพุทธศาสนา ไม่มีอะไรต้องทำ ไม่มีอะไรต้องขวนขวาย ไม่มีอะไรเป็นคำถามในประเด็นธรรมชาติว่าด้วยทุกข์และการดับทุกข์อีกเลย

    ในสายตาของคนเริ่มศึกษาผู้มีความสุขอย่างเต็มเปี่ยมกับชีวิต ชีวิตปรากฏเป็นความกระจ่างแจ้งในวิถีทางแห่งความสุขโดยตัวเองเช่นนี้ พอรู้เป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา ว่าราคะ โทสะ โมหะเป็นเหตุแห่งทุกข์ที่ต้องล้างผลาญให้หมดจดจากใจ ก็ต้องนึกค้านเป็นธรรมดา ในเมื่อปักใจเชื่อแนบแน่นอยู่ ว่าสีสันสนุกสนานกับกามคุณทั้งปวงเป็นของน่ายินดี มีเหตุผลเพียงพออย่างไรถึงจะห้ามมันเล่า

    เมื่อวานเขานึกท้อและหดหู่จากการเมินของผู้หญิงคนหนึ่ง ยอมรับว่าทุกข์หนักและเจ็บลึกจนห่อเหี่ยวไปหมด แต่นั่นก็คือรสชาติอีกแบบ เป็นสภาวะทางใจอีกชนิดหนึ่ง ที่บัดนี้ถูกแทนแล้วด้วยกำลังสมาธิแรงๆอันเกิดแต่การอ่านตำราอย่างต่อเนื่องยาวนาน

    หากการดับทุกข์ถาวรคือการปลิดสุขทุกข์ทิ้งไปเสียทั้งยวง แม้ทำได้จริง แต่แน่หรือว่าเป็นคุณค่าสูงสุดที่ควรไขว่คว้า รสชาติของการผิดหวัง แล้วกลับลำตั้งความหวังใหม่ด้วยกำลังกายกำลังใจ มิใช่สีสันของการมีชีวิตมนุษย์หรอกหรือ?

    จุดแตกหักอยู่ที่ตรงนี้ หากเชื่อว่าคนเราเกิดหนเดียวตายหนเดียว ก็ควรสรุปว่าปล่อยให้จิตใจเสพความเป็นชีวิตอย่างครบเครื่องน่ะดีแล้ว ควรแล้ว เพราะนั่นคือวิถีทางของธรรมชาติ แต่หากเชื่อว่ายังมีการเกิดตายแล้วๆเล่าๆ อย่างนั้นก็ต้องถามหา ‘ตัวเลือกที่ดีที่สุด’ กันใหม่

    ด้วยความเป็นมนุษย์ในยุคบริโภคข้อมูลข่าวสารอย่างเขา ควรใช้เกณฑ์อย่างไรในการเลือกเชื่อ ระหว่างมีหรือไม่มีชาติก่อนชาติหน้า?

    ทางแพทย์ทราบแล้วว่าศูนย์รวมประสาทใหญ่อยู่ที่สมอง เพราะฉะนั้นสมองก็คือจิตใจ หากจิตใจเป็นอื่นจากสมอง และสามารถสืบค้นจนเจอร่องรอยของจิตใจด้วยวิทยาการยุคนี้ชัดๆ ความคลางแคลงทั้งหลายคงปลาสนาการไปโดยง่าย

    แต่นี่อย่างไรเล่า เมื่อครั้งศึกษาอยู่ต่างแดน เขาเคยเข้าร่วมฟังสัมมนาว่าด้วยเรื่องชาติภพในเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีข้อมูลใหม่ๆลึกๆเกี่ยวกับผลการวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างระบบประสาทและสิ่งที่เรียกว่า ‘จิตใจ’ และแสดงผลการวิจัยอย่างเป็นกลาง ปราศจากอคติและลำเอียง ที่ผลการค้นคว้าจริงจังให้ผลโน้มเอียงไปทางปฏิเสธความเชื่อเก่าแก่ทั้งสิ้น

    เป็นต้นว่าเราอาจลบแทรกข้อมูลความจำหรือมโนภาพในมนุษย์ได้จริงด้วยวิธีจี้ไฟฟ้าลงไปบนจุดต่างๆของสมอง หรือเด็ดกว่านั้นคือการค้นพบเค้าเงาวิธียักย้ายถ่ายเทข้อมูลความจำในเยื่อประสาทสมองของคนหนึ่งไปให้อีกคนหนึ่ง ซึ่งนั่นหมายความว่าวันหนึ่งวิทยาศาสตร์อาจสร้างหรือปรับแต่ง ‘ตัวตน’ ในมนุษย์อย่างไรก็ได้ ขอเพียงมีเทคโนโลยีสูงพอจะจัดการกับระบบสมองให้ครบวงจร

    ถ้าตัวตนเป็นสิ่งสร้างได้ ทำลายได้ ปลูกสำนึกใหม่ได้ ก็แปลว่าภพชาติ กรรมวิบาก นรกสวรรค์ เรื่องราวบรรดามีทั้งหลายในพระคัมภีร์ศาสนาต่างๆ ล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น

    เมื่อข้อมูลหลายชิ้นประกอบเข้าด้วยกันเป็นภาพใหญ่ โดยรวมจึงต้องสรุป ‘แบบวิทยาศาสตร์’ ว่าถึงวันนี้ เทคโนโลยีบอกเราว่ามนุษย์นั้น...

    เกิดหนเดียว ตายหนเดียว

    สมองหยุดทำงานเมื่อไหร่ จิตใจก็ดับลงเมื่อนั้น

    นับจากวันที่เข้าฟังสัมมนา เกาทัณฑ์ก็สบายใจมาตลอด ปักใจเชื่อว่าโลกหน้าเป็นเรื่องหลอกของคนโบราณ ศาสนาเป็นแค่การสอนจริยธรรมให้สังคมมนุษย์สงบสุขร่มเย็น ซึ่งนั่นก็ดี และต้องมีไว้หน่อย แต่เรื่องขู่ประเภทนรกสวรรค์หรือรางวัลเป็นนิพพาน คงถึงเวลาต้องเก็บใส่ลิ้นชักเสียทีแล้ว เพราะวิทยาการเจริญขนาดนี้ ผู้คนมีภูมิคุ้มกันทางปัญญามากพอ เกินกว่าจะหลอกล่ออะไรแล้วเชื่อหมด

