วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทางนฤพาน บทที่ ๔ อกหัก

บทที่ ๔  อกหัก


เมื่อมาถึงบ้านของปู่ชนะ เกาทัณฑ์ก็ยังคงเงียบราวกับถูกมัดปากอยู่นั่นเอง เขาจอดรถที่หน้าประตูรั้วและเดินตามหญิงสาวเข้าบ้านงกๆเงิ่นๆอย่างคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

เมื่อมาถึงบ้านของปู่ชนะ เกาทัณฑ์ก็ยังคงเงียบราวกับถูกมัดปากอยู่นั่นเอง เขาจอดรถที่หน้าประตูรั้วและเดินตามหญิงสาวเข้าบ้านงกๆเงิ่นๆอย่างคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“แพ” ชายหนุ่มเรียกเบาๆเมื่อกำลังจะผ่านโต๊ะหมู่ม้าหินใต้ร่มไม้ใหญ่ “นั่งคุยกันก่อนสิฮะ”

เขาสบตาด้วยลักษณะเรียกร้องของเพื่อนที่ร่วมประสบเหตุการณ์สุดระทึกมาด้วยกัน แพตรีเริ่มระงับอารมณ์ได้ แม้ยังไม่ปกติดีนัก แต่พอหันมาเห็นท่าทีเก้ๆกังๆน่าขันของเขาแล้วก็สงบเย็นลงทันที ด้วยถือว่าตนใกล้ชิดบุคคลผู้ทรงคุณมานาน จึงสมควรทำใจหนักแน่นได้มากกว่า ‘ไก่ตื่น’ ตรงหน้า

หญิงสาวลงนั่งบนม้าหินตามคำขอ ทำให้เกาทัณฑ์โล่งอกและนั่งตาม

“เมื่อกี้หลวงตาท่าน...”

ปลายเสียงขาดห้วงอย่างคนหายใจผิดจังหวะ เคยเสียงหล่อตอนนี้หายหมด แพตรีเห็นเขาพูดติดๆขัดๆเลยชิงตอบเสียก่อนอย่างรู้คำถามในใจเขาดีอยู่แล้ว

“หลวงตาแขวนท่านคงเมตตาคุณน่ะค่ะ”

“อะไรครับ?” เพิ่งทราบนามท่านสมภาร “หลวงตาแขวนท่านเมตตาอะไรผม?”

ถามอย่างปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ถูกจริงๆ

“อย่าให้ดิฉันพูดเลยค่ะ ทบทวนและคิดดูด้วยตัวเองก็แล้วกัน ถ้อยคำของท่านน่าจะชัดเจนพออยู่แล้ว”

เกาทัณฑ์ส่ายหน้า กระดาษหนังสือพิมพ์ที่กลายเป็นไฟกองมหึมาอย่างพรวดพราดยังติดตาติดใจมาจนบัดนี้ เล่นเอาความคิดอ่านติดขัดไปสิ้น

“อธิบายหน่อยเถอะ อย่างน้อยให้ผมเข้าใจบ้างว่าเกิดอะไรขึ้น หลวงตาท่านทำได้ยังไง”

เกาทัณฑ์อ้อนวอน และนี่ก็มิใช่การหาเรื่องคุยกับสาวน้อยที่เขาพึงใจ แต่เป็นการแสวงหาคำตอบจากผู้ที่น่าจะให้ความกระจ่างได้ เขาเคยเข้าชมมายากลระดับโลกชนิดนั่งติดเวทีมาหลายครั้ง แต่บรรยากาศต่างกันเป็นคนละเรื่อง เพราะนี่เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในมิติเหนือธรรมดา กับทั้งมีพลังเข้มข้นบางชนิดกระทบกระเทือนจิตใจผิดปกติ

“ทำไมไม่สนใจหาเจตนาของท่านล่ะคะ ท่านทำได้ยังไงนี่เกินกำลังสติปัญญาของดิฉันเหมือนกัน”

เกาทัณฑ์ส่ายหน้าอีกครั้ง

“ท่านมีเจตนาอะไร? ยอมรับว่าผมงงไปหมดแล้ว”

“เชื่อแน่ว่าคุณจำได้ว่าท่านพูดไว้อย่างไรบ้าง รวมแล้วจะพบข้อสรุปเอง ลองอยู่คนเดียวเงียบๆใช้เวลาทบทวนดูเถอะค่ะ “

ชายหนุ่มพยายามฝืนยิ้ม เพราะสะดุดกับคำแนะของหล่อนที่ให้ ‘ลองอยู่คนเดียว’

“แพทำเหมือนรังเกียจผมจังนะ ตั้งท่าจะไล่ให้พ้นๆอยู่เรื่อย”

หญิงสาวชะงักนิดหนึ่งกับคำที่เหมือนตัดพ้อกลายๆของเขา เกรงจะเอาไปฟ้องปู่ เลยแก้ด้วยกิริยาที่ลดความหมางเมินลง

“เปล่าหรอกค่ะ เพียงแต่ดิฉันมีความสามารถน้อยเกินกว่าจะไขข้อข้องใจต่างๆของคุณได้ นี่พูดจริงๆนะคะ อย่าหาว่าถ่อมตัวเลย อยู่ใกล้กาสาวพัสตร์ของหลวงตาท่านมาตั้งแต่เด็ก ยังไม่เคยเห็นท่านแสดงฤทธิ์ถึงขนาดนี้ ทราบเพียงว่าท่านสอนทุกคนที่อยู่ใกล้ด้วยกุศโลบายหลากหลาย และ...ต้องเป็นกรณีพิเศษจริงๆถึงจะ...”

เกาทัณฑ์เม้มปาก เลิกคิ้วมองหญิงสาว เมื่อเห็นเงียบนานก็คาดคั้น

“ถึงจะอะไรฮะ?”

แพตรีอึ้ง ว่าไปหล่อนก็พิศวงใจระคนคร้ามเกรงเดชะแห่งพระคุณเจ้าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี เจตนาของพระระดับเกจิผู้ปฏิบัติชอบนั้นลึกซึ้งนัก ความคิดกระทำการของพวกท่านมิได้เกิดจากอารมณ์ชั่วแล่นเฉกเช่นสามัญมนุษย์ ทว่ามักเกิดจากการเพ่งประโยชน์ที่อาจทอดระยะยาวไปในอนาคตเบื้องหน้าเสมอ การแสดงฤทธิ์เดชในตนจัดเป็นอาบัติอย่างหนึ่ง หลวงตาแขวนท่านเห็นอย่างไรจึงยอมฝืนนั้น สุดที่หล่อนจะกล้าคาดเดา

ทบทวนพระวินัยเกี่ยวกับการนี้ ก็สบายใจนิดหนึ่ง เพราะพระพุทธองค์ระบุไว้ว่าภิกษุ ‘ไม่พึง’ แสดงอิทธิปาฎิหาริย์แก่คฤหัสถ์ หากรูปใดแสดง รูปนั้นต้องอาบัติทุกกฏ ซึ่งว่าไปอาบัติทุกกฏจัดว่าเบาสุดในบรรดาอาบัติทั้งปวง คือเป็นการกระทำอันไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ แต่หากแสดงฤทธิ์ชนิดจัดฉากกลลวงหวังลาภสักการะชื่อเสียง อย่างนั้นโทษจะกระโดดจากเบาสุดเป็นหนักสุด คือเข้าขั้นอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระชนิดที่กลับมาบวชใหม่ไม่ได้อีกเลย

แพตรีชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนตอบเกาทัณฑ์ถึงสิ่งที่ยังค้างคา

“ไว้ถ้ามีโอกาส คุณถามจากท่านเองดีไหมคะ? ดิฉันไม่กล้าเดาใจท่าน ถ้าพูดผิดเดี๋ยวจะเป็นบาปเปล่าๆ”

เกาทัณฑ์หัวเราะ แม้ไม่ทราบเหตุผลที่หล่อนบ่ายเบี่ยงแน่ชัด เขาก็ได้เห็นคุณสมบัติข้อหนึ่งของหล่อน นั่นคือความระมัดระวังทุกคำพูดและการกระทำของตนเอง พอรู้อยู่บ้างหรอกว่าในโลกนี้มีหลายสิ่งทำแล้วให้คุณอนันต์แต่ก็อาจยื่นโทษมหันต์ ทว่ากรณีนี้แค่หล่อนตอบคำถามเขาสองสามคำ จะไปเกิดผลลบผลร้ายชนิดใดได้

