ถาม : ทำไมเวลาใครๆเห็นคนดังหรือคนสวยคนหล่อทำอะไร
ก็เห็นดีเห็นงาม หรือคล้อยตามได้ง่ายนักครับ? เห็นคนใกล้ตัวขาดสติกันเยอะ
นักร้องหรือดาราที่เขาโปรดปรานทำอะไรก็มักทำตาม แต่ผมไม่เห็นจะเป็นอย่างนั้นเลย
ตั้งแต่สมัยวัยรุ่นแล้ว
ต่อให้คลั่งไคล้รูปร่างหน้าตาหรือความสามารถของนักร้องนักแสดงคนไหน
ถ้าเห็นเขาทำอะไรทุเรศๆ ผมก็จะเลิกร่วมขบวนแห่แหนยกเขาขึ้นบ่าต่อทันที
ยกตัวอย่างเช่นผมเคยชอบท่าเต้นแปลกประหลาดผิดมนุษย์มนาของไมเคิล แจ็คสันมาก
แต่พอเห็นเขาลูบเป้ากลางเวทีก็หมดอารมณ์เลย ได้แต่ยกมือเกาหัวคิดในใจว่ามันลูบทำไม
อุบาทว์ที่สุด ในขณะที่เพื่อนๆผมเข้าดิสโก้เธคแล้วลูบเป้าตามกันใหญ่
แถมต่อๆมายังกลายเป็นเทรนด์ที่เหมือนปกติ ใครๆก็ทำกันโดยไม่โดนด่าว่าน่าเกลียด
พอจะอธิบายได้ด้วยหลักของกรรมไหมว่าทำไมบางคนหลงง่าย บางคนหลงยาก?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๗
ดังตฤณ:
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับกระแสสังคม ซึ่งต่อไปผมจะเรียกว่า ‘พลังมวลชน’ และเกี่ยวข้องกับสติปัญญาเฉพาะตน ซึ่งต่อไปผมจะเรียกว่า ‘พลังในการเห็นตามจริง’
ตามธรรมชาติแล้ว
‘พลังมวลชน’ จะชนะ ‘พลังในการเห็นตามจริง’
กล่าวคือถ้าพลังมวลชนพุ่งไปช่วยยกย่องค้ำชูใครขึ้นมาสักคน
นอกจากคนๆนั้นจะดูดีราศีจับกว่าคนธรรมดาแล้ว
เขายังมีอำนาจข่มให้พลังในการเห็นตามจริงของคนทั่วไปลดลงได้อย่างเหลือเชื่อ
ยกตัวอย่างเจ้าตำรับลูบเป้าที่เอ่ย
ถึงในคำถามก็แล้วกัน
ลองคิดดูว่าหากเป็นนักร้องกระจอกตามผับโป๊เปลือยก็คงไม่มีใครสนใจคิดอะไรมาก
หรือถ้าเป็นนักร้องโนเนมเพิ่งขึ้นเวทีวันแรกก็ลูบเป้าโชว์
อย่างนี้ผลที่ตามมาย่อมเป็นเสียงยี้ เพราะพลังในการเห็นตามจริงของผู้คน
ยังคงอยู่ในระดับปกติพอจะรู้ ว่าอย่างนั้นมันน่าเกลียด อย่างนั้นมันไม่ดี
อย่างนั้นไม่ใช่เรื่องถูกเรื่องชอบ เอาเครื่องเพศมาเป็นจุดเด่นบนเวทีร้องเพลง
ก็เหมือนร้องเพลงด้วยเครื่องเพศ ไม่ใช่ร้องด้วยปาก
ดูอย่างไรก็ไม่เห็นจะน่าชื่นชมไปได้
แต่นี่เป็นถึงไมเคิล
แจ็กสัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องลูบเป้าก็ขายได้เป็นล้านแผ่นแล้ว
อยู่ในความสนใจคลั่งไคล้ใหลหลงของแฟนเพลงทั่วโลกอยู่แล้ว
การลูบเป้าจึงเกิดขึ้นบนฐานความนิยมที่แข็งแรง พลังมวลชนจึงชนะพลังในการเห็นตามจริงขาดลอย
แฟนไมเคิลไม่รู้กี่ล้านยอมรับ ก็แปลว่านักร้องอีกกี่คนทำก็ไม่น่าเกลียด
