ถาม : หนูทำงานเกี่ยวกับไอเดียสร้างโฆษณาประชาสัมพันธ์
ซึ่งบางครั้งจำเป็นต้องพูดความจริงเพียงบางส่วน
แบบที่ใจเรารู้อยู่ว่าส่วนที่เหลือไม่ค่อยดีนัก อยากทราบว่าเป็นบาปแค่ไหน
และอยากถามด้วยว่าคุณดังตฤณเขียนนวนิยาย ซึ่งเป็นเรื่องไม่จริง
ถือว่าเป็นการมุสาไหมคะ?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๗
ดังตฤณ:
การประกอบอาชีพทางโลกนั้น น้อยมากครับที่จะสะอาดสะอ้านผุดผาดปราศจากมลทินได้หมดจด อย่างเช่นหลักวิชาโฆษณา จะเน้นการประชาสัมพันธ์สินค้าให้ดูเด่น ดูดี ดูคุ้ม ดูมีค่า แม้เมื่อคุณศึกษาตัวสินค้าแล้วจะทำหน้าเหย เห็นมันไม่เด่น ไม่ดี ไม่คุ้ม ไม่มีค่าอย่างไร ถ้าตัดสินใจรับงานก็จำเป็นต้องหาจุดแข็งให้จงได้ ส่วนจะจำเป็นต้องพูดให้เกินจุดแข็งที่พบ หรือกระทั่งจำเป็นต้องกลับดำให้เป็นขาวตามใบสั่งเพียงใด ก็เป็นเรื่องที่นักประชาสัมพันธ์แต่ละรายลำบากใจมากน้อยต่างกัน ถ้าไม่เห็นว่ามันผิดก็ไม่รู้สึกผิด แต่หากเห็นว่ามันผิดก็หลีกเลี่ยงความรู้สึกผิด เหมือนเป็นคนโกหก หรือเหมือนร่วมขบวนการเด็กเลี้ยงแกะไปกับเขาด้วย
ฉะนั้นตรงจุดเริ่มต้นนั่นแหละครับที่สำคัญ หากคุณมีอำนาจตัดสินใจเลือกโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้สินค้าที่ไม่หลอกลวง ไม่เอาเปรียบผู้บริโภคได้ ก็จะไม่ต้องฝืนใจ ไม่ต้องพยายามเค้นความคิดกลับดำให้เป็นขาวในภายหลัง
แต่หากคุณไม่อยู่ในฐานะที่จะตัดสินใจเลือก คือนั่งโต๊ะรับใบสั่งจากเจ้านายที่ท่านรับงานมาแล้ว อันนี้ก็ต้องทำใจไว้ว่าเราทำหน้าที่ของเรานะ เราไม่ได้มีความเต็มใจยินดีที่จะกลับดำเป็นขาว ไม่ได้อยากจะโกหกแทนคนอื่น ใจที่ไม่มีความยินดีย่อมลดทอนความรู้สึกผิดลง และนั่นก็ลด ‘มลทิน’ ลงได้จริงด้วย ตามธรรมชาติของจิตและกรรมที่ว่าถ้าไม่ยินดี ไม่เกิดโสมนัสในการกระทำบาป บาปนั้นๆย่อมไม่ใหญ่โตนัก เวลาให้ผลก็ไม่รุนแรงเต็มเหนี่ยว และกว่าจะให้ผลก็อาจใช้เวลานานพอสมควร กับทั้งเปิดโอกาสให้ทำบุญอันเป็นตรงข้ามกับบาปนั้นๆได้ โดยที่จิตไม่รู้สึกถูกปิดกั้นด้วยเหตุภายนอกและภายในใดๆ
อาชีพประชาสัมพันธ์สินค้านั้น ต้องมีบ้างที่สินค้าดีจริง ต้องมีบ้างที่สินค้าคุ้มค่าเกินราคา และต้องมีบ้างที่สินค้าโหลยโท่ยไม่เอาอ่าว ดังนั้นอาชีพของคุณจึงไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าต้องปั้นน้ำให้เป็นตัว ปั้นดินให้เป็นดาวอยู่ตลอดเวลา ใจคุณจึงเฉลี่ยๆไปได้อยู่แล้ว เช่นไม่ต้องเห็นตนเองเป็นเด็กเลี้ยงแกะทุกวัน บางวันอาจมีโอกาสส่งเสริมสินค้าดีๆมีคุณภาพให้เป็นที่รู้จักกับคนจำนวนมาก เหมือนนำสิ่งดีๆไปสู่ชีวิตใครต่อใครในวงกว้างด้วยซ้ำ
