ถาม : ถ้าสวยเพราะรักษาศีล
เหตุใดบางคนสวยจัดแต่เตี้ยบ้าง แขนขาไม่น่าดูบ้าง
ส่วนบางคนรูปร่างยิ่งกว่านางแบบแต่หน้าตากลับไปวัดไม่ค่อยได้
น้อยมากที่ทั้งหน้าตาและรูปร่างสมบูรณ์แบบทุกประการ
อย่างนี้แปลว่าศีลตกแต่งให้สวยเป็นจุดๆอย่างนั้นหรือ?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๖
ดังตฤณ:
ศีลไม่ได้เป็นเหตุเดียวที่ทำให้สวยหรอกครับ
กรรมทั้งหลายที่เป็นฝ่ายกุศล
ต่างก็มีส่วนปรุงแต่งให้เกิดความสวยหล่อหรือน่าเกลียดทั้งสิ้น
ต่อให้ไม่ผิดศีลเลยสักข้อ ทว่าเป็นคนเอาแต่ได้ มักโกรธ หลงตัวจัด
จิตของคนที่ออกแนวนี้แม้ไม่ต้องเกิดใหม่ก็จะปรุงแต่งให้น่าเกลียดลงกว่า
เดิมในระยะยาว
ยิ่งไปกว่านั้น
กรรมที่ปรุงแต่งรูปร่างหน้าตาคนทั่วไป มักเป็นกรรมที่ทำประจำจนคุ้นเป็นนิสัย
ไม่ใช่กรรมชนิดนานๆทำที
ยกตัวอย่างเช่นถ้าทำใจให้ดีมีเมตตาเหมือนพ่อพระแม่พระขนาดสละชีวิตกู้โลกได้ แต่เป็นเพียงวันเดียวเลิก
อย่างนี้ก็ไม่มีส่วนช่วยปั้นหน้าหรือทาผิวแต่อย่างใด
ในแง่ของกรรมตกแต่งรูปร่างหน้าตานั้น
ศีลเป็นตัวกำหนดสำคัญว่าสัดส่วนหรือรูปทรงจะดูพอเหมาะพอเจาะไร้ที่ติ
หรือเต็มไปด้วยที่ติตามจุดต่างๆ หากคุณมีศีลสัตย์บริสุทธิ์สะอาดอย่างแท้จริง
ก็จะรู้สึกออกมาจากภายในว่าจิตใจของคุณมีความเที่ยงตรงไม่บิดเบี้ยว
ความรู้สึกแบบนั้นแหละที่ตกแต่งรูปร่างหน้าตาออกมาได้สัดส่วนเหมาะเจาะ
แต่หากศีลของคุณไม่สะอาดครบ
แม้ชอบให้ทานและรักษาศีลบางข้อได้ อันนี้ก็ทำให้เกิดข้อบกพร่องทางกายได้แล้ว
เช่นไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดในกาม ทว่าขี้โกหก เมาหัวราน้ำเป็นอาจิณ
อย่างนี้พอสำรวจความรู้สึกโดยทั่วไป หรือนึกถึงกรรมโดยรวมแล้ว
จะเหมือนมีความเว้าแหว่ง มีความไม่หมดจด หรือมีความกะดำกะด่างอย่างอธิบายไม่ถูก
บอกได้ชัดๆเพียงว่ารู้สึกถึงความบิดเบี้ยวไม่เที่ยงตรงชอบกล ความรู้สึกนั้นแหละ
ถ้าฉายออกมาเป็นภาพนิมิต คุณก็จะเห็นความบกพร่อง ไม่งามพร้อม แม้งามมากบางจุด
ก็เบี้ยวบูดได้หลายแห่ง
ผมเห็นบางคนทำบุญบางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับสัดส่วนรูปร่างหน้าตาหรือความงามของผิวพรรณโดยตรง
แต่กลับอธิษฐานขอให้ได้เกิดมาหน้าตางดงามเป็นนางฟ้าหรือเทพบุตร
อันนั้นก็อาจสวยหล่อได้จริง แต่ไม่ให้ความรู้สึกพอดิบพอดีเป็นธรรมชาตินัก
ตัวอย่างเช่นวัยรุ่นสาวๆนี่
มักนึกถึงการทำบุญด้วยการสวดมนต์ ซึ่งก็เป็นบุญอย่างหนึ่งจริงๆ
แต่เป็นบุญที่เป้าหมายคือการทำจิตให้สงบเป็นเมตตา
ปลูกศรัทธาให้ตั้งมั่นด้วยวิธีตั้งจิตระลึกถึงพระคุณของศาสดาและคำสอนของ พระองค์
ทว่าโดยมากสวดมนต์ไปก็ฟุ้งซ่านไป แถมการระลึกถึงพระคุณของพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ก็แทบไม่มี มีแต่ขมุบขมิบปากพึมพำบาลีที่ตัวเองไม่รู้เรื่อง
ไม่รู้ว่าบ่นอะไรออกไป