ในเมื่อดาวดังอันดับหนึ่งของโลกกรุยทางไว้ให้แล้ว
นั่นจึงกลายเป็นไวรัสที่ระบาดไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว
จนถึงวันนี้แม้ไม่ลูบเป้าชัดเจน ก็มีการกระดกหน้ากระดกหลังเรียกเสียงกรี๊ดกันเป็นปกติ
บางทีวิวัฒนาการของความหลงผิดอย่าง
มหันต์อาจเริ่มต้นขึ้นจากการประพฤติมิชอบเล็กๆน้อยๆของคนดังนี่แหละ
ที่สังคมหลงทางกันอย่างทุกวันนี้ ก็เพราะพวกเราต่างยังโดนอิทธิพลภายนอกครอบงำได้
และที่อิทธิพลภายนอกครอบงำได้ เพราะต่างก็ยังมีราคะ (ความกำหนัด) โทสะ (ความโกรธ)
โมหะ (ความหลงผิด) หากปราศจากราคะ โทสะ โมหะ ทุกคนจะเห็นโลกตามจริง
และไม่หลงทำอะไรตามแรงบันดาลใจผิดๆเลย
ต่อให้โดนพลังมวลชนหรือกระแสสังคมอันเชี่ยวกรากซัดกระหน่ำเพียงใดก็ตาม
หลักความสัมพันธ์ของกิเลสก็คือเมื่อ
ราคะโหมแรง โมหะย่อมหนาทึบ และเมื่อโมหะหนาทึบ
ปัญญาและความเป็นตัวของตัวเองก็หายไป
คือถ้าดารานักร้องในดวงใจของตัวเองทำอะไรก็ดูสว่างไปหมด น่าหลงใหลคลั่งไคล้ไปหมด
เป็นแรงบันดาลใจให้อยากเลียนแบบไปหมด
แม้คนทั่วไปจะไม่เชื่อ
และไม่รู้เห็นเรื่องกรรมวิบาก แต่ส่วนลึกก็เชื่อว่าการที่หนุ่มสาวสวยหล่อได้นั้น
ต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ดีพอ อาจจะเป็นทูตสวรรค์
หรือเป็นตัวแทนพฤติกรรมของสวรรค์ อะไรทำนองนั้น
ฉะนั้นคนสวยหล่อทำอะไรก็น่าจะแปลว่าดีไปหมด เป็นทางสวรรค์ไปหมด
นี่หมายความว่าถ้าคนสวยคนหล่อเอาบุญ
เก่ามาเหนี่ยวนำให้แฟนคลับวัยรุ่นเกิดมุมมองที่ถูกต้องเสียหน่อย
เช่นความหล่อความสวยต้องจับคู่กับจิตใจอันงดงาม
ความโด่งดังต้องจับคู่กับพฤติกรรมที่น่าชื่นชม
สังคมก็จะถูกชี้นำไปในทางสว่างอย่างไม่ต้องสงสัย
อันที่จริงหน่วยงานราชการก็เห็น
อิทธิพลของดารา หลายครั้งเมื่อจะรณรงค์เรื่องดีๆ
เช่นชี้นำให้คนรุ่นใหม่เห็นการสูบบุหรี่เป็นเรื่องล้าสมัย
ก็อาศัยภาพดารานักร้องยอดนิยมนี่เองเป็นเครื่องมือ
ปัญหาคือทำอย่างไรไม่ให้คนรู้ไต๋ ว่าตัวที่ยืนอยู่บนเวทีรณรงค์ กับตัวจริงๆของดารา
เป็นคนละคนกัน ตัวจริงแอบสูบบุหรี่วันละเป็นซอง ตัวปลอมมาแสดงบทจาระไนโทษของบุหรี่
อย่างนี้ถ้าเหล่าโจ๋รู้เข้าก็พากันหมดศรัทธาสองเด้ง
เด้งแรกคือไม่เชื่อว่าบุหรี่เป็นโทษจริง
เด้งที่สองคือมองว่าการรณรงค์งดสูบบุหรี่เป็นพิธีตบตา แรงบันดาลใจให้น่าเลียนแบบอย่างแท้จริงจึงไม่ใช่อะไรมากไปกว่าการพยายามฝึกเป็นนักสร้างภาพเก่งๆ!
