ถาม : การที่คนเรามีเสน่ห์เป็นที่รักใคร่ของบุคคลทั่วไป
เป็นผลของกรรมอะไรบ้างคะ?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๗
ดังตฤณ:
เหตุแห่งการเป็นผู้ทรงเสน่ห์นั้น ไม่ใช่ง่ายที่จะกล่าวถึงให้ครอบคลุม เพราะไม่ใช่แค่ ‘ทำดีแล้วจะมีเสน่ห์’ เนื่องจากเสน่ห์มีหลายรูปแบบ และเสน่ห์แต่ละแบบก็ไม่ใช่จะ ‘ใช้ได้ผล’ กับทุกคน คุณอาจประหลาดใจว่าทำไมบางคนประพฤติตัวชั่วร้าย พูดจาเอาแต่ได้ ทว่ายังคงมีเสน่ห์ลึกลับ ทรงพลังพอจะจับใจคนใกล้ชิดให้ถวิลหาอาวรณ์ได้เกือบตลอดเวลา
สรุปง่ายๆนะครับ
ถ้าแค่มองหา ‘สูตรสร้างเสน่ห์’ ด้วยการแต่งตัว จัดทรงผม
ปรับปรุงบุคลิกในอิริยาบถต่างๆ ตลอดจนกระทั่งฝึกพูดจาให้น่าพิศวาส
คุณจะพบความจริงว่าสำหรับหลายๆคนแล้ว
สูตรสร้างเสน่ห์ทั้งหลายอาจแค่ช่วยให้ดูดีขึ้น
แต่หาได้เปิดก๊อกเทพลังเสน่ห์ให้ไหลมาเทมาแต่อย่างใดไม่
แม้แต่สถาบันพัฒนาบุคลิกภาพระดับโลกยังทราบครับว่าไม่มีสูตรสำเร็จครอบจักรวาลที่ทำให้
‘ทุกคน’ ดูดีขึ้นมาทันตาเห็น
เอาแค่ข้อจำกัดทางกายภาพที่แต่ละคนมีเด่นมีด้อยต่างกัน
ก็ไม่ทราบจะหั่นหรือเฉือนกันท่าไหนให้เท่าเทียมกันทั้งหมด ฉะนั้นตามแนวคิดเชิงพุทธ
คำถามของคุณนับว่าตรงเป้าที่สุดแล้ว นั่นคือ กรรมอันใดส่งผลให้เกิดเสน่ห์?
ก่อนอื่นต้องมองว่า
‘เสน่ห์’ คือพลังอะไรอย่างหนึ่งที่ทำให้คนอื่นหลงใหลหรือรักใคร่
อยู่ห่างแล้วถวิลถึง อยากเข้าพบ อยากเข้าใกล้
และประกายเสน่ห์อาจเปล่งออกมาจากรูปกายก็ได้ เปล่งออกมาจากวิธีพูดจาก็ได้
หรือเปล่งออกมาจากกระแสจิตเงียบๆก็ได้
นอกจากนั้น
พลังเสน่ห์ยังมีอยู่ ๓ ชนิดหลักๆ คือพลังดึงดูด พลังประทับ และพลังชะโลม
เมื่อเข้าใจตามนี้ก็จะเห็นกลไกและที่มาที่ไปของเสน่ห์แต่ละชนิดอย่างกระจ่าง
เสน่ห์ทางกาย
เป็นเสน่ห์ที่เน้นพลังฝ่ายดึงดูดมากกว่าอย่างอื่น
เช่นเห็นแล้วดึงดูดให้อยากมองนานๆยากจะถอนสายตา
หรือกระทั่งอยากถลาเข้าไปลองสัมผัสให้ได้เดี๋ยวนั้น
เสน่ห์ทางกายปรากฏเด่นเห็นง่ายสุด
จับต้องได้ง่ายสุด
เพราะกายมนุษย์เปล่งประกายเสน่ห์ได้ผ่านความสมส่วนแห่งรูปพรรณสัณฐาน
ตลอดจนความผ่องใสมีสง่าราศีแห่งผิวพรรณ
ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาหรือพิธีรีตองใดๆในการเปล่งประกายเสน่ห์ชนิดนี้
แค่ปรากฏตัวก็ใช้ได้แล้ว
ความเปล่งปลั่งชนิดบาดตาได้ตั้งแต่แรกพบนั้น
เป็นผลอันเกิดจากการให้ทานที่ประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างแรงกล้า
