วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทางนฤพาน บทที่ ๓ คู่บุญ

บทที่ ๓  คู่บุญ


แพตรีจัดของสังฆทานใส่ถัง เตรียมตัวไปทำบุญกับปู่ที่วัดทางนฤพาน นั่นเป็นสิ่งที่หล่อนกับท่านปฏิบัติอยู่เป็นนิจศีล อย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง นอกเหนือจากการใส่บาตรพระทุกเช้าซึ่งเป็นกิจวัตรของหล่อนอยู่แล้ว

เสร็จจากการจัดของ หญิงสาวก็เดินออกไปหน้าปากซอยเพื่อเรียกแท็กซี่มาขนของและรับปู่ เดิมทีบ้านนี้มีรถเก่าของปู่ให้หล่อนขับไปไหนมาไหน แต่เพราะถึงอายุขัย จึงเพิ่งขายไปเมื่อเร็วๆนี้เอง

บอกโชเฟอร์รอหน้าบ้านแล้วขึ้นเรือนเพื่อบอกปู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

“แท็กซี่มาแล้วนะคะ”

บอกเสร็จก็ต้องชะงักด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นปู่ยังอยู่ในชุดเสื้อนอนคอกลมกางเกงแพรบนเก้าอี้โยก ท่านยิ้มตอบ พยักหน้านิดหนึ่ง

“หนูไปเถอะ” ปู่บอกง่ายๆ “ลองไปคนเดียวดูบ้าง”

หญิงสาวยืนงงอย่างทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ที่สุดก็ถามเสียงแผ่ว

“ทำไมล่ะคะ?”

ปู่เอนหลังหลับตาและโยกเก้าอี้เฉย หญิงสาวมองผู้อุปการะตนมาด้วยความไม่เข้าใจพักใหญ่ แต่แท็กซี่ที่กำลังรอก็ทำให้หล่อนไม่อาจยืนเคว้งอยู่ตรงนั้นได้นาน จำต้องก้มหน้าก้มตาหิ้วถังสังฆทานสองใบแรกลงเรือนไปใส่ท้ายรถที่เรียกมา แล้วกลับขึ้นมาอีกครั้งเพื่อขนสองถังที่เหลือตามลำพัง

แต่ขณะจะดึงหูหิ้วของถังเข้ามือ ปู่ก็เรียกไว้เสียก่อน

“เดี๋ยว…หนูช่วยชงชาให้ปู่ก่อนนะแพ”

แพตรีต้องประหลาดใจอีกคำรบ ย่นคิ้วเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมาท่านไม่เคยรั้งหล่อนด้วยธุระเล็กน้อยเช่นนี้เลย ทว่าก็ก้าวไปจัดแจงชงชาตามคำสั่ง ทั้งที่พะวงกับการคอยของคนขับแท็กซี่ หล่อนทำอย่างค่อนข้างเร่งรีบ พอเสร็จก็วางบนโต๊ะข้างเก้าอี้โยกของปู่เรียบร้อย แต่เมื่อจะหยิบถังปู่ก็เรียกไว้อีก

“ปู่อยากดูตารางอะไรในหนังสือพิมพ์ฉบับวันศุกร์ที่ยี่สิบของเดือนก่อนหน่อย แพช่วยลงไปเอาจากกองมาให้ปู่ทีนะ เช้านี้แข้งขาขัดชอบกล ไม่อยากขึ้นลงบันได”

หญิงสาวชักนึกโมโห แต่พอรู้ตัวก็รีบสะกดลงอย่างรวดเร็ว เม้มปากเดินลงบันไดไปค้นหนังสือพิมพ์จากห้องเก็บของ ต้องเสียเวลาพอควรเนื่องจากถูกซ้อนไว้หลายชั้นด้วยความที่ไม่นึกว่าจะต้องรื้อกลับใช้อีก หล่อนหาอย่างตั้งใจจนพบ ตลอดมานับแต่จำความได้ปู่ไม่เคยสั่งอะไรไร้เหตุผลผิดกาลเทศะ คิดว่าท่านคงมีความจำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่

พอขึ้นเรือนวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะข้างปู่เสร็จก็ทำท่ากระวีกระวาดเป็นพิเศษ ฉวยถังได้รีบก้าวลงบันไดราวกับแมวกระโจน ด้วยเกรงจะได้ยินเสียงปู่ทักรั้งเอาไว้อีก แล้วก็โล่งอกที่ออกมาถึงหน้าบ้านจนได้

เมื่อเช้ามืดฝนหลงฤดูตกลงมาปรอยปราย อากาศจึงยังโปร่งเย็นชุ่มชื่นแม้จะล่วงเข้าแปดโมงครึ่งแล้ว แพตรียิ้มให้คนขับแท็กซี่แทนการขอโทษที่ทำให้ต้องรอนาน พอเห็นยิ้มของหล่อนเท่านั้น หน้าตาที่เริ่มจะบูดบึ้งของชายร่างอ้วนใหญ่ก็ดูผ่อนคลายลง แถมเดินมาช่วยยกถังใส่ท้ายรถให้อีก

วางถังสุดท้ายเข้าที่ ยังไม่ทันปิดฝากระโปรง หางตาแพตรีก็เห็นเงารถคันหนึ่งโฉบเข้ามาเทียบรั้ว ต่อท้ายแท็กซี่ ประตูด้านคนขับเปิดปับ เงาร่างสูงของชายคนหนึ่งโผล่พรวดออกมายืนเด่น

“จะไปไหนหรือฮะแพ?”

หญิงสาวมองหน้าเขา น้ำเสียงค่อนข้างกระตือรือร้นกับนัยน์ตาสีเหล็กที่จ้องจับเขม็งทำให้หล่อนหน้าขึ้นสีชมพูนิดหนึ่ง แต่เพียงครู่เดียวก็จางไป เหลือไว้แต่ความสงบและรอยยิ้มเย็นของคนมีความสุขอยู่กับตัวเอง

“ไปทำสังฆทานค่ะ” แล้วหล่อนก็เบือนหน้าไปทางตัวบ้าน “คุณปู่อยู่ข้างบนแน่ะค่ะ”

เกาทัณฑ์ชักกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกางเกงยีนส์ ดึงธนบัตรใบละร้อยออกมาจากร่องเก็บยื่นให้คนขับแท็กซี่หน้าตาเฉย

“เอาไปเลยลุง เดี๋ยวฉันพาน้องสาวไปเอง”