บอกตัวเองว่าคุณไม่ใช่นักโฆษณาใจบาป ขอให้มีโอกาสเถอะ เห็นสินค้าตัวไหนคุ้มหรือเกินคุ้ม ก็ใส่ใจเชียร์เต็มที่ด้วยความอยากให้เขาประสบความสำเร็จ และเมื่อเห็นสินค้าตัวใดเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค ก็ทำใจกลางๆว่าเราเลือกข้อเด่นข้อดีที่มีอยู่จริงๆมาพูด จะงดเว้นการนำเสนอเรื่องไม่มีมูลมาฝอยเป็นตุเป็นตะ
หากเจ้านายหรือลูกค้าออกใบสั่งพิเศษมาให้ปั้นน้ำเป็นตัว คุณต้องมีจุดยืนโต้ตอบกับพวกเขาบ้าง คือชี้ให้เห็นว่าตามฐานะผู้มีหน้าที่ออกไอเดีย คุณเห็นว่าการพูดเกินจริงมากไปจะก่อให้เกิดภาพที่เสียหายในภายหลัง คุณไม่สามารถวาดภาพลวงตาที่ไม่ก่อความเสียหายต่อสินค้า ขอพบกันครึ่งทาง คือนำเสนอความจริงที่ดีอยู่แล้ว มีอยู่แล้ว นำมาสร้างเป็นภาพน่าประทับใจที่สมน้ำสมเนื้อ และไม่ทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกว่าถูกหลอก
แต่ละครั้งที่คุณสามารถเค้นไอเดียได้จากโอกาสอันแคบจำกัด คุณจะฉลาดมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่เฉพาะฉลาดในเชิงการตลาด แต่จะฉลาดในเชิงกรรมด้วย ต่อให้คุณต้องเอาโจรมาเป็นนายแบบโฆษณา ความฉลาดของคุณก็จะกลั่นโฆษณาที่เป็นมงคล มีผลเป็นบวก ก่อโลกทัศน์ด้านดีให้คนชมจนได้
ต่อข้อถามที่ว่านิยายเป็นเรื่องไม่จริง ถือว่าโกหกไหม ก่อนอื่นต้องเล็งที่การรับรู้ของคนอ่านเป็นหลัก นวนิยายคือข้อตกลงในตัวเองว่าเป็นเรื่องสมมุติ เพราะฉะนั้นคนอ่านย่อมรับทราบแต่แรกว่าตัวละครและโครงเรื่องไม่มีอยู่จริงในโลกนี้
เมื่อคนเขียนนิยายตระหนักว่าคนอ่านจะไม่เชื่อว่าเป็นเหตุการณ์จริง โดยทั่วไปก็ย่อมตกแต่งเรื่องราวโดยปราศจากเจตนาลวงให้ใครๆหลงนึกว่ามีตัวละครนี้อยู่ มีเหตุการณ์นี้อยู่ และเป็นไปได้ที่จะเจตนาใช้เรื่องแต่งเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเรื่องดีขึ้นจริงๆ
อีกประการหนึ่ง แม้ตัวละครและเหตุการณ์จะไม่จริง แต่นักประพันธ์สามารถให้ข้อมูลและข้อเท็จจริงเข้าไปได้ทุกหน้า
เหตุผลของนักประพันธ์ส่วนใหญ่ที่จะให้ข้อมูลและข้อเท็จจริงไว้ในนิยายเสมอ ก็คือเพื่อให้นิยายของตนมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ อันจะทำให้เรื่องทั้งหมดเร้าใจไม่ต่างจากเหตุการณ์จริง จะเห็นได้ว่าถ้าเรื่องใดขาดเหตุขาดผล ขาดความสมจริง ขาดที่มาที่ไป ทำอย่างไรก็เร้าใจให้คุณรอคอยจุดสรุปอันเป็นยอดสุดของเรื่องไม่ได้
เหตุผลของใครเป็นอย่างไร กรรมของเขาก็เป็นอย่างนั้น สำหรับผม ผมจะใส่ข้อมูลและข้อเท็จจริงเข้าไปมากที่สุด โดยมีเหตุผลคือเพื่อสาธิตกรรมอันเกิดขึ้นได้จริงในโลกปัจจุบัน และวิบากอันเกิดขึ้นได้จากวิธีคิด วิธีพูด วิธีทำแบบหนึ่งๆ
