บทที่ ๑ รักแรกพบ
มันเกิดขึ้นอีกแล้ว...
เกาทัณฑ์เห็นตนเองขับรถคู่ใจไปบนถนนยาวเหยียด ไม่รู้ทางกลับบ้าน ไม่ทราบจุดหมายปลายทาง เขารู้สึกเดียวดายเหมือนถูกนำมาปล่อยทิ้งไว้ในอีกมิติหนึ่งเพียงลำพัง เบื้องหน้าเป็นท้องฟ้าที่ดูคับแคบ หม่นมืดน่าอึดอัด ชวนให้จิตใจหดหู่วังเวงอย่างยากจะบรรยาย
นี่ต้องไม่ใช่โลกใบเก่าแน่ๆ
สะกิดใจด้วยความเคยคุ้นที่ฝึกถามตนเองบ่อยๆขณะตื่น ว่ากำลังฝันอยู่หรือเปล่า ชายหนุ่มรีบยกฝ่ามือข้างขวาขึ้นดู เพ่งพินิจลายมืออย่างตั้งใจ ทีแรกปรากฏเป็นเส้นสายยุ่งเหยิงดูไม่คุ้นตา จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปอึดใจหนึ่ง เส้นลายมือก็เริ่มโย้เย้ ขาดความชัดเจน จึงรู้ตัวในบัดนั้นว่าตนกำลังตกอยู่ในห้วงฝัน และเป็นฝันอันไม่พึงปรารถนาเสียด้วย
พอรู้ตัว เกิดสติทราบชัดว่ากำลังหลับ กำลังอยู่ในโลกที่ถูกจิตสร้างขึ้น เกาทัณฑ์ก็ตระหนักว่าตนสามารถบงการทุกสิ่งให้เป็นไปดังใจ เขากำหนดให้สภาพของรถเปลี่ยนเป็นอื่น ด้วยเคล็ดคือปิดตาลงนึกถึงสภาพภายในห้องโดยสารเครื่องบินเล็ก แล้วลืมตาขึ้น
เป็นไปตามต้องการ พวงมาลัยรถเปลี่ยนเป็นคันบังคับเครื่องบินเล็ก
นักบินในโลกความฝันดึงคันบังคับขึ้นเพื่อให้เครื่องเชิดหัวทะยานสู่ท้องฟ้า หลบหนีจากทางร้างวังเวงน่าทรมานไปเสีย เขาพยายามสังเกตรายละเอียดของเครื่องบิน เช่นเหลียวไปนอกหน้าต่าง ดูปีกขวาที่ยื่นยาวออกไป โดยกำหนดมองไม่นานนัก เพราะทราบว่าถ้ามองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานๆ ภาพจะเปลี่ยนเป็นอื่นตามธรรมชาติของผู้เริ่มฝึกสติขณะฝัน
ปรับระดับการบินคงที่ ชะโงกหน้าก้มลงมองต่ำผ่านกระจกหน้าต่าง บัดนี้เขาลอยตัวขึ้นมาอยู่สูงเหนือพื้นดินลิบลับ เบื้องล่างคือความเวิ้งว้างของผืนดินสีน้ำตาล บอกตนเองว่านี่มันแดนสนธยาชัดๆ นึกดีใจที่หนีมาเสียได้
ขยับตัวมองตรง ความกดอากาศข้นหนักจนอึดอัด ทำไมความอึดอัดยังตามขึ้นมาอีก ลอยตัวสูงขนาดนี้ อากาศน่าจะสดชื่นได้แล้ว เกาทัณฑ์ขมวดคิ้วเคร่ง จิตประหวัดถึงความจริงที่ตนบังคับเครื่องบินเล็กไม่เป็น เคยแต่นั่งโดยสาร จะหาจุดหมายปลายทางมาแต่ไหน
จะเดินทางกลับบ้านได้อย่างไร ถ้าในหัวเต็มไปด้วยความไม่รู้
หลงอีกแล้ว คราวนี้ยิ่งเคว้งคว้างเข้าไปใหญ่ เพราะทุกทิศทุกทางคืออากาศว่างเปล่า บังเกิดความกลัวขึ้นมาขณะหนึ่ง หากความฝันคือการหลงติดอยู่กับความคับแคบ เขาก็อยากออกจากฝันเสียโดยพลัน
มีอาการควานหาทาง ซึ่งครั้งนี้มิใช่ทิศทางพุ่งไปของเครื่องบิน ทว่าฉลาดขึ้นมาหน่อย คือหาทางออกจากฝัน...
ขณะค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้น เกาทัณฑ์หายใจถี่เหมือนคนออกแรงไปมาก เขาต้องปรับสติเป็นครู่ กว่าจะแน่ใจว่าหลุดออกมาจากกรงแห่งความฝันแล้ว
รอจนอาการทางกายสงบเป็นปกติ ชายหนุ่มจึงลืมตามองเพดานห้อง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แทบจะคืนเว้นคืนในช่วงหลังที่เขาต้องทรมานกับฝันประหลาด ฝันว่าหลงทาง ขี่จักรยานเสือหมอบไปตามทุ่งร้างบ้าง เดินเท้าเปล่าไปตามถนนในเมืองที่ปราศจากผู้คนบ้าง มาคืนนี้ขับรถไปในแดนสนธยา ยิ่งร้ายกว่าทุกคืนตรงที่แม้เกิดสติ พยายามหนีขึ้นฟ้าแล้วก็ยังหลงอยู่นั่น
แต่ละปีมีคนเป็นโรคประสาทเพราะฝันร้ายกันมาก ทางจิตวิทยายืนยันว่าถ้าคนเราฝันผิดปกติรบกวนจิตใจซ้ำๆ ต้องเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง จะปมในอดีตหรือเรื่องคาใจในปัจจุบันก็ตาม
คงน่ากังวลน้อยกว่านี้ หากเขาจะรู้ตัวว่ามีปมปัญหาอยู่จริง แต่นี่จะให้สืบเค้าจากไหน ในเมื่อเขาเกิดมาท่ามกลางความพรั่งพร้อม กับทั้งกำลังอยู่ท่ามกลางความมั่งคั่งและมั่นคง อัตราส่วนของรายรับกับรายจ่ายผิดกันแทบเป็นสิบต่อหนึ่ง รถมีให้ขับ ห้องหับมีให้อยู่เป็นของตนเอง ทุกอย่างได้มาจากน้ำพักน้ำแรงในทางอันชอบด้วยกฎหมายและศีลธรรมทั้งสิ้น ที่จะต้องหวาดระแวงสักน้อยว่าตำรวจมาจับหรือศัตรูมาล้างนั้น ไม่มีเลย
แรงผลักดันในชีวิตโดยรวมคือความเป็นหมายเลขหนึ่ง นับแต่วัยเรียนที่ผลสอบเป็นเกรดเอรวด หรือคะแนนเต็มคนเดียวในวิชายาก มาจนถึงวัยทำงานที่ความรู้ความสามารถโดดเด่น การงานลุล่วงและดีเลิศ รวยโดยไม่ต้องโกง มีความสุขโดยไม่ต้องเบียดเบียนคนอื่น แถมรู้จักวิถีทางชีวิตของตนเอง วางแผนไว้ล่วงหน้าเลยว่าจะเอาอะไรเมื่ออายุเท่าไหร่
แต่ทำไมส่วนลึกยังรู้สึกว่าหลงทาง โดยเฉพาะเมื่อมาถึงขีดความมั่นคงในชีวิตอย่างที่สุดแล้วนี้?
