วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทางนฤพาน บทที่ ๒ เอกาปีติ

บทที่ ๒  เอกาปีติ


แพตรีกลับมาถึงบ้านก่อนห้าโมงเย็นเล็กน้อย ล้างหน้าล้างตาแล้วขึ้นไปดูคุณปู่ข้างบนเรือน เห็นหลับอยู่ก็ลงมาข้างล่างเพื่อพบปะกับน้องน้อยทั้งหลายของหล่อนเสียหน่อย ก่อนเข้าครัวทำอาหารเย็น

น้องๆเรียงรายอยู่รอบบ้าน รอการรดน้ำรินใจจากหล่อนสลอน แพตรียิ้มมุมปากนิดๆอย่างคนที่สามารถมีความสุขอยู่กับตนเอง หล่อนมองไม้ดอกไม้ประดับแต่ละต้นด้วยความรักสนิท สัมผัสชัดถึงกระแสแห่งความมีชีวิตและวิญญาณของพวกมัน เคยชินกับการเห็นรอยยิ้มที่ส่งออกมาจากแต่ละไม้ใบ แต่ละกลีบดอก พวกมันถือกำเนิดมาจากมือหล่อน หล่อนเป็นผู้เลี้ยงดูทะนุถนอมให้แตกกิ่งก้านสาขาออกมาวันต่อวันอย่างไม่เคยเบื่อหน่าย

‘ถ้าผมเข้าถึงความรู้สึกของดอกไม้พวกนี้ได้ ผมคงรู้จักความประณีตอีกแบบหนึ่งของจิตใจเหมือนแพบ้าง’

คำพูดของใครคนหนึ่งกลับมากลับมากระซิบก้องอยู่ในหู อารมณ์ไหวไกวเล็กน้อย แล้วกลับสงบเยือกเย็นลงราบคาบ สายลมอ่อนพัดกิ่งใบมวลไม้รอบข้างพลิ้วไหว มือน้อยยกขึ้นเสยปอยผมที่ต้องแรงลมเข้าที่ สยายยิ้มกว้างขึ้น สีชมพูสดฉ่ำของกอกุหลาบซึ่งเข้าประทับกลางตาเวลานั้นช่างให้ความหวานแหลมล้ำลึกต่างจากธรรมดา หล่อนรินรดสายน้ำจากถังติดฝักบัวลงดินจนชุ่มพอประมาณไปทั่วบริเวณ ตั้งความคิดให้น้ำนั้นซึมลงถึงทุกรากทุกแขนงของไม้พุ่มหอมเบื้องหน้า จินตนาการเห็นความเอิบอาบอันแผ่ซ่านขึ้นเลี้ยงทั่วทุกอณูลำต้น กิ่งใบ และกลีบดอกสีชมพู ดวงจิตดิ่งลงเป็นสมาธิ รู้ชัดถึงความอิ่มเกษมสดชื่นในตัวกุหลาบ เท่ากับความปิติเบิกบานในตนเอง

กำหนดรู้การเข้าออกของสายลมหายใจอันนิ่มนวลและยืดยาวชัดลึกกว่าปกติ กลิ่นอายความสดฉ่ำระรื่นจากมวลพฤกษ์พันธุ์รอบด้านรวมอยู่ในสายลมหายใจนั้น กระจายเข้าสู่ทรวงอก แลเห็นในมโนนึกดุจธารทิพย์ที่ไหลบ่าสู่ข่ายประสาททั่วร่างจนเต็มปีติ ชั่วขณะนั้นหล่อนสามารถจับต้องกลีบใบของกุหลาบด้วยสายตาที่เปิดกว้างกว่าปกติ จนสำเหนียกความเนียนแน่นทว่าบางเบาละเอียดอ่อนด้วยใจโดยตรง ราวกับปราศจากประสาทตากั้นขวาง

จากความอาบเอ่อแห่งกระแสปีติทวีขึ้นหลามล้นท้นอกในชั่วขณะนั้น ประกอบกับความเห็นแน่วเพียงลมหายใจและกลีบกุหลาบหวาน รวมกันดึงดวงจิตแพตรีดิ่งล่วงเข้าสู่ห้วงแห่งสมาธิอันล้ำลึกโอฬาร ดวงสำนึกแปรเป็นเปลวมหัศจรรย์ลุกโพลงซ่านไสวไปทุกทิศทุกทาง ภายในอันผนึกแน่นมั่นคงรู้เห็นแต่รสหวานแห่งสีชมพูอันงามตระการ ลอยล่องอยู่ในสรวงสวรรค์อันรังสรรค์ขึ้นจากสัมผัสละไมลึกซึ้งระหว่างวิญญาณมนุษย์กับดอกไม้ ทั้งสุขสงบปราณีต ทั้งปรีดาปราโมทย์ราวกับทะยานขึ้นสู่ห้วงหฤหรรษ์อันไร้เขต ไร้พรมแดน ไปสถิตอยู่ในที่ที่ดีที่สุดนอกเขตพิภพหยาบไกลโพ้น