ไม่รู้ว่าบทสวดประจำของตนประพันธ์ขึ้นตามหลักพุทธศาสตร์หรือไสยศาสตร์
ซ้ำร้ายนะครับ
บางคนสร้างความเคยชินขึ้นมาตามแบบฉบับของตนเอง คือสวดไปนึกถึงแฟนไป
หรือไม่ก็สวดไปคิดพยาบาทอาฆาตแค้นคนที่ทำให้เจ็บใจไป
แต่พอสวดเสร็จก็อธิษฐานของให้หล่อสวย อย่างนี้ถ้าทำเป็นประจำทั้งชีวิต
และไม่มีบุญชนิดอื่นเกี่ยวกับการตกแต่งรูปร่างหน้าตามาแทรกแซง
ผลที่ออกมาคือได้สวยหรือได้หล่อจริง แต่เป็นความสวยความหล่อที่พิกลพิการ เช่น
ดูตอนหน้าตรงๆอาจดี แต่ก้มหน้าหรือเงยหน้าหน่อยเดียวคล้ายเบี้ยวบูดไปได้
ทั้งนี้ก็เพราะสวยหล่อด้วยแรงอธิษฐาน
แต่การอธิษฐานกลับยืนพื้นอยู่บนส่วนผสมของบุญและบาป ไม่ใช่บุญบริสุทธิ์
มีอีกประเภทหนึ่ง
เวลาทำทาน ทำด้วยใจบริสุทธิ์แสนดี เวลาสวดมนต์แผ่เมตตา ก็ทำได้สงบผ่องแผ้วจริงๆ
แต่ตอนทำงานหาเลี้ยงชีพ หรือเวลาอยู่กับคนใกล้ชิด
กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ คือกระโชกโฮกฮากบ้าง เกรี้ยวกราดง่ายบ้าง
รักษาศีลได้เพียงกะพร่องกะแพร่งบ้าง อย่างนี้ผลอาจได้เป็นรูปใบหน้าที่งดงามปานฝัน
แต่รูปร่างกลับเต็มไปด้วยที่ติ โดยเฉพาะพวกชอบกดขี่ข่มเหงคนอื่นด้วยวาจา
ทำให้เขารู้สึกต่ำต้อย มักเตี้ยม่อต้อ ดูตลกไม่สมกับความน่าพิศวาสของส่วนบน
อีกประเภทหนึ่ง
ทำอะไรๆไว้ดีหมดทุกอย่างแล้ว ทำทานใจก็เปิด รักษาศีลใจก็สะอาด
เจริญสติก็มีความรู้เนื้อรู้ตัว เห็นผิดเป็นผิด เห็นชอบเป็นชอบ
ทว่าพลาดพลั้งไปล่วงเกินผู้ทรงคุณด้วยกาย วาจา ใจ เช่นไปวัดประจำ
อยู่ดีไม่ว่าดีชอบนึกค่อนขอดพระว่าตัวดำกันจัง หาตัวขาวๆไม่ค่อยเจอ
ดูไม่ค่อยน่าเลื่อมใสเสียเลย จิตคิดเช่นนั้นซ้ำไปซ้ำมาเรื่อยๆทุกครั้งที่ไปวัด
ผลก็ตกแต่งผิวพรรณให้ดำปี๋ได้ หรือสถานเบาถ้าทำทานรักษาศีลมากจนบุญสว่างเรือง
ก็อาจออกคล้ำแต่ยังพอดูดีได้ เป็นต้น
อันเนื่องจากหน้าตาเป็นสัญลักษณ์แทนตัวเราเป็นอันดับหนึ่ง
ส่วนรูปร่างและผิวพรรณเป็นอับดับสอง ดังนั้นก็พอบอกได้ครับ ใบหน้าของคุณสะท้อนให้เห็นกรรมเด่นๆ
ส่วนรูปร่างของคุณสะท้อนให้เห็นกรรมที่มีน้ำหนักรองๆลงมา
ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณหนักไปในทางทำ
บุญแบบใส่บาตรพระ คุณทำด้วยจิตเลื่อมใส ไม่โลภหวังผลให้ถูกล็อตเตอรี่งวดนั้นงวดนี้
ขณะเดียวกันก็ศรัทธาในการใส่บาตรอันก่อให้เกิดสุขทางใจมาหลายสิบปี เชื่อมั่นว่าบุญใหญ่ที่ทำอย่างสม่ำเสมอเกือบทุกวันนั้นจะช่วยให้ไม่ตกอับใน
ภายภาคหน้า คุณติดใจความสุขอันเกิดจากการใส่บาตรชนิดขาดไม่ได้
และไม่มีบุญอื่นที่ตั้งมั่นคงเส้นคงวาเท่า
เช่นนี้แล้วการใส่บาตรในแบบของคุณจะเป็นตัวตกแต่งหน้าตา
อย่างไรก็ตาม
หากคุณตามเพื่อนไปตกปลาบ้าง อาจจะสองสามเดือนครั้ง ทว่าตกปลาแต่ละครั้งสะใจนัก
เรียกว่าเห็นการเอาชีวิตสัตว์อื่นมาเล่นสนุก มาเป็นเครื่องวัดความสามารถ คุณติดใจความสนุกในการตกปลา