พอมอบเงินซึ่งแน่ใจว่าเกินเลขมิเตอร์เสร็จก็ไปเปิดกระโปรงท้ายรถของตน แล้วหันมากุลีกุจอหยิบยกถังสังฆทานโยกย้ายถ่ายเทเป็นการด่วน แพตรีเบิกตามองอย่างสุดทึ่ง ได้แต่ยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออกสักคำ

จนธุระถ่ายเทเรียบร้อย แท็กซี่วิ่งหายลับตาไป และเกาทัณฑ์ปิดกระโปรงท้ายแล้วนั่นแหละ ถึงได้มายืนสบตากันนิ่ง สายตาหญิงสาวไม่เชิงไม่พอใจ ทว่าก็มิได้ส่อแววยินดี หรือมีการกล่าวขอบคุณแต่ประการใด ต่างเป็นตรงข้ามกับสายตาของชายหนุ่ม ที่เปล่งประกายยินดีปรีดาจัดจ้า

“ไปกันเถอะฮะ”

เกาทัณฑ์อมยิ้ม เดินไปเปิดประตูด้านซ้ายและทำหน้าใสค้อมตัวให้ล้อๆราวกับข้าราชบริพารรอเสด็จ ดูเหมือนรู้จักมักจี่สนิทสนมกับหล่อนเสียเต็มประดา หญิงสาวยืนอยู่กับที่ครู่หนึ่ง เขาอาศัยความเป็นหลานปู่ถือสนิทช่วยเหลือเยี่ยงคนในครอบครัว หล่อนไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธ แม้กระอักกระอ่วนใจอย่างยากจะกล่าว ที่สุดคือต้องยอมเดินไปขึ้นรถเนือยๆ

เมื่อเห็นหล่อนลงนั่งเรียบร้อย เกาทัณฑ์ก็ปิดประตูให้ แล้วเดินอ้อมหน้ารถมาทางด้านคนขับ รอไว้สนิทกันมากกว่านี้หน่อย จะบอกว่าพิธีเปิดปิดประตูรถให้สาวตามธรรมเนียมรุ่นปู่นี้ เขาเพิ่งปฏิบัติกับหล่อนเป็นคนแรก

“ไปวัดไหนฮะ?”

ชายหนุ่มกดปุ่มหรี่เครื่องเสียงถาม หญิงสาวนิ่งเฉยราวกับไม่ได้ยิน ใจกำลังครุ่นคิดว่าเหตุใดจึงประจวบเหมาะเหลือเกิน ปู่ไม่ยอมไปกับหล่อนอย่างเคย ส่วนเขาคนนี้ก็เผอิญมาแทนพอดี จนเมื่อเกาทัณฑ์ถามซ้ำ แพตรีจึงตอบเบาๆ

“วัดทางนฤพานค่ะ”

คนขับร้องอ๋อ เพราะคราวก่อนแวะเข้ามาก็ด้วยความอยากจะเห็นวัดชื่อสะดุดหูสะดุดตาแห่งนี้เอง ทว่าขากลับจากบ้านปู่ดันลืมไปเสียสนิท เนื่องจากมัวแต่เหม่อลอย ใจถูกใบหน้าสวยหวานครอบงำจนความคิดอ่านเตลิดเปิดเปิงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเสียแล้ว

เกาทัณฑ์ออกรถเชื่องช้า ท่าทางมีความสุขอย่างล้นเหลือกับการถ่วงเวลาอยู่กับหล่อนให้นานที่สุด

“ทำบุญเนื่องในโอกาสอะไรครับ?”

แพตรีมองตรงไปเบื้องหน้า ทอดจังหวะเล็กน้อยก่อนตอบ

“ทำกับปู่ทุกเดือนค่ะ ไม่ใช่โอกาสพิเศษ”

“อ้อ” ทำทีรับรู้และเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่แล้วก็ทักว่า “อ้าว...แล้วปู่ล่ะครับ วันนี้ไม่ออกมาด้วยหรือ?”

ชะลอรถลงมองกระจกหลัง นึกว่าตนเองทิ้งปู่ไว้ที่บ้านโดยไม่เจตนา

“คงต้องการพักผ่อนมั้งคะ”

ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างไม่ติดใจ

“ผมเองกำลังนึกๆอยากทำบุญอยู่พอดี สบโอกาสเลย ขอร่วมด้วยคนนะ รังเกียจหรือเปล่าฮะนี่?”

หันมาดูท่าที เห็นหล่อนเงียบเหมือนปล่อยให้คิดเองอย่างคลุมเครือ จึงรีบเบี่ยงประเด็น

“ดีนะ ปู่ยังแข็งแรงอยู่เลย โชคดีที่มีแพดูแลอย่างนี้”

เกาทัณฑ์หักเลี้ยวขวา ทางต่อจากนั้นค่อนข้างขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อจนต้องชะลอความเร็วลงวิ่งแค่เกียร์ต่ำ เลื่อนมือไปเปลี่ยนเพลง เลือกหมายเลขที่ตรงกับอัลบั้มโรแมนติกจากซีดีเชนเจอร์ เพิ่มเสียงขึ้นเล็กน้อยอวดความนุ่มลึกของชุดเครื่องเสียงราคาแพงที่เขาภาคภูมินักหนา ทุกสิ่งดูสดใสชวนกระหยิ่มยิ้มย่องไปหมดในสายตายามนี้

“คุณปู่กับแพคงศรัทธาพุทธศาสนามาก ท่าทางใจบุญด้วยกันทั้งคู่ นี่ผมคุยกับปู่แล้วได้ซึมซับอะไรมาเยอะ ค่อยตาสว่างเห็นธรรมกับเขาบ้าง”

คลื่นความไม่จริงใจที่แฝงมากับน้ำเสียงของชายหนุ่มทำให้แพตรีผินหน้าเมินออกข้างทางและรักษาความเงียบไว้ เกาทัณฑ์รู้สึกถึงความห่างเหินที่หล่อนจงใจก่อ เขาซ่อนยิ้ม ยังดูไม่ออกทะลุปรุโปร่งว่าหล่อนเป็นผู้หญิงอย่างไรกันแน่ เขาเคยชินกับอาการเล่นตัวของผู้หญิงสวยมามากต่อมาก หากแต่สัมผัสใจพวกหล่อนได้เสมอว่าแท้จริงแล้วอยากให้เขาอ้อนหนักๆเท่านั้นแหละ

ทว่าสำหรับหลานปู่คนนี้ เวลานี้ ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดหรือพะวงอะไรอยู่สักอย่างมากกว่าจะวางมาดเพราะเห็นเขาแสดงท่าทีอยากตีสนิท

