ถาม : คำว่า ‘พรหมลิขิต’
มีความเป็นมาอย่างไรคะ?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๗
ดังตฤณ:
ตามตำนานนะครับ มีพระพรหมซึ่งเป็นเทพผู้ทรงฌานท่านหนึ่ง อายุยืนยาวจนลืมความเป็นมาของตัวเอง เห็นแต่ความเกิดดับของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย แต่ไม่เห็นความเกิดดับของตนเอง ก็เกิดความหลงเข้าใจว่าตนเป็นผู้สร้างโลก สร้างสวรรค์ สร้างจักรวาล และความเชื่อนี้พลอยตกทอดลงมาถึงมนุษย์ผ่านเทวดา ผ่านร่างทรง ผ่านการเข้าฝัน จนกระทั่งผ่านมนุษย์รุ่นต่อรุ่น หาที่มาชัดเจนไม่เจอ
เมื่อเชื่อเสียแล้วว่าพระพรหมเป็นผู้สร้าง
ดังนั้นชะตากรรมทั้งหมดก็ต้องมีพระพรหมเป็นผู้ลิขิต
แต่ถามว่าทำไมพระพรหมมีเวลาลิขิตมากนัก สัตว์เป็นหมื่นล้านแสนล้านขนาดนี้
ก็จะไม่พบคำตอบ คำตอบสุดท้ายคือพระพรหมเป็นผู้ลิขิต
หาทางพิสูจน์หรือหาคำอธิบายให้ยิ่งไปกว่านี้ไม่ได้
จุดและที่สำคัญคือ
เมื่อเชื่อว่าพระพรหมเป็นผู้ลิขิตเสียแล้ว
ก็แปลว่าเราไม่มีทางแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนอะไรๆให้ดีขึ้นเลย ทุกอย่างถูกกำหนดไว้เรียบร้อยตั้งแต่เกิดจนตาย
แบบเดียวกับเราเป็นนกหนูในกรงทดลองที่คนอยากกำหนดให้มีอันเป็นไปอย่างไรก็ได้
ไม่มีทางหือ
แต่ถ้าเราเชื่อตามหลักพุทธศาสนาที่ว่าตัวเราเองลิขิตตัวเองด้วยกรรม
ใครทำกรรมอันใดไว้ ย่อมเป็นทายาทของกรรมนั้นๆ อันนี้พอหาทางพิสูจน์และอธิบายกันได้
เช่นว่าถ้าเราดวงไม่ดี เจอแต่คนรักเลวๆ
ก็แปลว่ากรรมเก่าเราทำให้คนอื่นมีชะตากรรมไม่ดี
และเราก็อาจจะเคยเลวกับคนรักในปางก่อน
วิธีพิสูจน์นั้น
ก็ยืนพื้นอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า ถ้าเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นด้วยกรรมดำ
เราก็ต้องสร้างเรื่องดีมาสู้ได้ด้วยกรรมขาวอันเป็นขั้วตรงข้ามเช่นกัน
เช่นเมื่อหมั่นสร้างชะตากรรมดีๆให้ผู้ด้อยโอกาส หมั่นให้อภัยไม่อาฆาตคนร้ายกับคุณ
กัดฟันทำแต่กรรมขาวจนกระทั่งความดีงามตั้งมั่นในคุณ
หากเรื่องของกรรมวิบากมีจริงชะตากรรมของคุณก็ต้องดีขึ้นภายในชาตินี้
กรรมย่อมไม่ปล่อยให้คุณต้องมัวน้อยใจวาสนา
ไม่ปล่อยให้รอถึงชาติหน้าเหมือนอย่างพรหมลิขิตอย่างแน่นอน
และเท่าที่พบกันมานักต่อนัก
ทันทีที่คนเราเริ่มเชื่อว่ากรรมเป็นตัวลิขิตชะตานี่นะครับ
ทุกอย่างเริ่มดีขึ้นทันที อย่างน้อยเรามีเหตุผลอธิบายตัวเองว่าทำไมต้องเป็นเรา
และเจออะไรอย่างที่เคยเจอ
จิตที่มีศรัทธาแบบพุทธจะคล้อยไปในเส้นทางของเหตุผลและปัญญา ซึ่งทำให้เกิดความสว่าง
ความอบอุ่น และความไม่หลงงมงายด้วยความเชื่อสืบๆกันมาครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น