ถาม : มีคนบอกว่าถ้าเราไม่กล่าวอุทิศบุญ
ก็จะไม่มีใครแบ่งบุญจากเราไปได้ ไม่ทราบว่าเท็จจริงเป็นอย่างไร? ที่สงสัยมากเพราะบางทีนึกยินดีที่เห็นใครสร้างกุศลเฉยๆ
กลับจะรู้สึกปลอดโปร่งกว่าตอนเขามาพูดจาคล้ายกดดันให้เราต้องอนุโมทนาตามเขา
ทั้งที่ใจเราเห็นอยู่ว่าเขามาอวดรวย อวดบุญญาธิการมากกว่า
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๗
ดังตฤณ:
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าบุญเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ใจคิดดีแล้ว อย่างเช่นคิดยินดีที่เห็นใครได้ดี อย่างนี้ก็เป็นบุญเรียบร้อย ไม่ต้องตั้งโต๊ะทำพิธีรีตองใดๆทั้งสิ้น
ยกตัวอย่างให้ชัดเจนขึ้น
เมื่อคุณยินดีที่เห็นใครเขาให้อภัยผู้อื่น ใจคุณย่อมมีส่วนแห่งการอภัยไปด้วย
เห็นได้จากความโล่งอกที่พลอยเกิดขึ้นในคุณ ความสุข ความเบา ความสบายใจนั้นเอง
เป็นหลักฐานของการได้ส่วนบุญในการให้อภัยของคนอื่น
คุณไม่ได้เป็นคนให้อภัย
แต่ก็รู้สึกเสมือนเป็นผู้ให้อภัยด้วยตนเอง
ยิ่งถ้าคุณติดตามสถานการณ์อันน่าอึดอัดรุ่มร้อนมาก่อน
ก็ย่อมเห็นชัดว่าอะไรๆคลี่คลายกลายเป็นโปร่งโล่งเยือกเย็นไปแล้ว
หรือเหมือนยกภูเขาออกจากอกไปด้วยแล้ว นั่นจะเป็นแรงบันดาลใจเผื่อไว้สำหรับครั้งหน้า
คุณได้ทุนไว้พอจะมีแก่ใจให้อภัยใครๆที่ร้ายกับคุณแล้ว
นี่แหละครับคือการสาธิตธรรมชาติแห่งบุญ
เราดูดบุญคนอื่นได้ด้วยจิตอนุโมทนายินดี แม้เจ้าของบุญจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจยกให้
ขอเพียงอาการทางใจของเราร่วมโสมนัสไปกับเขา เท่านั้นก็เป็นอันจบพิธีดูดบุญอย่างสมบูรณ์แล้ว
จริงๆแล้วการยกบุญยกกุศลให้ผู้อื่น
หรืออุทิศส่วนกุศลให้คนตาย เป็นแง่ของการกระตุ้นให้ผู้อื่นอนุโมทนาเท่านั้น
เหมือนเพื่อนกำลังมองไปทางอื่น เราก็สะกิดแขนให้หันมาชมดอกไม้ที่เราปลูก
เพื่อร่วมชื่นตาชื่นใจกับเราบ้าง หากเราไม่ชักชวนให้ชม เขาก็อาจไม่มีโอกาสได้เห็น
พลาดโอกาสเสพสุขทางตาไป
และจากตัวอย่างชวนเพื่อนดูดอกไม้นี่เอง
ตรองดูจะเห็นว่า แม้เราไม่สะกิด ไม่ชักชวนให้เพื่อนมาชมดอกไม้ที่เราปลูก
แต่เขาเผอิญผ่านมาเห็นด้วยตนเอง เขาก็จะเสพสุขทางตาได้เช่นเดียวกับเรา เราไม่มีสิทธิ์ไปหวงห้ามหรือปิดกั้นความสุขอันเกิดจากการเห็นดอกไม้ของเขา
บุญของแต่ละคนเป็นกลาง
ต่อให้เจ้าของบุญตายไปแล้วเป็นพันปี ถ้าคุณมารู้วันนี้ว่าเขาเคยยอมลำบากตรากตรำ
เคยอดกลั้นเป็นแรมปีเพื่อทำดีให้ปรากฏ
ใจของคุณที่ซึมซับบารมีทางความเพียรและบารมีทางขันติของเขาอย่างเต็มตื้น