เกิดความกลุ้มจนเมื่อหลายวันก่อนต้องยอมเสียค่าโทรศัพท์ทางไกลต่างประเทศ เพื่อปรึกษากับเพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นจิตแพทย์ แต่ฝ่ายนั้นคงไม่อยากเสียเวลาอันมีค่าฟรีๆเพื่อล้วงตับไตไส้พุงของเขาเอาไปวิเคราะห์เท่าไหร่ ฟังแล้วจึงให้คำแนะนำมาง่ายๆ คือลองฝึก ‘รู้ตัว’ ขึ้นมาในฝัน ด้วยเคล็ดคือถามตนเองบ่อยๆระหว่างวัน ว่ากำลังฝันหรือตื่น พอถามตัวเองทีก็ยกมือดูลายมือเสียที ว่าชัดหรือจาง หากชัดก็บอกได้ว่ากำลังตื่น หากจาง และเส้นสายเปลี่ยนแปลง ก็แสดงว่าเป็นฝัน ให้กำหนดไว้ล่วงหน้าว่าจะทำอะไรในจังหวะที่รู้ตัวแล้วนั้น
ฝรั่งมังค่าวิจัยและบันทึกผลเกี่ยวกับความรู้ตัวชัดในฝัน หรือที่เรียกเป็นศัพท์เฉพาะว่า Lucid Dreaming มาเนิ่นนาน เป็นที่รู้จักและปฏิบัติได้ผลกันอย่างกว้างขวางพอควร มีเรื่องบันทึกเล่าขานมากมาย พอสรุปได้ว่าจะเอาอะไร แก้ปมเครียดชนิดใด หรืออยากสนุกสุดเดชแค่ไหน ล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น ขอเพียงสั่งสมทักษะในการควบคุมฝันไว้อยู่มือ
เขาทำตามคำแนะนำอย่างดิบดี โดยมากกำหนดไว้คือเมื่อไหร่รู้ตัวว่าฝันหลง จะหลบทางร้างเสียด้วยการเหาะหนี ซึ่งก็สำเร็จอยู่หรอก ปลูกเชื้อจิตสำนึกขณะตื่นไว้จนสามารถติดตามมาเชื่อมติดกับจิตขณะฝันได้ อีกทั้งกำหนดให้ตนพ้นจากพื้นแล้ว แต่พอล่องฟ้าก็ยังหลงอยู่ดี แบบที่เขาเรียกหนีเสือปะจรเข้อย่างไรอย่างนั้น
ส่ายหน้าดิก ถ้าฝันแค่หนสองหนก็ช่างเถิด แต่ซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ตื่นขึ้นมาแล้วถามตัวเองว่าลืมอะไร หลงอย่างไรเข้าบ้าง ระยะยาวคงบั่นทอนสุขภาพจิตจนหมดความสุขในชีวิตเอาทีเดียว
เอ...หรือว่าน่าจะไปเปิดหัวให้ไกลๆ เดินทางแบบสุดเหนือสุดใต้ประชดฝันเสียเลย
ทีแรกแค่คิดแบบวูบวาบเรื่อยเปื่อย แต่พอเวลาผ่านไปนิดหนึ่ง ก็เกิดความรู้สึกจริงจังตึงตังขึ้นมา โปรเจ็กต์ขนาดกลางซึ่งเขารับผิดชอบเพิ่งเรียบร้อยไปเมื่อวาน น่าจะให้นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ได้หยุดเฉยสักสองสามวัน ท่องเที่ยวไปตามต่างจังหวัดให้สบายใจ
แวบหนึ่งคิดอยากชวนเพื่อนตามประสาคนชอบเฮฮากับหมู่ แต่ใครจะไปตกค้างอ้างแรมกับเขาได้ ในเมื่อพรุ่งนี้เป็นวันทำงาน
ลังเลอยู่เพียงครึ่งนาทีก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่าฉายเดี่ยวดูสักครั้ง นี่จะเป็นหนแรกอย่างแท้จริง ที่คิดแล่นไกลตามลำพัง ไม่มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวของสาวสวยและเสียงเอะอะโวยวายของเพื่อนขี้เมารอบรายพะรุงพะรัง
นึกวาดภาพการท่องเที่ยวอันโดดเดี่ยวเดียวดายแล้ว ก็รู้สึกขึ้นมาขณะจิตหนึ่งว่า เออ...สบายดี ได้ลองพูดน้อยๆ เห็นผู้คนน้อยๆ จะไปไหนทีไม่ต้องพะวงถามไถ่ความเห็นชอบจากใคร ช่างเป็นประสบการณ์สดใหม่อย่างประหลาด ราวกับกำลังจะออกผจญภัยครั้งแรกในโลกกว้างที่ไม่เคยรู้จักฉะนั้น
ส่วนลึกแล้วเห็นว่านี่น่าจะแก้เคล็ดฝันหลงได้ เขาแน่ใจว่าตนเองไปไกลทั่วไทยโดยไม่หลง ทั้งสติปัญญา ทั้งกำลังกาย กำลังทรัพย์พร้อมพรักออกอย่างนี้ หากบ้องตื้นขนาดขับรถไปหลงที่ไหนก็ไม่ต้องกลับเข้าเมืองอีกแล้ว สมัครทำไร่ไถนาชดใช้ความบื้ออยู่แถวๆที่หลงนั่นแหละ
สะสางธุระยามเช้าในห้องน้ำ ออกมาโทรศัพท์หาเจ้านาย เขามีความสำคัญกับบริษัทและสนิทกับเจ้านายมากพอจะโทร.ขอลาหยุดงานได้ปุบปับ ฝ่ายนั้นรับฟังและอวยพรให้เที่ยวสนุกอย่างง่ายดาย เขาทำงานตลอดเจ็ดวันอยู่หลายช่วง อีกทั้งเพิ่งจะปิดโปรเจ็กต์ไปเมื่อวาน สองสามวันสำหรับเปิดหัวจึงนับเป็นเรื่องเล็กน้อยอยู่แล้ว
ใส่เสื้อฮาวายหลวมสบายและกางเกงยีนส์ตัวโปรด ยัดเสื้อผ้าหลายชุดใส่กระเป๋าสะพาย ก็พร้อมเดินทางทันที นับเป็นความรู้สึกอิสระไร้กังวลอย่างแท้จริง เพราะแม้แต่จุดหมายปลายทาง แผนการท่องเที่ยวก็ยังไม่ปรากฏขึ้นในหัวเลย ขอให้เดินทางพ้นไปจากกรุงเทพฯก่อนเถอะ
เคลื่อนรถออกจากที่จอด แม้กระทั่งเกือบถึงประตูทางออกจากเขตคอนโดมิเนี่ยม ก็ยังไม่ตกลงปลงใจอยู่ดี ว่าจะไปไหน เหนือ ใต้ ออก หรือตก จนเลี้ยวซ้ายออกถนนใหญ่นั่นแหละ ถึงปลงใจว่าให้ถนนพาไปก็แล้วกัน
ขับเรื่อยเฉื่อย ไม่ทำความเร็วอย่างเคย กระทั่งพบว่าตนเองอยู่บนถนนวิภาวดีรังสิต และอีกสิบนาทีต่อมา ก็แฉลบมาวิ่งบนเส้นทางที่จะไปเมืองกาญจ์
เห็นร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง ก็นึกขึ้นได้ว่าต้องหาอาหารเช้าใส่ท้องเสียหน่อย จึงจอดทานที่ร้านนั้น ทานอิ่มก็ขึ้นรถสตาร์ทเครื่องเดินทางต่อ เกาทัณฑ์ยิ้มอยู่กับตนเอง เหมือนเมื่อครู่ได้ทำสิ่งพิเศษ ตอนนี้เขาเป็นอิสระจริงๆ ทั้งจากการงาน จากสังคม และแม้กระทั่งจากความต้องการของตนเอง ไร้แผนการในหัว ได้แต่ทอดตาไปเบื้องหน้าเพื่อมุ่งเดินทางอย่างเสรี หิวก็หาทาน ง่วงก็หานอน เดินทางต่อแล้วต่ออีก ไม่มีใครให้ห่วง ไม่มีภาระให้พะวงถึง
ยิ้มออกมาเฉยๆ ต้องอย่างนี้กระมัง ที่สร้างความรู้สึกใหม่ได้เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ความสดชื่นรื่นเริงกับเสรีภาพไร้ขอบเขตเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเดียว ก็ต้องมลายวับ เมื่อช่วงหนึ่งถึงถนนเหยียดยาว แลเห็นท้องฟ้าว่างเปล่าเบื้องหน้า สะกิดให้นึกถึงภาพฝัน และเกิดคำถามในหัวว่า ‘นี่เรากำลังจะไปไหน?’
