ถาม : มีพุทธทำนายว่ากึ่งพุทธกาล (พ.ศ.๒๕๐๐)
สัตว์โลกจะพบแต่ความยากลำบากทุกชาติทุกศาสนา
ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลกที่หมุนไปใกล้ความแตกสลาย
ยักษ์หินที่ถูกสาปเป็นเวลานานจะตื่นขึ้นมาอาละวาด
พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศมีฉายแสงส่องโลกอีกวาระหนึ่งก็ต่อเมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น
อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงฤทธิ์ ทั้งสองพระองค์สถิต ณ
เบื้องตะวันออกของมัชฌิมประเทศ
จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปถึงห้าพันปี
คำทำนายนี้จะทำให้ผู้สดับได้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อนับว่าเป็นกรรมของสัตว์ที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน
อยากทราบว่าคุณดังตฤณมีความเห็นอย่างไร พุทธทำนายนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร
เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๖
ดังตฤณ:
เป็นเรื่องน่าช่วยจดจำกันครับ ว่าพระพุทธเจ้าจะทรงทำนายสิ่งใดๆก็ตาม ท่านต้องมีเหตุผลกำกับไปด้วยทุกครั้ง เช่นหากใครสงสัยว่าเมื่อใดพระอรหันต์จะหมดจากโลก ท่านจะไม่ระบุเวลา แต่จะชี้ให้เห็นเป็นเงื่อนไขว่าตราบใดยังมีภิกษุปฏิบัติธรรมตามที่พระองค์สอนสั่ง ตราบนั้นโลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ หรือถ้าสงสัยว่าเมืองใดจะล่มสลาย พระองค์ก็จะตรัสเป็นเงื่อนไขว่าเมื่อใดเหล่าเจ้าผู้ครองนครเสียความสมัครสมานสามัคคี เมื่อนั้นเมืองจะถึงกาลพินาศ
เช่นกัน
ตามพระไตรปิฎกซึ่งถือเป็นสมุดบันทึกอันเชื่อถือได้ของชาวพุทธนั้น
จะเห็นว่ามิใช่พุทธลีลาที่จะทำนายอนาคตของศาสนาแบบฝากความหวังไว้กับใครคนใดคนหนึ่ง
พระพุทธเจ้าทรงชี้ว่าถ้าพระองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไป
ศาสนาพุทธจะยังคงสืบทอดต่อได้อย่างมั่นคง
เพราะพระองค์บัญญัติวินัยสงฆ์ไว้อย่างเป็นระเบียบดีแล้ว อีกทั้งพระองค์จัดตั้ง
‘บริษัทพุทธ’ ซึ่งมีผู้ร่วมดำเนินการอยู่ ๔ พวก ได้แก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก
และอุบาสิกา (รวมกล่าวง่ายๆคือฝ่ายนักบวชและชาวบ้านหญิงชาย)
แม้ที่เลื่องลือกันมากว่าพระพุทธเจ้าเคยทำนายสุบินนิมิต
(ความฝัน) ของพระราชาองค์หนึ่ง ก็ไม่ปรากฏหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎก
แต่จะอยู่ในหลักฐานชั้นรองๆลงมา สรุปว่าเรื่องเกี่ยวกับพุทธทำนายอนาคตแบบไม่มีเหตุผลประกอบนั้น
เป็นเรื่องสมควรฟังหูไว้หู จะกระเดียดไปทางไม่เชื่อไว้ก่อนก็ไม่ผิดบาปอะไร
เพราะโดยพุทธลีลาแล้ว แม้พระองค์ท่านมีญาณหยั่งรู้อนาคตจริง
ก็จะตรัสถึงอนาคตอย่างมีเหตุผล มีที่มาที่ไป ซึ่งคนฟังจะได้รับประโยชน์
และเมื่อจะเชื่อก็ได้ชื่อว่าเชื่ออย่างมีเหตุผล มิใช่เชื่ออย่างงมงายหาคำอธิบายยาก
กล่าวถึงคำทำนายที่คุณยกมาเป็นคำถามนี้