ก็จะพลอยได้มีความเหิมหาญ มีความยินดีในการมุมานะทำดีไปกับเขาด้วย ส่วนแบ่งบุญจะมากหรือน้อยเพียงใด
ก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจของคุณ
หรือขึ้นอยู่กับการมีอารมณ์ร่วมไปกับเจ้าของบุญมากน้อยเพียงใด
ตรงข้าม
หากไม่อนุโมทนาแล้วยังหมั่นไส้หรือคิดบั่นทอนกำลังใจคนทำบุญ
อย่างนั้นไม่ใช่แค่ทำลายโอกาสได้ส่วนแห่งบุญ ยังเกิดบาปเกิดกรรมไปเสียอีก
เหมือนคนเกลียดแสงสว่างย่อมหันหลังเข้าหาความมืด
ปริมาณของบาปจะมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับค่าความสว่างของบุญ
ที่คูณด้วยน้ำหนักเจตนาที่คุณไปบั่นทอนกำลังใจเขา หรือหมั่นไส้เขา
แต่พูดก็พูดนะครับ
คนไทยเราจำนวนไม่น้อย ทำบุญใหญ่ๆบางครั้งด้วยความเห็นว่าเป็นเรื่องน่าอวด
น่าให้คนอื่นอิจฉาว่ามีสตางค์เหลือเฟือ
หรือกระทั่งใช้เป็นเครื่องมือแข่งขันว่าบารมีใครมากกว่ากัน ใครใจป้ำกว่ากัน
อันนั้นบุญย่อมมัวหมองด้วยจิตคิดอกุศล
และผลที่ได้รับในระยะยาวจะทำให้ต้องตกอยู่ในวงจรการแข่งขัน
ใจนึกอยากประชันกับใครต่อใครร่ำไป ถ้าแข่งแพ้หรือน้อยหน้าคนอื่นก็จะทุรนทุราย
กินไม่ได้นอนไม่หลับ สรุปคือคนบางคนทำบุญเพื่อผลักตัวเองเข้าไปอยู่ในวงจรภัยเวร
ไม่น่าเป็นที่ตั้งของความเลื่อมใส ความมีใจอยากอนุโมทนายินดีแก่ผู้อื่น
การทำใจเผื่อแผ่บุญให้คนอื่น
อาจเฉียดกับการทำบุญให้คนอื่นอิจฉาแค่เส้นยาแดงผ่าแปด
ทั้งหมดทั้งปวงต้องดูที่จุดเริ่มต้นทางใจ หากคุณมีความยินดีในบุญของตนก่อน
แล้วนึกอยากให้ผู้อื่นรับรู้เพื่อให้เขายินดีตามในภายหลัง
อย่างนี้เรียกว่าเป็นใจเผื่อแผ่ แต่หากตั้งต้นขึ้นมาใจคุณนึกถึงตัวตนอันเขื่องโข
อยากให้คนอื่นเห็นว่าคุณทำบุญใหญ่เหนือกว่าเขาหรือใครๆ
อันนี้เรียกว่าเป็นใจเบียดเบียน คนเราเมื่อหมั่นไส้กันย่อมอนุโมทนาไม่ออก
เกิดกำลังใจพลอยร่วมยินดีไม่ไหว
ถ้าใจยินดีในบุญและเผื่อแผ่บุญ
อย่างแท้จริง กิริยาทางกายจะอ่อนสลวยเย็นตาน่าประทับใจ
แทบไม่ต้องเอ่ยปากสักคำคนเห็นเขาก็บังเกิดความเลื่อมใสตามอยู่แล้ว
ยิ่งถ้าสำทับด้วยคำพูดให้เขาเปิดใจรับรู้และยินดีตามคุณ
ก็เพิ่มความหนักแน่นในบุญอันเกิดจากการอนุโมทนายิ่งๆขึ้น
และขอพูดเผื่อไว้
คุณจะสงสัยว่าใครทำบุญด้วยจิตคิดข่มผู้อื่นหรือด้วยจิตบริสุทธิ์ผ่องแผ้วก็ตามที
หากถึงขั้นต้องกัดลิ้นฝืนใจอนุโมทนาแล้วล่ะก็ เมินๆหน้าไปทางอื่น
ทำใจเป็นกลางๆเสียดีกว่า เพราะจิตที่กึ่งยินดีกึ่งยินร้ายกับบุญของคนอื่นนั้น
ภายหลังอาจบานปลายเป็นความสัมพันธ์ครึ่งดีครึ่งร้ายกับเขาได้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น