อารมณ์สดชื่นแผ่วซึมลงถนัด เกาทัณฑ์หรี่ตากับตนเอง เบี่ยงรถเข้าจอดที่ไหล่ทาง และเหมือนพยายามให้คำตอบกับตนเองเป็นเหตุเป็นผล ว่าที่ขับรถออกมาอย่างไร้จุดหมายนี้ ก็เพื่อสร้างบรรยากาศเลียนแบบฝัน และหาทางออกด้วยภาวะจิตใจที่เต็มตื่นบริบูรณ์
ตอนนี้เหมือนอยู่ในฝันเปี๊ยบ ต่างกันตรงที่มีสติคิดอ่านพรักพร้อม
สว่างวาบขึ้นมากะทันหัน เกาทัณฑ์ใช้หางตามองกระจกหลัง แล้วเบนไปมองเบื้องหน้า เมื่อเห็นถนนปลอดก็หักพวงมาลัยเหยียบคันเร่ง พุ่งรถวนย้อนสวนทางกลับคืนเมือง นี่ยังไง คราวนี้ภาพตรงหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึก รู้ตื่น รู้ตัว ว่าเขากำลังจะวิ่งกลับบ้าน ชายหนุ่มซึมซับความรับรู้ชนิดนั้นไว้อย่างเต็มตื้น เกิดความสุข ความเชื่อมั่นขึ้นมาอีกครั้ง นี่อาจเป็นเกมแก้ฝันที่ต้องลงทุนลงแรงและเปลืองเวลานิดหน่อย แต่ก็คุ้ม หากฝันอีก เขาจะนึกถึงการวกกลับมาสู่ฐานที่มั่นของชีวิตเช่นกำลังเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้
ท่องซ้ำๆด้วยความโสมนัส ว่าจะจำการย้อนทางกลับบ้านอย่างนี้ จะจำการย้อนทางกลับบ้านอย่างนี้ เยาะในใจว่าเขาหาทางออกได้เก่งกว่าจิตแพทย์เสียอีก
ต่อโทรศัพท์มือถือ กรอกเสียงลงไปอย่างรื่นเริงฝากเลขาฯของเจ้านายว่าพรุ่งนี้เขาจะไปทำงานตามปกติ ยกเลิกวันลาที่ขอไว้ เจ้านายคงงง แต่น่าจะชินแล้วกับความเป็นคนตัดสินใจเร็วตามสถานการณ์เฉพาะหน้าของเขา อาจคิดว่าเขาเจออุปสรรคบางอย่าง หรือเกิดไอเดียใหม่ที่ร้อนใจอยากเริ่มต้นเสียแต่พรุ่งนี้ก็ได้
ขับรถกลับบ้านด้วยอารมณ์ปลอดโปร่ง หนทางเบื้องหน้าเต็มไปด้วยความรู้จักมักคุ้น ภาพความว่างเปล่าไร้จุดหมายสลายหายหนไปสิ้น อิสระที่แท้จริงสำหรับชีวิตเขาคือการงานซึ่งชูตัวตนให้สูงเด่นเป็นสง่า เมื่องานอยู่ในมือ เขาสามารถทำอะไรก็ได้ ทุกคนต้องเงี่ยหูฟังเขาพูด ทุกคนต้องให้น้ำหนักกับความเห็นและการตัดสินใจของเขาก่อน นั่นแหละตัวตนของเขา นั่นแหละจุดหมายปลายทางในชีวิตเขา และเขาก็อยู่ที่จุดหมายปลายทางของชีวิตแล้ว
ใกล้เข้าเขตกรุงเทพฯ สายตาเหลือบซ้ายเห็นป้ายบอกทางเข้าวัด เมื่อขามาไม่สังเกต แต่ขากลับเห็นเด่นถนัดตา แล้วก็ถึงกับขนลุกซู่กับชื่อบนแผ่นป้ายไม้หนา
วัดทางนฤพาน
ความเร็วของรถชะลอลงทันใด นึกออกเดี๋ยวนั้นว่านี่เป็นปากซอยเข้าบ้านปู่ซึ่งเขาห่างหายหน้า ไม่แวะมาเยี่ยมเยียนหลายปีดีดัก เขาจำชื่อวัดได้ เพราะเห็นสะดุดตา ฟังสะดุดหูผิดแผกแตกต่างจากชื่อวัดอื่น เมื่อก่อนเคยมาบ้านปู่กับพ่อสองสามหน เหลียวมองป้ายชื่อวัดด้วยความสนใจทุกครั้ง คล้ายมีมนต์ขลังบางอย่างดึงให้ต้องมอง แม้เมื่อสายตากำลังจับที่อื่น ก็จะเหมือนเผอิญหันขวับมาเจอทุกคราวไป
ปุบปับตัดสินใจเลี้ยวเข้าซอย ดีเหมือนกัน จะได้มาไม่เสียเที่ยว ลองเข้าไปดูเสียหน่อย ว่าสภาพวัดเป็นอย่างไร ใจไม่คาดหวังอะไรเลย เพราะเห็นมาจนรู้ดีว่าวัดก็คือวัด ที่อยู่ของพระสงฆ์ และพระสงฆ์ก็มีมากมายหลายประเภท ทั้งพวกชาวบ้านที่วันดีคืนดีหยิบจีวรมานุ่งห่มตามประเพณี และพวกที่มีความเห็นเกี่ยวกับชีวิตบางอย่างซึ่งเขาไม่เข้าใจ คือ ‘เห็น’ ขนาดพร้อมจะสละบ้านเรือนและทรัพย์สินอย่างไร้ความอาลัยไยดี
ผ่านหน้าบ้านปู่ ทีแรกเกือบเลยไปด้วยความขี้เกียจแวะทักญาติผู้ใหญ่วัยชรา ปกติเขามักพบท่านที่บ้านญาติเช่นลุงหรืออา น้อยครั้งจะมาหาถึงนี่
ความจำด้านดีเกี่ยวกับปู่แวบเข้ามาในหัว ปู่เป็นคนพิเศษ เป็นคนแก่ที่ดูไม่แก่ มีคำพูดสะกิดใจ ชวนคิดได้เกือบทุกคำ นั่นทำให้ตัดสินใจฝืนความรู้สึก ไหนๆก็กำลังเบื่อ ลงเยี่ยมคนแก่ให้เกิดความเบื่อลบล้างความเบื่อ อาจกลับออกมาด้วยความกระชุ่มกระชวยขึ้นก็ได้
นึกเล่นๆว่าอาจเจออะไรไม่คาดฝันเข้าบ้าง…
มองปราดเดียวรู้เลยว่าบ้านไม้สองชั้นของปู่เก่าแก่นมนาน ทว่าได้รับการดูแลซ่อมแซมอย่างต่อเนื่อง มิฉะนั้นป่านนี้ก็คงเห็นผุพังไม่เจริญตานัก เกาทัณฑ์จอดรถลงมากดออดหน้าประตูบ้าน รอบบริเวณเงียบเชียบอย่างไม่น่าจะมีคนอยู่ ชวนให้คิดว่าคนในบ้านอาจออกไปข้างนอก ซึ่งนั่นก็แปลว่าเขาแวะลงเสียเที่ยวเปล่า
กำลังหันรีหันขวางจะขึ้นรถหนีด้วยความอดทนต่ำ ก็เผอิญเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกจากเรือนชั้นล่างและเมียงมองมา เกาทัณฑ์เขม้นตาจ้องหล่อนด้วยความแปลกหน้า ความที่เคยตามพ่อมาเยี่ยมปู่น้อยหน ทำให้ไม่แน่ใจว่าใครเป็นใคร สมาชิกในเรือนมีอยู่กี่คน จำได้หลักๆเพียงปู่ชนะ ย่าเล็กซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว กับเด็กอีกสองสามคน
ผู้หญิงคนนั้นเดินมาใกล้ประตู ลมหายใจเกาทัณฑ์ถึงกับขาดห้วง งันนิ่งไปเมื่อเห็นหล่อนถนัด
"มาหาใครคะ?"