เมื่อมีโอกาสใกล้ ก็ยิ่งเห็นเป็นสิ่งแปลกและท้าทาย หล่อนเยือกเย็นอย่างชนิดที่เข้าใกล้แล้วมีความสุขประหลาด กับหญิงอื่นนั้น ความปรารถนาอันเป็นที่สุดเมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพังก็คือการได้เข้าไปค้นหารายละเอียดในเรือนร่างของพวกหล่อนตามวิสัยชาติเจ้าชู้ แต่กับสาวน้อยนางนี้ น่าฉงนนักที่ความปรารถนานั้นไม่ปรากฏแก่ใจเลย ความดึงดูดที่เกิดเป็นอีกแบบแตกต่างออกไป เหมือนก่อร่างอันผาสุกสงบขึ้นแทนตัวตนเดิม คล้ายเป็นอีกภาคหนึ่งที่ปรากฏขึ้นรองรับภาวะเคียงคู่กับหล่อนโดยเฉพาะ เป็นสัมผัสกระจ่างชัดจากภายในอยู่ตลอดเวลา มิใช่เพียงคิดไปเองชั่วครู่ด้วยอารมณ์หลง

ความนิ่งด้วยสติกับรัศมีอาภาพิเศษชนิดนั้นของหล่อน ทำให้อยากศึกษา อยากค้นหาว่าหล่อนรู้อะไร และคิดอย่างไรบ้าง

“นอกจากอยู่กับต้นไม้แล้ว แพชอบทำอะไรอีกฮะ?”

เกาทัณฑ์ถามอย่างแน่ใจสนิทว่าคำถามนั้นคงไม่ทำให้หล่อนประดักประเดิด เพราะดูออกว่าหล่อนไม่ใช่ประเภทบังอรเอาแต่นอน

“แล้วแต่โอกาสค่ะ”

คำตอบของหล่อนคล้ายหลีกเลี่ยงที่จะตอบตามตรง

“ถ้าเดาไม่ผิดแพคงชอบนั่งสมาธิทั้งวัน”

เขาเสี่ยงทายดูเล่นๆ แต่หล่อนก็งดที่จะเฉลยว่าผิดหรือถูก

“สมัยเรียนมัธยมปลายผมเคยฝึกสมาธิกับเขาเหมือนกัน มีพวกไปสอนนักเรียนเป็น

กลุ่ม ว่ากันว่าเป็นเทคนิคที่ได้ผลมาก แต่เสียดายผมนั่งแบบนั้นแล้วเกิดพลังจิตมากไปหน่อย ถึงขั้นเอาหัวไปโขกโป๊กกับเพื่อนข้างๆ ตาเหล่ทั้งคู่”

กะพูดให้ขำ แต่พอหันไปเห็นหล่อนเฉยสนิทเป็นเทวรูปก็เลยต้องอ้าปากหัวเราะเองแก้เก้อ ชักแน่ใจว่าหล่อนกำลังขุ่น เหตุอาจด้วยการจุ้นถือสนิทเกินงามของเขากระมัง แต่ก็ช่างเถิด มีปู่เป็นสะพานเชื่อมอยู่ทั้งคน ถือว่าเขามีศักดิ์เป็นพี่ในครอบครัวเดียวกันเสียอย่าง จีบสาวครั้งนี้เหมือนมีเรี่ยวแรงกำลังวังชาล้นเหลือ เชื่อแน่ว่าต่อให้ต้องเพียรเป็นปีก็ทำได้สบายมาก

แทนการชวนคุยต่อ ชายหนุ่มทำเป็นฮัมเพลงตามเสียงจากลำโพงซึ่งกำลังกระจายคลื่นความไพเราะเสนาะโสตอยู่รอบทิศ หวังว่าท่าทีผ่อนคลายสบายใจของเขาจะทำให้หล่อนเกิดความสนิทใจขึ้นบ้าง สำหรับเขาแล้ว แม้หล่อนทำทีขรึมอย่างนี้ ก็ยังให้ความรู้สึกที่ดีอย่างบอกไม่ถูก เย็นรื่นชื่นใจจนยิ้มอยู่คนเดียวก็ยังได้

กระซิบกับตนเองว่ามาพบใครบางคนที่มีความหมายกับเขาเหลือเกิน เรื่องจะให้เขาท้อง่ายๆนั้น อย่าหวังเลย

“เลี้ยวขวาค่ะ”

หญิงสาวบอกเตือนค่อนข้างดังเมื่อเห็นเขาขับเพลินจนเลยซอยแยก ความจริงเกาทัณฑ์เห็นป้ายชี้ทางไปวัดอยู่แล้ว แต่แกล้งทำเป็นวิ่งเลยเพื่อให้หล่อนเปิดปากพูดเสียบ้าง ซึ่งเมื่อหล่อนทักตามคาดก็เหยียบเบรกพรืด เข้าเกียร์ถอยหลังยิ้มๆคล้ายเพิ่งตื่นจากเหม่อ

“วัดทางนฤพาน...” เขาพึมพำขณะส่งสายตาพินิจป้ายไม้เก่าคร่ำคร่า “ผมสะดุดตากับป้ายบอกหน้าซอยมาตั้งแต่ครั้งที่เคยมาเยี่ยมปู่เมื่อหลายปีก่อนโน้น อยากเห็นมานาน คราวที่แล้วว่าจะเข้าไปดูเสียหน่อยก็ลืม”

รถวิ่งไปตามทางซึ่งดีกว่าเดิมอีกราวสองร้อยเมตรก็ถึงรั้ววัด เกาทัณฑ์หักหน้ารถคลานเข้าไปอย่างแช่มช้า กดสวิทช์ปิดเครื่องเสียงลง คิดว่าหล่อนคงพอใจหากเห็นเขาให้ความเคารพต่อสถานที่ ยิ้มมุมปากหน่อยๆเมื่อเห็นตนเองห่วงใยความรู้สึกหล่อนแม้เล็กน้อยขนาดนี้

บอกตนเองว่าวัดนี้คงไม่มีพระเด่นๆให้คนศรัทธาเท่าไหร่ สังเกตได้จากโบสถ์และกุฏิพระที่วิ่งผ่านล้วนแล้วแต่เก่าแก่ไม่แจ่มตาแจ่มใจเหมือนวัดดังซึ่งมีเศรษฐีมาขึ้นกันเยอะ พูดง่ายๆคือดูหรูน้อยกว่าที่ควรจะสมชื่อแปลกน่าเลื่อมใส แต่สิ่งน่าชอบใจอย่างหนึ่งคือความร่มรื่นของแมกไม้น้อยใหญ่ซึ่งดกดื่นอยู่ทั่วบริเวณนับแต่ทางเข้าเป็นต้นมา ทำให้อารมณ์เย็นและอยากทำบุญทำกุศลได้เหมือนกัน

“นฤพานนี่อย่างเดียวกับนิพพานหรือเปล่านะแพ?”

