วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

กรรมที่ทำให้ถูกด่าเสียหน้าอยู่เรื่อย (ดังตฤณ)

ถาม : ดิฉันมักถูกด่าว่า ทำให้เสียหน้าอยู่เรื่อย ทั้งที่มั่นใจว่าไม่ได้ทำผิดคิดร้าย แล้วก็ไม่ได้เป็นฝ่ายทำให้งานเสียหาย แต่คนอื่นทำเสียเองแล้วมักเอาโทษมาลงที่ดิฉัน หลายครั้งนึกเปรียบเทียบกับเพื่อนๆ ไม่เห็นใครเขาเป็นกันอย่างนี้เลย อยากทราบว่าเป็นผลจากกรรมแบบไหน และจะแก้อย่างไรคะ?

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๘

ดังตฤณ: 
การถูกด่าหรือถูกประจานบ่อยๆโดยไม่มีเหตุผลสมควร เป็นวิบากที่เกิดจากกรรม ๒ ประเภทหลักๆ ได้แก่

๑) การชอบข่มเหงน้ำใจผู้อื่น สนุกกับการเห็นคนเจ็บใจ อาวุธอาจเป็นภาษากายหรือภาษาพูด ทิ่มต่ำให้อีกฝ่ายรู้สึกต่ำต้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนด้อยกว่าหรือไม่มีทางสู้

๒) การประพฤติตนผิดศีลผิดธรรมอย่างไม่ละอาย โดยเฉพาะข้อที่ว่าด้วยการลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม และการโป้ปดมดเท็จ

ขอเพียงสั่งสมกรรมเหล่านี้ไว้มากพอ ก็อาจให้ผลในปัจจุบันชาติ ไม่ต้องรอเกิดใหม่ชาติหน้า และที่ไม่ต้องรอเกิดใหม่ ให้ผลทันตาเห็น ก็เพราะกรรมอันมีลักษณะเสียดแทงใจผู้อื่น เมื่อสั่งสมจนเข้มข้นแล้ว ย่อมก่อกระแสให้ตัวเจ้าของกรรมมีลักษณะน่าเสียดแทง ใครเห็นแล้วอยากด่า หรือเกิดเรื่องให้นึกอยากต่อว่าประจานอยู่เรื่อยๆ และหากชอบปั้นน้ำเป็นตัว บิดเบือนความจริงเป็นประจำ ความจริงเกี่ยวกับตัวเองก็จะถูกบิดเบือนเช่นกัน โดยมาในรูปของการถูกใส่ไคล้ แม้เป็นฝ่ายถูกก็อาจโดนกระทำให้ใครต่อใครหลงเชื่อว่าเป็นฝ่ายผิดเอาง่ายๆ

หากพิจารณาตัวเองว่าไม่ใช่คนชอบข่มเหงใคร กับทั้งไม่ได้ผิดศีลเป็นอาจิณ พูดง่ายๆว่าถ้าเหตุไม่น่าจะใช่ ‘กรรมหลังเกิด’ ก็คงต้องโยนโทษให้เป็น ‘กรรมก่อนเกิด’ คือคุณเคยชอบข่มเหงน้ำใจ หรือผิดศีลมาในอดีตชาติ

อันนี้ยากจะยอมรับนิดหนึ่ง แต่ผมเคยเห็นครับ บางคนมีตัวตนในปัจจุบันติ๋มๆ สงบเสงี่ยมเรียบร้อย แต่ต้องกลายเป็นกระโถนท้องพระโรง รองรับอารมณ์ผู้ใหญ่อยู่เรื่อย นั่นก็เพราะอดีตชาติประพฤติตนไว้หลายแบบ แรกๆอาจดี มีเมตตา ไม่อยากเอาเรื่องเอาราวกับใคร แต่ตอนแก่ๆพอเป็นเจ้าคนนายคน ก็ชอบบ่น ชอบด่า ชอบจู้จี้จุกจิก อันนั้นแหละครับ เลยให้ผลรวบยอดในชาติถัดมา เกิดใหม่เงียบๆติ๋มๆตามพื้นนิสัยดั้งเดิมที่แท้จริง แต่ก็ต้องชดใช้กรรมในภาคที่เคยชอบอาละวาดกับชาวบ้านตามระเบียบ ดีหน่อยตรงที่เจอไม่หนัก ไม่สม่ำเสมอนัก

หากเป็นพวกชอบข่มเหงน้ำใจผู้น้อยเป็นอาจิณ ชาติถัดมาก็มักถูกบีบให้กลายเป็นผู้น้อยที่ถูกผู้ใหญ่ข่มเหงเป็นประจำ แต่หากเป็นพวกชอบข่มเหงน้ำใจไม่เลือกหน้า ชาติถัดมาก็จะถูกคนทั่วไปข่มเหงน้ำใจไม่จำกัดเช่นกัน กรรมเก่าจะปฏิรูปตัวอยู่ในรูปสนามพลังดึงดูดคนให้นึกอยากด่าเสียๆหายๆร่ำไป