กังวานใสของแก้วเสียงวิเวกหวานนั้นทำให้เขารู้สึกตัว และเปิดยิ้มปราศรัยได้
"ปู่ชนะอยู่ไหมครับ? ผมเป็นหลาน"
ชอบกล ที่เขาเห็นหน่วยตาของหล่อนขยายขึ้นหน่อยๆ ฉายแววคล้ายเปลี่ยนจากลังเลเป็นมั่นใจ และมองมาด้วยท่าทีแปลกกว่าเดิม
"อยู่ค่ะ" ตอบแผ่วแล้วไขประตูเปิดให้ “กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่ชั้นบน"
ชายหนุ่มก้าวเข้ามาข้างใน มีความสงบอกสงบใจเกิดขึ้นพร้อมกับการวางเท้าลงในเขตบ้านของปู่ สาวงามยิ้มให้เขาบางๆ ทำท่าจะปลีกตัว ทว่าความอ่อนโยนที่แฝงไว้ด้วยชีวิตชีวาอย่างประหลาดนั้น รัดรึงใจให้เกาทัณฑ์ไม่นึกอยากปล่อยหล่อนห่างไปเร็วนัก จึงรีบตั้งคำถามที่พอจะนึกได้ปุบปับทันด่วน
"คุณเป็นหลานปู่ ลูกพี่ลูกน้องของผมหรือเปล่าเอ่ย?"
วงศ์วานว่านเครือของปู่และย่ามีอยู่มากมายก่ายกอง เขาจำไม่หมด โดยเฉพาะที่ห่างหน้าหายตากันหลายๆปี ทบทวนดูแล้วเชื่อว่าสมัยเด็กเขาไม่เคยเห็นหล่อนที่นี่มาก่อนแน่ๆ
สบตากัน นิลเนตรมีประกายสงบซึ้งที่สะท้อนความเรียบนิ่งของจิตใจอันงดงาม หายากที่จะพบดวงตาชนิดนี้ เหมือนมองแผ่นน้ำที่ทำให้ใจใสเย็นและอ่อนโยนตามได้ฉะนั้น
"ก็ไม่เชิงค่ะ...เดี๋ยวจะทำน้ำส้มขึ้นไปให้ เชิญก่อนนะคะ"
เกาทัณฑ์ฟังหล่อนพูดตอบ แต่จิตใจมัวจดจ่อกับเรียวปากสวยที่ขยับเจรจาได้งามปานวาด หญิงสาวผายมือไปทางบันไดขึ้นเรือน ระบายยิ้มอ่อนและก้าวเท้าลับหายไปทางหนึ่ง ไม่เปิดโอกาสให้เขาทันต่อความยาวสาวความยืดนานกว่านั้น
เดินขึ้นเรือนอย่างใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว รูปติดตา เสียงติดหูตามมาทุกฝีก้าว หนทางในทิศที่ปราศจากหล่อนดูไร้ความหมายขึ้นมากะทันหัน
พื้นที่กลางเรือนชั้นบนจัดวางด้วยโต๊ะเก้าอี้ ทีวี ตู้เย็นและพัดลมเก่าแก่ ราวกับหยุดยุคสมัยไว้กับวันวาน เกาทัณฑ์พบคุณปู่นั่งเอกเขนกกางหนังสือพิมพ์อ่านอยู่บนเก้าอี้โยก ท่านไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อยจากการมองผาดทีแรก
"สวัสดีครับปู่"
ชายหนุ่มส่งเสียงนำ เมื่อเห็นท่านเงยหน้ามองก็พนมมือไหว้ ปู่ลดหนังสือพิมพ์ลงวางกับตัก เกาทัณฑ์มองท่านอย่างเกรงว่าจะจำตนไม่ได้ แต่ปรากฏว่าท่านมองด้วยตาเปล่าปราศจากแว่นอยู่ครู่ก็ทักเรียบๆอย่างคนมีสติระลึกรู้แจ่มชัด
"อ้าว! เป็นไงนายเต้ มาถึงนี่ได้"
ชายหนุ่มยิ้มและนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง แค่ได้ยินเสียงก็ระลึกได้หมดถึงบรรยากาศเก่าๆในวันก่อน บังเกิดความยินดีที่ได้พบท่านอีกครั้ง
"อยากมาเยี่ยมปู่สิฮะ"
เพิ่งอยากเอาจริงๆก็ตอนที่พูด แปลกที่นึกรักปู่ขึ้นมากมายปุบปับ อาจเป็นด้วยความเย็นใจรอบกาย อาจเป็นด้วยดวงตาดำสนิทราวกับหนุ่มฉกรรจ์ผู้รู้คิดและเปี่ยมเมตตา อาจเป็นด้วยท่าทีทรงภูมิและสุขุมคัมภีรภาพของท่าน...
หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะเพิ่งรู้ว่าในบ้านนี้มีสาวแสนสวยคนหนึ่งอาศัยอยู่
"ผมไม่ได้มาเยี่ยมปู่เสียสามสี่ปี"
เอ่ยคล้ายสารภาพผิด ผู้อาวุโสพับหนังสือพิมพ์วางลงบนโต๊ะ
"เจ็ดปี" ท่านแก้ด้วยน้ำเสียงแน่นของผู้มีสมองประจุไว้ด้วยความจำอันชัดเจนเท่ากับหรือมากกว่าคนรุ่นหนุ่ม "ตอนมาครั้งสุดท้ายน่ะแกเรียนวิศวะฯปีสองไง ฉันยังทักเลย เพิ่งอายุสิบเจ็ดก็ขึ้นปีสองแล้ว และถามว่าพอจบจะไปต่อโทเมืองนอกเลยหรือเปล่า”
เกาทัณฑ์อ้าปากค้างเป็นครู่ด้วยความงงงัน นึกไม่ถึงว่าท่านจะจำรายละเอียดเกี่ยวกับหลานผู้ห่างเหินอย่างเขาได้แม่นยำขนาดนั้น
"อ้อ…เอ่อ ปู่สบายดีใช่ไหมฮะ? ดูก็รู้"
"ก็เท่าที่คนแก่จะสบายได้นั่นแหละ...หน้าตาท่าทางแกเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะนี่ ถ้าเดินสวนกันข้างนอกคงจำไม่ได้ ดูเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ทั้งส่วนสูง ทรงผมทรงเผ้า ท่วงทีนั่งเดินภูมิฐานกว่าสมัยวัยรุ่นเป็นคนละคน"
ชายหนุ่มยิ้มเฉียง
"บ้านปู่เงียบยังไงก็อย่างนั้นเลย ดีจริงๆที่ได้อยู่กับอากาศอย่างนี้ ปู่คงแข็งแรงไปอีกนาน”
"อยากมาอยู่มั่งไหมล่ะ?"
เกาทัณฑ์ไม่ได้นึกถึงสถานที่กลางสิ่งแวดล้อมดีๆ แต่ไพล่ไปนึกถึงแม่งามผู้น่าใกล้ชิดเสียแทน ปากจึงตอบเรื่อยเปื่อยตามประสา
"อยู่ได้ก็ดีสิฮะ บ้านแสนสุขอย่างนี้" แล้วก็วกมาถามถึงเจ้าหล่อนนางนั้นอย่างสบจังหวะ "ผู้หญิงที่เปิดประตูให้ผมเมื่อกี้ใครครับ? ถามแล้วเห็นว่าไม่ใช่หลานปู่"
ปู่ชนะหยิบหูถ้วยแก้วข้างตัวขึ้นจิบน้ำชา
"แกจำยายแพไม่ได้เหรอะ?"
เกาทัณฑ์ขมวดคิ้วงง
"แพ? ผมเคยรู้จักเขาด้วยหรือครับ?"
