วันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ชาติแรกมีขึ้นมาเมื่อไร (ดังตฤณ)

ถาม : การระลึกชาติเป็นไปได้จริงไหมครับ? แล้วชาติแรกอยู่ตรงไหน? ทราบว่าพระพุทธเจ้ามีอีกพระนามหนึ่งว่าพระสัพพัญญู เหตุเพราะรู้แจ้งแทงตลอดในทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องเล็กระดับจุลชีพหรือเรื่องใหญ่ระดับดวงดาว และไม่ว่าจะเป็นอดีตหรืออนาคตพระองค์เห็นแจ่มแจ้งแทงตลอดทั่วหมด แต่เพราะเหตุใดพระองค์จึงตรัสว่าสังสารวัฏ (การเวียนว่ายตายเกิด) นี้ จุดเริ่มต้นและจุดจบไม่ปรากฏให้เห็นเลย?

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๖

ดังตฤณ: 
ดูอย่างละเอียดดีๆนะครับ ‘ไม่รู้ว่าเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่’ แตกต่างกันมากจาก ‘ไม่มีจุดเริ่มต้นให้รู้’ ทำนองเดียวกับคุณเอาแก้วมาวางใบหนึ่ง พลิกดูก้นแก้วแล้วสงสัยว่าจุดเริ่มต้นของวงกลมมันอยู่ตรงไหน อันนี้คงไม่มีใครตอบได้

หากศึกษาเรื่องการระลึกชาติให้ละเอียด ก็จะทำให้เกิดมุมมองเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดได้ชัดเจนขึ้น ทุกคนคงเคยได้ยินข่าวการระลึกชาติมาบ้าง แต่คงน้อยที่ทราบแบบเปรียบเทียบว่าพวกระลึกชาตินั้นมีหลายระดับ คือ บางคนระลึกได้แค่ชาติเดียว บางคนระลึกได้ ๑๐ ชาติ บางคนระลึกได้ ๘๐ ชาติ ใครระลึกได้กี่ชาติก็สำคัญว่าตนเกิดมาแล้วเป็นจำนวนเท่านั้นชาติ

ตามที่จริงแล้ว พวกที่บอกว่าระลึกได้ชาติเดียวนั้น เป็นไปได้สูงที่จะเกิดจากอุปาทาน อาจทึกทักไปเอง อาจฝันเป็นจริงเป็นจัง หรืออาจฟังใครทายทักแล้วกลับมาปรุงแต่งเอาเป็นตุเป็นตะ ผมจะให้น้ำหนักกับพวกที่ระลึกชาติได้เป็นสิบชาติ และเห็นตนเองผ่านภพน้อยใหญ่ เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นเทวดา กับทั้งระบุเหตุผลได้ว่ากรรมหลักๆอันใดส่งให้ไปเกิดในชาติถัดๆมา เพราะพวกนี้ได้ชื่อว่าระลึกชาติอย่างเห็นเหตุเห็นผล ไม่ใช่ระลึกได้แบบสักแต่เห็นภาพเสียงอย่างในฝัน

ยิ่งกว่านั้น หากมีหลักฐานเป็นรูปธรรม มีร่องรอยเก่าแก่ตกค้างอยู่บนโลกมนุษย์นี้ แล้วผู้ระลึกชาติสามารถชี้ในสิ่งไม่เคยมีใครรู้ได้ถูก การระลึกชาติของเขาจะมีน้ำหนักยิ่งกว่าบอกเล่าปากเปล่าแบบไร้ข้อพิสูจน์มาก

สิ่งสำคัญที่สุดในการเวียนว่ายตายเกิดก็คือ ทุกคนมีกรรมนำไปเกิดเสมอ หากปราศจากกรรมหลักๆเป็นตัวกำหนดแดนเกิดแล้ว สัตว์จะขาดที่มาที่ไป เหมือนของแปลกปลอมที่อยู่ดีๆผุดขึ้นเองกลางอากาศ

