บทที่ ๒ เอกาปีติ
แพตรีกลับมาถึงบ้านก่อนห้าโมงเย็นเล็กน้อย
ล้างหน้าล้างตาแล้วขึ้นไปดูคุณปู่ข้างบนเรือน
เห็นหลับอยู่ก็ลงมาข้างล่างเพื่อพบปะกับน้องน้อยทั้งหลายของหล่อนเสียหน่อย
ก่อนเข้าครัวทำอาหารเย็น
น้องๆเรียงรายอยู่รอบบ้าน
รอการรดน้ำรินใจจากหล่อนสลอน
แพตรียิ้มมุมปากนิดๆอย่างคนที่สามารถมีความสุขอยู่กับตนเอง
หล่อนมองไม้ดอกไม้ประดับแต่ละต้นด้วยความรักสนิท
สัมผัสชัดถึงกระแสแห่งความมีชีวิตและวิญญาณของพวกมัน
เคยชินกับการเห็นรอยยิ้มที่ส่งออกมาจากแต่ละไม้ใบ แต่ละกลีบดอก
พวกมันถือกำเนิดมาจากมือหล่อน
หล่อนเป็นผู้เลี้ยงดูทะนุถนอมให้แตกกิ่งก้านสาขาออกมาวันต่อวันอย่างไม่เคยเบื่อหน่าย
‘ถ้าผมเข้าถึงความรู้สึกของดอกไม้พวกนี้ได้
ผมคงรู้จักความประณีตอีกแบบหนึ่งของจิตใจเหมือนแพบ้าง’
คำพูดของใครคนหนึ่งกลับมากลับมากระซิบก้องอยู่ในหู
อารมณ์ไหวไกวเล็กน้อย แล้วกลับสงบเยือกเย็นลงราบคาบ
สายลมอ่อนพัดกิ่งใบมวลไม้รอบข้างพลิ้วไหว มือน้อยยกขึ้นเสยปอยผมที่ต้องแรงลมเข้าที่
สยายยิ้มกว้างขึ้น
สีชมพูสดฉ่ำของกอกุหลาบซึ่งเข้าประทับกลางตาเวลานั้นช่างให้ความหวานแหลมล้ำลึกต่างจากธรรมดา
หล่อนรินรดสายน้ำจากถังติดฝักบัวลงดินจนชุ่มพอประมาณไปทั่วบริเวณ
ตั้งความคิดให้น้ำนั้นซึมลงถึงทุกรากทุกแขนงของไม้พุ่มหอมเบื้องหน้า
จินตนาการเห็นความเอิบอาบอันแผ่ซ่านขึ้นเลี้ยงทั่วทุกอณูลำต้น กิ่งใบ
และกลีบดอกสีชมพู ดวงจิตดิ่งลงเป็นสมาธิ รู้ชัดถึงความอิ่มเกษมสดชื่นในตัวกุหลาบ
เท่ากับความปิติเบิกบานในตนเอง
กำหนดรู้การเข้าออกของสายลมหายใจอันนิ่มนวลและยืดยาวชัดลึกกว่าปกติ
กลิ่นอายความสดฉ่ำระรื่นจากมวลพฤกษ์พันธุ์รอบด้านรวมอยู่ในสายลมหายใจนั้น
กระจายเข้าสู่ทรวงอก
แลเห็นในมโนนึกดุจธารทิพย์ที่ไหลบ่าสู่ข่ายประสาททั่วร่างจนเต็มปีติ
ชั่วขณะนั้นหล่อนสามารถจับต้องกลีบใบของกุหลาบด้วยสายตาที่เปิดกว้างกว่าปกติ
จนสำเหนียกความเนียนแน่นทว่าบางเบาละเอียดอ่อนด้วยใจโดยตรง
ราวกับปราศจากประสาทตากั้นขวาง
จากความอาบเอ่อแห่งกระแสปีติทวีขึ้นหลามล้นท้นอกในชั่วขณะนั้น
ประกอบกับความเห็นแน่วเพียงลมหายใจและกลีบกุหลาบหวาน รวมกันดึงดวงจิตแพตรีดิ่งล่วงเข้าสู่ห้วงแห่งสมาธิอันล้ำลึกโอฬาร
ดวงสำนึกแปรเป็นเปลวมหัศจรรย์ลุกโพลงซ่านไสวไปทุกทิศทุกทาง
ภายในอันผนึกแน่นมั่นคงรู้เห็นแต่รสหวานแห่งสีชมพูอันงามตระการ
ลอยล่องอยู่ในสรวงสวรรค์อันรังสรรค์ขึ้นจากสัมผัสละไมลึกซึ้งระหว่างวิญญาณมนุษย์กับดอกไม้
ทั้งสุขสงบปราณีต ทั้งปรีดาปราโมทย์ราวกับทะยานขึ้นสู่ห้วงหฤหรรษ์อันไร้เขต
ไร้พรมแดน ไปสถิตอยู่ในที่ที่ดีที่สุดนอกเขตพิภพหยาบไกลโพ้น
การสังสรรค์ระหว่างวิญญาณมนุษย์และพฤกษ์พันธุ์ดำรงอยู่เพียงชั่วไม่นานก็แปรไปตามธรรมชาติแห่งพระอนิจจัง