“ดูนัยน์ตาแพแล้วเหมือนคนรู้ดีสารพัดเลยนะ แบ่งปันให้ผมรู้มั่งสิว่าแพเก็บอะไรไว้บ้าง”

“น้อยค่ะ น้อยมาก อย่าว่าถ่อมตัวเลย ดิฉันอ่านน้อย ฟังน้อย แล้วก็รู้เห็นคับแคบ ถ้าอยากได้ความรู้แจ้งแทงตลอดล่ะก็ คุยกับหลวงตาแขวนหรือคุณปู่สิคะ”

สำเนียงอันเปี่ยมไปด้วยความจริงใจและตรงไปตรงมาของหล่อนทำให้เขาส่ายหน้ากับตนเองเหมือนอับจน

“ทราบจากปู่ว่าแพเรียนครู…แพมีคุณสมบัติที่ดีของครูอยู่ข้อหนึ่ง คือไม่พูดอย่างคนรู้มาก แต่จะพูดอย่างคนรู้จริง”

เขาเริ่มสงบบ้างแล้ว สงบพอที่จะนั่งไขว่ห้างให้สบายอารมณ์ขึ้น หญิงสาวไม่โต้ตอบประการใดกับคำสดุดีกรุยทางอันหรูหราของเขา

“แต่ความรู้นี่ถึงน้อยก็เป็นทุนไว้เพิ่มวันหน้าได้ แค่เพียงให้เฉพาะส่วนที่แพรู้ หรืออย่างน้อยคาดคะเนจากที่เคยรู้ ก็ถือว่าเป็นการจุดแสงสว่างให้คนที่ยังมืดสนิท จริงไหม?”

แพตรีถอนใจ

“อยากรู้อะไรคะ?”

“หลวงตาแขวนท่านทำได้ยังไง?”

หญิงสาวกะพริบตาเนิบช้า

“ตามตำรา เมื่อมนุษย์ทำสมาธิได้อยู่ตัวถึงระดับหนึ่ง กระแสจิตจะผนึกรวมหนักแน่นทรงพลังมหาศาล เพ่งจับสิ่งใดก็มีอำนาจเหนือสิ่งนั้น หากเพ่งไฟแน่แน่วจนจิตกลายเป็นไฟ มีไฟอยู่ในจิต กระทั่งจิตทรงอิทธิพลอยู่เหนือเตโชธาตุรอบตัว ก็อาจบันดาลความร้อนให้เกิดขึ้นจริงได้ตามปรารถนา

ทำนองเดียวกับดิน น้ำ และลม ขอเพียงฝึกจิตจนมีธาตุเหล่านี้ขึ้นใจ กระทั่งเข้าใจอำนาจของตนที่มีเหนือธาตุเหล่านี้ ก็อาจใช้จินตนาการปรุงแต่งให้เกิดความเป็นไปต่างๆตามต้องการ เนื่องจากจิตวิญญาณมีความสัมพันธ์แนบแน่น และอยู่เหนือดิน น้ำ ลม ไฟโดยเดิม”

คล้ายปรากฏพานทองแห่งการยอมรับผุดขึ้นที่กลางใจ เหมือนมีความทรงจำเก่าวูบไหวขึ้นมาใจกลางสมอง ราวกับภายในนั้นแจ้งประจักษ์สิ่งที่หล่อนพูดถึงอยู่แล้ว แต่เพิ่งถูกเปิดเผยในบัดนี้ เกาทัณฑ์ย่นคิ้วน้อยๆและเงี่ยหูตั้งใจฟังเต็มที่

“หลวงตาท่านเป็นพระปฏิบัติ ผ่านแนวทางกรรมฐานมานานชั่วชีวิต คนใกล้ชิดจะทราบว่าท่านมีอภิญญาประเภทรู้วาระจิต คือใครกำลังคิดอะไรอยู่ หรือมีอารมณ์ชนิดไหนนี่อ่านออกหมด ดิฉันเองก็ประจักษ์กับตัวมาหลายหน เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าท่านจะ...มีอภิญญาแก่กล้าขนาดนี้”

เกาทัณฑ์ยกมือลูบคาง

“นิยามของอภิญญาคืออะไรฮะ?”

“ความรู้ยิ่งที่ได้มาจากอภิจิต เป็นจิตในอีกระนาบหนึ่งที่อยู่สูงเหนือสามัญจิตอย่างพวกเรา มีอยู่ทั้งหมดหกชนิด ชนิดแรกก็เช่นที่เห็นหลวงตาท่านบันดาลลมไฟ เรียกว่าเข้าข่ายรู้วิธีแสดงอิทธิฤทธิ์ ชนิดที่สองคือหูทิพย์ ชนิดที่สามคือญาณรู้ใจคนอื่น ชนิดที่สี่คือญาณระลึกชาติ ชนิดที่ห้าคือตาทิพย์ และชนิดที่หกคือความรู้วิธีที่จะทำให้เกิดธรรมชาติแห่งการล้างกิเลสออกจากใจอย่างเด็ดขาด...”

เมฆกลางฟ้าเคลื่อนคล้อยจากการบดบังดวงอาทิตย์ แสงแดดที่แผดกล้าส่วนหนึ่งฉายลอดเงาไม้ลงมาเป็นลำ พร้อมกันขณะเดียวกับวูบสายลมรำเพยผ่านสองหนุ่มสาว

“ธรรมชาติแห่งการล้างกิเลส?”

เกาทัณฑ์ทวนคำของหล่อนแผ่วเบา คล้ายมีคลื่นปฏิรูปสะท้อนก้องอยู่ในหัว ทำให้งงเคว้งไปชั่วขณะ

“สิ่งนี้ใช่ไหม ที่เรียกว่ามรรคผล?”

น่าแปลกที่เนื้อหาทางพุทธศาสนาในตำราที่เคยศึกษาในชั้นเรียนมัธยมค่อยๆทยอยขึ้นสู่จิตสำนึกทีละระลอกอย่างเป็นไปเอง

หญิงสาวพยักหน้า

“ค่ะ อภิญญาขั้นสุดท้ายนี้เป็นอภิสิทธิ์เฉพาะผู้เดินตามทางอริยมรรค เพิ่มขึ้นจากอภิญญาห้าของฤาษีชีไพรธรรมดา”

“ถ้าผมจำไม่ผิดและเข้าใจไม่คลาดเคลื่อน การชะล้างกิเลสนี่ก็มีลำดับขั้นเหมือนกันใช่ไหม? ไม่ใช่ล้างทีเดียวสะอาดบริสุทธิ์ได้เลย”

แพตรีตรึกทวนถ้อยคำที่ปู่ชนะเคยแจกแจงครู่หนึ่ง ก่อนเริ่มถ่ายทอดด้วยใจเคารพธรรม

“ธรรมชาติการล้างมีสี่ครั้ง พระพุทธเจ้าบัญญัติเรียกครั้งแรกว่าโสดาปัตติผล เมื่อเกิดขึ้นแล้วยังมีโลภ โกรธ หลงอยู่เหมือนตอนเป็นคนธรรมดา เพราะธรรมชาติจิตยังย้อมติดกับอารมณ์ได้แนบแน่นอยู่ ต่างแต่เข้ากระแสพระนิพพานแล้ว รู้นิพพานแล้ว เที่ยงที่จะหมดกิเลสสิ้นเชิงในกาลต่อไป ครั้งที่สองเรียกสกทาคามิผล เกิดขึ้นแล้วราคะ โทสะ โมหะเบาบางลงมาก เพราะธรรมชาติจิตแยกจากอารมณ์ได้ง่ายเอง

ครั้งที่สามเรียกอนาคามิผล เกิดขึ้นแล้วหมดกามราคะ หมดโทสะอย่างสนิท เพราะธรรมชาติจิตมีความสม่ำเสมอในกระแสสมาธิ แต่ยังมีโมหะขั้นละเอียด เพราะอวิชชายังบดบัง ยังหลงคิดว่าตนเป็นนั่นเป็นนี่ ส่วนครั้งที่สี่...ครั้งสุดท้าย เรียกว่าอรหัตตผล เมื่อเกิดขึ้นแล้วจิตแทงขาดจากความครอบงำทั้งปวง แม้อวิชชาว่ากายนี้ใจนี้คือบุคคลเราเขาก็ไม่ปรากฏสักนิดเดียว จิตบริสุทธิ์ตั้งมั่น คงที่ถาวรจริง ไม่กลับคืน ไม่ปฏิรูปเป็นอื่นอีก”

ด้วยน้ำหนักคำ การให้จังหวะวรรคตอนอันกลมกลืน และวิธีออกเสียงควบกล้ำชัดเจนน่าฟัง รวมแล้วได้ผลเป็นลีลาการถ่ายทอดที่ถูกรับรู้และคล้อยตามได้ง่ายดาย จนเกาทัณฑ์ต้องลอบมองอย่างแอบทึ่งในความเป็นสตรีที่กอปรพร้อมทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติชั้นเลิศของหล่อน

กระแอมทีหนึ่งอย่างพยายามเอาตัวเองออกมาจากบ่วงเสน่ห์ที่หล่อนมิได้มีเจตนาคล้อง

“หลวงตาท่านเป็นพระอรหันต์หรือเปล่าฮะ?”

