วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทำไมคนดังหรือคนสวยคนหล่อ มักโน้มน้าวใจคนอื่นได้ง่าย (ดังตฤณ)

ถาม : ทำไมเวลาใครๆเห็นคนดังหรือคนสวยคนหล่อทำอะไร ก็เห็นดีเห็นงาม หรือคล้อยตามได้ง่ายนักครับ? เห็นคนใกล้ตัวขาดสติกันเยอะ นักร้องหรือดาราที่เขาโปรดปรานทำอะไรก็มักทำตาม แต่ผมไม่เห็นจะเป็นอย่างนั้นเลย ตั้งแต่สมัยวัยรุ่นแล้ว ต่อให้คลั่งไคล้รูปร่างหน้าตาหรือความสามารถของนักร้องนักแสดงคนไหน ถ้าเห็นเขาทำอะไรทุเรศๆ ผมก็จะเลิกร่วมขบวนแห่แหนยกเขาขึ้นบ่าต่อทันที ยกตัวอย่างเช่นผมเคยชอบท่าเต้นแปลกประหลาดผิดมนุษย์มนาของไมเคิล แจ็คสันมาก แต่พอเห็นเขาลูบเป้ากลางเวทีก็หมดอารมณ์เลย ได้แต่ยกมือเกาหัวคิดในใจว่ามันลูบทำไม อุบาทว์ที่สุด ในขณะที่เพื่อนๆผมเข้าดิสโก้เธคแล้วลูบเป้าตามกันใหญ่ แถมต่อๆมายังกลายเป็นเทรนด์ที่เหมือนปกติ ใครๆก็ทำกันโดยไม่โดนด่าว่าน่าเกลียด พอจะอธิบายได้ด้วยหลักของกรรมไหมว่าทำไมบางคนหลงง่าย บางคนหลงยาก?

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๗

ดังตฤณ: 
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับกระแสสังคม ซึ่งต่อไปผมจะเรียกว่า ‘พลังมวลชน’ และเกี่ยวข้องกับสติปัญญาเฉพาะตน ซึ่งต่อไปผมจะเรียกว่า ‘พลังในการเห็นตามจริง’

ตามธรรมชาติแล้ว ‘พลังมวลชน’ จะชนะ ‘พลังในการเห็นตามจริง’ กล่าวคือถ้าพลังมวลชนพุ่งไปช่วยยกย่องค้ำชูใครขึ้นมาสักคน นอกจากคนๆนั้นจะดูดีราศีจับกว่าคนธรรมดาแล้ว เขายังมีอำนาจข่มให้พลังในการเห็นตามจริงของคนทั่วไปลดลงได้อย่างเหลือเชื่อ

ยกตัวอย่างเจ้าตำรับลูบเป้าที่เอ่ย ถึงในคำถามก็แล้วกัน ลองคิดดูว่าหากเป็นนักร้องกระจอกตามผับโป๊เปลือยก็คงไม่มีใครสนใจคิดอะไรมาก หรือถ้าเป็นนักร้องโนเนมเพิ่งขึ้นเวทีวันแรกก็ลูบเป้าโชว์ อย่างนี้ผลที่ตามมาย่อมเป็นเสียงยี้ เพราะพลังในการเห็นตามจริงของผู้คน ยังคงอยู่ในระดับปกติพอจะรู้ ว่าอย่างนั้นมันน่าเกลียด อย่างนั้นมันไม่ดี อย่างนั้นไม่ใช่เรื่องถูกเรื่องชอบ เอาเครื่องเพศมาเป็นจุดเด่นบนเวทีร้องเพลง ก็เหมือนร้องเพลงด้วยเครื่องเพศ ไม่ใช่ร้องด้วยปาก ดูอย่างไรก็ไม่เห็นจะน่าชื่นชมไปได้

แต่นี่เป็นถึงไมเคิล แจ็กสัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องลูบเป้าก็ขายได้เป็นล้านแผ่นแล้ว อยู่ในความสนใจคลั่งไคล้ใหลหลงของแฟนเพลงทั่วโลกอยู่แล้ว การลูบเป้าจึงเกิดขึ้นบนฐานความนิยมที่แข็งแรง พลังมวลชนจึงชนะพลังในการเห็นตามจริงขาดลอย แฟนไมเคิลไม่รู้กี่ล้านยอมรับ ก็แปลว่านักร้องอีกกี่คนทำก็ไม่น่าเกลียด ในเมื่อดาวดังอันดับหนึ่งของโลกกรุยทางไว้ให้แล้ว นั่นจึงกลายเป็นไวรัสที่ระบาดไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว จนถึงวันนี้แม้ไม่ลูบเป้าชัดเจน ก็มีการกระดกหน้ากระดกหลังเรียกเสียงกรี๊ดกันเป็นปกติ