ไม่มีความขัดข้องทางใจเท่ายองใย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีโอกาสถวายทานแด่พระพุทธเจ้าหรืออริยสงฆ์สาวก
แล้วรักษาความเลื่อมใสนั้นไว้ได้ตลอดชีวิต ก็จะมีความรุ่งเรืองปรากฏชัดทางผิวหนังตั้งแต่ในชาติแห่งทานนั้น
แล้วปรากฏชัดเจนในชาติถัดมา ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมนุษย์
ความสมส่วนแห่งรูปพรรณสัณฐานจะเกิดจากความมีศีลสะอาดเป็นหลัก
รายละเอียดและมิติของรูปร่างหน้าตาที่ล่อตาชวนตะลึง กลิ่นกายที่น่าพิสมัย
ตลอดจนความละเอียดน่าสัมผัสของผิวหนังที่เหมาะกับเพศนั้น
บันดาลขึ้นจากความสามารถในการ ‘งดเว้น’
ความประพฤติทางกายและวาจาอันสกปรกเน่าเหม็นจนเคยชิน
กระทั่งแม้ความคิดก็ไม่หลุดออกนอกกรอบของศีล
พูดง่ายๆว่าเป็นผู้เคยมีศีลอันมั่นคงแข็งแรง จิตสะอาดสะอ้านจากมลทินยิ่ง
จึงบันดาลให้เกิดผลงดงามไร้ที่ติ กระทบตาผู้คนแล้วชวนหลงใหลยิ่ง
คนที่ไม่ค่อยทำบุญกับบุคคลศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ่อยๆมักมีอำนาจเสน่ห์ทางกายน้อย
เนื่องจากโอกาสที่จิตจะเปล่งประกายความเลื่อมใสอย่างแรงกล้าขณะทำบุญนั้นยากนัก
เสน่ห์ทางวาจา
เป็นเสน่ห์ที่มีพลังฝ่ายประทับมากกว่าอย่างอื่น
เช่นฟังพูดแล้วติดหูไม่รู้ลืม
ราวกับพลังเสียงและสำเนียงพูดบุกรุกเข้ามาฝังตัวและกลอกกลิ้งอยู่ในแก้วหูคนฟังได้
พอห่างกันแล้วถวิลถึงราวกับโดนเสน่ห์ยาแฝด
เสน่ห์ทางวาจาจะแผลงฤทธิ์เต็มที่ต่อเมื่อผู้พูดมีโอกาสฉายไม้เด็ดสักประโยคสองประโยค
การโอภาปราศรัยทักทายเพียงคำสองคำอาจจะยังไม่ได้ผลนัก
แต่หากได้ช่องสำแดงเดชเต็มกำลัง
เสน่ห์ทางวาจาก็อาจชวนให้หวนคิดถึงได้ยิ่งกว่าเสน่ห์ทางกายมาก
เนื่องจากความทรงจำเกี่ยวกับส่ำเสียงและถ้อยคำจะยืนยาวกว่าความทรงจำเกี่ยวกับรูปลักษณ์
เสน่ห์ทางวาจาที่หยิบยกมาเป็นตัวอย่างเห็นภาพง่ายที่สุดคงได้แก่วิธีรบเร้าหรือวิธีตื๊อของแต่ละคน
บางคนตื๊อแล้วน่ารัก แต่หลายคนตื๊อแล้วน่ารำคาญ
ทั้งที่ก็เป็นการรบกวนผู้ฟังเหมือนๆกัน
นี่ก็เพราะบางคนเท่านั้นที่มีพลังเสน่ห์ทางวาจา ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่มี
เสน่ห์ทางวาจามีองค์ประกอบหลายส่วน
ซึ่งแต่ละส่วนก็เกิดจากกรรมเกี่ยวกับวาจาทั้งในอดีตและปัจจุบันรวมกันทั้งสิ้น
องค์ประกอบหลักของเสน่ห์ทางวาจาจำแนกได้เป็น ๓ ส่วนดังนี้
๑) ความไพเราะของแก้วเสียง
เกิดขึ้นจากความเป็นผู้มีวาจาสุจริต ทั้งพูดเรื่องจริงเท่าที่ควรพูด