“นั่นแหละค่ะสิ่งที่ดิฉันตอบไม่ได้อย่างแน่นอน และก็ไม่อาจเอื้อมที่จะเดาด้วย ใครจะเป็นพระอริยบุคคลระดับไหนนั้นท่านรู้อยู่แก่ใจ แต่สิ่งหนึ่งที่ดิฉันบอกได้ก็คือผู้สามารถแสดงฤทธิ์ใช่จะต้องพระอริยบุคคลเสมอไป อย่างที่บอกแล้วว่าอภิญญานั้นมีหลายชนิดและก็แยกกันเด็ดขาด บางท่านอาจมีหนึ่งอย่าง บางท่านอาจมีหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับวาสนาเฉพาะตัว ถ้าท่านมีบารมีสูงมากก็อาจมีอภิญญาครบพร้อมทั้งหก คือมีความสามารถพิสดาร แล้วก็เป็นพระอรหันต์ด้วย ซึ่งเท่าที่รู้...หายากมาก”

อีกระลอกสายลมหนึ่งพัดผ่านมา เกาทัณฑ์เห็นหล่อนทอดตามองกิ่งไม้ไหว เห็นความสงบใจในดวงตาสวยหวาน ดูทีหล่อนเป็นคนมีความสุขได้ง่ายๆอย่างน่าอิจฉา ใครอยู่ใกล้ก็พลอยรู้จักความสงบชนิดนั้นตามไปด้วย

“เพราะอะไรฮะ เมื่อมีพลังจิตสูงพอ ทุกอย่างก็น่าจะอยู่ในวิสัยไม่ใช่หรือ หากมีกำลังจิตสูงขนาดลุอภิญญาขั้นสุดท้ายได้ ก็น่าจะครอบคลุมอภิญญาขั้นต้นทั้งหมดเหมือนกัน อ้า...นี่คิดเอาตามการคาดหมายของผมนะ ว่าสิ่งดีที่สุดน่าจะครอบงำสิ่งที่อยู่ล่างๆลงมา”

“อภิญญาขั้นสุดท้ายที่มีไว้ล้างกิเลสนั้น จัดว่าประเสริฐสุด แต่ใช่ว่าทรงอำนาจครอบงำสูงสุดนะคะ คนละอย่างกันเลย เหมือนคนจบปริญญาแล้ว ทำงานรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเล่นกีฬาเก่งเท่าเด็กมัธยมบางคน อย่างที่บอกแต่แรกว่าอภิญญาแต่ละชนิดแยกเป็นเอกเทศจากกันเด็ดขาด ไม่อิงอาศัย หรือมีอย่างหนึ่งแล้วต้องมีอีกอย่างด้วย

และตามที่เคยได้ยิน พระอริยบุคคลท่านไม่ค่อยนิยมเรื่องฤทธิ์เดชกันเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะเป็นเรื่องสนุกเกินไปสำหรับดวงจิตที่รักสุญญตภาพของท่าน ผู้ที่ชอบเรื่องพรรณนี้โดยมากเป็นพระโพธิสัตว์ พวกท่านมีบารมีสูงกว่าพระอริยบุคคล ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตเบื้องหน้า ไม่อยากถึงนิพพานด้วยการเป็นสาวก ต้องการถึงด้วยตนเองกับทั้งสามารถนำพาคนอื่นไปด้วยมากๆ แล้วก็มีอัจฉริยภาพทางจิตสูง อุดมด้วยอิทธิบาทสี่เหมาะกับการเล่นฤทธิ์เล่นเดชสร้างบารมี”

เขาเคยได้ยินคำว่า ‘พระโพธิสัตว์’ มาหลายครั้งหลายครา แต่คราวนี้ฟังดูมีความพิเศษน่าฉงน อาจเป็นเพราะหล่อนโยงมาเกี่ยวข้องกับฤทธิ์อภิญญา หรือเพราะหล่อนขยายคุณสมบัติด้วยการบวกคำว่า ‘อัจฉริยภาพทางจิต’ เข้าไป เขาชอบคำนี้ เพราะปลุกเร้าสำนึกในอัตตาทั้งส่วนตื้นและส่วนลึกเอาเรื่อง

โดยนัยการจาระไนไขความของหญิงสาว เกาทัณฑ์เกือบสรุปว่าหลวงตาแขวนไม่ใช่พระอรหันต์ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ นั่นเป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับเขา เพราะส่วนลึกรู้สึกว่าตนห่างไกลจากคำว่า ‘อรหันต์’ พิกล สัมผัสแผ่วเต็มที

“พระโพธิสัตว์นี่ทำยังไงถึงจะได้เป็นฮะ?”

“ก็...”

หล่อนอึกอักไปชั่วขณะ เมื่อหันมาเห็นดวงตาดำลึกที่ฉายอำนาจประหลาดของเขา

“แค่อยากเป็นก็ได้เป็นตอนนั้นแล้วล่ะค่ะ”

เกาทัณฑ์เลิกคิ้วเล็กน้อย

“ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?”

“ค่ะ” คิดหาอุปมาอุปไมยเป็นครู่ ก่อนอรรถาธิบาย “เหมือนตื่นเช้าตั้งใจว่าวันนี้จะทำแต่ความดี ขณะที่คิดนั้นก็เป็นคนดีแล้ว ยังไม่ต้องลงมือก่อกุศลด้วยการพูดหรือลงมือกระทำจริง”

“แต่ระหว่างวันพอเจอเรื่องยั่วใจให้เขวอยากทำชั่ว ก็เปลี่ยนเป็นคนชั่วได้ใช่ไหม?”

ชายหนุ่มแย้งเบาๆตามความน่าจะเป็น

“ค่ะ ชาวพุทธทั่วไปเมื่อศึกษาพุทธศาสนา เห็นค่าของพระธรรมคำสอน เห็นคุณของพระพุทธองค์ที่โปรดเวไนยสัตว์ได้มากมาย บำเพ็ญตนเป็นประโยชน์กว้างขวาง หลายคนก็นึกปรารถนาจะทำเช่นนั้นบ้าง โดยมีความคิดอุทิศตนเป็นทานแก่หมู่ชนไม่เลือกหน้าเป็นที่ตั้ง ก็ได้จิตชนิดที่เป็นพระโพธิสัตว์แล้ว แต่แค่เพียงด้วยเจตจำนงและแรงปรารถนาประการเดียว ยังไม่เที่ยงที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตชาติหรือไม่ ท่านให้เรียก ‘อนิยตโพธิสัตว์’

หลังจากอนิยตโพธิสัตว์ผ่านการเวียนว่ายตายเกิด บำเพ็ญคุณงามความดี พบพุทธศาสนาหลายๆครั้งเข้า เห็นพุทธคุณแล้วปลาบปลื้ม คิดปรารถนาจะทำมหากรุณาเช่นพระพุทธเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเงากรรมที่ทอดยาวไปเบื้องหน้าแจ่มชัดพอ กับทั้งได้พบพระพุทธเจ้าสักพระองค์เพื่อตรัสพยากรณ์ เป็นกำลังใจให้ทราบชัดว่าตนเที่ยงที่จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคตแน่แล้ว อย่างนั้นจึงจะเรียกว่าเป็น ‘นิยตโพธิสัตว์’ เหตุที่มั่นใจก็เพราะคำของพระตถาคตนั้นไม่เป็นสอง เมื่อตรัสว่าสิ่งใดจะเกิด สิ่งนั้นเหมือนเกิดแล้ว รอแต่เวลาคลี่คลายมาถึงเท่านั้น”

