ถาม : การระลึกชาติเป็นไปได้จริงไหมครับ? แล้วชาติแรกอยู่ตรงไหน?
ทราบว่าพระพุทธเจ้ามีอีกพระนามหนึ่งว่าพระสัพพัญญู
เหตุเพราะรู้แจ้งแทงตลอดในทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องเล็กระดับจุลชีพหรือเรื่องใหญ่ระดับดวงดาว
และไม่ว่าจะเป็นอดีตหรืออนาคตพระองค์เห็นแจ่มแจ้งแทงตลอดทั่วหมด
แต่เพราะเหตุใดพระองค์จึงตรัสว่าสังสารวัฏ (การเวียนว่ายตายเกิด) นี้
จุดเริ่มต้นและจุดจบไม่ปรากฏให้เห็นเลย?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๖
ดังตฤณ:
ดูอย่างละเอียดดีๆนะครับ ‘ไม่รู้ว่าเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่’ แตกต่างกันมากจาก ‘ไม่มีจุดเริ่มต้นให้รู้’ ทำนองเดียวกับคุณเอาแก้วมาวางใบหนึ่ง พลิกดูก้นแก้วแล้วสงสัยว่าจุดเริ่มต้นของวงกลมมันอยู่ตรงไหน อันนี้คงไม่มีใครตอบได้
หากศึกษาเรื่องการระลึกชาติให้ละเอียด
ก็จะทำให้เกิดมุมมองเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดได้ชัดเจนขึ้น
ทุกคนคงเคยได้ยินข่าวการระลึกชาติมาบ้าง
แต่คงน้อยที่ทราบแบบเปรียบเทียบว่าพวกระลึกชาตินั้นมีหลายระดับ คือ
บางคนระลึกได้แค่ชาติเดียว บางคนระลึกได้ ๑๐ ชาติ บางคนระลึกได้ ๘๐ ชาติ
ใครระลึกได้กี่ชาติก็สำคัญว่าตนเกิดมาแล้วเป็นจำนวนเท่านั้นชาติ
ตามที่จริงแล้ว
พวกที่บอกว่าระลึกได้ชาติเดียวนั้น เป็นไปได้สูงที่จะเกิดจากอุปาทาน
อาจทึกทักไปเอง อาจฝันเป็นจริงเป็นจัง
หรืออาจฟังใครทายทักแล้วกลับมาปรุงแต่งเอาเป็นตุเป็นตะ
ผมจะให้น้ำหนักกับพวกที่ระลึกชาติได้เป็นสิบชาติ และเห็นตนเองผ่านภพน้อยใหญ่
เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นเทวดา กับทั้งระบุเหตุผลได้ว่ากรรมหลักๆอันใดส่งให้ไปเกิดในชาติถัดๆมา
เพราะพวกนี้ได้ชื่อว่าระลึกชาติอย่างเห็นเหตุเห็นผล
ไม่ใช่ระลึกได้แบบสักแต่เห็นภาพเสียงอย่างในฝัน
ยิ่งกว่านั้น
หากมีหลักฐานเป็นรูปธรรม มีร่องรอยเก่าแก่ตกค้างอยู่บนโลกมนุษย์นี้
แล้วผู้ระลึกชาติสามารถชี้ในสิ่งไม่เคยมีใครรู้ได้ถูก
การระลึกชาติของเขาจะมีน้ำหนักยิ่งกว่าบอกเล่าปากเปล่าแบบไร้ข้อพิสูจน์มาก
สิ่งสำคัญที่สุดในการเวียนว่ายตายเกิดก็คือ
ทุกคนมีกรรมนำไปเกิดเสมอ หากปราศจากกรรมหลักๆเป็นตัวกำหนดแดนเกิดแล้ว
สัตว์จะขาดที่มาที่ไป เหมือนของแปลกปลอมที่อยู่ดีๆผุดขึ้นเองกลางอากาศ
การขาดกรรมกำหนดแดนเกิด
เท่ากับสัตว์ที่เกิดเองลอยๆนั้นจะไม่มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง
จะไม่มีการได้ดีหรือตกยาก จะไม่มีผิวพรรณวรรณะหยาบหรือประณีต ลองตรองนะครับว่าถ้ามีชาติแรกที่ปราศจากกรรมกำหนด
ชาติแรกนั้นก็ต้องเป็นภาวะอะไรอย่างหนึ่งที่ไร้อารมณ์ยิ่ง จู่ๆเกิดมามีอายตนะตา หู
จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยไม่มีสภาพหยาบหรือประณีตใดๆ
ไม่มีสิ่งแวดล้อมกระทบกระทั่งน่าชอบน่าชังใดๆ
ไม่มีอะไรเร่งเร้าให้ประกอบกรรมดีกรรมชั่วใดๆ นึกออกไหมครับว่าจะเป็นอย่างไร?