ถามขอความรู้จากหล่อน แพตรีรับว่า

“ค่ะ ความหมายเดียวกัน นิพพานเป็นคำนามบาลี นฤพานเป็นคำนามสันสกฤต โบราณบางแห่งใช้นิรพาณหรือนิรวาณก็มี”

เกาทัณฑ์ปรายตาแลหญิงสาวข้างกายแวบหนึ่ง หล่อนเป็นคนรู้จริงในเรื่องที่สนใจ และเขาเริ่มพบว่าถ้าเข้าเรื่องธรรมะ หล่อนจะตอบยาวกว่าปกติ ก็วกถามอีก

“ถ้าจำไม่ผิด นิพพานแปลว่า ‘เย็น’ ถูกไหม?”

หญิงสาวมีทีท่าไตร่ตรองนิดหนึ่ง ก่อนตอบคล้ายระวังอยู่ในทีว่า

“คำแปลตามพจนานุกรมคือ ‘ความดับกิเลสและกองทุกข์’ ความหมายอื่นแม้มีอยู่โดยเดิมก่อนหน้า ก็ไม่ใช่พุทธประสงค์ที่ตรงแท้...จอดใต้ต้นไม้นี่ก็ได้ค่ะ”

เกาทัณฑ์เบนหน้ารถไปจอดตามที่หล่อนบอก แต่ยังไม่ดับเครื่อง อย่างจะขอคุยต่อในรถอีกสักครู่

“หลังคุยกับปู่เมื่ออาทิตย์ก่อน ผมพยายามจับจุดหลักของพระศาสนาเรา จะเข้าใจผิดไปไหม ถ้าสรุปคือท่านว่าหมดความรู้สึกในตัวตน หมดอาลัยไยดี เลิกดิ้นรนแสวงหาอะไรๆทั้งปวง ก็คือถึงที่สุด ขึ้นชื่อว่าดับทุกข์ลงได้”

“ค่ะ”

“ผู้คนทั้งหลายต่างพอใจอยู่กับความสุข ความมีตัวตนอย่างใดอย่างหนึ่งในโลก ถ้านิพพานคือหนีโลก ก็คงหาคนอยากไปได้น้อยเต็มที น่าจะสมัครใจทุกข์บ้างสุขบ้างตามประสาคนตาฝ้าฟางเสียมากกว่า อาจกล่าวได้ว่าศาสนาเราเป็นศาสนาสำหรับชนหมู่น้อยสินะ”

พูดโดยมีเจตนายั่วให้แย้ง หางตาเห็นหญิงสาวหันมองเขา อึดใจนั้นคล้ายหล่อนอยากโต้ตอบ แต่แล้วก็ตัดสินใจเงียบ เปิดประตูก้าวลงจากรถไปรอเขา เกาทัณฑ์ดับเครื่อง ดึงคันโยกข้างเบาะเปิดกระโปรงท้ายรถแล้วก้าวตามลงมา เมื่อเดินมาใกล้ก็เห็นหล่อนยืนเม้มปากนิดๆอย่างคิดอะไรอยู่

“เคยถวายสังฆทานไหมคะ?”

หญิงสาวเงยหน้าถาม ชายหนุ่มสั่นศีรษะ

“เคยแต่ใส่บาตรพระตอนเช้าฮะ อ้อ ตอนทำบุญขึ้นบ้านใหม่กับเลี้ยงพระวันแต่งงานเพื่อนอย่างนี้ถือว่าใช่สังฆทานหรือเปล่า?”

หญิงสาวตัดบทว่า

“ธรรมเนียมของที่นี่พระท่านจะให้ญาติโยมกล่าวถวายกันเอง ถ้าท่องไม่ได้ก็คงต้องขอหนังสือมนต์พิธีจากท่าน”

เกาทัณฑ์เลิกคิ้วอย่างพอจะนึกออกถึงพิธีกรรมในการถวายสังฆทานแด่พระภิกษุสงฆ์ตามที่เคยเห็นมา

“แพกล่าวนำให้ผมก็ได้นี่”

แพตรีส่ายหน้า

“คงไม่เหมาะหรอกค่ะ”

ชายหนุ่มมองหน้าหล่อนด้วยแววใสแบบที่ปนด้วยอารมณ์ขบขัน หัวเราะออกมาหน่อยหนึ่งอย่างเข้าใจ หล่อนถูกถนอมเลี้ยงดูมาโดยปู่ซึ่งเป็นชายที่น่าเคารพนับถือ กับทั้งอยู่ในกรอบของธรรมเนียมนิยมสมัยเก่า จึงอาจติดความคิดประเภทชายเท้าหน้า หญิงเท้าหลังอยู่

“งั้นเอางี้ ไม่ต้องรบกวนพระท่านยุ่งหยิบหนังสือหรอก แพลองบอกผมซิ ท่องสดๆตอนนี้เลย เผื่อจะจำได้”

แพตรีเห็นแววเชื่อมั่นพอดีๆในตาญาติหนุ่มแล้วก็ทดลองบอกให้ทีละช่วง

“อิมานิ มะยังภันเต สังฆทานิ สะปะริวารานิ...”

เกาทัณฑ์มองตาหล่อนแน่วและท่องตามยิ้มๆ

“ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุโนภันเต ภิกขุสังโฆ...อิมานิ สังฆทานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ...อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ”

เขาสามารถว่าตามโดยไม่สะดุดหลุดแม้แต่คำเดียว แถมพอแพตรีบอกจบทั้งหมดก็ทวน

ใหม่ให้ฟังตั้งแต่ต้น ถูกต้องบริบูรณ์หาที่ติไม่ได้จนหล่อนต้องจ้องมองอย่างสงสัยครามครันว่า

เขารู้อยู่แล้วแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้หรือเปล่า

“ตอนเป็นประธานนักเรียนสมัยอยู่มัธยมผมเคยนำนักเรียนสวดมนต์ตอนเช้าและตอนพิธีไหว้ครูฮะ ท่องจำบาลีนี่งานถนัดเก่า”

สุ้มเสียงของเกาทัณฑ์ออกโอ่หน่อยๆ แพตรีกะพริบตาเนิบช้า

“หลังจากนั้นให้กล่าวแปลด้วยนะคะ” แล้วหล่อนก็ว่ารวดเดียวจบไม่พักวรรค “ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย สังฆทาน กับทั้งบริวารเหล่านี้ แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ สังฆทานกับทั้งบริวารเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนาน เทอญ อ้อแล้วตอนต้นต้องว่านะโมฯสามจบก่อนด้วย”

พูดจบก็มองเขานิ่ง ชายหนุ่มยิ้มละไมและหัวเราะหึๆ รู้ว่าหล่อนไม่เชื่อว่าเขาเพิ่งท่องได้ ถึงกับแกล้งบอกคำแปลเสียเร็วจี๋ แถมไม่เว้นช่วงให้เขาลองท่องตามอย่างนี้

“จำได้ไหมคะ?”