ถามอย่างนึกไม่ออกจริงๆ ปู่ชนะพยักหน้าแล้วพูดปัดตัดบท
"เอาเถอะ ก็หลานฉันคนหนึ่งน่ะแหละ"
“เอ๊ะ! ยังไงกัน เขาบอกไม่ใช่ แต่ปู่บอกใช่”
ชายชราผ่อนลมหายใจ เปลี่ยนเรื่องเสียเฉยๆ
"นี่กินอะไรมารึยังล่ะ?"
"เรียบร้อยฮะ ปู่ล่ะครับ ถ้ายังเดี๋ยวผมจะออกไปซื้อให้ไหม?"
"ไม่ต้องหรอก เพิ่งกินกับยายแพไปเมื่อกี้เหมือนกัน"
พอดี ‘ยายแพ’ เดินขึ้นมาบนเรือนพร้อมกับแก้วน้ำส้มคั้น เกาทัณฑ์ชะงักไป และมองหล่อนนำเครื่องรับรองมาวางตรงหน้าด้วยดวงตาจับนิ่ง ใจคล้ายถูกแช่เย็นไปชั่วขณะด้วยอิทธิพลเหนือคำบรรยายในหล่อน
"แพ นี่เต้ หลานปู่ รู้จักพี่เขาไว้นะลูก"
หญิงสาวพนมมือไหว้ตามมารยาทและยิ้มให้เขาบางๆ เกาทัณฑ์รับไหว้และยิ้มตอบด้วยท่าทีของพี่ชาย ท่วงทีกิริยาของหล่อนฉายความบริสุทธิ์สะอาดไปตลอดทั้งกายใจเยี่ยงผู้เป็นอยู่เรียบง่ายสันโดษ ทว่าดวงตาแฝงแววฉลาดรู้ลึกซึ้ง ทำให้ภาพร่างชวนทัศนานั้น ยิ่งดูยิ่งมีค่าขึ้นอย่างประหลาดล้ำ
อยากยินเสียงหวานใสและแสนจะนุ่มหูของหล่อนอีก ทว่าเมื่อเสร็จจากยิ้มให้เขาพอเป็นพิธีแล้ว ก็หันกลับและเดินหลีกลงบันไดไป ชายหนุ่มมองตามจนลับสายตาด้วยความอยากจะหาเชือกมาทำบ่วงบาศก์เหวี่ยงไปคล้องตัวดึงหล่อนกลับมานั่งคุยกับเขาและปู่ต่อ ไม่ใช่ขึ้นมาทำให้ตาสว่างแล้วเดินหายไปเฉยๆ ราวกับตัวละครที่โผล่ออกมาจากม่านเรียกความสนใจคนดูให้เริ่มตั้งตาโตชม แต่แล้วยังไม่ทันแสดงบทบาทสำคัญก็แวบเข้าหลังเวทีเสียนี่
ได้สติเมื่อปู่กระแอมเบาๆ เกาทัณฑ์หันกลับมายิ้มเก้อๆ อยากจะถามอะไรเกี่ยวกับหลานสาวของปู่อีกมากๆ แต่ก็ให้รู้สึกประเจิดประเจ้อไปหน่อย จึงเลี่ยงถามเรื่องอื่นเสียพ้นๆเป็นการพักยก
"ปู่ยังนั่งวิปัสสนาอยู่หรือเปล่าครับ?"
ดึงเข้าเรื่องนั้นเพราะบุคลิกลักษณะของปู่ยังดูเป็นผู้ทรงธรรมไม่สร่างซา ท่านคงยินดีคุยเกี่ยวกับของชอบเป็นแน่ สมัยเด็กพ่อเคยพูดเข้าหูบ่อย ว่าปู่รักการนั่งวิปัสสนาเป็นชีวิตจิตใจ
“อือม์ ก็นั่งอยู่นะ ปะเหมาะเคราะห์ดีก็เดินวิปัสสนา ยืนวิปัสสนา หรือกระทั่งนอนวิปัสสนาด้วยเหมือนกัน”
“นอนก็วิปัสสนาได้หรือครับ?” เกาทัณฑ์ทักกลั้วหัวเราะ “เอ สงสัยผมคงรู้จักคำนี้น้อยไปหน่อย”
ทำใจให้นึกอยากรู้ความหมายและต้นสายปลายเหตุจริงจัง จะได้คุยกับปู่แบบออกรส ความรู้ความสามารถอันหลากหลายของเขามีส่วนช่วยเปิดใจให้ยอมรับข้อมูลใหม่เพื่อเข้ามาเก็บเป็นวัตถุดิบโดยปราศจากกำแพงกั้น แม้ส่วนลึกลงไปที่ก้นบึ้งหัวใจจะนึกปฏิเสธอยู่เต็มประตู สาเหตุก็มิใช่อะไรอื่น ปัจจุบันพระสงฆ์องค์เจ้าและการวิปัสสนาธุระทั้งหลายกลายเป็นภาพเสื่อมเสียที่ถูกตีแผ่แฉตามสื่อหลักต่างๆมั่วไปหมด ขุดคุ้ยแล้วมีแต่เรื่องหลอกลวงทั้งเพ แทบกล่าวได้ว่าใครเริ่มสนใจเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณหรือการศาสนา ก็เริ่มมีสิทธิ์เข้ารกเข้าพงแล้ว
“แล้วแกนึกน่ะ วิปัสสนาเป็นยังไง ต้องนั่งอย่างเดียวหรือ?”
ปู่ย้อนถาม เกาทัณฑ์คิดเล็กน้อยก่อนตอบตามจริง
“พอได้ยินคำนี้ ผมจะนึกถึงภาพคนใส่ชุดขาว นั่งหลับตา หรือเดินจงกรมกลับไปกลับมา เพื่อทำจิตใจให้สงบ ปล่อยวางทางโลก หันหลังให้กับความบันเทิงทุกชนิด”
“ถ้าเดินกลับไปกลับมาแล้วใจสงบ ปล่อยวางทางโลกได้ พวกชอบเดินเล่นหลังกินข้าวคงได้ดี บันเทิงใจเท่าพระกันไปแล้ว”
เกาทัณฑ์หัวเราะ
“ทราบอยู่ครับปู่ ว่าต้องมีวิธีกำหนดใจอยู่ข้างในด้วย”
แล้วชายหนุ่มก็ถึงบางอ้อด้วยคำโต้ตอบของตนเอง เข้าใจในบัดนั้นว่าวิธี ‘ทำ’ วิปัสสนาไม่ขึ้นอยู่กับอิริยาบถภายนอก แต่เป็นวิธีการทางใจ
“อย่างที่นึกดูลมหายใจไปเรื่อยๆแล้วเกิดฌาน เกิดญาณขึ้นมานี่ เรียกว่าวิปัสสนาใช่ไหมครับ?”
“ถ้าทำสมาธิจนเกิดความนิ่ง แต่ไม่เปลี่ยนความเชื่อเก่าๆ ก็ได้ชื่อว่ามาแค่ปากประตูวิปัสสนาเท่านั้น”
ชายชราตอบเอื่อยๆ ทว่าแฝงด้วยพลังล้นลึกชวนให้สงบและอยากฟังต่อ ฝ่ายหลานฟังพลางยกมือลูบคาง อมยิ้มและพยายามซ่อนแววตา มิให้ฉายความคิดชัดนัก ความเชื่อแบบไหนกันที่เป็นเป้าหมายของวิปัสสนา แบบที่ล้างสมองจนเห็นว่าควรหันหลังและทิ้งขว้างความสนุกบรรดามีในโลกอย่างนั้นหรือ?
“ความเชื่อเก่าๆเสียหายตรงไหนครับ?”