ถ้าไม่มีภาวะความเป็นมนุษย์
ก็ไม่มีทางที่จะก่อกรรมเพื่อจำแนกตนเองออกไปเป็นสัตว์ประเภทต่างๆ
แต่กว่าจะเป็นมนุษย์ ก็ต้องสร้างบุญบารมีมาบ้าง
นี่เป็นวงกลมแห่งความจริงทำนองเดียวกับปัญหาโลกแตก
เช่นไก่เกิดก่อนไข่หรือไข่เกิดก่อนไก่ คุณจะไม่พบคำตอบ เพราะไม่มีคำตอบให้พบ
สรุปคือคุณกับผมต่างก็เกิดตายกันมาเป็นอนันตชาติ
คือนับไม่ได้ว่าร้อยชาติ ล้านชาติ หรือกี่อสงไขยชาติ ต้องเรียกอนันตชาติจึงจะถูก
เคยมีคนไปถามพระพุทธองค์เรื่องชาติแรกเหมือนกัน
พระองค์ท่านตรัสตอบว่าถามแบบนี้ฟุ้งซ่านเปล่า เอาแบบที่พอเห็นความจริงแบบเป็นเหตุเป็นผลจะดีกว่า
คือท่านให้มองว่าเพราะเริ่มจากความไม่รู้ สัตว์ทั้งหลายจึงทำกรรมดีบ้าง
ทำกรรมชั่วบ้าง ผลคือทำให้ได้ดีบ้าง ทำให้ได้ชั่วบ้าง เป็นภพอันน่าอภิรมย์บ้าง
เป็นภพอันน่าหน่ายหนีบ้าง
เมื่อทราบแล้วว่าการเวียนว่ายตายเกิดด้วยความไม่รู้อีโหน่อีเหน่นั้นเป็นภัย
พระองค์ตรัสแสดงความจริงว่าการมีอัตภาพ มีหัวหู มีแขนขา
มีอุปกรณ์ก่อกรรมอย่างนี้ไม่ดีเลย
แม้ครองภาวะหยาบหรือประณีตอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงวินาทีเดียวก็ไม่ใช่เรื่องน่าสรรเสริญแล้ว
ควรหาทางยกตัวเองขึ้นบก คือเข้าให้ถึงนิพพานเพื่อไม่ต้องเสี่ยงผิดเสี่ยงถูก
ดำผุดดำว่ายอยู่กลางทะเลอันเต็มไปด้วยภยันตรายแห่งนี้อีก
การยุติภพชาติไม่ใช่การฆ่าตัวตายนะครับ
การฆ่าตัวตายของผู้มีจิตเศร้าหมองนั้น มีอบายภูมิเป็นที่รอ
ยังมีทุกข์และความลำบากอยู่ข้างหน้าไม่สิ้นสุด
ส่วนการยุติภพชาติที่แท้จริงคือการดับเหตุแห่งการเกิดภพเกิดชาติ
นั่นก็คือการดับกิเลสทางใจลงเท่านั้น ทางอื่นไม่มีเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น