ถาม : เหมือนผมไม่เชื่อว่าจะประสบความสำเร็จอะไรเลย
แล้วก็รู้สึกว่าเรื่องจริงจะเป็นไปตามนั้น แม้ว่าหลายครั้งพยายามแล้ว
แต่เรื่องสำคัญๆดูเหมือนล้มเหลวตอกย้ำอยู่ตลอด
แข่งเรียนหรือแข่งกีฬาก็เหมือนไอ้ขี้แพ้ตลอด ทุกวันนี้ไม่มีกำลังใจเลย
ไม่มีจุดหมายว่าจะขยันไปเพื่ออะไร ทำดีไปเพื่ออะไร
ผมควรก่อกรรมแบบไหนเพื่อให้เป็นคนประสบความสำเร็จกับเขาบ้างครับ?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๖
ดังตฤณ:
เริ่มกันที่ ‘มโนกรรม’ ก่อน พูดง่ายๆคือปรับเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ อย่าเล็งไปที่ความสำเร็จ ลองเล็งไปที่ความมีคุณค่าแทน ที่ผ่านมาเหมือนคุณตั้งเป้าที่ไปถึงได้ยากเกินกำลัง เลยดูถูกตัวเอง ต่อเมื่อคุณทำบางสิ่งที่จะได้รับความชื่นชมเล็กๆน้อยๆ ทั้งจากตนเองและผู้อื่น เมื่อนั้นคุณจะพบว่าความสำเร็จในชีวิตไม่ใช่การสอบได้ที่หนึ่ง ไม่ใช่การเรียนในสถาบันศึกษาทรงเกียรติ ไม่ใช่การเข้าทำงานบริษัทข้ามชาติ ไม่ใช่การมีเงินมากมายซื้อได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา แต่เป็นการอยู่ในโลกนี้ด้วยความรู้สึกที่ดีพอ เห็นตัวเองมีค่าพอ
มองลึกลงไปถึงรากของความล้มเหลว
ก็ไม่ใช่อะไรอื่นหรอกครับ ทุกคนเกิดมาท่ามกลางค่านิยมส่งเสริมความเห็นแก่ตัว
นึกว่าความรู้สึกดีๆหมายถึงความสำเร็จในการเอาดีเข้าตัว
พวกเราช่วยกันโห่ร้องแซ่ซ้องสรรเสริญผู้ชนะ ช่วยกันกรี๊ดคนสวยคนหล่อ ช่วยกันให้เครดิตคนรวย
และพากันเหยียบย่ำคนแพ้ เมินคนหน้าจืด และสั่งรปภ.ไม่ให้ตะเบ๊ะคนจนๆ
เมื่อพวกเราช่วยกันสร้างโลกให้เป็นอย่างนี้ ความรู้สึกดีๆย่อมไม่เกิดกับคนส่วนใหญ่
เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ชนะ ไม่สวยหล่อ และไม่รวยถึงใจ
เมื่อโลกนี้ไม่ตามใจคุณ
คุณไม่อาจบัญชาให้โลกเป็นไปตามใจนึก ก็ต้องสร้างความรู้สึกดีๆให้ตนเอง
ทำความรู้สึกดีๆให้เกิดขึ้นกับคนอื่น โดยเริ่มจากการมองให้เห็นตามจริง
ว่าความรู้สึกมีค่าหมายถึงการพยายามทำประโยชน์ให้คนอื่น
ทำให้คนและสัตว์ที่ด้อยโอกาสได้มีโอกาส
ทำให้คนและสัตว์ที่หงอยเหงาได้อุ่นใจเมื่อเห็นหน้าเรา คุณจะไม่รู้หรอกว่าตัวเองมีค่าและเป็นที่น่าปรารถนาขนาดไหน
ตราบเท่าที่ยังไม่เอาตัวเข้าไปอยู่ในที่ที่จะทำให้คุณรู้
เชื่อไหมว่าแค่คนธรรมดาๆคนหนึ่งโผล่เข้าไปในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและคนชราอนาถา
ก็จะมีหลายคนในนั้นยิ้มออกแล้ว
คุณคิดถึงการทำประโยชน์อะไรก็ได้
