ถาม : ที่คุณดังตฤณเคยบอกไว้ว่าการบรรลุพระโสดาบันแล้วจะปิดอบายได้ทุกภพชาตินั้น
หมายความว่าขณะตายพระโสดาบันจะมีสติระลึกรู้จนเกิดกุศลได้อัติโนมัติทุกครั้งใช่ไหม? อยากทราบเหตุผลว่าทำไมพระโสดาบันจึงมีความเที่ยงที่จะไปสุคติเสมอครับ
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๖
ดังตฤณ:
ก่อนอื่นต้องแก้ความเข้าใจสักนิดหนึ่ง เรื่องการปิดอบายอย่างเด็ดขาดของผู้เป็นโสดาบันนั้น ไม่ใช่ว่าผมบอก ไม่ใช่ว่าผมเป็นผู้ประกันนะครับ นี่เป็นสัจจะที่พระพุทธองค์ตรัสแสดง และมีพระสัพพัญญุตญาณของพระองค์ท่านเป็นประกัน และที่เป็นเช่นนั้นก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้ารับรองความปลอดภัยให้พระสาวกเพียงเพราะพระสาวกนับถือท่าน แต่เป็นเพราะมีกุศลจิตและกรรมขาวอันตั้งมั่นแล้วอย่างสมเหตุสมผล
เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างครอบคลุมชัดเจน
ขอให้พิจารณาคนดีธรรมดาที่ยังไม่เป็นโสดาบันบุคคลก็แล้วกัน
ปกติถ้าหากว่าใครบำเพ็ญคุณงามความดีมานาน กระทั่งความดีทางกายวาจาซึมซาบเอิบอาบเข้าไปถึงระดับความนึกคิด
คือแม้คิดเป็นความลับอยู่เงียบๆในหัวก็ไม่มีความเลวร้ายอยู่เลย
ถึงขั้นนั้นแม้จะไม่ได้เป็นพระโสดาบัน
นิสัยใจคอก็ย่อมสืบทอดลักษณะความดีงามของตนเองข้ามเดือน ข้ามปี
โดยยากที่จะเปลี่ยนแปลง และเมื่อจะตายก็ย่อมมีจิตสุดท้ายที่คิดดี
ไม่มีเหตุผลที่จะไปคิดอะไรเลวๆเอาตอนใกล้ตาย
และจากกฎธรรมชาติคือ
‘กรรมเดิมจะพยายามรักษาเส้นทางเดิมไว้’ ก็หมายความว่าคนดีที่ ‘ดีจริง’
ถึงระดับความคิดนั้น ย่อมไปเกิดในประเทศที่สงบ
และอยู่ในฐานะที่ไม่มีความจำเป็นต้องรบราฆ่าฟันหรือเบียดเบียนใครๆด้วยกายวาจาใจ
ตรงข้ามเขาย่อมคู่ควรแก่การไปอยู่ท่ามกลางความอบอุ่นเป็นสุขของครอบครัวที่พร้อมหน้าพร้อมตา
พ่อแม่เป็นผู้ตั้งมั่นในทานและศีล อบรมเขาให้โตขึ้นอย่างเด็กที่จะคิดดี พูดดี ทำดี
นอกจากนั้นที่สำคัญกว่าอะไรอื่น
กรรมแต่หนหลังจะบันดาลให้จิตใจของเขาไม่มีคลื่นความฟุ้งซ่านจัด
บันดาลให้กายของเขาไม่กระสับกระส่ายเร่าร้อนไปในราคะและโทสะอย่างยากจะระงับ
จึงยากที่อยู่ๆจะนึกสนุกอยากลองเป็นคนชั่วดูบ้าง
และยากที่จะหลงไปคบเพื่อนชั่วด้วยความสำคัญว่าเป็นของดี
เหมือนผู้นุ่งห่มอาภรณ์ขาวสะอาด ย่อมไม่สำคัญว่าผ้าขี้ริ้วน่าใส่กว่า
สรุปคือสำหรับปุถุชนคนธรรมดานั้น
ถ้า ‘ดี’ ลงมาถึงระดับความคิดได้ชาติหนึ่ง
ชาติต่อๆมาก็มีแนวโน้มจะคงความดีไว้ได้อีก อย่างไรก็ตาม กฎแห่งการรักษาเส้นทางเดิมของกรรมนั้น
ยังเป็นรองอีกกฎหนึ่ง คือ ‘ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไป’ ยุคเรานี่แหละครับ
แสดงกฎนี้ได้ชัด คนดีเปลี่ยนใจเป็นคนชั่วกันทุกวัน
เพราะสิ่งกระตุ้นให้ชั่วมีมากกว่าสิ่งกระตุ้นให้ดี ต่อให้ดีเพียงใดก็ไหลลงต่ำได้
ตราบเท่าที่ยังไม่มีเหตุผลชัดเจนพอว่าจะรักษาความดีไว้ทำไม
ก่อนที่ปุถุชนจะเป็นโสดาบันบุคคลได้นั้น