เกาทัณฑ์กระแอมทีหนึ่ง ลองตั้งต้นทวนให้หล่อนฟังทั้งบาลีและไทย ที่จริงเขาจำได้

ทะลุปรุโปร่ง แค่นี้สบายๆอยู่แล้ว แต่บางทีคุณภาพหน่วยความจำดีเกินเหตุก็พานพาความเข้าใจผิดมาหาตนได้ง่ายๆ เขาจำต้องแกล้งทำเป็นลืมนั่นนิดนี่หน่อยพอลบแววคลางแคลงออกจากดวงตาคู่งาม ไม่เป็นการดีหากหล่อนจะมองว่าเขาพูดจาโกหกเพื่ออวดเก่งกล้าสามารถเอาโก้

พอซักซ้อมจนเห็นเขาขึ้นใจดี แพตรีก็หยิบถังสองใบออกมา เกาทัณฑ์หยิบที่เหลือตามก่อนปิดท้ายรถ จากนั้นก็เดินคู่กันไปตามทาง

มีชาวบ้านเดินสวนมาสองคน คงรู้จักหญิงสาวดีจึงทักทายและยิ้มแย้มให้ แถมปรายตาช่างสังเกตมาทางเขาเป็นพิเศษ เขาเห็นหล่อนยิ้มตอบพอเป็นพิธีแล้วก้มหน้าเหมือนจะหลบหน่อยๆ เห็นแก้มแดงเรื่อที่สุดซ่อน เกาทัณฑ์จึงถึงบางอ้อว่าการสอดมือเข้ามายุ่มย่ามกับการทำบุญของหล่อนให้ผลเช่นไร

แต่แรกเพียงต้องการช่วยเหลือหล่อนให้ได้รับความสะดวกเป็นหลัก ไม่ทันคิดว่าจะทำให้คนละแวกบ้านหล่อนเข้าใจภาพที่ปรากฏผิดไป การทำบุญร่วมกันระหว่างชายหนุ่มหญิงสาวนั้นพิจารณาด้วยสามัญสำนึกไทยๆได้สถานเดียวคือเป็นคู่รักกัน หรือหนักกว่านั้นหน่อยก็คือเป็นสามีภรรยาไปเลย ใครจะคิดเล่าว่าเพิ่งคุยกันแค่สองคำแล้วจะมาทำสังฆทานร่วมกันได้อย่างนี้

หล่อนคงอาย แต่ช่างปะไร เขายืดอกกระหยิ่มยิ้มย่องผ่องใส ภูมิอกภูมิใจอย่างล้นเหลือกับการเดินเรียงเคียงหล่อนคนนี้ จะเพื่อความรู้สึกดีๆของตัวเองหรือเพื่อให้ชาวบ้านอิจฉาตาร้อน ล้วนแล้วแต่ใช่ทั้งนั้น

กุฏิเจ้าอาวาสเป็นเรือนไม้เก่า แต่ก็ท่าทางแข็งแรงยากจะผุพัง แพตรีนำชายหนุ่มขึ้นบันไดไปนั่งที่ชานเรือน ท่านสมภารกำลังคุยอยู่กับญาติโยมสองสามคน ในความสังเกตของเกาทัณฑ์ ท่านเป็นคุณตาใจดี ไม่ใช่ผู้คงแก่เรียน ไม่ใช่ผู้คงแก่วิชาอาถรรพณ์ และไม่ใช่แม้แต่คนสูงอายุที่ยังมีหลังตรงกับสติตั้งได้สมบูรณ์แบบเหมือนอย่างปู่ชนะ ดูจากสายตากับอาการพูดจากับญาติโยมแล้ว เขาว่าคงอยู่ในช่วงว่างสบายของชีวิต ท่าทางอาจชอบคุยถึงอดีตอันฟุ้งเฟื่องมากกว่าสวดมนต์หรือทำกิจอื่นของสงฆ์

พอหันมาเห็นหญิงสาวที่เพิ่งเข้านั่งพับเพียบต่อท้ายญาติโยมอื่น ท่านก็ทักว่า

“ว่าไงหนูแพ ปู่ไม่ได้มาด้วยเหรอ แล้วเอาใครมาด้วยล่ะนั่น?”

“ปู่พักผ่อนเจ้าค่ะ”

แพตรีตอบคำถามท่านแค่ครึ่งเดียว ครึ่งหลังเงียบเสีย เกาทัณฑ์ได้ยินสมภารหัวเราะยาว ไม่รู้เหมือนกันว่าหัวเราะอะไร คนแก่บางทีได้ยินใครบอกว่าเพิ่งกลับจากเชียงใหม่ก็หัวเราะแล้ว

ครู่หนึ่งท่านสมภารตะโกนสั่งพระลูกวัดให้นิมนต์พระสี่รูปแล้วหันกลับมาคุยกับญาติโยมชุดเก่าต่อ พอจับความได้ว่ากำลังสนทนาเรื่องพระลูกชายของโยมซึ่งมาบวชที่นี่ มีการถามไถ่ทำนองว่าอยู่ดีมีสุขหรือไม่ ปฏิบัติกิจของสงฆ์บกพร่องอย่างไรรึเปล่า ซึ่งก็ดูท่านสมภารจาระไนตามสะดวกว่าพระลูกชายสุขสบายทุกประการ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน บิณฑบาตได้ข้าวฉันอิ่มทุกมื้อ ปฏิบัติกิจของสงฆ์อย่างขยันขันแข็ง ไม่เอาแต่ง่วงเหงาหาวนอนหรือปูเสื่อฉันของถวายตลอดเช้าสายบ่ายค่ำ

เกาทัณฑ์ฟังแล้วคิดว่าคงเป็นการสนทนาแบบขอให้เสร็จไปทีเพื่อเอาใจผู้เป็นพ่อแม่ จริงๆท่านคงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพระรูปที่ถูกกล่าวถึงนั่นเท่าไหร่ สังขารท่านเป็นแบบนี้จะให้ลุกไปสำรวจพระลูกวัดทั่วๆได้อย่างไร