กรรม
ที่ทำให้เห็นผิดเป็นชอบ คล้อยตามกระแสสังคม แพ้พลังมวลชนโดยง่าย
ก็คือการยอมสนองตอบแรงกระตุ้นให้เกิดราคะ โทสะ โมหะ โดยขาดสติยั้งคิดของตนเอง
ส่วนในกรณีของคุณ
ถ้าบอกว่าแม้ขณะเป็นวัยรุ่นก็ไม่หลงใหลเห่อเหิมไปกับดารานักร้อง
นั่นก็สะท้อนว่ากรรมที่ทำเป็นประจำ ได้ก่อให้เกิดอัธยาศัยหนักไปทางปัญญา คำว่า
‘ปัญญา’ ในที่นี้มิใช่หมายเอาความเฉลียวฉลาดในการแก้ปัญหา
แต่มุ่งถึงลักษณะของจิตที่รู้เหตุรู้ผล รู้ผิดรู้ชอบ
ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับโมหะโดยตรงนั่นเองครับ
ลักษณะของสติปัญญาต่อต้านกิเลสนั้น
บ่มเพาะกันได้ทุกคนระหว่างยังมีชีวิตเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะหลงผิดมาในรูปแบบไหน
ไม่ว่าจะเป็นคนดังหรือคนธรรมดา
เริ่มต้นจากความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกิเลสร้อนๆอันก่อให้เกิดพฤติกรรม ร้ายๆ
และเมื่อประพฤติร้ายๆเป็นประจำย่อมโดนวิบากกระหน่ำตีให้เจ็บปวดเข้าสักวัน
ด้วยรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ถ้าไม่เผชิญกับโศกนาฏกรรมทางเนื้อหนัง
ก็ต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมทางวิญญาณ
ยกตัวอย่างเช่นการหมกมุ่นกับกามราคะ
แฟชั่นการเปลี่ยนคู่เพื่อลดความจำเจ ซึ่งนำขบวนโดยหมู่คนดัง
คนหล่อคนสวยอันเป็นที่ยกย่องเชิดชูของสังคม เมื่อสังคมเชื่อตามและประพฤติตาม
วิบากที่เกิดกับสังคมรุ่นใหม่พร้อมๆกันย่อมน่าเป็นห่วง เพราะโทษสถานเบาคือฟุ้งซ่าน
ไม่พอใจชีวิต เสพสุขแค่ไหนก็เหม็นเบื่อไปหมด ขี้เบื่อเปลี่ยนบ่อย
แต่เปลี่ยนเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มไม่เต็มสักที
ส่วนโทษสถานหนักคือต้องถูกกักขังอยู่ในคุกนรกที่สร้างขึ้นด้วยกามแบบผิดๆ
ขอให้สอบถามสังคมดูเถิด
หากเหมือนมีเสียงกระซิบเป่าหูอยู่บ่อยๆให้จบชีวิตตัวเองเสีย จะได้พ้นความทรมาน
นั่นแหละแรงดึงดูดจากคุกนรกที่พากันสร้างทำเอาไว้อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ช่วยๆกันป่าวประกาศและบอกต่อใน
วันนี้ยังไม่สายเกินไปนะครับ แต่ผมเห็นการต่อต้านพฤติกรรมทางเพศแบบโจ๋งครึ่มมักมาในรูปแบบของการด่าทอ
การประณามให้อับอาย ซึ่งสมัยนี้คนเราโดนด่ามาก็อยากด่ากลับเป็นสองเท่า
และทุกคนตั้งแต่ประชาชนคนเดินดิน ขึ้นไปจนถึงผู้บริหารประเทศ
ต่างก็มีเรื่องน่าอับอายเหมือนๆกันหมด เพราะฉะนั้นคำเสียดแทงให้เจ็บแสบมักไม่มีประโยชน์
เนื่องจากไม่เห็นว่ามีเรื่องอะไรน่าอับอายจนต้องแทรกแผ่นดินหนีกันอีกต่อไป แล้ว
ฉะนั้นทางที่ดีที่สุด
อย่าด่ากัน แต่ให้เหตุให้ผลกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย
ชี้ให้เห็นเข้าไปเถอะครับว่าเรื่องทางเพศที่โจ๋งครึ่มนั้นเป็นเหตุแห่งทุกข์
ถ้ามองไม่เห็นผลทันตา ก็ชี้เข้ามาที่ใจนั่นแหละ
เดี๋ยวนี้คนฟุ้งซ่านจับไม่ติดกันค่อนเมือง แล้วก็ไม่ยักมีใครบอกเท่าไหร่
ว่านั่นเป็นเพราะเกือบทุกคนปล่อยตัวปล่อยใจ เหลิงลอยตามกิเลสสั่งมากเกินขีดจำกัด
ธรรมชาติของจิตนั้น
เมื่อสกปรกถึงจุดหนึ่งย่อมรู้สึกทรมาน เมื่อเสพติดอะไรมากเกินพอดีจะฟุ้งซ่านกระวนกระวาย
ในที่สุดเมื่อสกปรกจากการเสพติดจนถึงขีดสุด ย่อมด้านชากับทุกสัมผัส
และเสพสุขทางเนื้อหนังกันด้วยอาการเหมือนเกาแก้คันแผลโรคเรื้อนชั่ว
ประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น