ถาม : อยากทราบว่าถ้าต่อรองของที่เราซื้อเพื่อนำไปทำบุญ
จะทำให้เป็นการลดส่วนบุญหรือเปล่าคะ?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๗
ดังตฤณ:
ขอให้เข้าใจว่าจิตที่คิดทำบุญเปล่งประกายกุศลออกมาเต็มที่ได้ ๓ จังหวะ ได้แก่
๑) จิตขณะเตรียมทำบุญ
เช่นเพียงตกลงปลงใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำบุญ หรือขณะเมื่อเดินเลือกซื้อของ
๒) จิตขณะกำลังทำบุญ
เช่นเมื่อหย่อนกับข้าวใส่บาตร
๓) จิตขณะหลังทำบุญ
เช่นเมื่อยังมีแก่ใจยิ้มไม่หุบแม้เดินทางออกจากวัดแล้ว
สรุปว่าในขั้นของการเตรียมทำบุญ
ยังไม่ได้ลงมือทำบุญจริง จิตก็บังเกิดภาวะกุศลแล้ว เปิดกว้างสว่างระดับหนึ่งแล้ว
ส่วนจะมีเหตุปัจจัยให้สว่างบริสุทธิ์หรือเกิดมลทิน ก็ต้องว่ากันเป็นเรื่องๆไป
อย่างเช่นที่นี้เราพูดกันถึงเรื่องการต่อรองราคาของ
ก็ขอให้ดูตามจริงว่าจิตขณะต่อรองเป็นอย่างไร เช่น
๑) จิตประกอบด้วยความโลภมาก
คือมีความคิดเอาจริงเอาจัง อยากได้เปรียบมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
หรือคิดคำนวณเงินส่วนต่างอย่างละเอียด กระทั่งหมกมุ่นกับการเงินการทองจนจิตปิดแคบ สภาวะกุศลอันเกิดจากเจตนาทำบุญย่อมหมองลง
ทำนองเดียวกับหลอดไฟขาวสว่างที่ถูกหมวกดำมาครอบบัง
อันนี้เป็นไปตามกฎธรรมชาติที่ว่าเมื่อใดจิตประกอบด้วยความโลภ
เมื่อนั้นจิตย่อมเข้าข่ายอกุศล
๒) จิตประกอบการคำนึงคำนวณสมเหตุสมผล
คือเห็นอยู่ว่าแม่ค้าตั้งราคาเกินควร
หรือรู้อยู่ว่าของชิ้นนี้ตั้งไว้เพื่อให้ต่อรอง ไม่ครุ่นคิดโลภอยากเอาเปรียบใคร
จิตจึงไม่ถึงกับปิดแคบ ยังรักษาระดับความเป็นกุศลดั้งเดิมไว้ได้
อันนี้ต้องใช้ใจเป็นเครื่องวัด หากรู้สึกว่าไม่เป็นไร ถูกหรือแพง
ต่อรองได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ สำคัญที่เราเพ่งเล็งจะเอาวัตถุนี้ไปทำบุญ
เพราะเห็นประโยชน์ของวัตถุนั้นๆอย่างแท้จริง นั่นแหละมาตรวัดว่ากุศลของเรายังไม่หย่อน
และไม่เกิดอกุศลใดๆขึ้นแทรกแซง บุญย่อมเกิดเต็มดวงเหมือนเช่นที่ซื้อเลยไม่ต่อราคา
อีกประการหนึ่งที่สำคัญนะครับ
ต้องดูระยะอื่นประกอบด้วย คือขณะกำลังทำบุญและหลังทำบุญ
คุณมีความชื่นใจกับการได้ทำบุญแค่ไหน ถ้าชื่นใจมาก ไม่มีความอาลัย
ไม่มีความเสียดายทรัพย์ที่บริจาคหรือถวายไปแม้แต่น้อย
ก็แปลว่าการทำบุญนั้นๆมีความผ่องแผ้วใช้ได้ครับ
ถึงแม้สะดุดนิดๆหน่อยๆตอนเลือกซื้อของก็ไม่ทำให้บุญแหว่งวิ่นมากนักหรอก!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น