เกาทัณฑ์กะพริบตาสองหน

“ทีแรกผมนึกว่าพระโพธิสัตว์หมายถึงผู้มีจิตใจประเสริฐสูงส่งหาที่ติไม่ได้ หรือเทพเจ้าในตำนานซึ่งมีหน้าที่ช่วยเหลือมนุษย์อะไรทำนองนั้น”

“ถ้านับกันโดยนัยของขณะจิตที่คิดเสียสละ อธิษฐานขอเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อนำเวไนยสัตว์ให้พ้นทุกข์ ตัวเองเดือดร้อนทรมานเนิ่นนานอย่างไรก็ช่าง ต้องถือว่าเป็นผู้มีจิตใจประเสริฐสูงส่งจริงๆค่ะ ท่านว่ากำลังใจต้องยิ่งใหญ่เหมือนแผ่นฟ้ามหาสมุทร”

“ฉะนั้นควรสันนิษฐานว่าเมื่อเป็นนิยตโพธิสัตว์แล้ว จะต้องมีนิสัยเสียสละ ประเสริฐสูงส่งสมภูมิความดีดั้งเดิมใช่ไหม?”

แพตรีมองเขาด้วยแววนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนตอบเรียบๆว่า

“ก็ไม่จำเป็นนักหรอกค่ะ บางชาติอาจเด่นเพียงบารมีด้านใดด้านหนึ่ง บางชาติอาจเด่นหลายด้าน หรือบางชาติก็แทบไม่มีโอกาสสะสมอะไรเพิ่ม โดยเฉพาะเมื่ออยู่สูงหรือต่ำกว่าภูมิมนุษย์”

“เอ…ถ้าการปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าต้องใช้เวลาเป็นชาติๆ อย่างนี้ก่อนอื่นต้องเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดใช่ไหม?”

“ค่ะ ถ้าขาดปัจจัยให้พร้อมลงอธิษฐาน เช่นขาดความแจ่มแจ้งถ่องแท้เกี่ยวกับภพชาติและการเวียนว่ายตายเกิด ก็ไม่เกิดจิตคิดปรารถนาขึ้นมาได้ตามจริงหรอก”

เกาทัณฑ์เม้มปาก กะพริบตาถี่ๆ

“ถามหน่อยนะ แพเชื่อเรื่องชาติก่อนชาติหน้ารึเปล่า?”

“ค่ะ…เชื่อ”

“เรื่องทำนองนี้มีวิธีพิสูจน์ที่แน่นอนไหมฮะ?”

“มี...แต่ยากมาก อย่างที่เมื่อกี้คุยกันไปแล้วไงคะ การระลึกชาติเป็นอภิญญาชนิดที่สี่ หากทำสมาธิจนแก่กล้าเข้าขั้นอภิจิต ก็ฝึกระลึกเอาได้”

“แพเห็นด้วยตัวเองแล้วจากอภิญญาชนิดนั้น?”

คราวนี้หล่อนส่ายหน้า ทำให้เขาผิดหวังเล็กน้อย

“งั้นเล่าให้ฟังถึงเหตุจูงใจให้เชื่อหน่อยได้ไหม?”

พอเห็นหญิงสาวทำทีอึดอัดที่จะเฉลย ก็ปลอบแกมคะยั้นคะยอ

“อย่าเข้าใจว่าซักไซ้ไล่เลียงวุ่นวายเลยนะ ผมเห็นแพอยู่ใกล้ชิดผู้ใหญ่ผู้รู้ธรรมถึงสองท่าน คงไม่ใช่สักแต่เชื่อตามตำราหรือโบราณว่าไว้ หากมีหลักการที่ขยายความคิดผมให้กว้างขวางตามได้ ก็อาจเป็นประโยชน์ เปิดหูเปิดตา เหมือนอย่างที่ประจักษ์อิทธิฤทธิ์อภิญญาจากหลวงตาท่านมาแล้ว”

แพตรีทอดจับใบหน้าของเขาเต็มหน่วยตา จนเกาทัณฑ์ให้ฉงนขึ้นมาอีกคำรบว่าแฝงเลศนัยชนิดใดไว้กันแน่ รู้ว่าหล่อนคิด แต่คิดอะไรไม่รู้นี่ชวนให้จุกอกจุกใจเสียจริง เดี๋ยวก็ฝึกอภิญญาอ่านใจคนมาเจาะดูเสียหรอก

นานครู่หนึ่งก่อนหล่อนจะตอบเสียงนิ่ม

“มีบางสิ่งในชีวิตที่ทำให้ดิฉันรู้ว่า ‘ใช่’ แต่ขอให้เป็นเรื่องเฉพาะตัวเถอะค่ะ อย่าเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เพราะถามจากคนอื่น ผู้รู้ท่านไม่สรรเสริญ”

“แพปิดเป็นความลับอย่างนี้ ถ้าผมอยากรู้ หรือเชื่อมั่นได้เหมือนแพบ้าง จะทราบยังไงว่าต้องเริ่มจากตรงไหน?”

ถามยิ้มๆแบบให้เห็นว่าเขาวอนขอคำตอบดีๆ แพตรีมองคนช่างซักอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอ่ยทั้งสายตาจับอยู่กับใบหน้าเขาสนิท

“บางเรื่องคงเป็นวิถีทางเฉพาะตัว เหมาะสำหรับคนบางคนเท่านั้นมั้งคะ ถึงใช้คาถาบทเดียวกัน ต่อให้สวดร่วมเรียงเคียงข้าง ก็อาจให้ผลแตกต่างเป็นคนละแนว”

ชายหนุ่มอึ้งงันด้วยความแปลกใจ อุปาทานหรือเปล่านี่ ตอนท้ายคล้ายสำเนียงหล่อนแปร่งปร่าไป และปุบปับเหมือนเขาถูกรายล้อมด้วยกระแสเศร้าที่กระจายจางมาจากหล่อน เมื่อกี้ยังเย็นสนิทเหมือนสายธารสะอาดใสอยู่แท้ๆ

“ฮะ…เอาเป็นว่าผมใช้วิธีเดียวกับแพไม่ได้ ช่างเถอะ ใครจะรู้ ผมอาจมีพรสวรรค์ในเรื่องการระลึกชาติเป็นพิเศษ ถ้าขอฝึกกับหลวงตาแขวนอาจสำเร็จภายในครึ่งชั่วโมงก็ได้”

มีแววสมเพชจากดวงตาที่เคยวางอุเบกขาเป็นนิจ แต่ก็จางหายไปอย่างรวดเร็วจนเกาทัณฑ์ไม่แน่ใจว่าแววชนิดนั้นเกิดขึ้นหรือเปล่า เขายิ้มนิดหนึ่ง อยากให้หล่อนรู้เห็นว่าที่ผ่านมา เมื่อตั้งใจจริงแล้ว เขาเป็นทำได้สำเร็จเสมอ แม้ต้องใช้ความพยายามจนดูเหลือวิสัยปานใดก็ตาม

ชายหนุ่มผินหน้าไปทางทิศที่ตั้งของวัดทางนฤพาน สายลมเย็นหอบมาอีกระลอก คราวนี้แรงกว่าครั้งก่อนๆจนเหมือนพัดพาบางส่วนในตัวเขาปลิวหายไปด้วย

เว้นระยะระบายลมหายใจยาวอย่างคนที่ผ่อนคลายลงได้ชั่วขณะหนึ่ง

“วัดในกรุงเทพฯนี่มีแต่ชาวบ้านนุ่งจีวร หาพระไม่ค่อยเจอ เล่นเอาผมนึกว่าโลกสิ้นพระเสียแล้ว ตอนเด็กๆเคยชอบใส่บาตรเหมือนกัน แต่โตๆมานี่ไม่เคยเลย เพราะเห็นพวกชาวบ้านนุ่งจีวรแล้วเสื่อมศรัทธา”

แพตรีฟังเขาพูดโดยปราศจากความเห็น

“เรื่องคิดจะบวชตามประเพณียิ่งไปกันใหญ่ ผมไม่ใช่คนยึดถือความเชื่อสืบต่อกันมา จะทุ่มเททำอะไรต้องเห็นประโยชน์ตามจริง เคยเข้าไปเยี่ยมเพื่อนที่ลาบวชสิบห้าวัน เห็นสภาพแล้วอายแทน คือมันขอข้าวจากชาวบ้านกินไปวันๆอย่างกับ...”