แพตรีอ้อยอิ่งอาวรณ์กับความยิ่งใหญ่น่าพิสมัยนั้น ทว่ายังมีความชำนาญน้อย
โดยเฉพาะในขณะแห่งการลืมตา จึงต้องปล่อยให้ละลายหายไปตามยถา
สมาธิจิตระดับเฉียดฌานหรือที่เรียก
อุปจารสมาธิ นับเป็นของสูง มิใช่สภาวะอันเป็นสาธารณะแก่ปุถุชน
ภาวะนั้นคล้ายลอยคออยู่กลางทะเลเมฆอันละมุนเสมอกัน แผ่ผายขยายกว้างสุดประมาณ
แม้เท้าติดพื้นก็เหมือนยืนอยู่บนหมอนนุ่ม
เหตุเพราะธรรมชาติสมาธิยังผลให้กายเบาด้วยการหลั่งสารอันให้รสเกษมอาบตนเอง
สองปู่หลานรับประทานอาหารเย็นด้วยกันเงียบๆเมื่อได้เวลาทุ่มครึ่ง
ทั้งสองเป็นมังสวิรัติ หรือผู้ปราศจากความยินดีในเนื้อสัตว์ อาหารที่วางบนโต๊ะจึงหาจานเด็ดตามรสนิยมของคนทั่วไปไม่ได้
แต่ก็หน้าตาน่าทานด้วยความสามารถเฉพาะตัวของแม่ครัวสาว
“สอบเป็นไงมั่ง?”
ปู่ชนะถามเหมือนชวนสนทนามากกว่าอยากรู้
เสียงของปู่มีกังวานนุ่มลึกชวนฟังและก่อให้เกิดความอบอุ่นใจแก่ผู้ได้ยินเสมอ
“ก็ดีค่ะ เหลือวิชาสุดท้ายวันจันทร์”
“สอบเสร็จก็จบแล้วสินะ”
“ค่ะ”
แพตรียิ้มๆ
การคุยกับปู่เป็นอีกความสุขหนึ่งในชีวิต
“ตกลงยังแน่ใจอยู่รึเปล่าว่าอยากจะสอนหนังสือเด็ก?”
เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ปู่ถามถึง
หญิงสาวแกล้งเลิกคิ้วทำตาเป็นประกาย
“อยู่เฉยๆได้ไหมคะ
ให้ปู่เลี้ยงไปเรื่อยๆอย่างนี้แหละ”
หล่อนยังอยากอยู่ในวัยเยาว์และช่างฉอเลาะเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าปู่
ปู่ชนะยิ้มอย่างอารมณ์ดี
นัยน์ตาดำสนิทผิดวัยทอดจับหลานสาวเปี่ยมด้วยแววห่วงใยปรานี
“เป็นต้นไม้หรือไงถึงจะอยู่เฉยๆให้ปู่เลี้ยง”
“ค่ะ แพเป็นต้นไม้”
หญิงสาวหัวเราะนิดๆ “บางทีก็รู้สึกเหมือนเป็นต้นกระถินในบ้าน”
ปู่ชนะหัวเราะในลำคอ
ทว่าสายตายังรั้งคำถามเดิมเพ่งมองหล่อน
“แพแน่ใจว่าต้องการสอนเด็กตลอดไปค่ะปู่”
ขยับเรียวปากตอบในลักษณาการแย้มยิ้ม
แต่น้ำเสียงจริงจังขึ้น ชายชราถอนใจ
“สมัยนี้...เป็นครูในแบบที่แพอยากเป็นน่ะ
ไม่ง่ายหรอกนะ”
หลานสาวพยักหน้า
“ทราบค่ะ”
ตาคู่งามทอประกายรู้ตามคำกล่าวของตน
“แต่แพก็มองไม่เห็นว่าตัวเองจะทำอะไรได้มีความสุขเท่ากับเป็นครูของเด็กเลย”
ชายชราเคี้ยวคำข้าวเรื่อยๆจนละเอียด
กลืนแล้วจึงเปรย
“ทุกวันนี้ผู้คนถูกมอมเมา ถูกฝังนิสัยร้ายกันตั้งแต่ยังเล็ก
ครูบาอาจารย์ที่เป็นสิ่งแวดล้อมสำคัญ บางทีก็กลับมีพฤติกรรมชั่วร้ายเสียเอง
ถ้าได้แพเป็นแสงนำทางดีๆไว้สักดวง ก็คงช่วยรักษาภาพพจน์ของครูดีๆบ้างล่ะนะ”
แพตรียิ้มอย่างเชื่อมั่น
“แพจะทำให้เด็กนับถือ
และคล้อยตามในทางดี เหมือนอย่างที่แพนับถือและคล้อยตามปู่มาตั้งแต่เด็กให้ได้ค่ะ”
ปู่ชนะพยักหน้า
ใช้ส้อมเขี่ยข้าวจากช้อน ก่อนตักน้ำแกงจากชามพลางถามคล้ายหยั่งเชิง
“หากมีเวลาจำกัด
ระหว่างเด็กดีกับเด็กดื้อ หนูจะเลือกดูแล หรือให้ความสำคัญกับใครก่อน?”