เท่าที่ทราบปรากฏขึ้นมาลอยๆหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ครับ
เขาถึงได้ทำนายถูกไงว่าจะเกิดสงครามใหญ่ จะเข้ายุคข้าวยากหมากแพง
สำหรับที่มาของคำทำนายก็อ้างว่าได้มาจากเสาหินขนาดใหญ่ซึ่งเป็นศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกผู้มีพระชนม์ประมาณสองร้อยปีหลังพุทธกาล
โปรดไถ่ถามกันดูเองเถิด
มีใครเคยเห็นจารึกพุทธพยากรณ์ที่ว่านี้ด้วยตาตนเองหรือถ่ายรูปมาบ้าง
และมีผู้เชี่ยวชาญภาษาโบราณท่านใดเป็นผู้แปลหรือให้การรับรองว่าแปลออกมาแล้วได้ใจความต่อเนื่องราบรื่นสละสลวยอย่างนี้
สำหรับเสาพระเจ้าอโศกนั้น ถ้าใครเคยไปอินเดียจะเห็นนะครับว่าข้อความบนเสาเลอะเลือน
ขาดหาย ไม่มีความต่อเนื่องนัก
อย่างไรคงถอดความไม่ได้ชัดเจนเหมือนพุทธทำนายปลอมที่เขียนขึ้นใหม่นี้หรอก
อีกประการหนึ่ง
น่าสงสัยว่าพระเจ้าอโศกท่านไปคัดข้อความยาวๆแบบนี้มาจากไหน? เพราะแม้ในชั้นอรรถกถาซึ่งเป็นภาคขยายความพระไตรปิฎกก็ไม่มี
อีกข้อสังเกตหนึ่ง
พระเจ้าอโศกท่านเป็นคนในยุค ๒๐๐ ปีหลังพุทธกาล
คงไม่ใช่ธุระของท่านหรือคนสมัยนั้นที่จะไปสนใจเหตุการณ์อันจะเกิดขึ้นในอีกสองพันปีต่อมา
และหากกล่าวว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญ ก็ต้องกล่าวว่าเหตุการณ์สำคัญกว่านั้นมีอยู่
เช่นที่พุทธศาสนาถูกรุกรานจนสาบสูญไปจากประเทศต้นกำเนิด
และกระจัดกระจายไปเจริญตามแหล่งอารยธรรมต่างๆทั่วโลก เป็นต้น
และที่จะลืมไม่ได้เป็นอันขาด
คือองค์พระเจ้าอโศกเอง ท่านเป็นผู้อุปถัมภ์ศาสนาพุทธเจ้าใหญ่ที่สุด เพราะถ้าไม่มีท่านส่งคนไปเผยแผ่พระสัทธรรมนอกอินเดีย
ป่านนี้พุทธศาสนาก็ล่มสลายหายสูญจากโลกนี้ไปแล้ว
ฉะนั้นถ้าพระพุทธเจ้าจะทรงตรัสทำนายเพื่อเชิดชูบุคคลสำคัญของศาสนา
ท่านก็น่าจะไม่ลืมตรัสถึงพระเจ้าอโศกเป็นแน่แท้
พระเจ้าอโศกอยู่ใกล้พุทธกาลเพียงสองร้อยปีเศษ แต่ ‘ธรรมิกราช’
ในพุทธทำนายปลอมอยู่ห่างมาถึงสองพันปี กลับได้รับการเชิดชูขึ้นมาเฉยๆ
สรุปคือเป็นพุทธทำนายปลอมร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ
ตัวคำทำนายจะจริงหรือไม่จริงขอให้ยกไว้
อย่างไรก็ไม่สมควรนำมาอ้างอิงกันอย่างเด็ดขาดว่านี่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
เป็นธรรมดาที่มนุษย์ทั้งหลายจะแสวงหาและปั้นแต่งฮีโร่ขึ้นมารับผิดชอบโลก
แต่ความจริงก็คือพระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ ไม่สนับสนุน
และไม่ยกใครขึ้นมาเชิดชูแล้วอนุญาตให้พวกเราฝากพระพุทธศาสนาไว้ในมือคนๆนั้น
มีแต่จะทรงให้ร่วมมือร่วมใจกัน ช่วยกันสืบทอดและเผยแผ่ตามกำลังของแต่ละคน
การเสาะหาฮีโร่เพียงคนเดียวมาเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งนั้น
นอกจากจะทำให้แนวคิดร่วมมือร่วมใจลดลงแล้ว
ยังเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์เจ้าเล่ห์ทั้งหลายกุเรื่องขึ้นมาตามใจชอบอีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น