พอพระสี่รูปที่ถูกนิมนต์ทยอยขึ้นมาบนกุฏิจนครบ ญาติโยมชุดเก่าก็เห็นสมควรแก่กาล ควรกราบลาไปเยี่ยมพระลูกชาย ทำให้เกาทัณฑ์นึกในใจว่าพวกนี้แปลก แทนที่จะเยี่ยมลูกก่อนเพื่อดูเอาเองกับตาว่าอยู่ดีมีสุข เอกเขนกสบายอารมณ์บนกุฏิหรือปฏิบัติตนสมสมณะวิสัย กลับมาหาสมภาร ถามสมภารแทน อย่างนี้ก็มีด้วย ทำราวกับท่านมีหูทิพย์ ตาทิพย์ บอกได้ดีกว่าตนเองไปเห็นด้วยตาเปล่า

คงอีหรอบเดียวกับที่เขาเคยรู้จักมาบ้าง ประเภทผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในวัยรุ่นผิดพลาด เสียผู้เสียคนไปพักหนึ่ง พ่อแม่จับบวชล้างมลทิน หวังว่าห่มผ้าเหลืองแล้วตัวจะกลายเป็นทองขึ้นมาทันตา เกาทัณฑ์แอบแค่นยิ้มเยาะว่าแค่เครื่องแบบจะช่วยอะไรได้ จนถึงยุคนี้ ป่านนี้ ยังเชื่อกันอยู่อีกหรือว่าผ่านการบวชหมายถึงเข้าเตาชุบหรือเตาหลอม ออกมากลายเป็นชายเต็มตัว กลัวการทำบาป หันมาเป็นคนดีแท้ได้ชนิดสำเร็จรูป

พระที่ขึ้นมาล้วนแล้วแต่อยู่ในวัยหนุ่ม มีอยู่รูปหนึ่งเท่านั้นที่ท่าทางจะเลยสี่สิบ เขาไม่ได้พิจารณาละเอียดนักว่าดูดีมีสกุลแค่ไหน นั่นเป็นนิสัยอย่างหนึ่งของคนเรา คือจะไม่พิจารณาสิ่งที่รู้สึกแต่แวบแรกว่าอยู่คนละระดับกับตน หรือถ้าพิจารณา ก็ให้คะแนนติดลบไว้ก่อน

เมื่อพระมาปูอาสนะและเข้าที่นั่งเรียบร้อย แพตรีก็พยักหน้าให้เกาทัณฑ์ช่วยหล่อนนำถังไปวางไว้ตรงหน้าพระแต่ละรูป ชายหนุ่มกระตือรือร้นขึ้น เมื่อเห็นกิริยาแววไวสละสลวยดูแนบเนียนชวนมองเพลินของแพตรี จะเป็นยามที่หล่อนหยิบยกถังไปวางข้างหน้าตักพระ หรือเป็นยามที่ดึงกายกลับมานั่งสำรวม ทุกการเคลื่อนไหวสะท้อนให้เห็นจิตใจอันเปี่ยมด้วยความเคารพบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพระศาสนาเหนือเกล้า

อย่างนี้เองกระมังลักษณะของผู้แช่มชื่นในงานบุญ เขาสัมผัสถึงความอ่อนโยนมีชีวิตชีวาอีกแบบหนึ่งในใจตนเอง และชั่วขณะที่ช่วยหล่อนนำถังไปวางเข้าที่ ก็เริ่มซึมซับทีละน้อยว่าการทำบุญ ‘ร่วมกัน’ นั้นเป็นอย่างไร มันเหมือนมีแรงสองแรงเสมอกันผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียว ปราศจากความแบ่งแยกสักน้อย แม้กายก็ปรากฏต่อหางตาเป็นปฏิภาค เป็นคู่ตรงข้ามที่เคลื่อนไหวกลมกลืน เหมือนรับกันสนิทในที

พอเสร็จสรรพหญิงสาวก็นั่งคุกเข่าเทพธิดาทางขวามือของเขา ขมุบขมิบปากให้เขาดูเป็นรูป ‘นะโมฯ’ อย่างบอกเป็นนัยให้ขึ้นนะโมฯพร้อมกันเพื่อเริ่มถวายสังฆทาน เกาทัณฑ์คุกเข่าเทพบุตร เปล่งเสียงเริ่มกล่าวถวายด้วยท่าทีเชื่อมั่นและเป็นสุขไปพร้อมกันกับหญิงสาวผู้อยู่เคียง

เสียงชายหญิงที่ร่วมกิริยาบุญคล้ายสายใยแก้วบางใสที่ถักทอร้อยรัดใจเข้าหากัน เกาทัณฑ์ประจักษ์ในความชุ่มชื่นชนิดนั้น หัวใจของเขาสะอาดใสขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งจนน่าแปลกใจว่าตนอาจนึกเมตตาเอ็นดูผู้หญิงสักคนอย่างบริสุทธิ์ใจได้ปานนี้ บริสุทธิ์ชนิดที่ยินดีช่วยเหลือหรือเสียสละให้หล่อนทุกอย่างแม้พลาดจากการร่วมครองคู่กัน…

พลาดจากการร่วมครองคู่กัน

ชั่วขณะนั้น แค่คิดก็ทนไม่ได้แล้ว…

พอเสร็จจากการกล่าวถวาย ทั้งสองก็ช่วยกันประเคนคนละสองถัง เกาทัณฑ์สังเกตเห็นพระรับประเคนแพตรีด้วยผ้าแทนที่จะรับด้วยมือเปล่า หลังๆเห็นพระหนุ่มรุ่นใหม่ใช้มือรับของจากสีกากันเป็นแถว เมื่อพิจารณาแล้วเพิ่งเกิดความรู้ใหม่ว่าแม้การส่งของให้แก่กันก็ก่อความรู้สึกผูกพันฉันหญิงชายได้ ถึงต้องมีกฎมีระเบียบให้ใช้ผ้ารับแทนเป็นการกีดขวางความรู้สึกดังกล่าว เมื่อชายรับของจากหญิงด้วยวิธีนี้บ่อยเข้า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในระยะยาวก็คือความมีใจเหินห่างและเห็นเป็นสิ่งต้องห้าม สายตาช่างวิเคราะห์เชิงจิตวิทยาบอกเขาเช่นนั้น