การสังสรรค์ระหว่างวิญญาณมนุษย์และพฤกษ์พันธุ์ดำรงอยู่เพียงชั่วไม่นานก็แปรไปตามธรรมชาติแห่งพระอนิจจัง แพตรีอ้อยอิ่งอาวรณ์กับความยิ่งใหญ่น่าพิสมัยนั้น ทว่ายังมีความชำนาญน้อย โดยเฉพาะในขณะแห่งการลืมตา จึงต้องปล่อยให้ละลายหายไปตามยถา

สมาธิจิตระดับเฉียดฌานหรือที่เรียก อุปจารสมาธิ นับเป็นของสูง มิใช่สภาวะอันเป็นสาธารณะแก่ปุถุชน ภาวะนั้นคล้ายลอยคออยู่กลางทะเลเมฆอันละมุนเสมอกัน แผ่ผายขยายกว้างสุดประมาณ แม้เท้าติดพื้นก็เหมือนยืนอยู่บนหมอนนุ่ม เหตุเพราะธรรมชาติสมาธิยังผลให้กายเบาด้วยการหลั่งสารอันให้รสเกษมอาบตนเอง



สองปู่หลานรับประทานอาหารเย็นด้วยกันเงียบๆเมื่อได้เวลาทุ่มครึ่ง ทั้งสองเป็นมังสวิรัติ หรือผู้ปราศจากความยินดีในเนื้อสัตว์ อาหารที่วางบนโต๊ะจึงหาจานเด็ดตามรสนิยมของคนทั่วไปไม่ได้ แต่ก็หน้าตาน่าทานด้วยความสามารถเฉพาะตัวของแม่ครัวสาว

“สอบเป็นไงมั่ง?”

ปู่ชนะถามเหมือนชวนสนทนามากกว่าอยากรู้ เสียงของปู่มีกังวานนุ่มลึกชวนฟังและก่อให้เกิดความอบอุ่นใจแก่ผู้ได้ยินเสมอ

“ก็ดีค่ะ เหลือวิชาสุดท้ายวันจันทร์”

“สอบเสร็จก็จบแล้วสินะ”

“ค่ะ”

แพตรียิ้มๆ การคุยกับปู่เป็นอีกความสุขหนึ่งในชีวิต

“ตกลงยังแน่ใจอยู่รึเปล่าว่าอยากจะสอนหนังสือเด็ก?”

เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ปู่ถามถึง หญิงสาวแกล้งเลิกคิ้วทำตาเป็นประกาย

“อยู่เฉยๆได้ไหมคะ ให้ปู่เลี้ยงไปเรื่อยๆอย่างนี้แหละ”

หล่อนยังอยากอยู่ในวัยเยาว์และช่างฉอเลาะเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าปู่ ปู่ชนะยิ้มอย่างอารมณ์ดี นัยน์ตาดำสนิทผิดวัยทอดจับหลานสาวเปี่ยมด้วยแววห่วงใยปรานี

“เป็นต้นไม้หรือไงถึงจะอยู่เฉยๆให้ปู่เลี้ยง”

“ค่ะ แพเป็นต้นไม้” หญิงสาวหัวเราะนิดๆ “บางทีก็รู้สึกเหมือนเป็นต้นกระถินในบ้าน”

ปู่ชนะหัวเราะในลำคอ ทว่าสายตายังรั้งคำถามเดิมเพ่งมองหล่อน

“แพแน่ใจว่าต้องการสอนเด็กตลอดไปค่ะปู่”

ขยับเรียวปากตอบในลักษณาการแย้มยิ้ม แต่น้ำเสียงจริงจังขึ้น ชายชราถอนใจ

“สมัยนี้...เป็นครูในแบบที่แพอยากเป็นน่ะ ไม่ง่ายหรอกนะ”

หลานสาวพยักหน้า

“ทราบค่ะ” ตาคู่งามทอประกายรู้ตามคำกล่าวของตน “แต่แพก็มองไม่เห็นว่าตัวเองจะทำอะไรได้มีความสุขเท่ากับเป็นครูของเด็กเลย”