เอาที่เล็กน้อยที่สุด เป็นไปได้ที่สุด ไม่มีผลประโยชน์เข้าตัวอย่างที่สุด
จะกับคนในบ้านหรือคนนอกบ้านก็ตามที ทำอะไรก็ได้ ขออย่างเดียวอย่าหวังผลตอบแทน
อย่าหวังแม้ให้ใครชื่นชม แต่ดูเข้ามาที่ใจตัวเอง
คุณจะพบความจริงว่าเมื่อให้ความรู้สึกอย่างไรกับคนอื่น คุณก็จะได้ความรู้สึกเช่นนั้นกลับมาทันที
ยกตัวอย่างนะครับ
ถ้าคุณเดินไปซื้อขนมหมาหรือขนมแมวติดมือกลับมา
แล้วโปรยให้หมาแมวใกล้บ้านด้วยความเต็มใจให้ ไม่คิดอะไรมากกว่าอยากให้
คุณจะเห็นและสัมผัสถึงความรู้สึกดีใจของหมาแมว
การเห็นและสัมผัสภาพเหล่านั้นเต็มๆใจ จะทำให้คุณพลอยรู้สึกยินดีปรีดาตาม
คุณคงไม่หวังให้หมาแมวปรบมือชื่นชมคุณ
คุณคงไม่หวังให้พวกมันตอบแทนเป็นเงินทอง
คุณคงไม่หวังให้พวกมันพากันบอกต่อว่าคุณมีน้ำใจประเสริฐเพียงใด การให้โดยไม่อาจคาดหวังอะไรเลยนั่นแหละมีรสเลิศในตนเอง
เมื่อหมาแมวเป็นที่ฝึกให้อย่างไม่หวังผลได้
คุณก็อาจคิดต่อ ว่ากับสัตว์คุณยังรู้สึกดีได้ เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องสงสัย
ถ้าให้คนด้วยกันโดยยืนอยู่บนความไม่คาดหวัง ก็ย่อมรู้สึกดีเป็นทวีคูณ
หลังจากฝึกให้โดยปราศจากความคาดหวัง
ให้ด้วยการมีสติเข้ามาดูใจตนเอง เห็นความโปร่งเบา เห็นความโล่งหัวอก
กระทั่งเกิดความประจักษ์ขึ้นมาว่าการให้เปล่าเป็นของดี
วิธีคิดทั้งหมดของคุณจะต่างไป เริ่มจากที่ความสุขแบบใหม่ในชีวิตจะเบ่งบานขึ้น
คุณจะมีกำลังวังชาและความกระตือรือร้นอีกแบบหนึ่ง
คุณจะรับผิดชอบภาระหน้าที่ของตนเองโดยปราศจากความฟุ้งซ่าน ปราศจากความหวังผลเลิศ
แต่หวังความพอใจเฉพาะหน้าที่ได้รับผิดชอบตัวเอง
และสามารถเป็นประโยชน์กับคนอื่นในทางใดทางหนึ่ง
จากนั้นเมื่อมองย้อนกลับไปดูตัวเองในอดีต
คุณจะตระหนักว่าถ้าเริ่มต้นคิดแข่งกับคนอื่นเพื่อเอาความเป็นที่หนึ่ง
หรือเอาความเป็นผู้ชนะ หรือเอาความเป็นผู้อยู่เหนือกว่า
แบบเด็กผู้ชายที่เกิดมาก็แข่งกันแม้กระทั่งใครยิงฉี่ได้ไกลกว่ากัน
คุณได้ชื่อว่าเป็นผู้ใส่ความรู้สึกกระวนกระวายกลัวแพ้ให้คู่แข่ง
ความกระวนกระวายกลัวแพ้ก็เกิดขึ้นในใจคุณทันทีเช่นกัน สำคัญคือถ้ากรรมเก่าไม่ส่งเสริมให้คุณเป็นผู้ชนะตามการตัดสินของชาวโลก
คุณก็จะต้องประสบกับความพ่ายแพ้อยู่ร่ำไป
สรุปคือลองเลิกคิดจะไปให้ถึงเส้นชัยบนลู่วิ่งของคนอื่น
เปลี่ยนมาคิดถึงการหาลู่วิ่งของตัวเองให้เจอ ถ้าคุณเจอ ถ้าคุณวิ่ง ไม่นานคุณจะถึงเส้นชัยบนลู่วิ่งของตัวเองอย่างแน่นอนครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น