การขาดกรรมกำหนดแดนเกิด เท่ากับสัตว์ที่เกิดเองลอยๆนั้นจะไม่มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง จะไม่มีการได้ดีหรือตกยาก จะไม่มีผิวพรรณวรรณะหยาบหรือประณีต ลองตรองนะครับว่าถ้ามีชาติแรกที่ปราศจากกรรมกำหนด ชาติแรกนั้นก็ต้องเป็นภาวะอะไรอย่างหนึ่งที่ไร้อารมณ์ยิ่ง จู่ๆเกิดมามีอายตนะตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยไม่มีสภาพหยาบหรือประณีตใดๆ ไม่มีสิ่งแวดล้อมกระทบกระทั่งน่าชอบน่าชังใดๆ ไม่มีอะไรเร่งเร้าให้ประกอบกรรมดีกรรมชั่วใดๆ นึกออกไหมครับว่าจะเป็นอย่างไร?

ถ้าไม่มีภาวะความเป็นมนุษย์ ก็ไม่มีทางที่จะก่อกรรมเพื่อจำแนกตนเองออกไปเป็นสัตว์ประเภทต่างๆ แต่กว่าจะเป็นมนุษย์ ก็ต้องสร้างบุญบารมีมาบ้าง นี่เป็นวงกลมแห่งความจริงทำนองเดียวกับปัญหาโลกแตก เช่นไก่เกิดก่อนไข่หรือไข่เกิดก่อนไก่ คุณจะไม่พบคำตอบ เพราะไม่มีคำตอบให้พบ

สรุปคือคุณกับผมต่างก็เกิดตายกันมาเป็นอนันตชาติ คือนับไม่ได้ว่าร้อยชาติ ล้านชาติ หรือกี่อสงไขยชาติ ต้องเรียกอนันตชาติจึงจะถูก

เคยมีคนไปถามพระพุทธองค์เรื่องชาติแรกเหมือนกัน พระองค์ท่านตรัสตอบว่าถามแบบนี้ฟุ้งซ่านเปล่า เอาแบบที่พอเห็นความจริงแบบเป็นเหตุเป็นผลจะดีกว่า คือท่านให้มองว่าเพราะเริ่มจากความไม่รู้ สัตว์ทั้งหลายจึงทำกรรมดีบ้าง ทำกรรมชั่วบ้าง ผลคือทำให้ได้ดีบ้าง ทำให้ได้ชั่วบ้าง เป็นภพอันน่าอภิรมย์บ้าง เป็นภพอันน่าหน่ายหนีบ้าง

เมื่อทราบแล้วว่าการเวียนว่ายตายเกิดด้วยความไม่รู้อีโหน่อีเหน่นั้นเป็นภัย พระองค์ตรัสแสดงความจริงว่าการมีอัตภาพ มีหัวหู มีแขนขา มีอุปกรณ์ก่อกรรมอย่างนี้ไม่ดีเลย แม้ครองภาวะหยาบหรือประณีตอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงวินาทีเดียวก็ไม่ใช่เรื่องน่าสรรเสริญแล้ว ควรหาทางยกตัวเองขึ้นบก คือเข้าให้ถึงนิพพานเพื่อไม่ต้องเสี่ยงผิดเสี่ยงถูก ดำผุดดำว่ายอยู่กลางทะเลอันเต็มไปด้วยภยันตรายแห่งนี้อีก


การยุติภพชาติไม่ใช่การฆ่าตัวตายนะครับ การฆ่าตัวตายของผู้มีจิตเศร้าหมองนั้น มีอบายภูมิเป็นที่รอ ยังมีทุกข์และความลำบากอยู่ข้างหน้าไม่สิ้นสุด ส่วนการยุติภพชาติที่แท้จริงคือการดับเหตุแห่งการเกิดภพเกิดชาติ นั่นก็คือการดับกิเลสทางใจลงเท่านั้น ทางอื่นไม่มีเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น