    เกาทัณฑ์ทบทวนความรู้และการตัดสินใจเลือกเชื่อมาถึงจุดนั้น ก็พักทานข้าวปลาโดยสั่งจากร้านข้างล่าง พอทานเสร็จ แทนที่จะหันเหความสนใจไปทางอื่น กลับรู้สึกว่าไฟแห่งปัญญาคิดอ่านยังลุกโพลงท่วมหัว จึงเปิดคอมพิวเตอร์เข้าอินเตอร์เน็ต ตระเวนกว้านหาแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับศาสนาที่มีอยู่ดาษดื่น เริ่มสนุกกับการเจาะและจับประเด็นทางศาสนศาสตร์ ไม่เฉพาะที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธ แต่ยังรวมถึงศาสนาและปรัชญาอื่นๆ นึกพอใจที่มีบางแหล่งทำวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบไว้แล้วเป็นแนวทาง

    ยิ่งค้นยิ่งสนุก ปัจจุบันมีคนฉลาดคิด หรือกระทั่งนักปฏิบัติในไทยมากมายพยายามรวมศาสนาทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียว เขาพบการพยายามบรรยายหรือพรรณนาสภาวะวิเศษเหนือชั้นที่ประจักษ์ได้ด้วยการฝึกจิตสารพัดรูปแบบ แต่ละคนบอกว่าของตนถูก เป็นของแท้ทั้งนั้น ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เขามั่นใจว่า ‘ความจริงสูงสุด’ ไม่ใช่อะไรอื่น

    มุมมองของมนุษย์นั่นเอง...

    เกาทัณฑ์รู้สึกเหมือนตัวเองไปเที่ยวป่า เขาไม่อยู่ป่าหรอก แต่จะชมให้เพลินทั่วๆเสียหน่อย เชื่อใจตนเองว่าไม่มีวันหลงเด็ดขาด คนจับทิศเก่งแบบเขา แค่เข้ามาเอาความรู้จากป่าเท่านั้น

    

    แรงจูงใจให้เดินทางมาวัดทางนฤพานอีกครั้งคืออภินิหารเกินสามัญมนุษย์ของหลวงตาแขวนโดยแท้ เกาทัณฑ์เคยเห็นจากทางทีวีและนิตยสารประเภทท้าพิสูจน์เรื่องพิสดารมาบ้าง แต่ไม่เคยประจักษ์ตาตนเองอย่างคราวก่อน เขาพอจะรับได้เกี่ยวกับเรื่องอำนาจเหนือธรรมดา เพราะตนก็เกี่ยวข้องอยู่กับอภินิหารเหนือธรรมดาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ผิดแต่มิใช่อภินิหารทางพลังจิต แต่เป็นอภินิหารทางพลังสมองอันเต็มไปด้วยระบบตรรกะที่ผนวกเข้ากับจินตนาการของผู้ผ่านการศึกษาในซีกโลกสว่างสุด

    ภาพชีวิตคงถูกแต้มเพิ่มขึ้นมาอีกสี หากหลวงตาแขวนจะสอนวิชาให้แก่เขา มัคคุเทศก์สาวผู้นำเขามาพบท่านเคยบอกว่าหลวงตาแขวนแสดงฤทธิ์ให้ดูนั้น น่าจะเพราะท่านเมตตา ถึงแม้จะไม่เข้าใจกระจ่าง แต่เกาทัณฑ์ก็เชื่อว่าหญิงสาวคงรู้อะไรลึกๆเกี่ยวกับเจตนาของพระสงฆ์องค์เจ้าเป็นแน่ ในเมื่อหล่อนคลุกคลีใกล้ชิดมาแต่เด็ก ดังนั้นถ้าเขาจะมาขอความเมตตาจากท่านคราวนี้ ก็มีเหตุผลควรเชื่อว่าน่าจะสมหวัง

    ชายหนุ่มขึ้นไปบนกุฏิเมื่อท่านฉันเช้าเสร็จพอดี เห็นพระลูกวัดและเด็กวัดกำลังจัดแจงเก็บกวาดสำรับเครื่องถวายอยู่ ตัวหลวงตาแขวนกำลังยืนบ้วนปากที่ราวชานกุฏิ เกาทัณฑ์คุกเข่ากราบโดยไม่เคอะเขินเมื่อท่านกลับมานั่งประจำที่ซึ่งใช้ต้อนรับญาติโยม พอท่านเห็นเขาก็ยิ้มให้

    “ว่าไงพ่อหนุ่ม?”

    “ผมอยากมาขอเรียนสมาธิกรรมฐานกับหลวงตาครับ”

    โยมหนุ่มเข้าหาจุดประสงค์อย่างไม่อ้อมค้อมตามนิสัย ขณะประกาศความปรารถนาก็ทรงกายตรง กระพุ่มมือไหว้นอบน้อม ดวงตามีประกายมุ่งมั่นจัดจ้า คล้ายบอกอยู่ในทีว่าท่านจะสั่งบุกน้ำลุยไฟอย่างไรก็ยอมทั้งสิ้น ขอเพียงแลกกับวิชาความรู้เท่านั้น

    หลวงตาแขวนยิ้มกว้างกว่าเดิม ลุกขึ้นกวักมือเรียกเขา

    “ตามมา”

    ทุกสิ่งง่ายดายจนเกาทัณฑ์งง จำได้จากหนังสือบางเล่มที่ขวนขวายซื้อมาตลอดอาทิตย์ว่าเกจิอาจารย์ที่เก่งกาจนั้นรับใครเป็นลูกศิษย์ลูกหายาก ต้องมีพิธีรีตองและการพิสูจน์ใจกันอย่างเต็มกำลังเสียก่อน แต่นี่ดูสะดวกโยธินผิดสังเกต

    หลวงตาลุกนำ แต่ก่อนออกเดินก็หันไปสั่งความกับพระที่อยู่ใกล้สองสามคำ จับความได้ว่าจะยังไม่รับแขก ขอให้บอกปัดญาติโยมจนกว่าท่านจะออกจากห้อง นั่นยิ่งทำให้เกาทัณฑ์แอบฉีกยิ้มอยู่ในใจ นึกกระหยิ่มว่าตนนี่คงบุญหนักศักดิ์ใหญ่เป็นแน่แท้ หลวงตาท่านจึงให้ความเมตตาเป็นพิเศษเห็นปานนี้

    พอเกิดสติว่าอัตตาโตไปหน่อยก็รีบสะกดใจ เท่าที่ทราบ พระป่าพระธุดงค์ท่านไม่โปรดคนทะนงหลงตัวนัก เพราะอัตตาหยาบเป็นที่ระคายเคืองกับจิตอันละเอียดสุขุมของพวกท่าน

    ตามหลวงตาเข้าไปในห้องที่แบ่งไว้สำหรับจำวัด ไม่เห็นอะไรอื่นนอกจากมุ้งที่ตลบไว้ หมอนอีกใบพิงฝา ย่ามพระเก่าๆ และพระพุทธรูปบนโต๊ะเล็ก ทั้งห้องสะอาดเรี่ยม ปราศจากสิ่งของอื่นใดสักชิ้น ไม่มีแม้แต่พัดลมสักตัว

