วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทำไมถึงเป็นคนฉลาดไม่คงที่ (ดังตฤณ)

ถาม : สงสัยว่าทำไมตัวเองถึงเหมือนมีระดับสติปัญญาที่เอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ วันหนึ่งรู้สึกเหมือนฉลาดจัด แต่อีกวันหนึ่งดูโง่ ๆ คิดอะไรไม่ค่อยออก อย่างนี้แปลว่าผมเคยทำกรรมเกี่ยวกับความฉลาดมาอย่างไรหรือครับ?

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๗

ดังตฤณ: 
ก่อนอื่นต้องมองอย่างนี้ครับ ปัจจัยของความฉลาดไม่ได้มาจากกรรมในอดีตอย่างเดียว อดีตกรรมอาจเป็นตัวตั้งให้สัก ๕๐% สำหรับคนทั่วไป เช่นขึ้นต้นมาอาจมีหยักสมองให้มาก เป็นเด็กหัวโตหน้าผากกว้างเห็นเด่นหน่อย ส่วนอีก ๕๐% ที่เหลือต้องมาฝึกหัดสร้างสมเอาในชาตินี้ชีวิตนี้ จะกล่าวให้เข้าใจง่ายก็คงเป็นว่าคนเราฉลาดด้วยพรสวรรค์ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งต้องอาศัยพรแสวงเอา ๕๐% แรกที่มาจากอดีตชาตินั้น หมายถึงทำทานและรักษาศีลมาสอดคล้องกับการเป็นผู้มีสติปัญญาดีไว้มากน้อยเพียงใด (ขอย้ำว่า ๕๐% จะหมายถึงสำหรับคนทั่วไปนะครับ มีบุญหรือบาปพิเศษบางอย่างที่ให้ผลเป็นความฉลาดหรือความโง่เกิน ๕๐% ได้มากเท่ามาก)

ในแง่ของทานที่ให้ผลเกี่ยวกับสติปัญญา ก็เช่นการมีแก่ใจใช้สติปัญญาของตนช่วยแก้ปัญหาให้ผู้อื่น หรือให้ความรู้ความเข้าใจเชิงวิชาการแก่คนรอบข้าง หากยิ่งให้ธรรมะเป็นทาน ทำให้ผู้อื่นเข้าใจเรื่องกรรมวิบากและหนทางหลุดพ้น ก็ยิ่งมีผลใหญ่หลวงเป็นพิเศษ

ในแง่ของศีลที่ให้ผลเกี่ยวกับสติปัญญามีอยู่ ๒ ข้อหลัก ๆ ข้อแรกคือปาณาติบาต ถ้างดเว้นการฆ่าสัตว์ก็จะเอื้อให้จิตใจปลอดโปร่ง เปิดทางให้ความฉลาดแล่นได้เต็มที่เต็มทาง แต่หากสั่งสมบาปจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นประจำจะทำให้ทึบหนักเหมือนคนโง่ได้ อีกข้อหนึ่งคือสุราเมรัย ถ้างดเว้นน้ำเมาจะมีสติเป็นปกติดีตามธรรมชาติของจิต แต่หากสั่งสมความมัวเมาขาดสติจากการร่ำสุรามากๆแล้ว จะมีผลถึงชาติถัดไปคือเป็นคนฟุ้งซ่านมาก หรือกระทั่งวิกลจริตได้เป็นพัก ๆ นั่นเป็นโทษของกรรมที่ไม่เห็นคุณค่าของการมีสติสัมปชัญญะดี ๆ