ชายชราเคี้ยวคำข้าวเรื่อยๆจนละเอียด กลืนแล้วจึงเปรย

“ทุกวันนี้ผู้คนถูกมอมเมา ถูกฝังนิสัยร้ายกันตั้งแต่ยังเล็ก ครูบาอาจารย์ที่เป็นสิ่งแวดล้อมสำคัญ บางทีก็กลับมีพฤติกรรมชั่วร้ายเสียเอง ถ้าได้แพเป็นแสงนำทางดีๆไว้สักดวง ก็คงช่วยรักษาภาพพจน์ของครูดีๆบ้างล่ะนะ”

แพตรียิ้มอย่างเชื่อมั่น

“แพจะทำให้เด็กนับถือ และคล้อยตามในทางดี เหมือนอย่างที่แพนับถือและคล้อยตามปู่มาตั้งแต่เด็กให้ได้ค่ะ”

ปู่ชนะพยักหน้า ใช้ส้อมเขี่ยข้าวจากช้อน ก่อนตักน้ำแกงจากชามพลางถามคล้ายหยั่งเชิง

“หากมีเวลาจำกัด ระหว่างเด็กดีกับเด็กดื้อ หนูจะเลือกดูแล หรือให้ความสำคัญกับใครก่อน?”

แพตรีคิดนิดหนึ่ง ก่อนให้คำตอบ

“คงต้องเป็นเด็กดีค่ะ เพราะเด็กดีอาจจะยังไม่ดีจริง แต่อยู่ในวิสัยง่ายที่จะเป็นได้ เมื่อโตขึ้นแล้วก็อาจเป็นประโยชน์ในวงกว้าง ส่วนเด็กดื้อนั้นอาจไม่เลวจริง แต่ความรั้นจะดึงเวลาของเราไปมาก และไม่มีอะไรประกันว่าเราสามารถชนะความรั้นของเขาได้หรือเปล่า”

ว่าที่คุณครูคนงามเม้มปากเล็กน้อย

“ในความเป็นจริง แพคงมีเวลาเพียงพอจะดูแลทั้งเด็กดีและเด็กดื้อมั้งคะ ถ้าปล่อยให้เด็กดื้อกลายเป็นคนเลว วันหนึ่งเขาอาจสร้างผลสะเทือนด้านร้ายได้อย่างประมาณไม่ถูก สิ่งดีที่คนดีๆสร้างสรรค์ไว้มากและใช้เวลายาวนานแค่ไหน ก็อาจพินาศจนหมดสิ้นในชั่ววันเดียวด้วยน้ำมือคนเลว”

เห็นความมุ่งมั่นและยินน้ำเสียงจริงจังของหลานสาวแล้ว ปู่ชนะต้องเผยอยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูไฟฝันและพลังอุดมคติแห่งวัยสาว ประติมากรมองผลงานอันน่าภาคภูมิของตนเช่นไร ท่านก็มองแพตรีด้วยท่าทีเช่นนั้น

“ปรัชญาในการให้ความรู้ ความคิด ความดีงามของหนูเป็นยังไง?”

แพตรีกะพริบตาทีหนึ่ง

“จากที่แพเคยฝึกสอนมาบ้าง ก็พอมองเห็นค่ะว่าเราให้ความรู้ก็เมื่อขณะพูดอยู่ฝ่ายเดียว ให้ความคิดได้ตอนถามหรือโต้ตอบกับพวกเขา ส่วนความดีงาม คงต้องถ่ายทอดอย่างตรงไปตรงมาผ่านการกระทำเป็นหลัก”

ปู่ชนะผงกศีรษะน้อยๆ

“แค่เด็กได้ยินเสียงหนูทุกวัน เขาก็รับกระแสความดีไปเก็บไว้เป็นส่วนหนึ่งในใจแล้วล่ะ”



เสร็จจากโต๊ะทานข้าว สองปู่หลานออกมาเดินตากน้ำค้างเล่นในบริเวณทางเดินของเขตบ้าน ชายชราจามเบาๆทีหนึ่งแล้วแหงนหน้ามองดาว บางค่ำคืนท้องฟ้าราตรีแถบชานเมืองก็มีดาวสวยๆพร่างพราวละลานตาให้เพลินพิศ อย่างเช่นคืนนี้เป็นอาทิ

“อายุยี่สิบเอ็ดใช่ไหมแพน่ะ?”