เกือบหลุดคำพูดค่อนข้างแรงออกไป หากแต่ยั้งไว้เมื่อจังหวะนั้นพอดีกับที่เหลือบมาเห็นดวงหน้าสงบละไมของหญิงสาว

“...อย่างกับสิ้นปัญญาต้องลวงข้าวชาวบ้านกิน”

ต่อคำพูดตัวเองจนจบอย่างไม่ชอบค้างคา ทว่าดัดแปลงให้นุ่มนวลลงกว่าที่ตั้งใจพูดแต่แรก

พอเขาเงียบหล่อนก็เงียบ สบตากันพักใหญ่ เขาว่าเขาเห็นรอยระคางซ่อนอยู่เบื้องหลังประกายอ่อนและเปี่ยมไมตรีจิตแน่ๆ ตาไม่ฝาด ไม่ได้คิดไปเอง อยากถามตรงๆให้หายข้องใจ แต่จะปั้นคำพูดอย่างไรดีล่ะ…

แพโกรธผมหรือเปล่านี่?

มีความผิดอะไรที่ผมควรจะรู้ตัวบ้างไหม?

ผมทำให้แพรำคาญมากกระมัง?

คำถามวิ่งวนอยู่แต่ภายในขอบขังของตนเอง แต่ก็อาจสื่อผ่านประกายยิ้มในดวงตาออกไป เมื่อต่างฝ่ายต่างนิ่งในความแปลกหน้าที่คล้ายเคยคุ้น สุดท้ายก็เหมือนลองดีกันอยู่ในที ต่อเมื่อนานครู่หนึ่งหญิงสาวจึงเป็นฝ่ายเลี่ยงไปเมื่อเห็นว่าหาสาระมิได้

“นึกออกแล้ว!”

แพตรีสะดุ้งนิดๆ อยู่ไม่อยู่เขาก็แกล้งตบเข่าฉาด ระเบิดอุทานดังๆราวกับพวกเชียร์มวยตู้

“หลายปีก่อนที่ผมเคยมาเยี่ยมปู่กับพ่อ เห็นเด็กผู้หญิงผมม้านั่งบีบนวดปู่บนเรือนก็แพนี่เอง แพเปลี่ยนไปเสียจนผมเห็นทีแรกจำไม่ได้นะนี่”

คราวนี้หญิงสาวปรายตาเฉี่ยวผ่านเขาแวบหนึ่ง เป็นแวบที่เผยร่องรอยขุ่นขึ้งอย่างไม่ปิดบังเป็นครั้งแรก

แต่ขุ่นที่เขาแกล้งให้ตกใจเดี๋ยวนี้ หรือขุ่นที่เขาทำสิ่งใดไว้เมื่อหนไหนนี่ยังน่ากังขาอยู่...

“ผิวสวยขึ้นราวกับเป็นคนละคนเลย แพว่าเป็นอิทธิพลของพระศาสนาหรือเปล่า ใครปฏิบัติดีก็เห็นผลดีทันตาอย่างนี้เอง”

หล่อนคงถูกผู้ชายรุมจีบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนชินกระมัง จึงมีสีหน้าท่าทางเป็นปกติทุกอย่าง

“ถ้าจับแพไปออกรายการธรรมะทางทีวี คดีอาชญากรรมอาจลดลงก็ได้นะ ดูสิเนี่ย ไม่ยิ้มก็เหมือนยิ้ม ตอนชักชวนใครทำดี ยืนยันว่าสวรรค์มีจริง ลูกเด็กเล็กแดงคงเชื่อหมด”

แม่งามงอนยังเฉยเมย ริมฝีปากปิดสนิท แน่นิ่งราวกับดิ่งอยู่ใต้น้ำ เกาทัณฑ์ชักนึกสนุก อยากดูซิว่าตอนหล่อนหมั่นไส้ใครจนหน้าเขียว จะออกหัวออกก้อยอย่างไร

“ว่าไปแล้วผมนี่ก็เป็นคนใจบุญสุนทานอยู่เหมือนกันนา ของแบบนี้ถึงไม่ปรากฏชัดให้คนอื่นเห็น แต่เราเองก็รู้สึกอยู่ในใจ…”

คำท้ายๆกล่าวลากช้าพร้อมกับโหย่งมือเกาะอก

“ถ้าผลกรรมติดตามเรามาแต่ชาติปางก่อนจริง ก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้ประจักษ์ว่ามีบุญตามมาอุปถัมภ์ผมแล้ว ชาตินี้เกิดมาไม่เดือดร้อนเรื่องความเป็นอยู่ ถึงเวลาก็ได้ปู่ชี้ทางธรรมะ ได้แพพาไปพบพระดี เรียกว่าบุญต่อบุญ เห็นได้ชัดว่าชาติหน้าเกิดใหม่คงหล่อเหลาเหมือนพระเอกหนังอย่างที่ตะกี้หลวงตาท่านชมอีก”

รู้สึกรื่นรมย์เมื่อเห็นมุมปากของหล่อนเบะนิดๆจนได้ ผู้หญิงคนนี้ขนาดเบะปากยังสวยเลย เพิ่งซึ้งว่าจิตใจที่งดงามอย่างแท้จริงย่อมไม่ปรุงกิริยาน่าชังออกมา แม้เขม่นใครสุดจะกลั้นก็ตาม

ขณะที่กำลังจะทำก้อร่อก้อติกเป็นเรื่องเป็นราวอยู่นั่นเอง ก็ให้มีเสียงขัดจังหวะดังมาจากหน้าประตูรั้วเสียก่อน

“พี่แพฮะ”

เกาทัณฑ์เห็นหญิงสาวเหลียวไปตามเสียงเรียก ม่านตาเบิกกว้างด้วยความยินดี

“มติ!”

หล่อนร้องออกมาเสียงแหลม ก็ไม่เบานักหรอกสำหรับความดีใจของผู้หญิงคนหนึ่ง เกาทัณฑ์เหลียวตาม ต้องชะโงกนิดหน่อยเพราะต้นไม้บัง แพตรีรีบลุกออกไปหาเด็กหนุ่มคนนั้นทันที ดูท่าว่าจะลืมสนิทไปเลยว่ามีเขานั่งอยู่ด้วย

“เป็นไง กลับมาถึงเมื่อไหร่?”

ห่างกันแค่เกาทัณฑ์ได้ยินถนัด เห็นผู้เป็นอาคันตุกะหน้าเรี่ยลงเมื่อหันมาสังเกตเห็นเขาเข้า นายคนนั้นกระซิบอุบอิบแบบที่หญิงสาวได้ยินเพียงคนเดียว

“ไม่ทราบว่าพี่แพมีแขก นึกว่านั่งคนเดียว ขอโทษที่เรียกฮะ”

หญิงสาวยังอมยิ้ม ไขกุญแจเปิดประตูรับแขกใหม่หน้าตาเฉย

“เข้ามาก่อน”

นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่เกาทัณฑ์ลุกขึ้นยืน

“ผมขอตัวขึ้นไปหาคุณปู่นะฮะแพ”

ฝืนทำเสียงเป็นปกติ แต่คนคุยด้วยมาก่อนรู้ดีว่ากร่อยลงกว่าเดิมเยอะ

“ค่ะ”

ได้เห็นเรียวปากคู่งามสยายเป็นรอยยิ้มรื่นเหมือนโล่งอก ยังผลให้แสบคันคะยิกที่กลางอกแทบดิ้นแล้ว เกาทัณฑ์ก็กลับหลังหันก้าวดุ่มขึ้นเรือนทันที สติขาดหาย อกใจไหวสั่น เดินอย่างไม่เป็นอันรู้ว่าเดินไปทำไม ขนาดเห็นปู่ยังไม่รู้เลยว่าเห็น

“อ้าว! ว่าไงนายเต้ มาอีกแล้ว”

เกาทัณฑ์ได้สติ ยกมือไหว้ปู่แล้วนั่งลง หน้าตาหม่นหมองจนปู่ต้องทัก

“ไปทำอะไรมาล่ะนี่ หน้าตาถึงได้ช้ำๆพิกล วันนี้โชคไม่เข้าข้างรึไง?”