เลือกคำที่ฟังรื่นหูไม่หยาบคาย หาวิธีพูดประนีประนอมไม่เสียดสีใคร
ตลอดจนครองสติในการพูดเพื่อประโยชน์ได้เสมอ
องค์ประกอบหลักเหล่านี้จะปรุงแต่งแก้วเสียงให้ฟังดี ฟังเย็น และฟังมีพลังสะกด
ถ้ายิ่งหมั่นสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญ ตลอดจนเปล่งเสียงประกาศธรรมอันชอบโดยไม่เคอะเขิน
แก้วเสียงก็จะเปล่งประกายสดใสเพราะพริ้งได้ตั้งแต่ชาติปัจจุบัน
และไปปรากฏผลชัดที่สุดในชาติถัดมา น้ำเสียงและสำเนียงจะกลมกล่อมไม่บาดหูเลย
(เว้นไว้แต่จะหลงผิด
พูดจาเป็นอัปมงคลนานปีจนกำลังของวจีทุจริตใหม่ชนะกำลังของวจีสุจริตเก่า)
๒) ลูกเล่นในการจำนรรจา
เกิดขึ้นจากความเป็นผู้ใส่ใจเจรจาให้น่าเอ็นดู เป็นที่ถูกใจ
ทำความบันเทิงสดใสแก่ผู้ฟัง ยกตัวอย่างเช่นพวกชอบเล่านิทานให้เด็กฟัง
ด้วยความหวังว่าเด็กจะได้สนุกสนาน ได้ข้อคิด และได้มองโลกในแง่ดีมีความอบอุ่น
กรรมอันเกิดจากการฝึกเล่านิทานจริงจังจะบันดาลให้เกิดสัญชาตญาณในการมัดใจด้วยลีลาพูด
คือรู้เองว่าด้วยลูกเล่นการออกเสียงสั้นยาว ลงเสียงหนักเบา
ตลอดจนควบกล้ำอย่างไรให้ฟังน่ารักน่าใคร่ ชัดถ้อยชัดคำ
พวกนี้ถ้าทำงานพากย์จะประสบความสำเร็จง่ายมาก
และอาจจะไม่ต้องร่ำเรียนที่ไหนก็เก่งได้ยิ่งกว่ามืออาชีพที่คร่ำหวอดมานมนาน
๓) ความฉลาดเลือกคำ
เกิดขึ้นจากความเป็นผู้คิดก่อนพูด ใช้สติในการง้างปากที่อ้ายาก
ไม่ใช่ปล่อยให้อารมณ์บงการปากที่ไร้หูรูด ธรรมชาติของสตินั้น
ยิ่งฝึกฝนให้เพิ่มมากขึ้นเท่าใด ปัญญาก็จะยิ่งทวีขึ้นเท่านั้น
คนที่ไม่ค่อยใส่ใจกับการพูดนั้น
นอกจากจะขาดเสน่ห์ทางวาจาแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดข้อน่ารังเกียจได้มากมาย
เช่นคนพูดส่อเสียดและใส่ไคล้ผู้อื่นบ่อยๆมักมีกลิ่นปากเหม็นเน่า
คนติดพูดคำหยาบคายกระโชกโฮกฮากมักมีสำเนียงเสียงไม่รื่นหูไม่ชวนฟัง เป็นต้น
เสน่ห์ทางกระแสจิต
เป็นเสน่ห์ชนิดที่มีพลังชะโลมได้มากกว่าอย่างอื่น
เช่นแค่เข้าใกล้รัศมีใครบางคนคุณก็รู้สึกเยือกเย็น
หรือกระทั่งเกิดความเงียบสงัดไร้ความคิดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม
กระแสจิตของบางคนอาจเปี่ยมด้วยอิทธิพลแห่งพลังดึงดูดและพลังประทับได้ยิ่งกว่าเสน่ห์ทางกายกับวาจารวมกันเสียอีก
หากคุณเคยมีประสบการณ์ผ่านพบใครบางคน ที่คุณอยู่ใกล้ๆแล้วเกิดความอยากอยู่ใกล้
เมื่อห่างไปก็ถวิลถึง แม้รูปร่างหน้าตาของเขาไม่จัดว่าเลอเลิศ