เหตุผลอันเป็นไปเพื่อสาธิตกรรมวิบากนี่เอง ที่ทำให้ผมบอกตัวเองได้เต็มปากว่าผมเปล่าโกหก และบางครั้งนิยายที่ออกมาอาจจะแสดง ‘ความจริง’ ได้ชัดเจนกว่าสารคดีเปิดโลกกว้างทางทีวีด้วยซ้ำ เนื่องจากคนเรารับรู้ความจริงได้ง่ายผ่านตัวอย่างที่โยงอยู่กับประสบการณ์ของตนเอง และกลวิธีทางนิยายก็เปิดโอกาสตรงจุดนี้อย่างเต็มที่
แต่ละความคิด แต่ละคำพูด แต่ละการกระทำของตัวละครในนิยาย ไม่ได้ออกมาจากจิตใจของผม แต่ออกมาจากจิตวิญญาณของตัวละครนั้นๆโดยตรงทีเดียว หลักการของผมขณะลงมือเขียนแต่ละบรรทัด คือผมจะกันตัวเองออกมาเป็น‘ผู้แลเห็นจิต’ ของตัวละครแต่ละตัว ไม่เอาความพอใจส่วนตัวเข้าไปเจือด้วยเลย ผมจึง ‘รู้ตามจริง’ ว่าในสถานการณ์หนึ่งๆ ตัวละครจะโต้ตอบกับโลกท่าไหนเสมอ
เพราะฉะนั้นแม้ว่าคุณอาจไม่พบชื่ออย่างนี้นามสกุลอย่างนั้นเหมือนในนิยายของผม แต่ตัวตนแบบนั้นๆก็จะคิด พูด และทำอย่างที่คุณเห็นผมเขียนจริงๆ คำถามที่มีมาถึงเป็นประจำคือตัวละครที่ผมเขียนนั้น ชื่อแซ่ใด บ้านช่องอยู่ที่ไหน ต้องมีตัวตนอยู่แน่ๆเลย ซึ่งคำตอบที่ชัดเจนก็คือมีอยู่จริงในใจคนอ่านนั่นแหละ
นอกจากนั้น ผมต้องบอกตัวเองได้ด้วยว่าจะสร้างความสมจริงขึ้นมาเพื่ออะไร คำตอบก็คือเพื่อให้คนอ่านเชื่อในกรรมขาวว่ามีผลเป็นสุข เชื่อในกรรมดำว่ามีผลเป็นทุกข์ เชื่อว่าพุทธศาสนาสอนเรื่องกรรมวิบากไว้อย่างหมดจด ทุกคนจะได้ประโยชน์สุงสุดจากความเข้าใจอันก่อให้เกิดความเชื่ออย่างหนักแน่นในระดับโสมนัสศรัทธา
หากผลตอบรับจากคนอ่านนิยายจำนวนมากเป็นไปในทิศทางที่ตรงกับเป้าของผม ผมก็คงสบายใจหายห่วง
และแม้เจตนาโดยรวมจะดี ผลรวมที่เกิดกับคนอ่านออกมาเป็นบวก แต่ส่วนไหนตอนใดในเรื่องที่ก่อให้เกิดราคะ โทสะ โมหะ อย่างไรก็มีผลลบกับผมเหมือนกัน อันนี้ก็เป็นหน้าที่ที่ต้องระมัดระวัง ตลอดจนพยายามถ่ายถอนผลข้างเคียงด้านลบนั้นเสียด้วยบทสรุปที่คานกัน หรืองัดข้อกันได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ เช่นถ้าเขียนนำไปด้วยคำพูดจูงใจให้รู้สึกว่าฟรีเซ็กซ์เป็นของดี ต่อมาผมต้องนำอะไรบางอย่างที่น้ำหนักชนะกันมาทำให้คนอ่านเห็นจริงว่าผลของฟรีเซ็กซ์เป็นทุกข์ เป็นโทษ เป็นภัย เป็นทางสู่ความตกต่ำ
ผมทราบว่านักประพันธ์บางท่าน แอบเป็นบ้าอย่างลับๆก็มี เป็นโรคหดหู่ซึมเศร้าก็มี แยกโลกความจริงจากโลกจินตนาการไม่ออกก็มี อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมอยากยืนยันกับโลกวรรณกรรมครับ ในที่สุดคุณจะเป็นในสิ่งที่คุณให้กับคนอ่านเสมอ ผู้ให้สติย่อมได้สติ ผู้ให้เป้าหมายย่อมมีเป้าหมาย ผู้ให้ความแปรปรวนทางอารมณ์ย่อมเกิดความแปรปรวนทางอารมณ์ อาชีพนักประพันธ์ก่อกรรมได้ไม่จำกัด เพราะเพดานมีอยู่แค่ที่จินตนาการอนันต์ในมนุษย์เท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น