แพตรีคิดนิดหนึ่ง ก่อนให้คำตอบ
“คงต้องเป็นเด็กดีค่ะ
เพราะเด็กดีอาจจะยังไม่ดีจริง แต่อยู่ในวิสัยง่ายที่จะเป็นได้
เมื่อโตขึ้นแล้วก็อาจเป็นประโยชน์ในวงกว้าง ส่วนเด็กดื้อนั้นอาจไม่เลวจริง
แต่ความรั้นจะดึงเวลาของเราไปมาก
และไม่มีอะไรประกันว่าเราสามารถชนะความรั้นของเขาได้หรือเปล่า”
ว่าที่คุณครูคนงามเม้มปากเล็กน้อย
“ในความเป็นจริง
แพคงมีเวลาเพียงพอจะดูแลทั้งเด็กดีและเด็กดื้อมั้งคะ
ถ้าปล่อยให้เด็กดื้อกลายเป็นคนเลว
วันหนึ่งเขาอาจสร้างผลสะเทือนด้านร้ายได้อย่างประมาณไม่ถูก
สิ่งดีที่คนดีๆสร้างสรรค์ไว้มากและใช้เวลายาวนานแค่ไหน ก็อาจพินาศจนหมดสิ้นในชั่ววันเดียวด้วยน้ำมือคนเลว”
เห็นความมุ่งมั่นและยินน้ำเสียงจริงจังของหลานสาวแล้ว
ปู่ชนะต้องเผยอยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูไฟฝันและพลังอุดมคติแห่งวัยสาว
ประติมากรมองผลงานอันน่าภาคภูมิของตนเช่นไร ท่านก็มองแพตรีด้วยท่าทีเช่นนั้น
“ปรัชญาในการให้ความรู้ ความคิด ความดีงามของหนูเป็นยังไง?”
แพตรีกะพริบตาทีหนึ่ง
“จากที่แพเคยฝึกสอนมาบ้าง
ก็พอมองเห็นค่ะว่าเราให้ความรู้ก็เมื่อขณะพูดอยู่ฝ่ายเดียว
ให้ความคิดได้ตอนถามหรือโต้ตอบกับพวกเขา ส่วนความดีงาม
คงต้องถ่ายทอดอย่างตรงไปตรงมาผ่านการกระทำเป็นหลัก”
ปู่ชนะผงกศีรษะน้อยๆ
“แค่เด็กได้ยินเสียงหนูทุกวัน
เขาก็รับกระแสความดีไปเก็บไว้เป็นส่วนหนึ่งในใจแล้วล่ะ”
เสร็จจากโต๊ะทานข้าว
สองปู่หลานออกมาเดินตากน้ำค้างเล่นในบริเวณทางเดินของเขตบ้าน
ชายชราจามเบาๆทีหนึ่งแล้วแหงนหน้ามองดาว
บางค่ำคืนท้องฟ้าราตรีแถบชานเมืองก็มีดาวสวยๆพร่างพราวละลานตาให้เพลินพิศ
อย่างเช่นคืนนี้เป็นอาทิ
“อายุยี่สิบเอ็ดใช่ไหมแพน่ะ?”