    ทว่าห้องเล็กนั้นก็ให้สัมผัสเยือกเย็นขรึมขลังอย่างน่าพิศวง เกาทัณฑ์งงๆเคว้งๆคล้ายดิ่งสู่น้ำลึกเงียบงันก่อนจะทันตั้งตัว หน้าต่างไม้บานกว้างเปิดออกเต็มที่ ทำให้เกิดภาพโดยรวมเป็นความสว่าง โปร่งสบาย ปราศจากพันธะผูกพัน คล้ายลานพื้นดินใต้ร่มไม้ที่เชิญคนผ่านทางมาพักนอนชั่วคราวแล้วจากไปไม่ต้องอาลัยกัน ท่านคงปฏิบัติตามแนวสันโดษ ทำตัวเหมือนอยู่กลางป่าลึกตามลำพัง แม้จะอยู่ท่ามกลางชุมชนสะดวกสบายเช่นนี้

    หลวงตาแขวนสั่งให้เขาปิดประตูและลงนั่งกลางพื้นห้อง

    “เอ็งเป็นหนุ่มสมัยใหม่” ท่านเริ่มเมื่อต่างนั่งเข้าที่เรียบร้อย “ต้องเริ่มด้วยความเชื่อของตัวเอง”

    เกาทัณฑ์ตั้งใจฟังอย่างสงบ สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้เกิดความเป็นกันเองใกล้ชิดท่านมากขึ้น ยามนี้เขาเห็นท่านมีความขลังน่ายำเกรงอย่างประหลาด ดูต่างจากคนแก่ธรรมดาๆอย่างเมื่อตอนพบครั้งแรกชนิดหลังมือเป็นหน้ามือ ต่อภายหลังเขาจึงทราบว่าผู้ทรงฤทธิ์อย่างแท้จริงนั้น อาจกำหนดจิตให้มีความนิ่มนวล ก่อบรรยากาศเยือกเย็นสบายกับผู้อยู่ใกล้ หรือจะกำหนดให้เข้มข้นคมกริบเพื่อสยบมานะของลูกศิษย์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับวาระโอกาสอันเหมาะควร

    หลวงตากายสิทธิ์เอี้ยวตัวไปล้วงกระดาษดินสอจากย่ามมายื่นส่งให้เขา

    “เขียนเลขหนึ่งถึงเก้าให้ดูซิ เอาตัวเล็กหน่อย ติดกันพอดีๆ แล้วก็ให้เสร็จเร็วที่สุด ห้ามหวัดแบบไก่เขี่ยนะ”

    เกาทัณฑ์ทำใจเหมือนหุ่นยนตร์ที่ถูกกดปุ่มสั่ง เจ้าของสั่งอย่างไรก็ทำ ตัดความสงสัยไม่ให้เหลือในใจแม้น้อย เขาปฏิบัติตามคำท่านทันที และทำได้อย่างครบถ้วน นั่นคือเร็ว ไม่หวัด ขนาดเล็กเท่ากันและมีช่องไฟห่างสม่ำเสมอ เสร็จแล้วก็เงยหน้ามองท่านอย่างจะรอคำสั่งต่อไป

    “สังเกตความรู้สึกตอนนี้ไว้นะ เอ้า ลองใหม่อีกที ทำเหมือนเดิม แต่ขึ้นบรรทัดใหม่แล้วเรียงเลขให้ตรงกันด้วย”

    ชายหนุ่มทำตาม เขาทำได้เร็วกว่าเดิมเล็กน้อย โดยพยายามให้ตัวเลขต่างกันน้อยที่สุด เพราะนึกเดาว่าท่านอาจมุ่งเอาเรื่องของความแตกต่าง

    “เอาอีกสามหน”

    เขาปฏิบัติตามคำสั่งและสังเกตความรู้สึกในใจทุกระยะ เริ่มถึงบางอ้อเมื่อเห็นภายในสงบลงเรื่อยๆ กับทั้งเข้าใจวิธีเขียนให้เร็วยิ่งกว่าเดิมเนื่องจากทำซ้ำกันหลายหนจนขึ้นใจ

    ปฏิบัติเสร็จสิ้น ก็ได้รับคำสั่งใหม่

    “บวกกันให้ดูซิ”

    ไม่มีปัญหาสำหรับเขาอยู่แล้ว เกาทัณฑ์เห็นทางลัดโดยพลัน ก็แค่เอา 9 คูณ 5 ในตั้งแรก เอา 8 คูณ 5 ในตั้งที่สองแล้วบวกด้วยทด 4 และทำอย่างเดียวกันนั้นอีกเรื่อยๆจนถึงเลขหนึ่งอันเป็นหลักร้อยล้าน ความเฉียบไวของสมองบวกกับสายตาคมเป็นเหยี่ยวทำให้ใช้เวลาเท่ากับที่ต้องออกแรงจรดปากกาเขียนผลลัพธ์นั่นเอง

    เกินจะห้ามความคิด ถ้าท่านจะทดสอบเชาว์ไวไหวพริบเขาด้วยวิธีนี้ล่ะก็ คงยากจะทราบอย่างแท้จริงว่าเขามีสติปัญญาทางคณิตศาสตร์ล้ำลึกปานใด ความเป็นคนคลั่งไคล้ตัวเลข ชื่นชอบเรขาคณิต สถิติประยุกต์ และทฤษฎีคณิตศาสตร์ชั้นสูงทุกแบบมานมนาน ส่งผลให้เกิดความแตกฉานและมีสมองดุจเครื่องคำนวณชั้นเลิศ จึงเหมือนถูกกดลงต่ำกว่าภูมิรู้และความสามารถที่แท้จริง ระดับเขาจะทำปริญญาเอกทางคณิตศาสตร์ด้วยการเอาตัวเข้าไปทุ่มเทกับการทำทฤษฎียากๆที่แสนท้าทายขุมพลังสมองของมนุษย์ยังไหว แต่นี่ให้ต้องมานั่งบวกเลขระดับประถม เฮ้อ…

    “ดูไว้นะ” ท่านว่า “ลองสังเกตดูการควบคุมข้อมือของตัวเองแล้วเอ็งจะเห็นความอ่อนหยุ่นไม่กำเกร็งเหมาะกับการใช้งาน ที่เป็นอย่างนั้นได้เพราะจิตเอ็งเขาฉลาดที่จะควบคุมเครื่องมือของเขา ยิ่งเอ็งตั้งใจจดจ่ออยู่กับตัวเลขหนึ่งถึงเก้ามากเท่าไหร่ ทำตากับมือให้กลมกลืนเป็นอันเดียวกับความตั้งใจนานแค่ไหน ผลงานก็ออกมาตามข้อจำกัดที่ข้าให้ไว้ได้ครบ และก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ”