กับทั้งถ้อยทีเจรจาก็งั้นๆ
นั่นแหละครับตัวอย่างของคนมีเสน่ห์ทางกระแสจิตขั้นรุนแรง
เสน่ห์แห่งกระแสจิตนั้น
เป็นสิ่งเห็นไม่ได้ด้วยตา จับต้องไม่ได้ด้วยมือ ทว่าง่ายที่จะสัมผัสด้วยใจ
และแม้คุณพบเจอจังๆอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่าในเมื่อไม่เคยมีใครขอให้คุณอธิบาย
คุณเลยไม่เคยฝึกจำแนกแยกแยะว่ากระแสจิตมีกี่ชนิด
แต่ละชนิดมีพลังเสน่ห์จับใจได้แตกต่างกันสักแค่ไหน
จิตมนุษย์ที่กระจายออกมาให้สัมผัสได้นั้น
มีกระแสพลังจากแหล่งต่างๆได้หลายหลาก อาทิเช่น พลังความคิด
พลังจากมหากุศลที่ประกอบแล้ว พลังความสว่างทางปัญญาที่รู้ชอบในธรรมะ พลังสุขภาพ
พลังของหน้าที่ พลังของอิทธิพลต่อหมู่คน พลังของที่อยู่อาศัย พลังของพาหนะส่วนตัว
พลังของอัญมณี พลังของสัตว์ที่ผูกพันแน่นเหนียว พลังไสยศาสตร์
ตลอดไปจนกระทั่งพลังของเทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกันในทางใดทางหนึ่ง
โดยย่นย่อกระแสจิตจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับวิธีมีตัวตนของแต่ละคน
ผมอาจแจกแจงที่มาที่ไปและชนิดของเสน่ห์ทางกระแสจิตอย่างละเอียดเป็นหนังสือเล่มหนึ่งได้โดยเฉพาะ
แต่ในที่จำกัดนี้คงกล่าวเพียงสังเขปในแง่ ‘วิธีคิดอันเป็นต้นตอเสน่ห์ทางกระแสจิต’
เพราะเสน่ห์ทางกระแสจิตของมนุษย์ธรรมดาจะเป็นไปตามวิธีคิด
สายความคิดของมนุษย์ทั่วไปจะไม่ค่อยขาดสาย จึงปรุงแต่งให้จิตเป็นไปต่างๆนานาได้มากกว่าปัจจัยอื่น
ขอยกเฉพาะวิธีคิดหลักๆที่ก่อรัศมีจิตอันเป็นเสน่ห์ดังนี้
๑) ความคิดเป็นเส้นตรงไม่หมกมุ่นวุ่นวน
คือมีเป้าหมายปลายทางของความคิดชัดเจน มีลำดับที่จะไปให้ถึงจุดหมายอย่างแน่ชัด
หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ
คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกราบรื่น ไม่วกวน
และอยู่ใกล้คุณนานๆอาจพลอยเกิดคลื่นความคิดเป็นระเบียบตามไปด้วย
๒) ความคิดที่เบากริบหรือเงียบเชียบ
คือคิดเท่าที่จำเป็น สามารถเว้นวรรคความคิดเพราะรู้จักเสพสุขกับสิ่งอื่น
เช่นภาพแมกไม้ เสียงน้ำตก หรือกระทั่งเฝ้าสังเกตการเข้าออกอย่างเรียบง่ายตามธรรมชาติของสายลมหายใจตนเอง
หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ
คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกผ่อนคลายไม่อึดอัด
อยู่ใกล้คุณอาจพลอยสงบผาสุกตามไปด้วยชั่วครู่ และหากคลุกคลีใกล้ชิดกับคุณนานพอ
กลุ่มความคิดที่หนาแน่นของเขาอาจพลอยเบาบาง