ผู้เป็นหลานยิ้มไม่ออก

“สบายดีเหรอฮะปู่?”

ถามเสร็จก็คิดได้ว่าเพิ่งมาเยี่ยมปู่เมื่อวาน คำถามนี้เอาไว้สำหรับคนไม่เจอกันนานๆต่างหาก จึงรีบกลบเกลื่อนก่อนปู่ทันตอบ

“ผมซื้อองุ่นกับเงาะมาฝาก”

ว่าแล้วก็แทบตบหน้าผากตัวเอง เพราะกระเช้าผลไม้ยังอยู่ในรถ ลืมนำติดมือขึ้นมาด้วย นี่เดินขึ้นเรือนตัวเปล่าแท้ๆดันบอกออกไปแล้ว

ปู่ชนะพยักหน้า

“อือม์ ขอบใจ วางไว้แถวๆนั้นแหละ เดี๋ยวหิวแล้วจะกิน”

ปู่ช่วยแก้เก้อหรือประชดก็ไม่ทราบ เกาทัณฑ์รู้สึกแน่นหน้าอกจนต้องแค่นหัวเราะระบาย

“ปู่นั่งอยู่แต่บนนี้ทั้งวันไม่เบื่อมั่งหรือไงฮะ?”

ถามด้วยเสียงพาล

“เอ้า! คนแก่จะให้ทำอะไรล่ะ อยู่บนนี้ไม่ต้องไปนอนโรงพยาบาลหรือสถานเลี้ยงดูคนชราให้เดือดร้อนลูกหลานก็ดีขนาดไหนแล้วฮึ”

โสตประสาทคล้ายใกล้หยุดทำงาน ชายหนุ่มทอดตามองออกไปนอกเรือนซึมๆ เห็นแวบเดียวก็รู้ว่าสนิทกันขนาดไหน ส่งเสียงเรียกเสียแหลมเปี๊ยวไปเลย ยินดีปรีดาออกนอกหน้าเหมือนจะบอกเขาให้ทราบเป็นนัยอย่างนี้คงชัดพอแล้วกระมัง

น่าแปลก เขาไม่เคยยี่หระเลยถ้าจะต้องต่อกรทำศึกชิงนางกับใคร แต่ทำไมแค่เห็นหน้าไอ้หนุ่มเมื่อวานซืนท่าทางเหมือนไม่มีสตางค์ขึ้นรถเมล์คนนั้นทีเดียว ถึงกับรู้สึกเหมือนคนแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มสู้อย่างนี้ได้

จริงซี...รอยยิ้มโล่งอกที่มีเหตุมาผลักไสเขา มีคู่ตุนาหงันมาปรากฏอวดต่างหาก ที่บาดจิตบาดใจ กัดลึกเกินจะรับ คนอย่างเขาเคยเจอยิ้มชนิดนี้เสียที่ไหน

“นั่นซีฮะ” เขาต้องคิดทบทวนอยู่อึดใจกว่าจะนึกได้ว่ารับคำปู่เรื่องอะไร “ดีแล้วที่ปู่แข็งแรงอยู่ตลอดเวลา มีหลานดีๆคอยดูแลก็หยั่งงี้แหละ”

ปู่ชนะจิบน้ำชาซึ่งเห็นวางอยู่ข้างกายท่านเสมอ เกาทัณฑ์มองตาม แล้วจู่ๆก็คิดถามท่าน

“ตอนปู่มีย่า ปู่รู้สึกว่าเป็นเรื่องยากลำบากไหมฮะ ผมหมายถึงว่าเวลาเราเจอใครสักคนที่อยากอยู่ด้วยตลอดไป เราอ่อนไหวจนเห็นเรื่องขี้ผงกลายเป็นเรื่องใหญ่โตเหลือฝืนเสมอหรือเปล่า?”

นัยน์ตาอันดำสนิทต่างจากผู้สูงวัยทั่วไปเล็งแลมายังชายหนุ่ม แล้วเบนไปทางอื่นเชื่องช้า ก่อนหัวเราะเอื่อยๆในลำคออย่างคนผ่านร้อนหนาวมาจนเจนใจ จะเพราะอะไรก็ตาม เกาทัณฑ์เกิดความอบอุ่นและเหมือนได้รับการปลอบประโลมจากเสียงหัวเราะต่ำทุ้มนั้น

“ก็เจอกันทุกคนแหละเต้”

ปู่ชนะกล่าวในที่สุด เกาทัณฑ์นิ่งฟังอย่างเงียบงัน

“และต่อไปเมื่อมีลูกเมียให้รับผิดชอบ แกจะย้อนมองกลับมาเห็นความเหลือฝืนอย่างเดี๋ยวนี้เป็นแค่ปัญหาขั้นเริ่มต้น เป็นเพียงหนึ่งในเรื่องราวน้อยใหญ่ประจำชีวิตคู่ มันก็แค่ความรู้สึกวูบวาบนั่นแหละที่ใหญ่เกินตัวปัญหาไปจนถึงกับเห็นว่าเหลือฝืน”

“เหรอฮะ”

เกาทัณฑ์เอ่ยรับเป็นทำนองทอดอาลัยระคนขบขันวิธีเล่นตลกของชีวิต พยายามเลื่อนตัวขึ้นนั่งตรงเมื่อร่างคล้ายจะเลื้อยตกเก้าอี้ลงไปทุกที

“เมื่อก่อนผมว่าบรรดาพรรคพวกที่จริงจังกับความรักนี่มันโง่เง่า” ชายหนุ่มยิ้มเฉียง “แต่เดี๋ยวนี้ชักเห็นใจไอ้พวกนั้นขึ้นมาบ้างแล้ว”

ปลายเสียงของเขาหายไปลอยๆ

“ก็งั้นแหละ” ปู่ชนะว่า “เราจะเห็นใจใครได้จริงๆก็ต้องมีหัวอกเดียวกันเสียก่อน ม่ายงั้นจะรู้รึว่าความทุกข์ของเขาน่าเห็นใจยังไง”

“ถ้าคำสอนของพระพุทธเจ้าดับทุกข์ได้สนิทจริง ผมก็ชักเห็นค่าบ้างแล้ว”

เกาทัณฑ์ว่าแบบลอยตามลมไปแกนๆ

“ยังไม่ต้องไปถึงขั้นดับทุกข์สนิทก็เห็นค่าเดี๋ยวนี้ได้”

น้ำเสียงทอดเนิบของปู่มีแรงจูงใจให้ตามฟัง

“อย่างที่เราคุยกันวันก่อนไง เรื่องทุกข์เรื่องร้อนอะไรนี่แหละ วันนั้นยังว่างๆ ไม่มีตัวอย่าง ตอนนี้ทุกข์มาแสดงตัวแล้ว ลองดูที่อกใจของแกซี ถอดโขนของหน้าตาตัวตนแกออกไปให้หมด เหลือแต่ใจอย่างเดียว จะเห็นเองว่าหน้าตาความทุกข์เป็นยังไง”

เกาทัณฑ์สังเกตจิตใจตนเอง เห็นความว้าวุ่นอยู่กลางอกจริงๆ

“ในทุกข์นั้นมีภาพใครคนหนึ่งปรากฏร่วมอยู่ด้วยใช่ไหมล่ะ ใครคนนั้นแหละที่เขาเรียก ‘ต้นเหตุทุกข์’ ถ้าแกนึกถึงภาพตัวต้นเหตุได้ ก็จะรู้ว่าอาการยึดไว้เป็นอย่างไร พอรู้จักอาการยึดก็มองออกว่าจะปล่อยด้วยท่าไหน ปล่อยเมื่อไหร่ใจสบายวาบขึ้นมาเมื่อนั้น”