เริ่มแรกก็เป็นคนธรรมดา เป็นปุถุชนที่เดินทางท่องเที่ยวเกิดตายอย่างไร้จุดหมาย
ไร้ความรู้จักปลายทางที่แท้จริง
ต่อเมื่อพบการแสดงทางไปสู่ฝั่งอันเป็นที่สุดทุกข์ของพระพุทธเจ้า จึงเริ่มเข้าใจว่าการเดินทางที่ดีที่สุดคือการเดินทางที่มีจุดหมาย
จุดหมายปลายทางที่ดีที่สุดก็คือนิพพานนั่นเอง
นิพพานเป็นเหตุผลที่ทำให้คนใฝ่ดีคนหนึ่งควรรักษากรรมขาวให้ยั่งยืน
เพราะกรรมขาวเท่านั้นที่ปูพื้นให้จิตมีสภาพพร้อมบรรลุธรรมเป็นโสดาบันบุคคลขึ้นมาได้
กล่าวคือ จิตอันปลอดโปร่งจากบาป และถึงพร้อมด้วยความสุจริตทางกาย วาจา
ใจเท่านั้น ที่พร้อมจะเห็นตามจริงว่ากายและจิตนี้ไม่เที่ยง มีอันต้องเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา
ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น กระทั่งเห็นความจริงขั้นสูงสุดคือนิพพาน
กลายเป็นโสดาบันบุคคลขึ้นมาได้
อันนี้ถ้าไม่เชื่อคุณลองไปพูดกับคนใจบาปเรื่องความไม่เที่ยง
ความไม่น่ายึดมั่นถือมั่นของสังขารทั้งปวง
จิตอันยึดมั่นเหนียวแน่นอยู่ในบาปอกุศลของพวกเขาจะปิดกั้น ไม่ยอมรับฟังใดๆเลย
ส่วนคุณเอง ถ้ามีใจเบิกบานอยู่ในกุศล เพิ่งทำบุญทำคุณมา
ความสุขความเบิกบานย่อมส่งให้สามารถรับฟังถึงสภาพอันเป็นสุขประณีตยิ่งๆขึ้นไปได้
โดยปราศจากแรงต้านใดๆ หรือแม้ต้านบ้างก็อ่อนกำลังลงมากแล้ว
เมื่อคนธรรมดาๆสักคน
ได้เจริญสติรู้เห็นกายใจโดยความไม่เที่ยง ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น กระทั่งถึงจุดหนึ่ง
เกิดปรากฏการณ์ทางจิตที่เรียกว่า ‘ได้ดวงตาเห็นธรรม’ คือบรรลุมรรคผล
จิตถึงความใหญ่เป็นฌาน เห็นความไม่มีตัวตน
และประจักษ์ว่ามีธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งคือนิพพาน เป็นบรมสุข เป็นฝั่งอันปลอดภัย
เป็นความเที่ยงแท้ เป็นความไม่มีนิมิตหมาย มีแต่ความเป็นเช่นนั้นเสมอมาและเสมอไป ปรากฏการณ์เห็นนิพพานนั้นจะยกชั้นของภูมิจิตให้สูงขึ้นอย่างถาวร
กล่าวคือเมื่อรู้จักนิพพานแล้ว จิตย่อมทราบที่หมายปลายทาง
และย่อมเลิกเข้าข้างกิเลส แต่หันไปเข้าข้างกรรมที่สนับสนุนให้เดินทางไปถึงความหมดกิเลสสิ้นเชิง
ซึ่งก็ได้แก่กรรมอันเป็นกุศลทั้งทางกาย วาจา และใจนั่นเอง
สรุปโสดาบันบุคคลนั้น
‘ต้องดีจริง’ ลงมาถึงระดับของจิต แม้ยังมีราคะ โทสะ โมหะ
แม้ยังมีความคิดไม่ดีได้อยู่ แต่ก็ ‘ไม่เอาบาป’ ออกมาจากจิต
ถ้าเป็นบาปจะไม่มีการชั่งใจลังเลว่าเอาดีไม่เอาดี เมื่อจิตไม่เอาบาป
ก็ย่อมไม่สร้างภพ ไม่สร้างนิมิตสยดสยองก่อนตาย พอจิตสุดท้ายของความเป็นมนุษย์ดับลง
ที่หมายย่อมเป็นไปได้สองสถาน คือสวรรค์หรือนิพพานอย่างใดอย่างหนึ่ง
ที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้
คือโสดาบันบุคคลนั้นเที่ยงที่จะบรรลุพระอรหัตตผล หมายถึงในที่สุดจะต้องเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสอย่างสิ้นเชิงภายใน
๗ ชาติ ถ้าขยันหน่อย
ปฏิบัติธรรมลดละกิเลสเห็นตามจริงขะมักเขม้นก็จบกิจในปัจจุบันชาติ