พระทั้งหมดดูสำรวมจนแปลกตา ราวกับหมู่ทหารที่พร้อมกันอยู่ในกรอบระเบียบวินัยชั้นสูง ผ่านหลักสูตรอบรมขัดเกลาอันทรหดมาแล้ว พวกท่านไม่ชำเลืองมองแพตรีเลยแม้ด้วยหางตา เกาทัณฑ์ลอบสังเกตเกือบตลอดเวลา และชักนึกเลื่อมใสพระที่นี่ วัดนี้ต้องมีอะไรดีบางอย่างเป็นแน่ แต่ไม่อยากเชื่อเท่าไหร่ว่าท่านสมภารจะเป็นหมุดใหญ่ที่ตรึงทุกอย่างให้อยู่นิ่ง ดูท่านไม่น่ามีบารมีพอจะเข้มงวดกวดขัน ปลูกสำนึกให้บรรดาหนุ่มทั้งหลายกลายเป็นพระจริงพระแท้แบบโบราณกาลไปได้

ประเคนเรียบร้อยแพตรีก็เลื่อนเต้ากรวดน้ำให้เขาพร้อมกระซิบเร็วๆ

“รินน้ำลงขันรองนี่ตอนพระองค์หัวหน้าท่านขึ้นยถา พยายามให้น้ำไหลต่อเนื่องไม่ขาดสายจนหมดพอดีเมื่อท่านลงคำว่ายถายาวอีกครั้ง ระหว่างน้ำรินอยู่จะตั้งใจอุทิศบุญกุศลให้ใครก็ได้ที่ล่วงลับไปแล้ว”

ตลอดมาเขาไม่เคยเชื่อเรื่องอุทิศบุญที่มองไม่เห็น แต่ครั้งนี้ลองดูเสียหน่อย จะว่าตกกระไดพลอยโจนก็ได้ เมื่อยินเสียงหัวหน้าพระขึ้นคำว่ายถา เกาทัณฑ์ก็เริ่มรินน้ำลงขันด้วยความตั้งใจที่ไหลรวมกับสายน้ำว่า

‘ความสุขจงมีแก่ปู่ชนะและแพ’

มีความบันเทิงใจเมื่อตั้งจิตเช่นนั้น ไม่สำคัญว่าจะเกิดผลจริงหรือเปล่า เขาพอใจเสียอย่าง นึกๆไปก็เห็นคุณค่าของพิธีการทั้งหลายแหล่ของคนโบราณ ซึ่งล้วนเป็นอุปเท่ห์ทางจิตวิทยานำสุขมาสู่ใจอย่างได้ผล อย่างน้อยก็เป็นหนทางอ้อมๆสร้างความรู้สึกด้านบวกให้แก่ผู้ที่ตนอุทิศบุญ แพตรีบอกให้เขาอุทิศแก่ผู้ล่วงลับ แต่เขาว่าไม่ได้ประโยชน์เท่ากับให้คนยังมีชีวิตอยู่ด้วยประการทั้งปวง

พอพระจบยถา เกาทัณฑ์ก็คว่ำเต้ากรวดขาดน้ำพอดี พระทั้งหมดรวมทั้งท่านสมภารเริ่มสวดสัพพีพร้อมกันและต่อด้วยชะยันโตเป็นกรณีพิเศษ เกาทัณฑ์นั่งพนมมือหลับตาฟังตามที่เห็นหญิงสาวทำ เขาตั้งใจฟังอย่างเบิกบาน แม้จะไม่รู้เรื่องว่าพระสวดอะไรบทไหนหรือมีความหมายอวยพรประการใด พอใจที่หลับตาแล้วเกิดความรู้สึกปลอดโปร่งสว่างนวลน่าพิสมัย เพิ่งเห็นว่าการถูกห่อหุ้มด้วยข่ายคลื่นเสียงสวดมนต์อันมีพลังลึกของหมู่สงฆ์นั้นอบอุ่นเป็นสุขน่าพึงใจเพียงไร ทั้งวิเวกชวนเคลิ้มสงบ ทั้งไพเราะน่าฟังให้เกิดปีติเมื่อเงี่ยหูสดับ ที่ว่าทำสังฆทานได้บุญมากก็คงเพราะมีสุขมากอย่างนี้นี่เอง

เสร็จสิ้นทุกกระบวนการแล้วสองหนุ่มสาวก็กราบสงฆ์สามครั้ง พระสี่รูปนั้นทยอยลงจากกุฏิไป

“ปู่เราเป็นไงฮึแพ ไม่สบายรึเปล่า ทำไมไม่มา?”

ท่านสมภารถามฉันคนรู้จักคุ้นเคย ฟังดูคล้ายท่านกับปู่ชนะมีความเป็นเพื่อนกันอยู่แต่เก่าก่อน

“เปล่าหรอกค่ะ”

แพตรีตอบอ้อมแอ้ม ภิกษุชราหัวเราะออกมาอีก ดูท่านหัวเราะง่ายเสียจริง

“ถามนี่ไม่ใช่อะไรหรอก คนแก่น่ะ ฉันรู้ว่าโรคมันมาก อย่างหลวงตาใกล้จะลงโรงที่นั่งอยู่นี่เป็นต้น สามวันดีสี่วันไข้ แต่ก็ดีไปอย่างนะที่ได้มรณานุสติโดยไม่ต้องกำหนดกันมาก เอาแค่เห็นอาการร่อแร่จะจะนี่ก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว”

เสียงท่านพูดอย่างอารมณ์ดีราวกับเล่าให้ฟังว่าวางแผนจะไปเที่ยวตากอากาศ เกาทัณฑ์อดขันไม่ได้ การอยู่ในพุทธศาสนามานานคงทำให้ท่านสมภารเชื่อนรกสวรรค์ เชื่อว่าตายในผ้าเหลืองแล้วไปสบาย นี่เป็นแง่หนึ่งที่เขานึกตั้งแง่กับศาสนาทั้งหลาย คนเราคงเลิกทำอะไรหมดถ้าเชื่ออย่างนี้กันสักครึ่งโลก บวชครองผ้าเหลืองรอรางวัลลี้ลับในชาติหน้าดีกว่า เขาว่าเผลอๆคนส่วนใหญ่บวชก็เพราะเหตุนี้ ดูแล้วน่าเสียดายที่ไปเชื่อมั่นชีวิตหลังความตายอันเลิศเลอทว่าเลื่อนลอย ไม่ไยดีกับชีวิตปัจจุบันซึ่งเห็นตำตาอยู่ชัดๆ

“พ่อหนุ่มนี่ทำมาหากินอยู่แถวไหนล่ะ บ้านอยู่ละแวกใกล้นี่รึเปล่า?”