ปู่ถามลอยๆคล้ายแค่ให้การดูดาวไม่เงียบจนเกินไป
“อีกห้าเดือนน่ะค่ะ”
หล่อนตอบเสียงใสด้วยความรู้สึกแบบเด็กน้อยที่อบอุ่นและร่าเริงเมื่ออยู่ใกล้ชิดบิดา
คืนนี้กลุ่มดาวนายพรานขึ้นตั้งแต่หัวค่ำ หล่อนติดใจดาวกลุ่มนี้มาแต่ไหนแต่ไร
อาจเป็นเพราะปู่ชี้ให้ดูและแนะนำให้รู้จักเป็นกลุ่มแรก
มันทำให้หล่อนมีจินตนาการบรรเจิด มีความช่างฝันและรู้จักอารมณ์อ่อนอุ่นที่เกิดจากหัวใจบริสุทธิ์เสมอมา
“พอเรียนจบก็เป็นผู้ปกครองตัวเองได้แล้วสินะ”
ปู่ยังคงพูดในลักษณะเรื่อยเปื่อย
ทว่าทำให้หญิงสาวใจหายอย่างประหลาด
หล่อนตอบด้วยเสียงเบาและสั่นในอึดใจต่อมาด้วยอารมณ์ที่แปลกเปลี่ยนกะทันหัน
“คงยังไม่ได้มั้งคะ”
“ปู่อยากบวชเสียทีแล้วนะแพ”
แม้จะทอดอ่อนนุ่มนวลเช่นเคย
แต่คำประกาศนั้นก็แฝงสำเนียงเป็นงานเป็นการด้วยเจตนาจะให้หลานสาวรับรู้ว่าหล่อนต้องตั้งใจฟังเรื่องสำคัญ
แพตรีเงียบกริบ พูดอะไรไม่ออกอยู่เป็นนาน
“ทุกวันนี้ก็เหมือนบวชอยู่แล้วนี่คะ”
ในที่สุดหล่อนก็เอ่ยคำนั้นออกมาได้เพียงแผ่ว
“ไม่เหมือน...ปู่ยังมีแพเป็นแก้วตาดวงใจ
ยังเป็นห่วงหนู อย่างนี้ไปถึงที่สุดไม่ได้หรอก”
แพตรีเม้มปากอยู่ในเงามืด
ความเดียวดายและความเงียบเหงาอย่างลึกซึ้งแล่นเข้าจับใจจนเกิดก้อนสะอึก
แต่ก่อนจะทวีตัวถึงขั้นแปรเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ ก็ชิงตัดอารมณ์เศร้าทิ้ง
และแทรกแทนด้วยจิตอนุโมทนาเปี่ยมล้น
ที่ทำได้ก็เพราะหล่อนรู้ดีว่ารสธรรมนั้นล้ำเลิศเพียงไหน
สมควรที่เวไนยชนจะพึงแสวงและควรรักษาไว้เพียงใด
หล่อนต้องดีใจกับปู่ถึงจะถูกที่ท่านกำลังจะได้ครองธรรมอันประเสริฐขั้นสูงสุด
เมื่อจิตอันเป็นกุศลผุดขึ้นชัดเต็มดวง
แพตรีจึงยกมือพนมไหว้ไปทางผู้มีพระคุณล้นเกล้า
“แพขออนุโมทนาด้วยค่ะปู่”
“อือม์”
ปู่เอื้อมมือไปลูบศีรษะหล่อนอย่างอ่อนโยนครู่หนึ่งก่อนกล่าวคำ
“ไม่ต้องกลัวว่าจะอยู่คนเดียวหรอก อีกไม่นานแพก็จะมีครอบครัวของแพเอง
มีคนที่แพจะรักและรักแพแทนปู่ มีลูกหลานที่จะทำให้แพต้องวุ่นวายดูแล”
“คงไม่หรอกค่ะ”
หล่อนตอบปู่ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ถ้าปู่บวชแพก็จะบวชชีตาม
และเพื่อความสบายใจไม่เป็นห่วงใยซึ่งกันและกัน แพจะบวชให้ไกลจากที่ที่ปู่อยู่
ไม่มาพบปู่อีกเลยชั่วชีวิต”
ปู่ชนะเหลือบตามองสาวน้อยใกล้ตัวแล้วหัวเราะหึๆ
ซ่อนแววรู้เห็นเช่นผู้ใหญ่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวไว้ในเงามืด
“จะเอาอย่างนั้นก็ตามใจ”
ชายชรากับหลานสาวทอดเท้าเดินต่อเอื่อยๆ
แว่วเสียงหรีดหริ่งเรไรจากรอบด้านกลางความสงัดเงียบของค่ำคืน
ไม่มีใครเอ่ยคำพูดใดอีก หญิงสาวพยายามกลั้นสะอื้น แต่อย่างไรก็กลั้นไม่อยู่
ต้องก้มหน้าร้องไห้ออกมาจนได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น