ชายหนุ่มนึกถึงดวงหน้าเด่นของหญิงสาวที่คล้ายคมมีดกรีดอก สัมผัสได้ถึงใจที่พุ่งเข้าสู่มโนภาพดวงหน้าหล่อนอย่างแรง เห็นจริงเห็นจังว่านั่นเองอาการที่จิตเข้ายึดเหตุ อันได้ผลเป็นความทุกข์ พอลองเปลี่ยนเป็นตรงข้าม ถอนอาการยึด อาการหลงหาเสีย ก็คล้ายมโนภาพงามที่ตามหลอกหลอนทุกขณะจิตพลอยสลายตัวเป็นอากาศธาตุไปด้วย สบายหัวอกขึ้นทันที

เหมือนปล่อยมือจากเชือกให้ว่าวหลุดลอยลม ไม่หนักมืออีกต่อไป

“ตัวปล่อยนั่นแหละที่ท่านเรียก ‘ทาง’ ตัวสบายที่ขึ้นมาแทนที่ความวุ่นวายใจนั่นแหละที่ท่านเรียก ‘ความดับทุกข์’ เมื่อทำได้ ก็เหมือนรู้จักอริยสัจสี่เบื้องต้นแล้ว”

เกาทัณฑ์กะพริบตาปริบๆ โล่งอกไปถึงไหน ว่างสบายอย่างน่าพิศวง เหมือนเส้นผมบังภูเขาถูกย้ายออก พ้นความเขลาที่เคยหวงต้นเหตุทุกข์ไว้นิดเดียว พอเลิกหวงได้ ปล่อยวางต้นเหตุออกจากใจได้ ก็กลายสภาพใหม่เป็นตรงข้ามทันที เหมือนพลิกฝ่ามือจริงๆ

เมื่อชายชราเห็นผู้เป็นหลานกระจ่างใจในอริยสัจสี่ขึ้นมาเป็นครั้งแรก ก็กล่าวเสริม

“อุปาทานดับชั่วคราวก็ดับทุกข์ชั่วคราว เชื้ออุปาทานดับสนิทก็ดับทุกข์ได้สนิท แกจะเห็นคุณค่าของพระธรรมคำสอนมากกว่านี้ ถ้าได้รู้ และได้ประสบพบว่าความทุกข์รออยู่เท่ากองภูเขาในอนาคตช่วงอื่นๆอีกและอีก กับทั้งเห็นซึ้งว่าภาวะของการดับทุกข์อย่างสนิทนั้นแสนสบายเหลือเชื่อยังไง”

หลานชายตรองนิ่งเป็นครู่ ภาพบาดใจของหญิงสาวเวียนผ่านมาเข้าหัวอีกระลอก คราวนี้เขาไม่ตั้งใจขจัดทิ้ง ความรุ่มร้อนอ่อนใจก็เกิดขึ้นอีก จนต้องหัวเราะหึๆ

“ปู่ไม่ถามเลยนะว่าเธอที่เป็นต้นเรื่องคือใคร บ้านช่องอยู่แถวไหน”

“ถามไปทำไม ปู่เคยรู้จักผู้คนในชีวิตแกสักรายเมื่อไหร่ พอแกบอกจะให้ปู่ร้องอ๋อออกมายาวๆเหรอะ?”

ค่อนข้างโล่งอกที่ปู่ไม่ระแคะระคาย ทั้งที่เรื่องมันจุดไต้ตำตอแท้ๆ

“ก่อนผนวช พระพุทธเจ้าท่านเคยมีทุกข์มามากหรือฮะ ถึงต้องออกแสวงทางพ้นทุกข์”

“ก็แล้วแต่ว่าแกจะถืออะไรเป็นมาตรวัดความทุกข์ อย่างถ้าเอาเรื่องความรักไปวัดล่ะก็ พระองค์ท่านไม่ได้มีความทุกข์เหมือนอย่างแกหรอก ตรงข้าม พระองค์ทรงมีชายาอันเป็นที่รัก พระนางมีคุณสมบัติเลอเลิศเหนือสตรีนางใดในยุคเดียวกัน คิดเอาง่ายๆนะ ขออนุญาตยกตัวอย่างใกล้ๆ อย่างยายแพของฉันนี่ ไม่ได้หนึ่งในร้อยหรอก”

ชายหนุ่มสะดุ้งไหวอยู่ภายใน เหลือบตามองปู่ก็ไม่เห็นพิรุธ จึงค่อยๆผ่อนลมหายใจทีละน้อย พูดโต้ตอบตามปกติ

“อย่างที่ปู่บอก ถ้าไม่ใช่หัวอกเดียวกันก็ไม่เห็นใจกัน พระองค์เผยแผ่พระสัทธรรมก็ด้วยต้องการให้ใครๆพ้นทุกข์ตามพระองค์ ทีนี้พระองค์มีทุกข์อย่างไรล่ะครับ...เรื่องครองราชสมบัติ?”

“เรื่องการงานและความสามารถทางโลกน่ะพระองค์ไม่ทรงเกี่ยงงอนหรอก แกเคยได้ยินข่าวเด็กอัจฉริยะประเภทเรียนมหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุสิบเอ็ดใช่มั้ย นั่นแหละ เท่าหนึ่งในร้อยหนึ่งในพันของพระองค์สมัยปฐมวัย แค่เรื่องครองบ้านครองเมืองน่ะสบายมาก เพียงแต่พระองค์ไม่ทรงยินดีในราชสมบัติและความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิเท่านั้น”

เกาทัณฑ์เกือบจะหลุดคำถามว่า ‘รู้ได้อย่างไร’ ออกไป แต่ด้วยกำลังโศกเลยคร้านที่จะซัก ชายาก็ดีกว่าหลานสาวคนดีร้อยเท่า ตอนปฐมวัยก็เก่งกว่าเด็กอัจฉริยะยุคไฮเทคร้อยเท่า ปู่คงจำจากตำรามาขยายความตามอัธยาศัยกระมัง

“สรุปแล้วผมไม่เห็นเลยว่าพระองค์จะต้องเป็นทุกข์ด้วยเรื่องอะไร ใช้สามัญสำนึกเอาได้นี่ครับ ผู้ชายสักคนดีพร้อมไปหมด แถมมีคู่ที่ต้องตาต้องใจให้อีกคน อย่างนี้จะรู้จักทุกข์ยังไงไหว”

“ทุกข์ที่พระองค์มีเหมือนทุกคนคือเกิด แก่ เจ็บ ตายไงล่ะเต้”

ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อทันที

“ผมเคยเรียนมาฮะ แล้วจากวันแรกที่เห็นเหตุผลของพระองค์ในแบบเรียนจนกระทั่งคิดอะไรเองได้ทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่เชื่อจากต้นจนปลายว่าคนเราเห็นทุกข์แค่นั้นแล้วถึงกับจากบ้านจากเมืองและสิ่งอันเป็นที่รักทั้งหลายเข้าป่าเพื่อแสวงหาทางหลุดพ้น พระองค์ต้องไม่ได้มีชีวิตอยู่ในโลกของความเป็นจริงแน่ถ้าถือว่าตำรากล่าวไว้ถูก”

เกาทัณฑ์เม้มปาก เห็นปู่ยิ้มๆโดยไม่ตอบโต้ ตอนนี้เหมือนเครื่องติด เขาว่าพอได้ใช้เหตุผล ได้พูดจาเสียบ้าง ก็ทำให้ความโศกจางลงดีเหมือนกัน จึงนึกอยากว่าต่อตามความเห็นอันเต็มไปด้วยความรู้จักคิดของตนให้แตกกิ่งก้านยิ่งขึ้น

“ด้วยวัยยี่สิบเก้าซึ่งยังหนุ่มแน่น ร่างกายแข็งแรงขนาดบุกป่าฝ่าดงตามลำพังได้ มีที่ไหนจะสัมผัสทุกข์อันเกิดจากความเจ็บความแก่ล่ะครับ แล้วอย่างเรื่องที่พระองค์บรรลุธรรมก็เหมือนกัน ตำรากล่าวไว้คลุมเครือเหลือเกิน ตอนท่องหนังสือสอบนี่ผมสงสัยเป็นที่สุดว่าขั้นตอนในการนึกรู้วิธีบรรลุธรรมของพระองค์เป็นยังไง เพราะเบื้องต้นก็กล่าวว่าพระองค์หนีจากบ้านเมืองมาใช้ชีวิตแบบฤาษี แต่ทำๆไปก็เห็นว่ายังไม่ใช่ทางออกที่ถูก

เสร็จแล้วเกิดความคิดขึ้นใหม่ว่าถ้าลองทรมานตัวเองลดกิเลสลงอาจได้ผล แต่ลองดูหลายปีก็เห็นว่าไม่ใช่อีก เลยคิดอีกครั้ง เอาทางสายกลาง ไม่สุขไม่ทุกข์ เรียกว่ามรรคแปด มีอะไรมั่งผมลืมไปหมดแล้ว นั่งอยู่ใต้ต้นไม้คืนเดียวบรรลุเลย ผมไม่เข้าใจว่าการเอาความไม่สุขไม่ทุกข์มาเป็นตัวยืนแล้วจะโยงมาถึงความรู้ในเรื่องมรรคแปดได้อย่างไร ปู่ไม่เคยสงสัยมั่งหรือฮะ?”