ท่านหันมาทางเกาทัณฑ์อย่างชวนปราศรัย ชายหนุ่มมองตอบด้วยสายตาและรอยยิ้มแสดงความเคารพ เพราะสังเกตดูแพตรีให้ความนับถือสูงมาก

“ไกลเหมือนกันครับ บ้านกับที่ทำงานผมอยู่ในตัวเมือง”

“อ้อ”

ท่านครางรับรู้ ยิ่งดูยิ่งเห็นไม่ต่างจากคนแก่ที่ว่างงานตรงไหน ทั้งการพูดการจา ทั้งอิริยาบถต่างๆ ปู่ชนะยังดูทรงภูมิและเปี่ยมบารมีน่ายำเกรงเยี่ยงผู้สูงวัย สูงประสบการณ์กว่าตั้งหลายเท่า ปู่กับหลานสาวเลื่อมใสหลวงตาองค์นี้ที่ตรงไหนหนอ? ถ้าให้เดาก็คงพอประมาณได้แหละว่าวัดแถวนี้มีน้อย เจอองค์ไหนก็เอาองค์นั้นไว้ก่อน

“หน้าตาเหมือนพระเอกหนังดีจริงๆ”

ท่านชมเกาทัณฑ์ประสาคุณตา แล้วคว้าหนังสือพิมพ์ใกล้ตัวขึ้นมาทำทีเหมือนอยากอ่านข่าวพาดหัวหน้าหนึ่ง นี่คงตั้งท่าไล่เขากับหล่อนแล้วกระมัง

“คนสมัยนี้เขาไปถึงไหนกันแล้วล่ะ หลวงตาเดินเหินไปดูไปฟังไม่ไหว แต่เห็นข่าวที่เขาเอามาให้อ่านนี่แล้วก็เข้าใจว่าโลกเหมือนจะลุกเป็นไฟ...”

ขณะที่ท่านทอดตามองหนังสือพิมพ์และพูดไปเรื่อยนั้น เปลวไฟก็ค่อยๆก่อตัวและลามเลียมแผ่นกระดาษทีละน้อย

“สิ่งยั่วยุมันมีมาก ถ้าเราไม่รู้ว่าเป็นไฟ และปล่อยให้ลุกลามเป็นกองโตขึ้นเรื่อยๆโดยไม่หาทางดับ ไฟก็จะนำความพินาศที่นึกไม่ถึงและไม่เคยรู้จักมาสู่”

หนังสือพิมพ์กลายเป็นไฟกองโตที่ลุกโพลงและมียอดเปลวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจรดเพดานกุฏิท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของสองหนุ่มสาว ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างเดียวกับฝัน คือไม่มีต้นสายปลายเหตุสมจริง ความรู้สึกของเกาทัณฑ์และแพตรีจึงคล้ายฝันเช่นกัน ไม่มีใครกระดิกกระเดี้ยได้เลยสักนิดเดียว

เสียงฮือของเปลวเพลิงดังขึ้นเรื่อยๆอย่างน่ากลัว ไฟเริ่มแผ่ลามไปบนเพดาน และบัดนั้นเองเกาทัณฑ์ก็ได้สติลุกพรวดขึ้นยืนเหมือนหลุดออกจากกรงแห่งอาการช็อก สมองสั่งงานว่าจะต้องหาทางดับไฟให้ได้โดยเร็วที่สุด

“เพียงเรารู้วิธี ก็ดับไฟได้โดยไม่ต้องวิ่งไปหาเครื่องมือจากไหน”

ท่านสมภารพูดอย่างเยือกเย็นทว่าทรงอำนาจชนิดที่ทำให้เกาทัณฑ์ต้องขนลุกเกรียว เห็นถนัดตาว่าท่านยังถือไฟกองโตไม่ปล่อย นับเป็นภาพที่น่าตระหนกและชวนพิศวงงงงวยเหนือคำบรรยาย แม้ยืนห่างออกมาสองสามก้าวยังสัมผัสถึงความแผดร้อนผะผ่าว กองเพลิงอันร้อนระอุคุคลั่งคล้ายมีแรงพิโรธกราดเกรี้ยวในตนเองเห็นปานนั้น ท่านสมภารทนอยู่ได้อย่างไรไหว

ภิกษุชราปิดตาลงครู่หนึ่งเป็นดุษณี ก่อนเปิดเปลือกตาขึ้นเป่าลมปากพรวดลงไปบนกองเพลิงระหว่างแขนเบาๆ มันดับพรึ่บในพริบตาเดียว เศษขี้เถ้ากระดาษฟุ้งกระจายทั่วห้อง เล่นเอาตาคนเห็นเบิกโพลงอย่างยากจะเชื่อตนเองอีกคำรบ

แล้วอย่างต่อเนื่อง ท่านเงยหน้าขึ้นมองเพดานซึ่งบางส่วนกำลังถูกริ้วไฟแดงฉานคุกคามหนักขึ้นทุกขณะราวกับมีเชื้ออย่างดีฉาบไว้ หรือเหมือนเพดานสร้างขึ้นด้วยฟางแห้ง ท่านสูดหายใจเต็มปอดแล้วป่องปากเป่าลมพุ่งขึ้นไปดังฟู่ใหญ่ เกาทัณฑ์และแพตรีรู้สึกเหมือนมีแรงลมมหาศาลส่งออกมาจากต้นทางที่เล็กไม่สมขนาด มันเป็นพลังลมที่หนักหน่วงรุนแรงราวกับพายุสลาตัน สะเทือนโยกไปทั้งกุฏิ ได้ยินเสียงออดเอียดของไม้คล้ายปรากฏมือยักษ์ไร้ตนมาตบ

ผลคือไฟดับสนิท

เกาทัณฑ์ปากคอสั่น เกิดมาไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้พบเจออะไรอย่างนี้เลย เขาทรุดกายนั่งลงพับเพียบด้วยอาการของคนขาดสติสัมปชัญญะไปชั่วขณะ

ท่านสมภารทอดตาดำลึกและฉายแววพิสดารลี้ลับไปทางแพตรี กล่าวด้วยน้ำเสียงการุณย์ว่า

“กลับไปก่อนนะแพเอ๊ย หลวงตาจะปลงอาบัติ...ต้องนั่งสมาธิขอขมาธรรมกันนานล่ะ”

พูดแล้วก็ระบายลมหายใจยาวเหยียดและปิดตาลง ยามนั้นเกาทัณฑ์ไม่รู้สึกว่าท่านเป็นคนแก่อีกแล้ว


สองหนุ่มสาวกราบลาแล้วลงจากกุฏิของท่านสมภารอย่างเงียบเชียบ พูดอะไรไม่ออกกันแม้แต่คำเดียว


ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น