“ตรงที่มันคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ทำให้ดวงจิตอยู่ในสภาพเชื้อของทุกข์น่ะซี”
“ความเป็นจริง? ปู่คงหมายถึง เอ้อ...อะไรที่เขาเรียกกันว่าความจริงสูงสุดใช่ไหมฮะ? ถ้าว่ากันแบบปรัชญา ทางพุทธอนุญาตให้ความจริงผูกอยู่กับมุมมองของแต่ละคนได้หรือเปล่า? ผมเคยคุยกับเพื่อนครั้งหนึ่ง ไม่ได้แย้งปู่นะครับ คือเรามองกันว่าคนเลือกเชื่อยังไง ก็มีความจริงรองรับอยู่อย่างนั้น ยกตัวอย่างเช่นถ้าเชื่อว่าชีวิตคือหน้าที่ เราก็จะพบหน้าที่สักอย่างที่สมตัว และอยู่กับมันไปได้จนตาย”
เกาทัณฑ์ควบคุมเสียงไม่ให้มีน้ำหนักเกินออกมาจนกลายเป็นการชวนปู่โต้วาที
“ก็จริง” ปู่รับด้วยสีหน้าออกยิ้ม “บางคนก็รักหน้าที่ ยึดมั่นในหน้าที่ขนาดยอมตายได้”
“นั่นซีครับ” ชายหนุ่มรีบเสริม “แสดงให้เห็นว่าใครตั้งมุมมองเพื่อเชื่ออะไรสักอย่าง ชีวิตก็จะเป็นไปตามนั้น มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่พิสดารกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นก็ตรงความหลากหลาย ความเป็นอิสระในการเลือกเชื่อ และเล่นแร่แปรธาตุความเชื่อให้กลายเป็นรูปธรรม กลายเป็นความจริงที่จับต้องได้ขึ้นมา ผมถึง...สงสัยอยู่บ้าง เมื่อมีการบัญญัติคำว่า ‘ความจริงสูงสุด’ ไว้ในคัมภีร์ของแต่ละศาสนา เราเอาอะไรเป็นเกณฑ์วัดว่านั่นแน่นอนแล้ว ชนิดดิ้นเป็นอื่นไม่ได้?”
“ก็คงต้องดูที่พระศาสดาแต่ละองค์ตรัสมั้ง ว่าเมื่อมาตามทางของศาสนาแล้ว จะเกิดผลลัพธ์สุดท้ายเป็นความจริงชนิดไหน ถ้าสาวกต่างๆทำตามกติกาแล้วพบความจริงตามนั้น ก็ถือว่าใช่”
ชายหนุ่มเอียงคอนิดหนึ่ง น่าประหลาดแท้ เขาเคยเรียนพุทธศาสนาในหลักสูตรมาก่อน แต่ตอนนี้ลืมแล้วว่าเป้าหมายของพุทธศาสนาคืออะไร
“แล้วผลลัพธ์ของการมาตามทางพุทธ หรืออีกนัยหนึ่งการทำวิปัสสนานี่ คืออะไรครับปู่?”
“การดับทุกข์...ดับชนิดที่กลับกำเริบขึ้นไม่ได้อีกเลย”
คราวนี้เกาทัณฑ์แอบหัวเราะอยู่ในใจ คนตายไงล่ะ หัวใจไม่กลับเต้นอีก ก็คือสิ้นทุกข์อย่างสนิท นั่นแหละความจริง นั่นแหละสิ่งที่ประจักษ์ตาว่าเป็นปลายทางของทุกชีวิต เขาไม่เห็นเลยว่ารางวัลของพุทธจะแตกต่างจากโบนัสของธรรมชาติตรงไหน
อ้อ...ลืมไป อย่างปู่คงเชื่อเรื่องชีวิตหน้า โลกสวรรค์ โลกนิพพาน
สิ่งเหล่านี้จะเรียกว่า ‘ความจริง’ อย่างไรได้ ในเมื่อไม่มีอะไรมารองรับสักอย่างนอกจากความเชื่อ เป็นการเชื่อโดยปราศจากพื้นยืนโดยแท้
แต่ราวกับปู่ล่วงรู้ว่าเขาคิดอะไร ท่านเอ่ยเนิบว่า
“ถ้าเหลือแต่ใจที่เสมอกับธรรมชาติ เลิกดิ้นรน เลิกเป็นเชื้อไฟอย่างสิ้นเชิง คนเราเป็นสุขได้ยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก เพราะบนสวรรค์อาจมีความน่าขัดใจ จัดเป็นทุกข์ทางใจชนิดหนึ่ง การดับทุกข์อย่างสนิทเป็นประโยชน์ในปัจจุบัน พิสูจน์ได้ก่อนตาย เชื่อได้สนิทใจเดี๋ยวนี้ ต่างจากโลกหน้า ที่ต้องตายเสียก่อนถึงรู้ว่าเรื่องกุหรือของจริง”
“เข้าใจล่ะครับ พอจำได้แล้วว่าพุทธศาสนาเน้นเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ ก่อนอื่นต้องเริ่มด้วยการเห็นทุกข์ เหมือนมองให้ออกว่ามีไฟไหม้ แล้วก็ต้องหาน้ำมาดับไฟ ซึ่งน้ำนั้นคือวิปัสสนานี่เอง ถูกไหมครับ?”
“บางทีน้ำที่เอามาดับไฟอาจเป็นแค่สติปัญญารู้ตัวธรรมดาๆก็ได้ เอางี้ แกเชื่อไหมว่าโดยธรรมชาติน่ะ คนเราหวงทุกข์ ทั้งรู้ว่าทุกข์เกิดขึ้น ก็ยังทู่ซี้จะรักษาเอาไว้”
เกาทัณฑ์เบิกตานิดหนึ่ง
“เหรอครับ? เอ ผมไม่เคยคิดอย่างนี้เลย ใครๆก็เกลียดทุกข์กันทั้งนั้น จะหวงไว้ทำไม”
“ใช่ คนเราเกลียดทุกข์ แต่เมื่อทุกข์เกิดแล้ว ก็เหมือนแกล้งตัวเอง เก็บมันไว้ในที่ที่เกิดนั่นแหละ”
ชายหนุ่มครางอ้ออย่างพอมองเห็นรางๆ รอฟังปู่ขยายความต่อ
“ลองตัดความรู้สึกในตัวตนออกไปนะ ให้เหลือใจอย่างเดียวพอ ถ้าว่ากันตามเหตุผล เมื่อเกิดทุกข์แล้วก็ควรจะตัดทิ้งจากใจใช่ไหม?”
“ครับ”
“ถ้าใจมันมีปัญญากำกับก็ควรทำอย่างนั้นแหละ แต่นี่เปล่า อย่างเช่นเกิดโทสะ เกิดความอาฆาตมาดร้าย มีความรุ่มร้อนขึ้นในอก แทนที่จะรู้ตัวว่าเกิดความทุกข์เพื่อผลักไสออกไป กลับออกอาการอุ้มทุกข์นั้นไว้ บางทีขยายผลด้วยซ้ำ ทำให้เกิดพฤติกรรมภายนอกเป็นการอาละวาดหัวฟัดหัวเหวี่ยง หรือกระทั่งตีรันฟันแทงให้ตายกันไปข้าง
ลองตรองดูนะ เมื่อพลิกอาการของจิตจากอุ้มทุกข์ ประคบประหงมทุกข์ เป็นรู้ตัวว่ากำลังทุกข์ มีสติพอจะถามตัวเองว่าต้นเหตุทุกข์คือใครหรืออะไร ถ้าโมโหโกรธา ก็สืบจนพบว่ามีภาพใครปรากฏอยู่ในโทสะ
พอทำได้อย่างนั้น ก็เท่ากับเห็นอาการที่ใจจับยึดต้นเหตุทุกข์ เมื่อเห็นแล้วว่าอาการจับยึดเป็นอย่างไร ก็เกิดสัญชาตญาณเองว่าจะปล่อยวางด้วยท่าไหน ปล่อยใครคนที่ทำให้เกิดทุกข์นั่นแหละ ปล่อยเสียได้ก็เบาโล่งในหัวอก ลิ้มรสความสุขที่เกิดจากการดับทุกข์ขึ้นเอง เห็นไหม ไม่ต้องใช้วิปัสสนาเลย เอาแค่ความฉลาดทางจิตก็พอแล้ว”
เกาทัณฑ์ยิ้มแบบเห็นด้วย แต่ไม่ใช่เห็นจริง เพราะจังหวะนั้นปราศจากตัวอย่างโทสะในอกตนเป็นเครื่องสาธิตและทดลองให้เห็นตาม
“ก็เข้าหลักจิตวิทยาดีนี่ฮะ แต่คงประยุกต์ใช้กับทุกเรื่องไม่ได้ เพราะเหตุการณ์ที่ก่อไฟโทสะมีน้ำหนักแตกต่างกัน คนเราถูกตีให้เจ็บ ถ้าความเจ็บกายยังอยู่ คงยากจะข่มใจไม่ให้เจ็บตาม”
“นั่นแหละเหตุผลที่ต้องมีวิปัสสนาธุระไว้ดับกิเลส ดับเชื้อโทสะให้สนิท ถ้าปราศจากเชื้อโทสะเสียอย่างเดียว ใครก็ทำให้เราทุกข์ด้วยไฟโกรธไม่ได้ด้วยวิธีใดๆเลย”
“เชื้อโทสะคือ…?”