บางทีไม่ได้เป็นพวกชอบข่มเหงน้ำใจ แต่อาจพลาดไปกล่าววาจาเสียดแทงอริยเจ้าหรือผู้ทรงคุณเอาไว้ อันนี้ก็มีสิทธิ์ถูกกรรมส่งมาเกิดในฤกษ์โดนด่าประจำเช่นกัน เนื่องจากผู้ทรงคุณหรือผู้มีความสะอาดทางจิตนั้น เป็นสนามพลังขยายกรรมที่ส่งเข้ามากระทบได้มาก จับพลัดจับผลูด่าท่านสองสามครั้ง อาจต้องรับเคราะห์หนักเสียยิ่งกว่าด่าคนธรรมดาเป็นหมื่นๆคน

นอกจากนั้น มนุษย์เราเป็นสัตว์ชอบแข่งขัน และเมื่อเป็นฝ่ายชนะก็มักฮึกเหิมลำพอง หากนิยมการทำให้ผู้แพ้อับอาย รู้สึกแย่ หรือเห็นว่าตัวเองโง่มาก อันนี้ก็เป็นเหตุให้ถูกย่ำยีให้อาย ให้รู้สึกแย่ หรือให้เห็นว่าตัวเองโง่ได้เช่นกัน เรียกว่าแทบจะเป็นกระจกสะท้อนเงากรรมในอดีตตรงไปตรงมาเลยทีเดียว

การแก้เกมบาปข้อนี้มีสองข้อหลักๆ คือให้อภัยทานเป็นการใช้หนี้หนึ่ง และถือศีลให้เกิดความสง่างามน่าเกรงใจหนึ่ง

การให้อภัยแต่ละครั้งก็คือการใช้หนี้เก่าโดยไม่ก่อหนี้ใหม่ เพียงคุณคิดว่าการถูกข่มเหงน้ำใจหรือโดนกระทำย่ำยีแต่ละครั้ง หมายถึงการใช้หนี้ให้หมดๆไป ไม่ผูกใจเจ็บ ไม่แม้แต่เก็บมาคิดมากให้ช้ำใจ ใจคุณจะเบา เหมือนผ่อนส่งค่างวดแต่ละครั้ง ใจก็สบายขึ้นทีละหน จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งเมื่อหนี้หมดโดยไม่รู้ตัว ชีวิตจะปรากฏในอีกรูปหนึ่ง คุณจะเกี่ยวข้องอย่างสำคัญเฉพาะกับบุคคลที่จะไม่ทำร้ายคุณด้วยวาจาอีกต่อไป

ส่วนการรักษาศีล ๕ ให้สะอาดหมดจดนั้น ย่อมมีอานุภาพเป็นความน่าเกรงใจ มีความสง่างาม หรืออย่างน้อยก็ฉายรัศมีคุ้มตัว ใครเห็นแล้วอยากชมมากกว่าอยากติ ขอให้จำไว้ว่าผู้ตั้งใจรักษาศีล ย่อมต้องมีสติมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป โดยเฉพาะในแง่ของการไม่เผลอใจพูดจาเสียดแทงด่าว่าใครให้เจ็บใจ แม้เขาจะเป็นฝ่ายทำให้คุณเจ็บใจก่อนก็ตาม ตัวสติรักษาวาจาให้นุ่มนวล มีเหตุมีผล ทั้งที่ใจกำลังอยากด่าทอ อาจทำให้คุณรู้สึกฝืนในช่วงแรก แต่เมื่อคล่องแคล่วดีแล้วก็จะไม่ฝืดฝืนอะไร ตรงที่ ‘ไม่ฝืนพูดนุ่มนวล’ ได้ทุกครั้งนั่นแหละ ที่ใครต่อใครจะเริ่มปฏิบัติกับคุณต่างไป เพราะสนามดึงดูดให้อยากด่าถูกลดทอนกำลังลงมากแล้ว

นอกจากนั้น คุณควรตั้งใจว่าจะไม่ทำให้ใครขายหน้าอย่างเด็ดขาด ไม่แม้แต่จะคิด ตรงข้าม ถ้าเห็นคนพลาด ถ้าเห็นคนล้ม ก็มีแก่ใจช่วยประคับประคองให้เขาลุกขึ้นยืนใหม่อย่างภาคภูมิ นี่ก็เป็นการให้ทานอย่างหนึ่ง หากทำประจำก็กลายเป็นพลังเสริมให้ใครต่อใครเห็นคุณแล้วอยากยกย่องมากกว่าอยากย่ำยี


เมื่อทำทานและถือศีลดีแล้ว ย่อมได้ชื่อว่าประกอบบุญไว้ดี การแสดงตัวของบุญย่อมมาในรูปของการได้หน้า รักษาหน้า เหมือนมีองครักษ์คอยพิทักษ์ไม่ให้เสียหน้าไปเองครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น