    บทวิเคราะห์ของหลวงตาท่านเป็นที่ถูกใจเขาพอควร อย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกว่าท่านยืนอยู่บนระนาบการใช้ความคิดแบบเดียวกับเขา ไม่ใช่พูดกันคนละภาษา

    “ทางพุทธศาสนาเรียกตัวเลขในงานของเอ็งครั้งนี้ว่า 'อารมณ์' หมายถึงเครื่องยึดหน่วงจิต หรือเครื่องตรึงจิตให้รู้อยู่ ถ้าจิตยึดอารมณ์ไว้ได้นานๆ จะเป็นอารมณ์ชนิดไหนก็ตาม ผลคือมีธรรมชาติของความตั้งมั่นเป็นสมาธิเกิดขึ้น แต่ต่างกันที่คุณภาพ ความหนักแน่นและความละเอียดสุขุมของดวงสมาธิ เอ็งลองเปรียบเทียบเอาเองนะ ว่าระหว่างใช้มือเขียนเลขมากๆ กับใช้ความคิดบวกเลขมากๆน่ะ อันไหนให้สมาธิมากกว่ากัน”

    เกาทัณฑ์เพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งว่าที่แท้ท่านเพียงต้องการให้ปฐมบทแห่งการฝึกสมาธิ มิใช่การทดสอบเชาว์ไวดังที่ตนนึกเอาเองแต่แรก

    “เอ็งเห็นฤทธิ์ของจิตไหม มันนึกสิ่งไหนสิ่งนั้นก็เกิด คงรู้นะว่าอำนาจการนึกของแต่ละคนผิดแผกแตกต่างกัน แข่งกีฬาแพ้ชนะก็ตรงอำนาจการนึกนี่แหละ นึกเร็วกายก็ไปเร็ว นึกช้ากายก็ไปช้า จิตคนเราเมื่อฝึกถึงจุดๆหนึ่งแล้วก็อาจนึกอะไรได้พิสดารมากมายไม่จำกัด ถึงขั้นที่ ‘ความจริง’ อาจไม่ใช่สิ่งที่เราต้องคอยให้เกิดก่อนแล้วค่อยเห็น แต่อาจ ‘นึก’ อยากเห็นแล้วมันก็เกิด”

    ท่านหยิบกระดาษดินสอไปวางใกล้ตัก พลิกกระดาษไปอีกด้านหนึ่ง ก้มหน้าจรดดินสอเหนือแผ่นกระดาษครู่หนึ่งเหมือนจะรวบรวมสมาธิ แล้วก็ลากมือพรืดไปบนที่ว่างของกระดาษ เกาทัณฑ์เบิกตาแทบปะทุเมื่อเห็นตัวเลขเรียงกันเป็นตับวัดได้คืบหนึ่ง ใช้สายตากะคร่าวๆว่าไม่น่าต่ำกว่าห้าสิบหลัก

    ไม่เชื่อเด็ดขาดว่าใครลากดินสอเหมือนขีดเส้นบรรทัดแล้วปรากฏตัวเลขขึ้นมาได้อย่างนี้ ต่อให้เป็นนักจดชวเลขมือหนึ่งของโลกก็เถอะ

    แต่ในเมื่อเขาเห็นแล้วจะบอกว่าไม่เห็นได้ยังไง

    “จิตเขาทำ” ท่านเงยหน้าขึ้นมาพูด “มือมันทำไม่ได้หรอก”

    แล้วท่านก็ก้มลงขีดเส้นของท่านอีกสิบบรรทัด ล้วนแล้วแต่กลายเป็นตัวเลขสุ่มปราศจากการเรียงลำดับ พอเสร็จก็ผลิตตัวเลขบรรทัดสุดท้ายห่างจากบรรทัดอื่นๆหน่อยหนึ่ง

    “เอาไว้กลับไปถึงบ้านแล้วดูซิว่าข้าบวกถูกไหม ถ้าถูกก็ขอให้รู้ว่าจิตเขาบวก สมองบวกไม่ได้อย่างนี้”

    เกาทัณฑ์พูดอะไรไม่ออก เหมือนเจออัดชายโครงด้วยลูกรักบี้เต็มรัก รับแผ่นกระดาษจากท่านมาพับเก็บใส่กระเป๋าเสื้อด้วยมือที่สั่นเทา ขนลุกเกรียวเป็นระลอกอย่างต่อเนื่อง เคยได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับมนุษย์ที่มีความสามารถบวกลบคูณหารเลขจำนวนมหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว แต่ให้ติดฝุ่นของฝุ่นของหลวงตาแขวนนั้น คงเหลือวิสัย

    “อย่างที่บอกน่ะว่าอารมณ์จิตต่างๆมันให้คุณภาพสมาธิหยาบละเอียดผิดกัน สังเกตไหมว่าตอนแรกเอ็งต้องใช้ทั้งตา ทั้งมือ ทั้งความคิดถึงตัวเลข จิตถูกใช้งานหลายทาง พอสงบก็เลยสงบแบบงั้นๆ แค่ให้รู้สึกว่าดวงตานิ่งขึ้นมานิดหน่อย แต่ขณะที่เอ็งคิดหาทางลัดในการบวกเลขและลงมือบวกในใจ จิตมันผูกอยู่กับตาและความคิดเพียงสองอย่าง และระดับความนึกคิดของงานนี้ก็ต้องการพลังสนับสนุนที่แน่นหนา เพราะภาพตัวเลขในหัวเป็นสิ่งไหวเลือนง่าย ต้องอาศัยใจหนักแน่นอย่างน้อยชั่วระยะหนึ่ง พอจิตมันแน่วแน่เป็นสมาธิเข้าก็ได้คุณภาพที่ลึกซึ้งกว่ากัน ดวงตานิ่งกว่า ให้จิตตานุภาพมากกว่า”

    ชายหนุ่มฟังอย่างเข้าอกเข้าใจแจ่มแจ้ง เขาคลุกคลีและเล่นสนุกกับตัวเลขมาแต่เด็ก ทว่าไม่เคยสังเกตและแยกแยะได้ละเอียดลออเหมือนอย่างกำลังฟังหลวงตาแขวนอธิบายเลย

    “นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆน้อยๆของอารมณ์สมาธิที่เอ็งประสบพบเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ยังมีอารมณ์สมาธิที่ใจเอ็งจับแล้วตื้นกว่านี้บ้าง ลึกกว่านี้บ้าง จากการเล่นกีฬา ทำงาน หรือแม้แต่วางท่าเดินโก้เก๋อวดใครต่อใคร คิดอะไรยังไงมันเป็นอารมณ์จิตไปได้ทั้งนั้น เพียงถ้าเอ็งมีสติจับเข้าไปในอารมณ์นั้นอย่างเดียวสักระยะ เดี๋ยวจิตก็รวมเป็นสมาธิได้”