บางทีวิวัฒนาการของความหลงผิดอย่าง มหันต์อาจเริ่มต้นขึ้นจากการประพฤติมิชอบเล็กๆน้อยๆของคนดังนี่แหละ ที่สังคมหลงทางกันอย่างทุกวันนี้ ก็เพราะพวกเราต่างยังโดนอิทธิพลภายนอกครอบงำได้ และที่อิทธิพลภายนอกครอบงำได้ เพราะต่างก็ยังมีราคะ (ความกำหนัด) โทสะ (ความโกรธ) โมหะ (ความหลงผิด) หากปราศจากราคะ โทสะ โมหะ ทุกคนจะเห็นโลกตามจริง และไม่หลงทำอะไรตามแรงบันดาลใจผิดๆเลย ต่อให้โดนพลังมวลชนหรือกระแสสังคมอันเชี่ยวกรากซัดกระหน่ำเพียงใดก็ตาม

หลักความสัมพันธ์ของกิเลสก็คือเมื่อ ราคะโหมแรง โมหะย่อมหนาทึบ และเมื่อโมหะหนาทึบ ปัญญาและความเป็นตัวของตัวเองก็หายไป คือถ้าดารานักร้องในดวงใจของตัวเองทำอะไรก็ดูสว่างไปหมด น่าหลงใหลคลั่งไคล้ไปหมด เป็นแรงบันดาลใจให้อยากเลียนแบบไปหมด

แม้คนทั่วไปจะไม่เชื่อ และไม่รู้เห็นเรื่องกรรมวิบาก แต่ส่วนลึกก็เชื่อว่าการที่หนุ่มสาวสวยหล่อได้นั้น ต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ดีพอ อาจจะเป็นทูตสวรรค์ หรือเป็นตัวแทนพฤติกรรมของสวรรค์ อะไรทำนองนั้น ฉะนั้นคนสวยหล่อทำอะไรก็น่าจะแปลว่าดีไปหมด เป็นทางสวรรค์ไปหมด

นี่หมายความว่าถ้าคนสวยคนหล่อเอาบุญ เก่ามาเหนี่ยวนำให้แฟนคลับวัยรุ่นเกิดมุมมองที่ถูกต้องเสียหน่อย เช่นความหล่อความสวยต้องจับคู่กับจิตใจอันงดงาม ความโด่งดังต้องจับคู่กับพฤติกรรมที่น่าชื่นชม สังคมก็จะถูกชี้นำไปในทางสว่างอย่างไม่ต้องสงสัย

อันที่จริงหน่วยงานราชการก็เห็น อิทธิพลของดารา หลายครั้งเมื่อจะรณรงค์เรื่องดีๆ เช่นชี้นำให้คนรุ่นใหม่เห็นการสูบบุหรี่เป็นเรื่องล้าสมัย ก็อาศัยภาพดารานักร้องยอดนิยมนี่เองเป็นเครื่องมือ ปัญหาคือทำอย่างไรไม่ให้คนรู้ไต๋ ว่าตัวที่ยืนอยู่บนเวทีรณรงค์ กับตัวจริงๆของดารา เป็นคนละคนกัน ตัวจริงแอบสูบบุหรี่วันละเป็นซอง ตัวปลอมมาแสดงบทจาระไนโทษของบุหรี่ อย่างนี้ถ้าเหล่าโจ๋รู้เข้าก็พากันหมดศรัทธาสองเด้ง เด้งแรกคือไม่เชื่อว่าบุหรี่เป็นโทษจริง เด้งที่สองคือมองว่าการรณรงค์งดสูบบุหรี่เป็นพิธีตบตา แรงบันดาลใจให้น่าเลียนแบบอย่างแท้จริงจึงไม่ใช่อะไรมากไปกว่าการพยายามฝึกเป็นนักสร้างภาพเก่งๆ!

กรรม ที่ทำให้เห็นผิดเป็นชอบ คล้อยตามกระแสสังคม แพ้พลังมวลชนโดยง่าย ก็คือการยอมสนองตอบแรงกระตุ้นให้เกิดราคะ โทสะ โมหะ โดยขาดสติยั้งคิดของตนเอง

ส่วนในกรณีของคุณ ถ้าบอกว่าแม้ขณะเป็นวัยรุ่นก็ไม่หลงใหลเห่อเหิมไปกับดารานักร้อง นั่นก็สะท้อนว่ากรรมที่ทำเป็นประจำ ได้ก่อให้เกิดอัธยาศัยหนักไปทางปัญญา คำว่า ‘ปัญญา’ ในที่นี้มิใช่หมายเอาความเฉลียวฉลาดในการแก้ปัญหา แต่มุ่งถึงลักษณะของจิตที่รู้เหตุรู้ผล รู้ผิดรู้ชอบ ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับโมหะโดยตรงนั่นเองครับ

