ถาม : ยอมรับว่าเป็นคนท้อง่ายกับการทำมาหากินเลี้ยงชีพ
เพราะมักประสบปัญหาสารพัดด้านพร้อมกัน เมื่อตั้งใจขยันเพื่อให้เจ้านายเห็นค่า
กลับโดนตัดหน้าโดยพวกประจบสอพลอ บางครั้งอยากสอพลอบ้างก็ละอายแก่ใจ
เพราะไม่ได้หน้าด้านแบบพวกนั้น คือเป็นคนหมั่นไส้เจ้านายแล้วจะอ้อนไม่เป็น ทีนี้เห็นคนรู้จักแบบห่างๆ
ที่เกิดมาเขาไม่ต้องทำอะไรก็อยู่รอด เขาเลือกเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยก็ได้
แต่เมื่อไหร่เบื่อหรือขัดแย้งกับคณบดีก็ลาออกทันทีแบบไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง
ฟังเขาคุยโม้เสมอว่าลำพังสมบัติเจ้าคุณปู่ก็ใช้ไม่หมดแล้ว
ไม่แคร์หรอกว่าจะมีงานหรือตกงาน ปัจจุบันเขาอายุมากและยังคงไม่เดือดร้อนเรื่องเงินทอง
ทำโน่นทำนี่ไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอันไปเรื่อยเหมือนอยากมีเพื่อนแก้เซ็งมากกว่า
พูดง่ายๆว่าทั้งเขาสบายตลอดชาติจริงๆ
เดิมทีผมจะริษยาและตั้งคำถามเสมอว่าทำไมเขาถึงโชคดีกว่าเราขนาดนั้น
แต่ปัจจุบันผมพอจะเชื่อเรื่องกรรมวิบากบ้างแล้ว และพอเดาถูกว่าเขาคงทำทานมาดี
คำถามคือเขาทำทานอย่างไรจึงสบายแต่เกิด
และไม่เดือดร้อนเรื่องเงินทองเลยทั้งชีวิตไม่ว่าจะมีงานหรือตกงาน?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๖
ดังตฤณ:
ก่อนบอกวิธีทำทานให้ได้ผลเช่นนั้น ผมขอกล่าวถึง ‘ข้อเสีย’ ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับผู้อยู่บนเส้นทางนี้ เพื่อให้เกิดการตระหนักไว้แต่เนิ่นๆนะครับ ผู้มีบุญเก่าส่งเสียตลอดชีพโดยไม่จำเป็นต้องนำพาเรื่องทำมาหากินนั้น โดยมากมักมีความประมาทและเฉื่อยชา เพราะเห็นแต่แรกว่าอยู่ๆก็มีเงิน กับทั้งอ่านเกมไม่ค่อยออกว่าเงินจะหมดไปได้อย่างไร ความรู้สึกว่าจะมีกินไปเรื่อยๆนั้น บางครั้งก็เป็นผลจากบุญเก่าที่ส่งให้รู้สึกว่าไม่มีวันขาด แต่บางครั้งก็เป็นเพียงอุปาทาน ทำนองเดียวกับที่คุณบางคนกำลังจะตายในวันนี้ แต่กำลังอ่านหนังสือด้วยความรู้สึกว่าจะยังมีชีวิตไปอีกนาน
แตกต่างจากคนฐานะปานกลางแล้วร่ำรวยอู้ฟู่ขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรง
พวกนี้ส่วนใหญ่จะเหมือนเครื่องจักรที่เดินเต็มสูบแล้วหยุดยาก
เพราะเห็นกับตามาตลอดว่าได้เงินมาอย่างไร และมีโอกาสจะเสียไปอย่างไร
ความประมาทกับความเฉื่อยชาจึงไม่ค่อยเกิดขึ้น
เมื่อมีเงินแล้วก็อยากรักษาไว้และเพิ่มพูนให้ยิ่งๆขึ้นไป
สำหรับคนรู้จักที่คุณยกตัวอย่างมานั้น