    เกาทัณฑ์ผงกศีรษะนิดหนึ่งพร้อมยกมือไหว้รับ และเงี่ยหูฟังอย่างจดจ่อ

    “แต่สมาธิที่ได้จากการทำงานแบบโลกๆน่ะ เป็นสมาธิวุ่น เพราะจิตต้องหมุนไปเรื่อย รวมนิ่งกับที่ไม่ได้ ก็ไม่เกิดธรรมชาติความสงบสว่าง ยังเต็มไปด้วยฝุ่นสกปรกใหญ่น้อย เมื่อไม่สงบสว่าง แม้จิตมีพลังมากก็หน่วงรวมมาใช้ก่ออิทธิฤทธิ์ไม่ได้

    ขั้นแรกเอ็งต้องรู้จักวางตัวให้เบาสบายอยู่กับอารมณ์ละเอียด หยุดนิ่งอยู่กับมันเพื่อเรียนรู้วิธีรวมจิตจนเกิดพลังเป็นปึกแผ่น พื้นฐานสติสัมปชัญญะนั้นเอ็งมีอยู่แล้วจากงานทางโลก หากตั้งใจจริงและทำให้ต่อเนื่อง ก็จะง่ายเข้า”

    หลวงตาแขวนเว้นระยะสำรวจชายหนุ่ม สายตาท่านทรงอำนาจและมีประกายกล้าแข็งด้วยตบะเดชะผิดมนุษย์ ชายหนุ่มคอหดโดยไม่รู้สึกตัว ท่านเคยมีสายตาใจดีของคุณตาแก่ๆคนหนึ่ง ใครจะนึกว่าแท้จริงแล้วซ่อนแววดุยิ่งกว่าเสือ สะท้านขวัญได้มากมายเพียงนี้

    “อารมณ์สมาธิที่ถือกันว่าประเสริฐสุด และมีอยู่คู่กายเรามาแต่เกิด ได้แก่ลมหายใจ นอกจากจะเป็นตัวอารมณ์ให้จิตจับแล้ว ธรรมชาติลมหายใจเองยังเป็นตัวปรุงแต่งจิตให้เดินกระแสหยาบละเอียดตามได้ด้วย ลมหายใจหยาบจิตก็หยาบ ลมหายใจละเอียดจิตก็ละเอียด จึงเหมาะจะใช้ทั้งในเบื้องต้น เบื้องกลาง และเบื้องปลาย สติกำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างนี้ท่านเรียก ‘อานาปานสติ’ ซึ่งเอ็งคงได้ศึกษามาจากหนังสือหนังหาบ้างแล้ว”

    เกาทัณฑ์พยักหน้ารับและกล่าวว่าครับ

    “เอา” หลวงตาแขวนพยักหน้า “นั่งขัดสมาธิ์ ขาขวาซ้อนขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งหลังตรง”

    เกาทัณฑ์ปฏิบัติตามทันทีด้วยอาการกระตือรือร้นเงียบๆ

    “ท่านั่งนี่ไม่ใช่องค์ประกอบสำคัญของสมาธิ แต่เป็นตัวคุมสติที่จำเป็นอย่างหนึ่งในการเริ่มต้น กายเป็นอย่างไรก็ปรุงจิตให้มีความเป็นอย่างนั้น วางกายไว้สบายจิตก็สบาย หลังตั้งคอตรงก็ช่วยทรงความรู้ตัวได้ดี จำไว้นะว่าความสบายกับความตื่นพร้อมเป็นบันไดขั้นแรก อย่าเริ่มด้วยการใส่อาการเพ่งเข้าหาลมหายใจ ให้เริ่มด้วยอาการรู้สึกตัวก่อน”

    เกาทัณฑ์เป็นคนนั่งตรงเดินตรงหลังไม่งอได้นานๆอยู่แล้ว เรื่องนี้จึงผ่านตลอด เขานั่งทรงกายอย่างสบายตามหลวงตาสั่ง พร้อมกับตั้งใจว่าจะให้มันทรงในลักษณะนี้ไปเรื่อยๆไม่เผลอหลังงอ

    "ด้วยความรู้สึกตัวอย่างนี้ เอ็งทอดตามองตรงไปข้างหน้าสบายๆ รักษาความนิ่งไว้อย่าให้กลอกหลุกหลิก แล้วปิดตาลงทั้งยังทอดตรง จะได้ความรู้ตัวแบบเปิดพร้อม เวลากำหนดรู้ลมหายใจจะได้ไม่จดจ้องคับแคบ"

    ชายหนุ่มปิดเปลือกตา มีความเชื่อมั่นในตัวอาจารย์เป็นหลักเป็นฐานการปฏิบัติ คิดในใจว่าคนเราต้องมีอาจารย์ก็เพราะอย่างนี้เอง

    “ลมหายใจมีอยู่แล้ว สิ่งที่ยังไม่มีคือสติ อุบายสร้างสติตามลมหายใจของพระพุทธเจ้าประการแรกคือให้กำหนด ‘รู้’ ลมหายใจออกก่อน คืออัดลมหายใจเข้าเต็มปอดแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่พอคืนลมหายใจออกสู่ภายนอก ค่อยกำหนดรู้ว่านี่คือการหายใจออก เริ่มตั้งหลักอย่างนี้จะทำให้ไม่จ่อเพ่งอยู่กับการหายใจเข้ามากเกินไปเหมือนปกติ เอ้าลองดู”

    เกาทัณฑ์ดึงลมหายใจเข้าเต็มปอดเร็วๆโดยสักแต่เป็นอาการเหมือนหายใจทั่วไป ไม่ได้ตั้งท่ารู้เห็นเป็นพิเศษ แต่พอผ่อนระบายลมหายใจออกจึงเริ่มกำหนดสติถึงความเป็นลมหายใจที่ส่งจากภายในกายออกสู่ภายนอก

    “พอลมหยุดก็รู้ว่าลมหยุด ถึงเวลาที่กายเรียกลมเข้า ก็รู้ตามจริงว่านี่คือการหายใจเข้า ระลึกให้เสมอกันกับการหายใจออกที่เป็น ‘ตัวตั้ง’ เมื่อกี้”

    ชายหนุ่มพบว่าเมื่อกำหนด ‘ลมออก’ เป็นตัวตั้ง ปรากฏว่าสามารถรู้ตลอดทั่วถึงได้อย่างรวดเร็ว