ลักษณะของสติปัญญาต่อต้านกิเลสนั้น บ่มเพาะกันได้ทุกคนระหว่างยังมีชีวิตเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะหลงผิดมาในรูปแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นคนดังหรือคนธรรมดา เริ่มต้นจากความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกิเลสร้อนๆอันก่อให้เกิดพฤติกรรม ร้ายๆ และเมื่อประพฤติร้ายๆเป็นประจำย่อมโดนวิบากกระหน่ำตีให้เจ็บปวดเข้าสักวัน ด้วยรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ถ้าไม่เผชิญกับโศกนาฏกรรมทางเนื้อหนัง ก็ต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมทางวิญญาณ

ยกตัวอย่างเช่นการหมกมุ่นกับกามราคะ แฟชั่นการเปลี่ยนคู่เพื่อลดความจำเจ ซึ่งนำขบวนโดยหมู่คนดัง คนหล่อคนสวยอันเป็นที่ยกย่องเชิดชูของสังคม เมื่อสังคมเชื่อตามและประพฤติตาม วิบากที่เกิดกับสังคมรุ่นใหม่พร้อมๆกันย่อมน่าเป็นห่วง เพราะโทษสถานเบาคือฟุ้งซ่าน ไม่พอใจชีวิต เสพสุขแค่ไหนก็เหม็นเบื่อไปหมด ขี้เบื่อเปลี่ยนบ่อย แต่เปลี่ยนเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มไม่เต็มสักที ส่วนโทษสถานหนักคือต้องถูกกักขังอยู่ในคุกนรกที่สร้างขึ้นด้วยกามแบบผิดๆ ขอให้สอบถามสังคมดูเถิด หากเหมือนมีเสียงกระซิบเป่าหูอยู่บ่อยๆให้จบชีวิตตัวเองเสีย จะได้พ้นความทรมาน นั่นแหละแรงดึงดูดจากคุกนรกที่พากันสร้างทำเอาไว้อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ช่วยๆกันป่าวประกาศและบอกต่อใน วันนี้ยังไม่สายเกินไปนะครับ แต่ผมเห็นการต่อต้านพฤติกรรมทางเพศแบบโจ๋งครึ่มมักมาในรูปแบบของการด่าทอ การประณามให้อับอาย ซึ่งสมัยนี้คนเราโดนด่ามาก็อยากด่ากลับเป็นสองเท่า และทุกคนตั้งแต่ประชาชนคนเดินดิน ขึ้นไปจนถึงผู้บริหารประเทศ ต่างก็มีเรื่องน่าอับอายเหมือนๆกันหมด เพราะฉะนั้นคำเสียดแทงให้เจ็บแสบมักไม่มีประโยชน์ เนื่องจากไม่เห็นว่ามีเรื่องอะไรน่าอับอายจนต้องแทรกแผ่นดินหนีกันอีกต่อไป แล้ว

ฉะนั้นทางที่ดีที่สุด อย่าด่ากัน แต่ให้เหตุให้ผลกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ชี้ให้เห็นเข้าไปเถอะครับว่าเรื่องทางเพศที่โจ๋งครึ่มนั้นเป็นเหตุแห่งทุกข์ ถ้ามองไม่เห็นผลทันตา ก็ชี้เข้ามาที่ใจนั่นแหละ เดี๋ยวนี้คนฟุ้งซ่านจับไม่ติดกันค่อนเมือง แล้วก็ไม่ยักมีใครบอกเท่าไหร่ ว่านั่นเป็นเพราะเกือบทุกคนปล่อยตัวปล่อยใจ เหลิงลอยตามกิเลสสั่งมากเกินขีดจำกัด

ธรรมชาติของจิตนั้น เมื่อสกปรกถึงจุดหนึ่งย่อมรู้สึกทรมาน เมื่อเสพติดอะไรมากเกินพอดีจะฟุ้งซ่านกระวนกระวาย ในที่สุดเมื่อสกปรกจากการเสพติดจนถึงขีดสุด ย่อมด้านชากับทุกสัมผัส และเสพสุขทางเนื้อหนังกันด้วยอาการเหมือนเกาแก้คันแผลโรคเรื้อนชั่ว ประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น

จำเป็นเหลือเกินที่ต้องรีบยูเทิร์นกันครับ ใครจะว่ายังไงก็อย่าเพิ่งไปเชื่อว่าสายเกินไป ถ้าเด็กรุ่นใหม่ถูกปลูกฝังเรื่องสติปัญญา เห็นชอบตามธรรม มีพลังในการรู้ตามจริงจนเอาชนะพลังมวลชนที่หลงผิดได้ ยุคนี้จะเป็นช่วงรอยต่อ เปลี่ยนการดิ่งลงเหวเกือบถึงพื้น เป็นเชิดขึ้นสูงสู่ฟ้ากว้างได้อีกครั้ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น