“ภาวะไม่รู้ของจิตไงล่ะ พอไม่รู้มันก็คิดไปเรื่อยเปื่อย บาปบ้าง บุญบ้าง เป็นที่ตั้ง ที่อิงอาศัยของอุปาทานในตัวตนแบบหนึ่งๆ ถ้าปลุกจิตให้ตื่นขึ้นด้วยการเห็นในวิปัสสนาขั้นสูงจนสุดสายเมื่อไหร่ ความรู้สึกเกี่ยวกับตัวตนแบบไหนๆก็ไม่เหลืออยู่เลย เหลือแต่จิตที่ปลอดโปร่งจากเงื่อนไขและการร้อยรัดทุกชนิด”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วกังขา
"แปลว่าที่ทุกคนในโลกเกิดมาพร้อมกับความรู้สึกในตัวตนนี่ ผิดหมด?"
"ถ้ามองว่ามีผิดมีถูกนี่ไม่จบหรอก อย่างที่แกว่านั่นแหละ มีความจริงรองรับทุกความเชื่ออยู่เสมอ แต่ความจริงของคนในโลกนี่มันหนัก เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา เป็นเหตุให้เกิดโลภะ โทสะ โมหะ หรืออีกนัยหนึ่งความดิ้นรนกระสับกระส่ายของจิต ซึ่งอาการนั้นเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่า 'เป็นทุกข์' พูดให้ง่ายว่าเชื่อแบบคนในโลก ยึดแบบคนในโลกแล้วต้องทุกข์นี่ ทางพุทธศาสนาปฏิเสธ"
เกาทัณฑ์อึ้งไปพักใหญ่ ประเด็นสงสัยเกี่ยวกับคำว่า ‘วิปัสสนา’ ถูกปัดตกไปได้ นึกในใจว่าพุทธศาสนามีเหตุผลรองรับเหมือนเสาค้ำคานมั่นคงดี แต่ส่วนลึกไม่ค่อยเชื่อนักว่าการกำจัดกิเลสอย่างเด็ดขาดนั้นเป็นไปได้ หรือถึงเป็นไปได้ ก็ไม่รู้จะกำจัดทำไม ในเมื่อทุกวันนี้มีกิเลสก็เป็นสุขสนุกสนานดีจะตาย
อย่างไรก็ตาม การสนทนาดำเนินมาจนถึงจุดที่เขาขี้เกียจแหย่ต่อ ยังไงก็ต้องให้ความเคารพเกรงใจปู่บ้าง มิเช่นนั้นจะเหมือนทำตัวเป็นคนช่างจับผิด และจับปู่มาแต่งตั้งเป็นทนายแก้ต่างให้พระศาสนา เกาทัณฑ์จึงค่อยๆเบี่ยงหัวเรื่อง
"แพ...หลานสาวปู่คงได้รับอะไรไปจากปู่เยอะ ปู่คงสอนเรื่องดีๆไว้หลายอย่าง โดยเฉพาะธรรมะในพระศาสนา ท่าทางฉลาดคิดอ่านมากเลย"
"ก็ไม่เชิง ฉันแนะแต่เรื่องที่จำเป็น ไม่ได้สั่งสอนมากมายนักหรอก ยายแพเป็นเด็กดี รู้อะไรดีๆด้วยตัวเองอยู่แล้ว"
"ปู่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เกิดหรือฮะ?"
"อือม์"
"เรียนจบรึยังครับนั่น?”
"เรียนครุศาสตร์ปีสุดท้าย"
เกาทัณฑ์ขยับจะถามรายละเอียดให้มากกว่านั้น แต่ปู่ชิงถามถึงสารทุกข์สุขดิบของญาติๆเสียก่อน ซึ่งเขาก็จาระไนไปตามเพลง รวมถึงความก้าวหน้าในชีวิตการงานของตนเองด้วย
“เอาล่ะ” ปู่เงยหน้ามองนาฬิกา “เดี๋ยวได้เวลาพระผู้ใหญ่ที่ฉันนับถือมาออกรายการแสดงธรรม แกจะดูกับฉันไหม?”
“เอ้อ…ไม่ล่ะครับ ผมรบกวนปู่แค่นี้ดีกว่า”
บอกกล่าวว่าจะหมั่นมาเยี่ยมเยียนท่านอีก แล้วเกาทัณฑ์ก็ไหว้ลา
จิตใจคึกคักขึ้นทันใด เขาลงบันไดมาถึงข้างล่าง เหลียวไปรอบๆด้วยหวังจะได้พบกับหญิงสาวที่ตนสะดุดตาสะดุดใจ อย่างไรเสียก็ต้องหาหล่อนให้พบเพื่อวานช่วยมาเปิดประตูอยู่แล้ว คงเป็นโอกาสอันดีที่จะทำความรู้จักกับหล่อน ไหนๆนับศักดิ์แล้วไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ ในเมื่อปู่ยกเป็นหลานแท้ๆอย่างนั้น
บ้านปู่มีอาณาเขตพอควร เกาทัณฑ์เดินเลียบมาถึงด้านหลังก็พบหล่อนคนนั้นนั่งลิดกิ่งไม้ด้วยกรรไกรอยู่ที่ริมรั้วด้านหนึ่ง ดีใจอย่างประหลาดแม้เมื่อเห็นเพียงด้านหลัง เขาผ่อนฝีเท้าลงหยุดยืนแย้มริมฝีปากยิ้ม เบิกตาเฝ้าพินิจเงียบๆ รูปศีรษะหล่อนมนสวย ผิวพรรณมีน้ำมีนวลเฉิดฉายเสียจนส่องรอบด้านให้ดูสว่างตา
ในท่ามกลางความสะพรั่งแห่งไม้ดอกไม้ประดับรอบราย หล่อนคล้ายนั่ง ณ ศูนย์กลางความสดชื่นอ่อนหวานอันดึงดูดให้น่าเข้าใกล้ที่สุด เห็นหล่อนแล้วใจเปิดราวกับมองทะเลกว้าง ผู้หญิงคนนี้ทำให้ที่ที่หล่อนปรากฏกลายเป็นเขตเฉพาะอันวิเศษ และทำให้วันที่พบหล่อนกลายเป็นวันอันทรงความหมายยิ่ง
ดูเหมือนฝ่ายถูกจับจ้องจะมีสัญชาตญาณรู้ตัวว่ามีใครคนหนึ่งลอบพินิจอยู่เบื้องหลัง จึงเหลียวหน้ามาและสบตากัน ชายหนุ่มเกือบเก้อไป เพราะรู้ตัวว่าทำลับล่อเสียมารยาทอยู่เป็นนาน แต่ก็ทำทีปกติ คือส่งยิ้มให้อย่างจะขอผูกมิตร ทว่าหล่อนเพียงมองตอบด้วยดวงตาทอแววนิ่ง มิได้ยิ้มรับแต่อย่างใด
ไม่ปล่อยเวลาให้ทอดนานนัก เกาทัณฑ์เปล่งคำทักทายด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง
"รู้สึกว่าแพจะรักต้นไม้มากนะฮะ"
โดยคิดว่าปู่แนะนำแล้ว จึงถือสนิทเรียกหล่อนได้เต็มปาก หล่อนลุกขึ้นยืนและแย้มยิ้มอย่างคนมีอัธยาศัยดี
"คงอย่างนั้นแหละค่ะ" แล้วก็ถามในฐานะผู้มีหน้าที่อำนวยความสะดวกแขกไปใครมา "จะกลับใช่ไหมคะ?"