นอกจากศีล ๒ ข้อดังกล่าวแล้ว ศีลข้อที่ว่าด้วยการขโมยก็อาจมีส่วนทำให้โง่ ถ้าการขโมยนั้นเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ เกี่ยวกับปัญญา เช่นขโมยทรัพย์สินทางปัญญา ลักลอบนำสิ่งที่ผู้อื่นอุตส่าห์เหนื่อยยากคิดค้นมาเป็นของตน หรืออย่างพวกเผาโรงเรียนนี่สติปัญญาจะถูกบาปกรรมบดขยี้บี้แบนเป็นพิเศษ ศีลข้อที่ว่าด้วยการมุสาก็มีส่วนทำให้โง่ได้เช่นกัน ถ้าการมุสานั้นเกี่ยวข้องกับความรู้ความเข้าใจ หากคุณเคยเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้กลายเป็นผิดพลาดคลาดเคลื่อนมาก่อน ความเขลาหรือความเข้าใจผิดของผู้อื่นจะย้อนกลับมาเข้าตัวคุณในชาติถัดไปได้มากเช่นกัน

นอกจากทาน และศีลแล้วยังมีส่วนของการแสวงหาคำตอบให้ชีวิต พระพุทธเจ้าตรัสว่าพวกมีปัญญามากเป็นผลมาจากการเข้าหาสมณะผู้รู้แจ้ง แล้วไถ่ถามด้วยความปรารถนาเอาความจริงว่ากรรมใดเป็นประโยชน์ กรรมใดเป็นโทษ ก็จะส่งผลให้เป็นผู้ใฝ่รู้ในทางที่ถูกที่ชอบ เป็นทางมาของปัญญาอันใหญ่ได้อย่างดี สมมุติว่าคุณมีอดีตกรรมอย่างดีเป็นทุนตั้งต้นดังกล่าว เกิดมาชาตินี้คุณก็จะยังไม่ฉลาดทันที ต้องมีความขวนขวายเป็นส่วนเสริมอีก ๕๐% ซึ่งก็จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการฝึกฝนเชาว์ไวไหวพริบ การสั่งสมประสบการณ์อันเกิดขึ้นระหว่างแก้ปัญหา ซึ่งแต่ละศาสตร์ แต่ละสาขาวิชาก็มีความรู้และแบบฝึกหัดพื้นฐาน ตลอดจนวิธีต่อยอดให้ความฉลาดแตกแขนงพิสดารไม่รู้จบอยู่แล้ว

นอกจากนั้น สติปัญญา และความฉลาดยังเกี่ยวข้องโดยอ้อมกับทาน และศีลในชาติปัจจุบันอย่างหนีไม่พ้น กล่าวคือทาน และศีลจะเป็นตัวกำหนดว่าสติ และความแจ่มใสของจิตมีได้มากน้อยเพียงใด สติและความแจ่มใสของจิตจัดเป็นพื้นยืนสำคัญของความฉลาด ต่อให้สมองคุณมีหยักมากจากบุญเก่าขนาดไหน ถ้าไร้ซึ่งสติและความแจ่มใสของจิตเสียแล้ว คุณก็จะมึน ๆ งงๆ คิดอะไรไม่ออกเหมือนเช่นคนไร้สติปัญญาอยู่ดี

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณพล่ามพูดเพ้อเจ้อมาก ๆ จนเกิดความฟุ้งซ่าน ความฉลาดก็ย่อมลดลงทันตาเห็น แต่ถ้าวันไหนอยู่กับหมู่บัณฑิต ชักชวนกันพูดจาในเรื่องที่จะปลดเปลื้องความละโมบผิดๆ ความอาฆาตแค้นร้อน ๆ และความหลงสำคัญผิดหนักๆทั้งหลาย สติจะดี และจิตจะแจ่มใสเป็นพิเศษ ขณะนั้นคุณย่อมรู้สึกว่าตนเองสามารถคิดอ่านทะลุปรุโปร่ง หูตากว้างขวางกว่าวันอื่นๆ เป็นต้น


สรุปคือสติปัญญาและความฉลาดของคนนั้น ไม่ได้คงที่ตายตัวหรอกครับ ไหลๆเลื่อน ๆ ไปเรื่อย ๆ สุดแล้วแต่บุญบาปที่ทำกันนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น