แต่ถ้าเพื่อนไม่ชวนก็ไม่ไปเอง และนานๆไปทีไม่ใช่ไปบ่อยๆ กับทั้งไม่มีบาปอื่นที่รู้สึกว่าทำแล้วสนุกเท่า
อย่างนี้การตกปลาในแบบของคุณจะเป็นตัวตกแต่งรูปร่าง แขนขา และทรวดทรงต่างๆ
ที่กล่าวมาทั้งหมดคงช่วยให้เห็นภาพ
กว้างภาพรวมแล้ว ว่าการที่ใครจะรูปร่างหน้าตาสมส่วนสมบูรณ์แบบถึงที่สุดนั้น
ไม่ใช่จะหาง่ายๆ ต่อให้เป็นผู้ศรัทธากรรมวิบาก ต่อให้เลื่อมใสการทำบุญ
ก็ยังไม่ใช่ใบรับประกันที่ดีเสียทีเดียว เพราะตราบเท่าที่ยังไม่ตระหนักว่ากรรมใดเป็นบาป
เป็นโทษ เป็นภัยในปัจจุบันและอนาคต ตราบนั้นคุณจะยังคงก่อบาปได้เรื่อยๆ
โดยสำคัญว่าไม่เป็นไร
พวกที่สวยหล่อประเภทคนทั่วโลกหรือหมู่ชนส่วนใหญ่ยอมรับว่า
‘ไร้ที่ติ’ จริงๆนั้น ไม่ได้แปลว่าชาติก่อนเป็นเทวดาหรือนางฟ้าเสมอไปนะครับ
อาจเพิ่งจากภพของความเป็นมนุษย์รูปร่างหน้าตาแค่พอถูไถ สำคัญคือเมื่อเป็นมนุษย์ครั้งล่าสุดนั้น
เขาหรือเธอมีจิตตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดีอย่างแท้จริง
แม้กระทั่งระดับความคิดก็แทบไม่กระดิกไปในทางเลวร้ายเอาเลย
ดังนั้น
ถ้าถามว่าทำอย่างไรจะมีความงามสมส่วนทั้งรูปร่างและหน้าตา คำตอบคือคุณต้องไม่ทำบาปเลย
ทั้งด้วยกาย วาจา และใจ
อย่าเพิ่งเข้าใจว่าเป็นไปไม่ได้นะครับ
ก่อนอื่นใดที่สุดคือคุณต้องรู้ว่ากรรมใดเป็นคุณ กรรมใดเป็นโทษ
หากปราศจากความรู้ที่ถูกต้อง ปราศจากความศรัทธาในผลกรรม
และปราศจากการปรับจิตให้เป็นกุศลตั้งมั่น
คุณจะไม่มีทางใช้ชีวิตโดยปราศจากการปนเปื้อนของบาปได้อย่างเด็ดขาด
คนเราเมื่อเริ่มต้นด้วยความเข้าใจ
ที่ถูกเสียอย่างเดียว ต่อให้เจอเรื่องเลวร้ายก็ย่อมพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้
ยกตัวอย่างเช่นคนธรรมดาโดนทำร้ายย่อมพยาบาท ย่อมผูกใจเป็นศัตรู
ย่อมกราดเกรี้ยวอาละวาด ย่อมลงมือทำร้ายตอบ ซึ่งถ้าต้องรบรากันยืดเยื้อ
ก็ต้องยังผลให้เป็นคนรูปทรามในภายหลัง แต่สำหรับคนเข้าใจธรรมะย่อมมีเมตตา
ย่อมให้อภัย ย่อมกลับมิตรเป็นศัตรูด้วยความฉลาด ยิ่งโดนทำร้ายนาน
ก็ยิ่งเป็นโอกาสบำเพ็ญบุญตกแต่งรูปร่างหน้าตาให้งามเป็นเอกอุ
ต้องมองนะครับ
ว่าการทำดีตอบคนที่เขาดีกับเราก่อน ถือเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ต้องใช้กำลังใจกันมากมาย
แต่การทำดีกับคนที่ร้ายมานั้น ต้องอาศัยทั้งความเข้าใจและกำลังใจอย่างสูง
โดยธรรมชาติดั้งเดิมย่อมไม่มีมนุษย์หน้าไหนให้อภัยกับผู้มาทำร้ายตน
การอภัยต้องมีเหตุผลเสมอ และถ้าเหตุผลดังกล่าวคือความเข้าใจกรรมวิบากอย่างถ่องแท้
เช่นทราบชัดว่าโทสะทำให้ผิวทราม เขาก็จะอภัยได้ทุกสถานการณ์ จิตที่พร้อมให้อภัยได้ในทุกสถานการณ์นั่นเอง
คือความงดงามที่แท้จริง เมื่อจิตตั้งมั่นอยู่ในความเมตตา
เจ้าตัวย่อมรู้อยู่ว่าภาวะแห่งตนปลอดจากนิมิตหมายน่ารังเกียจใดๆแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น