กลายเป็นคนไม่คิดมากตามคุณไปด้วยอย่างถาวร
๓) ความคิดมองโลกในแง่ดี
คือมีมุมมองของความหวังด้านบวกเสมอ จึงเชี่ยวชาญในการสร้างทางออก
ขณะที่คนทั้งโลกเชี่ยวชาญในการพาตัวไปสู่ทางตัน หากคุณมีความคิดชนิดนี้
จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกสว่างไสว
ไม่มืดมน และอยู่ใกล้คุณนานๆอาจพลอยเกิดแรงบันดาลใจและความหวังใหม่ๆตามไปด้วย
๔) ความคิดเผื่อแผ่พร้อมจะเสียสละ
คือมีความอยากให้มากกว่าอยากเอา สามารถเป็นผู้ริเริ่มในการให้
โดยไม่จำเป็นต้องคำนวณเสียก่อนว่าจะได้รับสิ่งใดเป็นผลตอบแทน
หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ
คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ เห็นคุณเป็นที่พึ่ง
(ขอให้ทราบว่าความเป็นที่พึ่งกับความเป็นคนรับใช้นั้นต่างกันนิดเดียว
ระหว่างให้แบบใจอ่อนยินยอมไปหมด กับให้แบบใจดีมีความน่าเกรงใจ
ศิลปะของการให้อย่างหลังจะมีเสน่ห์
ขณะที่การให้อย่างแรกจะดูไร้ค่าหรือถึงขนาดน่ารังแก)
๕) ความมีใจเอ็นดูไม่คิดประทุษร้าย
คือไม่แม้แต่จะแอบด่า แอบสาปแช่งคนหรือสัตว์ที่ตนเกลียด
แต่มีเหตุผลบอกตนเองเสมอว่าทำไมจึงควรให้อภัย
เห็นกระจ่างที่มาที่ไปอันน่าเห็นใจของคนแสนเลวสักคน หากคุณมีความคิดชนิดนี้
จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ
ไม่หวาดระแวง และบังเกิดความปรารถนาดีต่อคุณ
หากเกลียดหรือคิดทำร้ายคุณได้แปลว่าต้องมีใจพาลสันดานหยาบเอาเรื่องทีเดียว
๖)
ความคิดมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวไม่ท้อแท้ คือแม้พบอุปสรรคก็ไม่แสดงความอ่อนแอให้เห็น
เพราะคิดหาทางรุกคืบไปข้างหน้าเข้าหาเส้นชัยหรือทางออกจากปัญหา ทำอะไรทำจริง
พูดอะไรแล้วทำอย่างที่พูด ตั้งใจอะไรแล้วไม่ล้มเลิกง่ายๆ หากคุณมีความคิดชนิดนี้
จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังประทับใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกถึงพลกำลัง
ความเข้มแข็งไม่อ่อนแอ ความคมคายไม่ทื่อมะลื่อ เต็มไปด้วยความก้าวหน้าพัฒนาสู่ความสำเร็จลุล่วง
๗) ความคิดยับยั้งชั่งใจ
คือแม้พบสิ่งยั่วยุให้ละโมบโลภมาก
ก็ระงับความทะยานอยากเสียได้หากเห็นว่าไม่ถูกไม่ชอบ
หรือแม้พบสิ่งยั่วยุให้พยาบาทอาฆาตแค้น
ก็ระงับความหุนหันพลันแล่นอยากโต้ตอบด้วยความรุนแรงเสียได้ หากคุณมีความคิดชนิดนี้
จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังประทับใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกถึงขันติ
ความอดทนทางใจ
๘) ความคิดไม่เข้าข้างตัวเอง
คือไม่หลงตัว ไม่ปกป้องตัวเอง
เป็นคนดีจริงด้วยการรู้ตัวว่ายังมีจุดบอดหรือข้อเสียอันใดอยู่บ้าง
ไม่ใช่ดีจริงด้วยการประกาศว่าข้าดีพร้อม ข้าทำอะไรไม่ผิดสักอย่าง
ไม่คิดเข้าข้างตัวเองแม้ผิดพลาดทำชั่วบ้าง
ก็มีระดับมโนธรรมสูงพอจะสำนึกผิดได้ด้วยตนเอง หากคุณมีความคิดชนิดนี้
จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังประทับใจ
คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกถึงสำนึกอันดีงามของมนุษย์
กระแสความสำนึกผิดและการรับผิดชอบอย่างอาจหาญจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นกล้าที่จะสำนึกผิด
แล้วก็ไม่ต้องขัดแย้งกับตนเอง
ไม่ต้องเกลียดตนเองด้วยกำแพงปกป้องตนเองอันน่ารังเกียจ
๙) ความคิดที่รื่นรมย์เบาสมอง
คือความสามารถมองแง่ร้ายให้กลายเป็นตลกได้ หากคุณมีความคิดชนิดนี้
จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังดึงดูดใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกพร้อมจะมีอารมณ์ขัน
นึกสนุก ไม่เคร่งเครียด เต็มไปด้วยความรื่นเริงบันเทิงใจตามไปด้วย
๑๐) ความคิดแบบผู้ชนะที่มีน้ำใจนักกีฬาและความปรานี
ไม่มีใครอยากยืนอยู่ข้างคนแพ้
ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครอยากอยู่ใต้อำนาจคนชนะที่เหลิงหลงและหมิ่นศักดิ์ศรีผู้อื่น
ผู้ชนะอาจอยู่ในเกมกีฬา เกมธุรกิจ ตลอดจนกระทั่งเกมกิเลส
คือถ้าเอาชนะกิเลสยากๆของตนเองได้ก็จัดเป็นผู้ชนะได้เหมือนกัน
และเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ด้วย หากคุณมีความคิดชนิดนี้
จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังดึงดูดใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกหลงใหลมนต์เสน่ห์อันโดดเด่นจับตาจับใจได้ง่าย
วิธีคิดแบบอันเป็นตรงข้ามกับที่กล่าวมาข้างต้น
จะบั่นทอนเสน่ห์ลง กล่าวคือกระแสความคิดจะเป็นแบบผลักไสให้ออกห่าง
(ตรงข้ามกับพลังดึงดูดใจ) หรือแบบไม่ประทับลงในความทรงจำ (ตรงข้ามกับพลังประทับใจ)
หรือแบบระคายเคือง (ตรงข้ามกับพลังชะโลมใจ) เช่นต่อให้มีเสน่ห์ทางกายและเสน่ห์ทางวาจา
แต่ถ้าคิดฟุ้งซ่านมากๆเป็นนิตย์ ก็จะก่อคลื่นรบกวนคนใกล้ชิดให้ปั่นป่วนตาม
อึดอัดที่จะต้องอยู่ใกล้ชิดนานๆ เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น