จัดว่าเข้าขั้นดีพอสมควรแล้วนะครับ คือเรียนจบและหัวดีพอจะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
แต่ที่ผมเคยทราบคือมีประเภทจากเด็กจนโต ไม่รู้จะขยันเรียนไปทำไม’ แล้วก็เรียนไม่จบ
ใช้ชีวิตตามปรารถนา ซึ่งก็ออกแนวมีความสุขตามอัตภาพแบบไม่นับถือตัวเอง
ไม่เคยมีแรงขับดันให้ค้นหาความคุ้มค่าของการมีชีวิต
วันๆเห็นแต่ว่าตนมีเวลาเหลือเฟือสำหรับฟุ้งซ่านและซึมเศร้า
สามารถเป็นทุกข์ทางใจอย่างหนักได้ทุกนาทีโดยไม่ต้องมีเรื่องรบกวน
สืบย้อนไปในอดีตชาติของเขา
ก็เดินมาตามเส้นทางคล้ายคลึงกับคุณในขณะนี้เอง คือเบื่อการดิ้นรน
แล้วเผอิญเจอแรงบันดาลใจ เห็นคนได้ดีมีสุขและอยู่สบายโดยไม่ต้องทำงาน
จากนั้นก็ไถ่ถามผู้ทราบกฎกติกาของกรรมวิบาก พอทราบว่าหลักวิธีคือเลี้ยงดูผู้อื่นเป็นนิตย์
ก็ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติไปเรื่อย
กระทั่งบังเกิดความตั้งมั่นในทานชนิดดังกล่าวโดยไม่คลอนแคลนเลยจนตาย
ผลก็เกิดจริงเช่นกัน ทั้งในชาติปัจจุบันและในชาติถัดไป
กฎของกรรมคือให้ไปอย่างไรก็ได้ตอบมาอย่างนั้น
การเลี้ยงดูผู้อื่นเป็นนิตย์ย่อมถูกผู้อื่นเลี้ยงดูเป็นนิตย์เช่นกัน
อาจอยู่ในรูปของการได้รับมรดกหรือรับผลประโยชน์ทางใดทางหนึ่งไม่ขาดสาย
เลี้ยงตัวสบายไปทั้งชีวิต
คำว่า ‘ผู้อื่น’
ในที่นี้หมายถึงใครก็ตามที่ไม่ใช่ตัวคุณเอง เพียงคุณตั้งจิตคิดอุปการะผู้มีพระคุณ
ตลอดไปจนกระทั่งผู้ไม่มีอันจะกินอย่างสม่ำเสมอ ก็เรียกได้ว่าเป็นการทำทาน
เลี้ยงดูผู้อื่นเป็นนิตย์แล้ว
การอุปการะเลี้ยงดูพ่อแม่หรือผู้มีพระคุณให้อยู่สุขสบาย
จะเป็นตัวตั้ง
เป็นหลักประกันว่าทั้งชาตินี้และชาติหน้าจะเจริญรุ่งเรืองในการทำมาหากินยิ่งๆขึ้นไป
กับทั้งเป็นผู้ได้รับมรดกจากผู้หลักผู้ใหญ่
ไม่ถูกแย่งชิงหรือมีเหตุให้เสียมรดกไปอย่างไม่สมควร
นี่เป็นหลักการสะท้อนให้เห็นว่าทุกคนเป็นทายาทแห่งกรรมของตน
ทุกคนจะเป็นผู้รับมรดกที่ตนสร้างทำไว้อย่างเป็นรูปธรรม
คนอกตัญญูแม้ได้รับมรดกก็ต้องตกไปอยู่ในห้วงของการแย่งชิงทำนองศึกสายเลือด
หรือมีเหตุให้สมบัติพินาศลง
หรือแม้สมบัติไม่พินาศก็กลายเป็นของร้อนที่ครอบครองแล้วไม่เป็นสุข
เนื่องจากสมบัติบันดาลจากบุญเก่า
โดยปราศจากบุญใหม่อันได้แก่ความกตัญญูมารักษาความสงบเย็น
ส่วนลาภที่เกินฐานะเดิมเป็นผลจากการมีน้ำใจบริสุทธิ์ต่อผู้อื่นที่มิใช่ญาติมิตร
คิดให้ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องให้
เช่นตั้งความประสงค์แจกจ่ายค่าเลี้ยงดูแก่เด็กหรือคนชราอนาถาอย่างสม่ำเสมอ