ปู่ถามลอยๆคล้ายแค่ให้การดูดาวไม่เงียบจนเกินไป

“อีกห้าเดือนน่ะค่ะ”

หล่อนตอบเสียงใสด้วยความรู้สึกแบบเด็กน้อยที่อบอุ่นและร่าเริงเมื่ออยู่ใกล้ชิดบิดา คืนนี้กลุ่มดาวนายพรานขึ้นตั้งแต่หัวค่ำ หล่อนติดใจดาวกลุ่มนี้มาแต่ไหนแต่ไร อาจเป็นเพราะปู่ชี้ให้ดูและแนะนำให้รู้จักเป็นกลุ่มแรก มันทำให้หล่อนมีจินตนาการบรรเจิด มีความช่างฝันและรู้จักอารมณ์อ่อนอุ่นที่เกิดจากหัวใจบริสุทธิ์เสมอมา

“พอเรียนจบก็เป็นผู้ปกครองตัวเองได้แล้วสินะ”

ปู่ยังคงพูดในลักษณะเรื่อยเปื่อย ทว่าทำให้หญิงสาวใจหายอย่างประหลาด หล่อนตอบด้วยเสียงเบาและสั่นในอึดใจต่อมาด้วยอารมณ์ที่แปลกเปลี่ยนกะทันหัน

“คงยังไม่ได้มั้งคะ”

“ปู่อยากบวชเสียทีแล้วนะแพ”

แม้จะทอดอ่อนนุ่มนวลเช่นเคย แต่คำประกาศนั้นก็แฝงสำเนียงเป็นงานเป็นการด้วยเจตนาจะให้หลานสาวรับรู้ว่าหล่อนต้องตั้งใจฟังเรื่องสำคัญ แพตรีเงียบกริบ พูดอะไรไม่ออกอยู่เป็นนาน

“ทุกวันนี้ก็เหมือนบวชอยู่แล้วนี่คะ”

ในที่สุดหล่อนก็เอ่ยคำนั้นออกมาได้เพียงแผ่ว

“ไม่เหมือน...ปู่ยังมีแพเป็นแก้วตาดวงใจ ยังเป็นห่วงหนู อย่างนี้ไปถึงที่สุดไม่ได้หรอก”

แพตรีเม้มปากอยู่ในเงามืด ความเดียวดายและความเงียบเหงาอย่างลึกซึ้งแล่นเข้าจับใจจนเกิดก้อนสะอึก แต่ก่อนจะทวีตัวถึงขั้นแปรเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ ก็ชิงตัดอารมณ์เศร้าทิ้ง และแทรกแทนด้วยจิตอนุโมทนาเปี่ยมล้น ที่ทำได้ก็เพราะหล่อนรู้ดีว่ารสธรรมนั้นล้ำเลิศเพียงไหน สมควรที่เวไนยชนจะพึงแสวงและควรรักษาไว้เพียงใด หล่อนต้องดีใจกับปู่ถึงจะถูกที่ท่านกำลังจะได้ครองธรรมอันประเสริฐขั้นสูงสุด

เมื่อจิตอันเป็นกุศลผุดขึ้นชัดเต็มดวง แพตรีจึงยกมือพนมไหว้ไปทางผู้มีพระคุณล้นเกล้า

“แพขออนุโมทนาด้วยค่ะปู่”

“อือม์”

ปู่เอื้อมมือไปลูบศีรษะหล่อนอย่างอ่อนโยนครู่หนึ่งก่อนกล่าวคำ

“ไม่ต้องกลัวว่าจะอยู่คนเดียวหรอก  อีกไม่นานแพก็จะมีครอบครัวของแพเอง มีคนที่แพจะรักและรักแพแทนปู่ มีลูกหลานที่จะทำให้แพต้องวุ่นวายดูแล”

“คงไม่หรอกค่ะ” หล่อนตอบปู่ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ถ้าปู่บวชแพก็จะบวชชีตาม และเพื่อความสบายใจไม่เป็นห่วงใยซึ่งกันและกัน แพจะบวชให้ไกลจากที่ที่ปู่อยู่ ไม่มาพบปู่อีกเลยชั่วชีวิต”

ปู่ชนะเหลือบตามองสาวน้อยใกล้ตัวแล้วหัวเราะหึๆ ซ่อนแววรู้เห็นเช่นผู้ใหญ่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวไว้ในเงามืด

“จะเอาอย่างนั้นก็ตามใจ”

ชายชรากับหลานสาวทอดเท้าเดินต่อเอื่อยๆ แว่วเสียงหรีดหริ่งเรไรจากรอบด้านกลางความสงัดเงียบของค่ำคืน ไม่มีใครเอ่ยคำพูดใดอีก หญิงสาวพยายามกลั้นสะอื้น แต่อย่างไรก็กลั้นไม่อยู่ ต้องก้มหน้าร้องไห้ออกมาจนได้

อ่านบทถัดไป คลิก >>

ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น