    “นี่คือขั้นแรกของอานาปานสติ คือมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า พระพุทธองค์สอนไว้อย่างนี้ เป็นอุบายลัดที่จะทำให้สติอยู่กับลมหายใจเสมอกันทั้งขาออกและขาเข้า อย่ามองข้ามไป”

    ฝ่ายลูกศิษย์ดูใจตัวเอง ว่ามีสติขณะหายใจออก มีสติหายใจเข้า ภายในปลอดโปร่งขึ้นทันที ก็รับทราบตามจริงว่าผ่านขั้นแรกอย่างง่ายๆได้แล้ว

    “สังเกตนะ พอทำความรู้สึกได้ทั่ว ไม่มีส่วนใดกำเกร็ง และเฝ้ารู้ลมหายใจออกกับเข้าตามสบาย ผลคือเหมือนทั้งตัวมีลมหายใจปรากฏเด่นอยู่อย่างเดียว นี่คือการเริ่มต้นที่ถูกต้อง จำไว้ว่าต้องเริ่มอย่างนี้ทุกครั้ง”

    การเริ่มต้นที่เรียบง่าย ทำให้ความคิดฟุ้งที่ครอบงำจิตใจเป็นปกติหายหนไปชั่วคราว พร้อมรับฟังและปฏิบัติตามพระอาจารย์อย่างปราศจากข้อสงสัย

    “ลองดูว่าลมหายใจในช่วงเริ่มกำหนดสตินั้นจะลากยาวกว่าปกติ ก็ให้รู้ว่าอย่างนี้ลมหายใจออกและลมหายใจเข้ามีความยาวเสมอกัน นี่คืออีกขั้นของอานาปานสติ คือรู้ชัดว่าหายใจออกยาว รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว”

    เกาทัณฑ์จำลักษณะลากยาวของลมหายใจออกและเข้าไว้ กับทั้งพยายามรักษาให้สม่ำเสมอ แต่พอถึงจุดหนึ่งก็รู้สึกว่าเกินพอดี มีความอึดอัดคับแน่นอกขึ้นมา เป็นจังหวะที่ถูกพระอาจารย์ทักว่า

    “หลักการทำอานาปานสตินั้นให้ความสำคัญที่สติรู้ตามจริง ไม่ใช่บังคับลมหายใจให้ยาวหรือสั้น อย่าบีบบังคับฝืนกายให้ทำงานผิดธรรมชาติ เมื่อถึงเวลาจะต้องออกสั้นก็ให้มันออกสั้น เมื่อถึงเวลาจะต้องเข้าสั้นก็ให้มันเข้าสั้น สติเราเท่านั้นที่รู้ตามจริงว่าอย่างนี้คือลมต้องสั้น นี่คืออีกขั้นหนึ่งของอานาปานสติ คือรู้ชัดว่าหายใจออกสั้น และรู้ชัดว่าหายใจเข้าสั้น”

    พอเข้าใจหลักการดังนั้นก็เริ่มสนุก เพราะเหมือนเขาเริ่มไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้กายหายใจออกหายใจเข้าตรงกับความเรียกร้องตามธรรมชาติที่เป็นจริง หน้าที่คือเพียงรู้เท่าทันว่าเที่ยวนี้ยาวหรือสั้น

    “จิตที่เป็นผลของการตามรู้อย่างถูกต้องนั่นแหละ จะเหมือนแยกออกไปเป็นผู้เฝ้ารู้เฝ้าดูเฉยๆในกองลมทั้งปวง ไม่ว่าจะออกหรือเข้า ไม่ว่าจะยาวหรือสั้น นี่คืออีกขั้นหนึ่งของอานาปานสติ คือขณะแห่งลมออกและลมเข้า จิตตั้งมั่นอยู่ในอาการรู้ชัดตามจริงในฐานะของผู้สำเหนียกเห็นลักษณะของลมขณะนั้นๆ”

    เกาทัณฑ์พบด้วยตนเองว่าเมื่อจิตเอาแต่จดจ่อลมหายใจด้วยอาการตื่นรู้พอดีๆ ผลคือความสงบลงทางกาย คอตั้ง หลังตรงไม่กระดุกกระดิก แม้ยังมีคลื่นความคิดแทรกแซงเป็นระยะ ก็ไม่รำคาญ และไม่ส่งผลให้กายไหวติง และพอถึงจุดนั้นก็ได้ยินหลวงตาแขวนสอนต่อ

    “ความรู้สึกสงบทางกายนั้นเป็นของดี เพราะความที่กายไม่กวัดแกว่งนี่เอง จะยิ่งเน้นให้ลมหายใจถูกรับรู้ได้เด่นชัดยิ่งขึ้น นี่คืออีกขั้นหนึ่งของอานาปานสติ เห็นกายนิ่งแล้วก็ประคองความนิ่งนั้นไว้ มีแต่ทางเดินลมหายใจที่ยังเคลื่อนไหวอยู่อย่างเป็นอัตโนมัติ”

    หลวงตาแขวนเงียบไปพักหนึ่งก่อนกล่าวสืบต่อเมื่อเห็นลูกศิษย์หนุ่มชักเกิดอาการฝืน

    “หลักของการเริ่มกำหนดสติรู้ลมหายใจมีอยู่เท่านี้ ถ้าหากพลัดหลงจากลม หรือหากคิดฟุ้งแน่นขึ้นมา ก็สำรวจว่าจิตเรายังเหลือสติอยู่ในขั้นไหน ถ้าไม่เหลือเลย คือจิตไม่จับที่ลม กายยังกระสับกระส่าย ก็ต้องเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ ท่องคาถา ‘นับหนึ่งใหม่’ ไว้ให้ดี เพราะจะขลังที่สุดสำหรับการเริ่มภาวนา สำหรับอานาปานสตินั้น การนับหนึ่งคือมีสติรู้ ว่ากำลังหายใจออกหรือหายใจเข้า ต่อมารู้ว่าลมนั้นยาวหรือสั้น ถ้ารู้ได้เรื่อยๆอย่างเป็นธรรมชาติ จิตก็จะแยกออกไปเฝ้าดูลักษณะลมตามจริงอยู่เฉยๆ และเมื่อแยกออกมาเป็นผู้รู้ตั้งมั่นถูกต้อง ก็จะสงบจากความต้องการขยับไหวส่วนเกินของกายที่ไม่เกี่ยวข้องกับลมหายใจไปเอง”

    เกาทัณฑ์เข้าใจกระจ่างด้วยประสบการณ์ภายในประกอบพร้อมอยู่ด้วย ทว่าพักใหญ่ต่อมา จิตก็เริ่มซึมลงในลักษณะเคลิ้มสบาย หมดแรงจับลมหายใจ หลวงตาแขวนก็ทักอีก