ถามแล้วทำท่าขยับจะนำทางไปเปิดประตูรั้วให้ แต่เกาทัณฑ์ไม่รู้ไม่ชี้ เสยื่นหน้าเข้าไปดูดอกไม้สีแดงใกล้ตัวอย่างใจเย็น แล้วถามอย่างจะดึงให้หล่อนต้องหยุด
"แพคงหามาเองทั้งนั้น แปลกตาเยอะแยะไปหมด นี่เรียกว่าอะไรฮะ?"
หญิงสาวผินหน้ามองตาม ทอดระยะนิดหนึ่งก่อนตอบ
"ดอกพวงแก้วค่ะ"
เอื้อนเอ่ยไม่ดังนัก น้ำเสียงไม่ส่อแววอยากสนทนาหาความยาวกับคนช่างไก๋หาเรื่องถามเท่าไหร่ เกาทัณฑ์เหลียวหน้ามาหา ปั้นหน้ากึ่งยิ้มกึ่งเคร่งแบบนักวิชาการผู้ทราบว่าจะชวนคนรักต้นไม้คุยอย่างไรให้สบอารมณ์
"ดอกของมันรูปเหมือนหัวใจนะ คงมีใครตั้งชื่อให้เกี่ยวข้องกับหัวใจไว้บ้างใช่ไหม?"
นัยน์ตาคู่งามเหลือบมาทางเขาแวบหนึ่งก่อนตอบ
"ฝรั่งเรียกดอกพวงแก้วว่า Bleeding Heart ค่ะ เพราะมีกลีบเทียมรูปหัวใจ กับกลีบดอกและเกสรยื่นออกมาเหมือนหยดเลือด รวมทั้งดอกเลยคล้ายหัวใจที่ถูกคั้นจนเลือดหยด”
เกาทัณฑ์ห่อปากครางอย่างคนเพิ่งสังเกตตาม
“เออ จริงด้วยแฮะ ช่างตั้งชื่อกันจริง”
ฟังจากคำตอบแค่นั้น ก็เดาว่าหล่อนคงเป็นนักพฤกษศาสตร์ผู้รู้รอบ มีความผูกพันกับหลากไม้นานาพันธุ์เกินกว่าคนทั่วไปมาก ที่สำคัญดูมีความรักและจินตนาการอันอ่อนโยนต่อพฤกษาทั้งหลายราวกับพวกมันเป็นน้องสาวน้องชาย เกาทัณฑ์คิดในใจว่าคราวหน้าคราวหลังคงต้องเอาพันธุ์อะไรที่มีค่าหายากมากำนัลเสียหน่อย
"ถ้าผมเข้าถึงความรู้สึกของไม้ดอกพวกนี้ได้” เขามองแถวแนวดอกพวงแก้วที่ห้อยตัวอยู่บนกิ่งและสงบกับธรรมชาติอันบอบบางของพวกมัน "ผมคงรู้จักความประณีตอีกแบบหนึ่งของจิตใจเหมือนแพบ้าง"
เกาทัณฑ์หันมายิ้มให้ หญิงสาวสบตาด้วยครู่หนึ่ง ก่อนจะกะพริบเนิบช้าและเบนห่างไปทางอื่น
"นั่นดอก Forget-Me-Not ใช่ไหมฮะ?" เขาชี้ไปที่ดอกไม้สีฟ้าซึ่งตนพอรู้จัก "ชื่อเหมือนเศร้า แต่ก็ฟังดูซึ้งดี...อย่าลืมฉัน...แพพอจะรู้ที่มาของชื่อนี้ไหม?"
หญิงสาวทอดตามองดอกไม้อันเป็นเป้าคำถาม มีความงันนิ่งชวนให้รู้สึกผิดสังเกต ราวกับหล่อนถูกสะกิดให้ระลึกถึงความหลังบางอย่าง เกาทัณฑ์สำเหนียกถึงกระแสเศร้าที่กระจายจางออกมา เกือบขยับจะเปลี่ยนเรื่อง แต่หล่อนเอ่ยตอบเสียก่อน
"ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนตำนานออสเตรีย-ฮังการีสมัยศตวรรษที่สิบสองจะกล่าวไว้ว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่ง ชะโงกจากริมผาเอื้อมมือจะเด็ดดอกไม้นี้ส่งให้คนรัก แต่พลาดตกลงไปสู่กระแสน้ำเชี่ยวเบื้องล่าง ฝ่ายหญิงได้ยินแต่เสียงแว่วจากสายน้ำว่า ‘รักฉัน...อย่าลืมฉัน' ก็เลยกลายเป็นที่มาของชื่อน่ะค่ะ"
เกาทัณฑ์จินตนาการตาม และอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก เขานึกอยากให้ตนเองเป็นชายดวงกุดเมื่อชาติก่อน และให้หล่อนคนนี้เป็นหญิงสาวคนรัก เรื่องคงบรรเจิดแท้ถ้าระลึกได้อย่างนั้นแล้วเด็ดดอก ‘อย่าลืมฉัน' ส่งให้หล่อนสักดอกเดี๋ยวนี้
"เศร้านะฮะ เด็ดดอกไม้แล้วตาย รู้อย่างนี้เดินไปซื้อจากตลาดดีกว่า”
พูดติดตลก แต่หล่อนทำหน้าเฉยเป็นเชิงแสดงว่าไม่มีอารมณ์ขันร่วมด้วย
"ที่จริงถ้าหนุ่มคนนั้นอุทานอะไรธรรมดาๆออกมาให้คนรักได้ยินก่อนตกน้ำล่ะก็ ดอกไม้นี้น่าจะชื่อ ‘เวรแล้วที่รัก' มากกว่านะ"
คราวนี้หล่อนเผลอหัวเราะออกมาได้ แต่หัวเราะนิดเดียวแล้วรีบเงียบตามประสาผู้หญิงมาดสวย ไม่ปล่อยเอิ๊กอ๊ากนานๆต่อหน้าผู้ชายแปลกหน้า เกาทัณฑ์อมยิ้ม สายลมอ่อนพัดมาระลอกหนึ่ง ความสงบจากธรรมชาติรอบตัวและจากคนงามตรงหน้าทำให้อยากยืนอยู่ตรงนั้นนานแสนนาน
"แพ..."
เสียงปู่ชนะดังมาจากชั้นบน หญิงสาวเบิกตาเล็กน้อยและรีบหันไปขานรับ
“ขา”
“โทรศัพท์หนูน่ะ”
“ค่ะ ขึ้นไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
แล้วก็หันมามองเขา เกาทัณฑ์ยิ้มเจื่อน
“เห็นทีผมคงต้องขอตัวแล้วมั้ง”
ราชินีแห่งสวนดอกไม้เงียบเสียง ได้แต่เดินนำมาออกมาหน้าบ้าน ซึ่งชายหนุ่มจำต้องเดินตาม
“ขอบคุณฮะ” พูดเมื่อก้าวพ้นเขตรั้วที่หล่อนเปิดประตูให้ “ผมคงหาโอกาสมาเยี่ยมปู่อีกเร็วๆนี้ ไม่ได้ทำหน้าที่หลานที่ดีมาเสียนาน”
“โชคดีค่ะ”
อวยพรพอเป็นพิธีเพื่อหมุนตัวกลับ ผละจากไปรับโทรศัพท์ เกาทัณฑ์รู้สึกว่าบางสิ่งในทรวงอกวูบไหว ใจส่วนหนึ่งแล่นตามหลังหล่อนไป แม้หญิงสาวขึ้นเรือนลับตาแล้ว ก็ยังมองค้างอยู่เป็นนาน
แก้วล้ำค่า หายาก และคงได้มายาก
แต่คนอย่างเขา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น