อันนี้เป็นประกันว่าต้องมีรายได้เข้ามาโดยไม่จำเป็นต้องหาเอง
คุณคงเคยเจอคนที่อยู่ดีๆก็มีใครอื่นอยากให้ของ อยากให้เงิน
นั่นแหละผลของทานที่ผมกำลังกล่าวถึง
ปัจจุบันผมเห็นมีโครงการอุปการะเด็กหลายเจ้า
ประเภทที่ให้ส่งเงินบริจาคผ่านบัตรเครดิตหรือบัญชีธนาคาร ซึ่งผมก็มองว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ได้ทำทานชนิดนี้
เพียงตั้งจิตอย่างหนักแน่นในเบื้องต้นแล้วรักษาทานไว้ตลอดไปก็เที่ยงที่จะได้รับผลจริง
แต่อยากบอกอย่างหนึ่งคือถ้าให้ด้วยความคิดว่าบรรดาคนอนาถาจงสบายกว่าเดิม
ไม่ใช่ตั้งต้นให้เพราะคิดหาช่องทางลดหย่อนภาษี ก็จะเป็นทานที่บริสุทธิ์บริบูรณ์กว่ากัน
และถ้ายิ่งให้ด้วยมือตน ให้ในขณะที่สายตาเล็งดูผู้รับที่ดีใจอยู่
ผลจะยิ่งหนักแน่นเป็นทับทวี เนื่องจากมีกำลังใจในการคิดหยิบยื่นให้ทุกครั้ง
ไม่ใช่ให้ผ่านคนอื่นโดยไม่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับผู้รับ
ที่คนในโลกส่วนใหญ่ต้องดิ้นรนทำงานหาเงินกันอย่างหนัก
โดยมากก็เพราะตระหนี่ คือหาแล้วไม่ให้ แต่ก็มีอีกพวกหนึ่งซึ่งเป็นส่วนน้อยนะครับ
ที่รับมรดกจากผู้ใหญ่ หรือเป็นผู้สืบทอดรับช่วงผลประโยชน์จากสามีภรรยา
ใจกว้างเป็นแม่น้ำ แต่ให้แล้วไม่หา พวกให้โดยที่หาเองไม่ค่อยเป็นนั้น
มักได้เกิดใหม่ซ้ำรอยเดิมอีก คือเหมือนชะตาจับยัดให้จับพลัดจับผลูเป็นผู้รับประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง
เสร็จแล้วขี้เกียจเรียน ขี้เกียจทำงาน เกิดความประมาทจากความอยากงอมืองอเท้า
ใช้จ่ายเกินตัวโดยไม่รู้ตัว หากความประมาทชนะบุญเก่าก็ล่มจมได้เหมือนกัน
ไม่ใช่ว่าบุญเก่าบันดลบันดาลเงินทองให้ไหลมาเทมาราวฝนตกทุกฤดู
สรุปเกี่ยวกับคนที่คุณยกตัวอย่างมา
บุญเก่าของคือทาน แต่ขอให้คำนึงถึงบุญใหม่ของเขาด้วย
คือขยันเรียนจนมีวิชาความรู้ขั้นเอาตัวรอดได้ตลอดชีวิต
กับทั้งเป็นผู้รู้จักใช้จ่ายประมาณตน เพราะคนเราถ้าไม่มีความรู้ความคิด
ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ต่อให้กี่พันล้านก็เกลี้ยงฉาดในไม่ช้า
ขออนุญาตย้ำชัดๆอีกครั้งว่าความประมาทเป็นปรปักษ์สำคัญกับบุญเก่า
หลายคนควรอยู่สบายเพราะบุญเก่าแน่นอนแล้วแท้ๆ
กลับต้องตกระกำลำบากแทบไม่มีที่อยู่อาศัยก็เพราะความประมาทชะล่าใจนี่แหละครับ
เชื่อเถอะว่าไม่มีบุญเก่าเลี้ยงใครได้ตลอดรอดฝั่งหรอก
ที่คุณเห็นเขาอยู่สบายไปทั้งชาติก็เพราะมีบุญใหม่ร่วมด้วยช่วยกันทั้งนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น