    “คอยสำรวจตัวเองบ่อยๆหน่อยไอ้หนุ่ม พอเริ่มจะฟุ้ง หรือเริ่มจะเลื่อนลอยลืมลมหายใจ ก็กลับมารู้ตัวที่กำลังนั่ง แล้วกำหนดระลึกใหม่ตั้งแต่ขั้นแรก”

    ที่จุดนั้นเกาทัณฑ์จึงเริ่มระวังความเคลิ้มเหม่อ ตามดู ตามรู้ลมหายใจไม่ลดละ กระทั่งจิตแยกออกมาตั้งรู้ เห็นลมหายใจเป็นสายเดียว เมื่อระดับน้ำหนักลมเสมอกันต่อเนื่องถึงระดับหนึ่ง จึงเกิดภาพภายในหรือ ‘นิมิต’ เป็นหนึ่ง คล้ายเส้นเชือกเส้นหนึ่งที่ชักรอกขึ้นลงด้วยมือจับปลายทั้งสองด้าน หน้าที่ของจิตมีเพียงเฝ้าตามอาการออก อาการเข้า ซ้ำไปซ้ำมาตามลีลาของกลไกธรรมชาติแห่งกายเท่านั้น

    เมื่อเห็นลูกศิษย์มีใจจดจ่อต่อเนื่องดีแล้ว พระอาจารย์ก็บอกบทต่อ

    “จิตตั้งไว้ถูกส่วนแล้ว แต่กายยังรับกันไม่สนิทนัก ถ้าจะให้เกิดความแช่มชื่นหนักแน่นกว่านี้ ลมหายใจต้องยาวขึ้น ตอนหายใจเข้าให้เริ่มด้วยการขยายหน้าท้องพองขึ้นนิดหนึ่ง จะเห็นว่าเมื่อมีอาการขยายหน้าท้อง ก็มีลมเข้าเอง พอสุดหน้าท้องก็เลื่อนไปดึงลมตามปกติ”

    เกาทัณฑ์ปฏิบัติตาม และพบว่าลมหายใจยาวขึ้น นุ่มนวลขึ้น มีความปลอดโปร่งอย่างคนหายใจทั่วท้องมากกว่าเดิมจริงๆ สิ่งที่ตามมาคือการทวีตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของความสุข ความคิดทั้งมวลสงัดเงียบลง หายใจออกก็ร่าเริงเป็นสุข หายใจเข้าก็ร่าเริงเป็นสุข สภาพกายดำเนินโดยอัตโนมัติราวกับเครื่องสูบลมที่ทำงานด้วยอัตราคงตัว เห็นแต่สายลมผ่านออกผ่านเข้า ผ่านออกผ่านเข้า มีอยู่แค่นั้น เรียบง่ายเสียจนลืมสิ้นว่าโลกนี้เคยซับซ้อนเพียงใด

    ถึงจุดๆหนึ่งก็สำเหนียกอาการควบแน่นของกระแสจิต เหมือนกลุ่มน้ำขาวที่เข้าผนึกรวมเป็นหนึ่งเดียว มีศูนย์กลางจับอยู่ที่การไหลเข้าออกของลมหายใจอย่างมั่นคง เกาทัณฑ์รู้ทันทีว่านี่คือภาวะสมาธิขั้นต้น เห็นอาการปรากฏนั้นด้วยความรู้พร้อมทั่วองคาพยพ

    ภาวะนั้นจะดำรงอยู่สักกี่วินาทีไม่อาจทราบ แต่รู้ตัวอีกครั้ง ก็เห็นความคิดหลั่งไหลเข้ามาเต็มไปหมดแล้ว ได้เห็นชัดถึงตัวเหม่อเผลอสติ รวมทั้งอาการรู้ตัวตั้งสติใหม่ เมื่อตั้งสติกำหนดลมหายใจในสภาพเดิมใหม่ได้ จิตใจก็เปิดออก เห็นนิมิตลมแช่มชัดอีกครั้ง

    เหตุถูก ผลก็ถูก เหตุผิด ผลก็ผิด เกาทัณฑ์ถึงกับเผลอออกอาการพยักหน้าด้วยความเข้าอกเข้าใจเต็มตื้น แต่แล้วก็รู้ตัวว่านี่ก็ความคิด นี่ไม่ใช่ตัวสมาธิ จึงพยายามเพิกและเฝ้าดูลมหายใจนิ่งๆจนกระแสความคิดเลือนหายไปเองโดยปราศจากความพยายามขับไล่

    อิ่มเอมเปรมใจเนิ่นนานจนเกิดอาการล้าและเหน็บกินตลอดช่วงขา อันเป็นเครื่องหมายว่าจิตถอนแล้วจากอารมณ์สมาธิ และเกินกว่าจะกลับเข้าลู่เดิม หลวงตาแขวนเห็นเช่นนั้นจึงสั่งให้เตรียมกำหนดเลิก โดยหายใจสบายๆและปรับความรู้สึกนึกคิดเป็นปกติเสียก่อน ทบทวนการทำสมาธิแต่ต้นจนจบว่าเป็นอย่างไร เพื่อว่าเมื่อหลับตาลงเริ่มทำสมาธิในครั้งต่อไปจะได้นึกออกง่าย ถัดจากนั้นจึงค่อยลืมตาขึ้นทีละน้อยเหมือนตื่นนอนยามเช้า

    หลวงตาแขวนให้ข้อปฏิบัติเป็นขั้นๆซ้ำอีกครั้งเพื่อให้เกาทัณฑ์นำไปใช้ในการทำสมาธิด้วยตนเอง รวมทั้งชี้แจงล่วงหน้าเกี่ยวกับปีติและนิมิตชนิดต่างๆที่เข้ามาดึงจิตให้เขวจากทางสมาธิ ให้คำแนะนำรวบยอดว่าเพียงทำใจวางเฉย สักแต่รู้สิ่งแปลกปลอม จะน่ารักหรือน่ากลัวก็ตาม รู้ไปจนกว่าจิตจะย้อนกลับมาสนใจจิตเอง และเห็นปฏิกิริยาของจิตมีความเป็นกลางต่อสิ่งรบกวน ทุกอย่างก็จะสลายไปในที่สุด

    เมื่อชายหนุ่มกล่าวทบทวนให้ท่านแน่ใจว่าเขาจดจำถี่ถ้วนถ่องแท้ หลวงตาแขวนก็นิ่งไป ทอดตามองอีกฝ่ายด้วยแววเมตตา สำทับซ้ำถึงจุดหมายที่ควรทำให้ถึงในแต่ละครั้ง

    "ของมันต้องหมั่นฝึกบ่อยๆถึงจะชำนาญ ระหว่างวันทำงานทำการไปตามปกติ นึกได้เมื่อไหร่ก็กลับมาระลึกถึงลมสักครั้งสองครั้งก็ยังดี ถ้ามีเวลาพักว่างจากงานมากหน่อย อาจจะสักห้านาที ก็ตั้งเป้าว่าจะทำจนเห็นเหมือนจิตนิ่งเป็นผู้รู้ผู้ดูลมหายใจอยู่เบื้องหลัง ลมหายใจเป็นเหมือนสายเชือกชักขึ้นลงให้ดูอยู่เบื้องหน้า ช่วงฝึกแรกๆหากทิ้งลมหายใจนานนัก จิตจะกลับไปจับไม่ถูก อย่างเอ็งหากขยันก็คงสำเร็จง่ายอยู่"

    ท่านเว้นจังหวะคล้ายไตร่ตรองบางสิ่ง แล้วก็กล่าวว่า

    "อยากเห็นความจริงเรื่องชาติก่อนไหม?"