แต่ถ้ายังปรารถนาเสวยสมบัติมนุษย์และเทวดา อย่างมากอีก ๗ ชาติก็ต้องเบื่อหน่าย
คลายความยินดี เห็นความจริงจนถึงที่สุด สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในชาติสุดท้ายจนได้
ท่านจึงว่าเป็นโสดาบันบุคคลนั้น
ประเสริฐกว่าความเป็นนักธุรกิจหมื่นล้าน ประเสริฐกว่าความเป็นราชามหาจักรพรรดิ
ประเสริฐกว่าความเป็นเทพและพรหม
นั่นก็เพราะปุถุชนผู้ยังไม่บรรลุธรรมเป็นโสดาบันล้วนเดินทางเป็นวงกลม
เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวทำบุญเดี๋ยวทำบาป เดี๋ยวเสวยทุกข์เดี๋ยวเสวยสุข
คล้ายนั่งรถไฟเหาะ เดี๋ยวขึ้นสูง เดี๋ยวลงต่ำ
แล้วก็วนย้อนกลับมาหาจุดเริ่มต้นกันใหม่
ในขณะที่โสดาบันบุคคลเดินทางเป็นเส้นตรงสู่จุดหมายที่แน่ชัดแล้ว
คือแม้พวกท่านยังอยู่ภายใต้กฎแห่งความไม่เที่ยง ก็เป็นความไม่เที่ยงขาขึ้น
เหมือนคนขึ้นลิฟต์ลิ่วๆสู่ยอดสุดอันเป็นที่พักถาวรท่าเดียว
ถ้าให้กล่าวจำแนกอย่างชัดเจน
เหล่าโสดาบันมีความมั่นคงในระดับของจิตอยู่ ๒ ประการ
(ซึ่งก็คือความตั้งมั่นแห่งภพภูมิอันเป็นปัจจุบันและอนาคต) ได้แก่
๑)
ศรัทธาตั้งมั่นในพระพุทธเจ้าและพระธรรมคำสอนของพระองค์ เนื่องจากเห็นนิพพานแล้ว
ทราบแล้วว่าพระพุทธเจ้าพบนิพพานจริง
รวมทั้งสั่งสอนให้พระสานุศิษย์ทั้งหลายถึงนิพพานได้จริง
พิสูจน์ได้ในชาติปัจจุบันแห่งความเป็นมนุษย์
ไม่มีการลังเลสงสัยหรือหันไปฟังคำสอนอื่นอีก ตลอดจนไม่มีทางหลงเห็นผิดเป็นชอบ
เช่นเชื่อแบบสืบๆกันมาว่าทำพิธีอย่างนั้นอย่างนี้แล้วจะได้บรรลุมรรคผล
มีแต่ความเข้าใจจริงว่าต้องปฏิบัติธรรม
เจริญสติรู้เห็นเข้ามาในกายใจนี้โดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนเท่านั้น
๒)
มีศีลที่ตั้งมั่น
เป็นความตั้งมั่นแบบไม่ต้องดูตำราว่าท่านให้ทำหรือไม่ให้ทำอะไรบ้าง จิตไม่เอาบาป
ไม่เอาอกุศลอันเป็นหนทางไปสู่อบายภูมิทั้งหมด ทั้งการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์
การผิดในกาม การโกหก และการกินเหล้าเมายา
แถมท้ายอีกนิด
การจะเป็นโสดาบันบุคคลนั้น มีเงื่อนไขอยู่บ้าง คือเกิดเป็นมนุษย์ พบพุทธศาสนา
มีสติปัญญาพอจะรู้คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่เคยฆ่าพ่อฆ่าแม่ ไม่เคยฆ่าพระอรหันต์
ไม่เคยเป็นพระที่ทำความแตกแยกแก่หมู่สงฆ์ ตลอดจนมีกำลังวังชา
และมีเวลาเหลืออยู่ในโลกนี้สัก ๗ วัน ๗ เดือน หรือ ๗ ปี
เพื่อพัฒนาสติรู้เห็นตามจริงดังที่พระพุทธเจ้าตรัสชี้ทางไว้
ผมเคยนำ ‘วิปัสสนานุบาล’ มาลงไว้ในบางกอก
ตอนนี้มีให้อ่านฟรีทั้งเล่มที่ http://dungtrin.com/vipassana
กับอีกเรื่องหนึ่งคือ ‘๗ เดือนบรรลุธรรม’ มีให้อ่านฟรีอีกเช่นกันที่
http://dungtrin.com/7months และอยากบอกว่าทุกท่านที่ติดตามอ่านเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวนี้
เกินกว่าครึ่งมีเงื่อนไข มีเหตุปัจจัยสมควรแก่การได้บรรลุมรรคผลเป็นโสดาบันบุคคลด้วยกันทั้งนั้นครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น