“ก็เคยอยู่เหมือนกัน” ปู่ชนะผงกศีรษะ “คล้ายกับนักเรียนวิทยาศาสตร์อย่างพวกแกที่ไม่อาจหยั่งว่าไอน์สไตน์รู้ได้ยังไง ใช้จินตนาการท่าไหน จึงเข้าถึงความเห็นว่าสสารกับพลังงานเป็นสิ่งเดียวกัน เท่าที่เชื่อก็เพราะไอน์สไตน์มีวิธีพิสูจน์เป็นสูตรคณิตศาสตร์ ซึ่งเอาไปทดลองเป็นรูปธรรมได้ผลลัพธ์ตรงจริงเหมือนกันหมดทุกมุมโลกนั่นแหละ”

ปู่ค่อยๆยืดตัวตรง บรรยากาศเปลี่ยนไป คล้ายท่านสำรวมอยู่ในฐานะหรือหน้าที่อีกอย่าง

“ต้องยอมรับนะเต้ว่าโลกเรานี้มีบุคคลพิเศษประเภทหนึ่งในพันล้านอยู่จริง บุคคลอย่างนี้ไม่ได้มีอยู่ในตัวแก ไม่ได้มีอยู่ในคนรู้จักหลักร้อยหลักพันในชั่วชีวิตของแก ไม่ได้มีให้แตะต้องเป็นประสบการณ์ทั่วไป แต่มีอยู่จริงในหน้าประวัติศาสตร์ อาจจะห้าสิบ ร้อย สองร้อย หรือพันปีครั้งถึงจะมีคนประเภทไอแซค นิวตันหรืออัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เกิดขึ้นมาสักคน คนพวกนี้เขย่าโลกได้ก็ด้วยความคิดที่เป็นหนึ่งในพันล้านนั่นแหละ หากใครเท่าทันดวงจิตขณะคิดงานยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ พวกเขาก็คงจะไม่มีชื่อเสียงและถูกถือเป็นหนึ่งในพันล้านแน่ๆ”

เกาทัณฑ์ชักเริ่มทึ่ง นึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ไม่เคยคิดแบบปู่ ตำราทางวิทยาศาสตร์ในห้องเรียนไม่เคยสอนให้เขามองอัจฉริยบุคคลเหล่านั้นด้วยมุมมองเช่นนี้เลย

“การเกิดมาของไอน์สไตน์ทำให้มนุษย์ได้ความรู้ที่มีค่ามหาศาล เขาทำให้นักศึกษาบางกลุ่มเปลี่ยนโลกทัศน์ที่มีต่อธรรมชาติแตกต่างไปจากสามัญสำนึกของคนธรรมดา เขาทำให้เรามีพลังงานรูปแบบใหม่ไว้ใช้ เขาทำให้จินตนาการของคนยุคใหม่บรรเจิดขึ้นเป็นคนละระนาบกับสมัยอื่น แต่ไตร่ตรองดูนะเต้ เคยมีใครสักคนไหมที่อ้างว่าศึกษาและรับผลพวงจากงานของไอน์สไตน์แล้วมีมโนธรรมสูงขึ้น จิตใจสูงขึ้น หรือกระทั่งพ้นกิเลสพ้นทุกข์ไม่ต้องทรมานใจกับแง่มุมใดๆของชีวิตอีกเลย?”

ชายชราแย้มยิ้มเล็กน้อย เกาทัณฑ์เห็นเป็นรอยยิ้มที่งามจับตา

“มหาบุรุษเช่นพระพุทธองค์ทรงเป็นยิ่งกว่าหนึ่งในพันล้าน และความรู้ของพระองค์ก็มีค่ามากกว่านั้น พบได้ยากยิ่งกว่านั้น การมีใครสักคนพูดว่า ‘สภาพจิตที่เป็นสุขถาวรนั้นมีจริง เข้าถึงได้จริงด้วยวิธีปฏิบัติที่แน่นอน’ ฟังดูแสนแปลกแสนมหัศจรรย์ขนาดไหน โลกอาจต้องรอการเกิดของนิวตันและไอน์สไตน์นับร้อยนับพันปี แต่โลกจะต้องรอการอุบัติของพระพุทธเจ้าเป็นจำนวนปีที่แกไม่เคยรู้จัก มันมากขนาดข้ามวัฏจักรของเผ่าพันธุ์มนุษย์ นานขนาดที่แกอาจเร่ร่อนไปสงสัยรูปแบบชีวิตต่างๆกี่แสนกี่ล้านครั้ง ก็ยังไม่มีโอกาสพบบุคคลเช่นพระองค์ซ้ำ”

หลังจากทอดระยะ ปู่ชนะก็สรุปแก้ปม

“ดังนั้นถ้าแกหวังจะให้ตำราเรียนอธิบายว่าพระพุทธเจ้าทรงเข้าสู่การรู้ทางมรรคผลได้อย่างไร ก็ต้องแน่ใจเลยว่าคนเขียนตำราเล่มนั้นเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง และจะต้องบรรยายเป็นมิติที่พิสดารเหนือตัวหนังสือธรรมดาอย่างคาดไม่ถึงด้วย จิตของพระองค์ในขณะจะบรรลุธรรมน่ะเป็นจิตของผู้อยู่เหนือคำว่าอัจฉริยะ เกี่ยวข้องกับฌานญาณและวิธีใช้ปัญญาในรูปแบบที่แกไม่เข้าใจ เป็นการสืบเหตุสืบผลที่เรียกพิจารณาปัจจยาการอันเกินหยั่ง เป็นจิตที่ก่อตัวขึ้นด้วยบารมีสั่งสมบำเพ็ญมานับภพนับชาติไม่ถ้วน เป็นธรรมชาติตัวเดียวอันเดียวในอนันตจักรวาลชั่วคาบเวลาหนึ่งๆ

และทำนองเดียวกับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ฐานะอย่างแกหรือปู่และคนรอบๆตัวน่ะมองให้เห็นเป็นก้อนทุกข์ไม่ออกหรอก บารมีไม่ถึง โดนธรรมชาติครอบงำให้ทะยานอยากเฉพาะหน้าครั้งต่อครั้งไปเรื่อยเท่านั้น ต้องอย่างพระองค์ท่าน จิตที่สั่งสมบารมีมาพอนั้นรู้ลึกรู้ซึ้ง ฉุกคิด เฉลียวรู้ และกระจ่างในภัยของการเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยตนเอง หาทางออกทางพ้นได้ด้วยตนเอง กับทั้งสามารถนำความรู้แจ้งมาเผยแผ่เป็นมหาคุณกับชาวโลกได้”

เกาทัณฑ์นิ่งงันอย่างจุกคอหอย ในบัดนั้นเหมือนปู่มีรัศมีสว่างและเหมือนอยู่สูงเกินกว่าจะพูดจาถกเถียงหรือแตะต้องแม้เพียงน้อย


“ปู่ว่าแทนที่แกจะมานั่งสงสัยประวัติของพระองค์หรือวิธีค้นพบของพระองค์ ก็น่าจะลองหาทางพิสูจน์เหมือนกับที่นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่า ‘อี’ เท่ากับ ‘เอ็มซีกำลังสอง’ เป็นความจริงหรือเปล่า สูตรของพระพุทธองค์คือมรรคแปดประชุมพร้อมกันสี่ครั้ง เท่ากับภาวะดับทุกข์และกองกิเลสอย่างถาวร”



ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น