    เกาทัณฑ์หูผึ่ง ทำตาโตเหมือนถูกตบหลังหนักๆ

    "อยากครับ!"

    คำตอบนั้นหลุดจากปากโดยอัตโนมัติ

    "ข้าจะทำให้เอ็งได้เห็น" ท่านสมภารพูดเสียงเรียบ "แต่มีข้อแม้ว่าเอ็งต้องได้สมาธิขนาดที่ข้าพอใจภายในอาทิตย์หน้า"

    ชายหนุ่มเม้มปาก ความทะยานอยากของเขาก็เปี่ยม แนวทางที่ถูกเขาก็มีพร้อม แถมท่านยังรับรองให้อีกว่าถ้าขยัน เขาต้องทำได้ อย่างนี้ถ้ายังขาดความเชื่อมั่นก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว

    "ผมจะไม่ทำให้หลวงตาผิดหวังครับ"

    "จะทำสมาธิน่ะ ไม่ใช่แค่อยาก ไม่ใช่แค่ทำถูกแล้วก็จะได้ผลเสมอไป วิถีชีวิตต้องอยู่ในกรอบด้วย จิตถึงจะพร้อม...เอ็งเลิกกินเหล้าเมายาสักอาทิตย์ได้ไหม?"

    "ได้ครับ"

    พนมมือรับอย่างแข็งขันทันที เพราะคิดล่วงหน้าอยู่แล้วว่าพระอาจารย์ท่านต้องห้ามเรื่องนี้

    "ไม่เสพกามได้ไหม?"

    เกาทัณฑ์เกือบอึ้ง แต่พริบตาก็ให้คำตอบอย่างเด็ดเดี่ยว

    "ได้ครับ!"

    "ไม่โกหก ไม่พูดนินทาส่อเสียด ไม่พูดตลกคะนองไร้สาระให้จิตขุ่นมัวได้ไหม?"

    คราวนี้เขานิ่งไปนาน นึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นภายในหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า เห็นภาพตัวเองเป็นเบื้อใบ้ พูดตลกโปกฮากับเพื่อนที่ทำงานคลายเครียดไม่ได้ อย่างนี้ก็น่าคิดเหมือนกัน แต่พอนึกต่อไปว่าอาทิตย์หน้าจะรู้เห็นเรื่องภพชาติให้หายสงสัย ก็ตอบออกมาสั้นๆเหมือนเดิม

    "ครับ ผมทำได้"

    "ดี!" หลวงตาแขวนลงเสียงหนักๆ "เอ็งอยู่ต่อหน้าข้า มีความเชื่อมั่น ละทิ้งความห่วงหน้าพะวงหลังทั้งหมดได้ ถึงเป็นสมาธิง่าย แต่เมื่ออยู่กับตัวเองแล้ว ความเคยชินแบบโลกๆจะนำกิเลสกลับมาครอบงำเต็มหัวใจ เป็นอุปสรรคกับสมาธิจิตโดยตรง ข้าถึงให้เอ็งปฏิญาณไว้ ว่าจะเลิกข้องแวะกับต้นเหตุกิเลสหลักๆของเอ็งเสีย

    กิเลสที่ขวางกั้นความก้าวหน้าในการภาวนาเรียกว่า ‘นิวรณ์’ มีความพอใจในกามคุณ ความคิดร้ายพยาบาท ความหดหู่ง่วงเหงา ความฟุ้งซ่าน แล้วก็ความลังเลสงสัยในธรรมปฏิบัติ ถ้าเกิดนิวรณ์ข้อไหนขึ้นมา วิธีแก้ง่ายที่สุดคือเห็นมันเป็นโทษ เป็นเครื่องร้อยรัดจองจำให้จิตอึดอัด สมควรละทิ้ง ผละหนี ก็จะปลอดโปร่งโล่งใจ เป็นอิสระ เป็นไทแก่จิตเองเหมือนนักโทษที่หลุดจากพันธนาการและห้องคุมขัง

    พอจิตสดชื่นและคุ้นกับการเป็นอิสระจากนิวรณ์ ความน้อมใจใฝ่สงบ ใฝ่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิก็จะเกิดขึ้นเอง และเกิดขึ้นบ่อย ระหว่างวันจึงควรกำหนดสติดักไว้ดีๆ ว่ามีนิวรณ์เกิดขึ้นเกาะจิตหรือยัง ถ้ามีก็ละเสีย ทิ้งเสีย ด้วยอุบายของพระพุทธองค์ที่ข้าว่า"

    "ครับ หลวงตา ผมจะระวังป้องกันจิต กั้นจากนิวรณ์ทั้งหมดให้ได้ครับ"

    "เออ! ข้าขออวยพรให้เอ็งประสพความสำเร็จ เอาล่ะ วันนี้กลับไปได้ เดี๋ยวข้ามีธุระจะต้องทำ"

    ชายหนุ่มยกมือไหว้รับพร แต่ก่อนกราบลาก็ถามสิ่งที่ค้างใจออกไป

    "ผมไม่ต้องทำพิธีหรือนำดอกไม้มาบูชาอาจารย์หรือครับ?"

    "ข้าชอบการบูชาด้วยใจ เอ็งมีให้ข้าแล้ว ข้าเห็น ข้าไม่ได้จะสอนไสยศาสตร์ แต่จะสอนตามแนวของพุทธิปัญญา ดอกไม้ธูปเทียนและพิธีขึ้นครูจึงไม่ใช่สิ่งจำเป็น แต่ถ้ามันเป็นศรัทธาอยากทำ จะเอามาถวายบ้างก็ตามใจ"


    เกาทัณฑ์กราบลาด้วยความสดแจ่มแช่มชื่นอย่างประหลาด ชีวิตมีแรงบันดาลใจใหม่ๆ มีเครื่องกระตุ้นความอยากใหม่ๆ ยังให้เกิดพลังแห่งความกระตือรือร้นแล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย



ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น