>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๗
รอยยิ้มเป็นเครื่องแต่งหน้าให้ดูดีขึ้น ทุกคนทราบความจริงนี้ ปัญหาคือรอยยิ้มไม่ใช่ของฟรี ต้องมีเหตุผลบางอย่าง ใจถึงอยากจะยิ้ม
คนที่ยิ้มเก่ง
ยิ้มเต็มปาก เต็มตา เต็มหน้า ไม่ได้มีความหมายแค่เป็นการแจกมิตรภาพ
แต่ยังหมายถึงการแผ่เผยความสุขไปสู่ใจคนเห็น นอกจากนั้นยังเป็นตัวบ่งบอกที่สำคัญ
ว่าใครคนหนึ่งมีความมั่นใจในตนเอง หรือมีความสุขกับตนเองมากน้อยเพียงใด
สงสัยไหมครับว่าทำไมการฉีกยิ้มกว้างเกินพอดีอยู่เกือบตลอดเวลาของบางคน
ไม่ได้ทำให้คุณเห็นแล้วพลอยมีความสุขไปกับเขา แต่กลับจะรู้สึกเกร็งๆแปลกๆ
อันนั้นก็เพราะเขายิ้มแต่ปาก ทว่าใจไม่ได้นึกอยากยิ้ม
ประกายตาก็เลยไม่ฉายแสงสุข
แถมรัศมีจิตของเขาที่มากระทบใจคุณก็ไม่ใช่ความสดชื่นเบิกบานแต่ประการใด
บางทีคุณจึงเหมือนต้องพลอยฝือนเอาใจช่วยให้เขายิ้มได้ตลอดรอดฝั่งไปด้วย
ความรู้สึกโดยรวมเลยเป็นความ 'เหนื่อยแทน'
แต่สำหรับคนบางคน
เหมือนจะมีรอยยิ้มเพื่อทำให้คนอื่นรู้สึกดีขึ้น
คุณจะรู้สึกถึงพลังความสุขที่เผื่อแผ่มาถึงคุณไปด้วย หากเคยมีประสบการณ์เห็นใครยิ้มแล้วเกิดกำลังใจ
หายเหนื่อย หายเศร้า หายเซ็ง อันนั้นแหละคุณเจอบุคคลพิเศษ
เปลี่ยนโลกได้ด้วยรอยยิ้ม
รอยยิ้มของคนชนิดนี้อาจไม่ต้องเหยียดสุดริมฝีปากด้วยซ้ำ
อาจเป็นยิ้มละไมในใบหน้าเพียงน้อย หรืออาจจะสยายมุมปากออกไปแค่นิดเดียว
แต่ตรงสายตาของคุณได้จับใจคุณให้เกิดความรู้สึกแสนดีได้
จากที่กล่าวมาทั้งหมดคงแปลได้ชัดครับ
ว่าการเหยียดริมฝีปากแย้มออกมานั้น
หลายครั้งไม่ใช่สัญลักษณืของความมีอารมณ์ดีเสมอไป
ทว่าเป็นเครื่องหมายของหลายอารมณ์ แม้ในพจนานุกรมก็แปลคำว่า 'ยิ้ม' ไว้
ว่าเป็นอาการแสดงให้ปรากฎว่าชอบใจ เยาะเย้ย หรือเกลียดชัง
ด้วยริมฝีปากและใบหน้าประกอบกัน และดูแล้วตัดสินกันแค่ที่ปากอย่างเดียวไม่ได้
สังเกตดูยิ้มแบบคนธรรมดาทั่วไปนั้น
ส่วนใหญ่จะเป็นยิ้มแหยๆ ยิ้มแห้งๆ หรือยิ้มฝืดๆ โดยเฉพาะยุคที่เงินทองหายาก
เศรษฐกิจฝืดเคือง เลยทำให้ยิ้มฝืดๆ ยิ้มเคืองๆ ตามไปด้วย
คุณคงนึกออกว่าเมื่อถูกสาถานการณืบังคับให้ยิ้มในขณะที่กำลังอารมณ์บูด
หรือกำลังเบื่อภาระอย่างหนัก
คุณจะเหลือกำลังน้อยเต็มทีสำหรับฝือเหยียดริมฝีปากออกไปให้สุด
อย่างมากแย้มไปได้สัก ๘๐ เปอร์เซ็นต์จะหมดแรงแล้ว และไม่อาจคาไว้ที่ ๘๐
เปอร์เซ็นต์ได้นานนัก เดี๋ยวเดียวจะค่อยๆหุบลงเหมือนดอกไม้ที่เฉาเพราะขาดน้ำหล่อเลี้ยง
กระนั้นอาชีพของบางคนต้องพึ่งพาร้อยยิ้มอยู่เกือบตลอด
อย่างเช่นดารานักแสดง
นักแสดงบางคนยิ้มเก่งมากทั้งที่ใจไม่ได้อยากยิ้มเลยสักนิดเดียว
เขาเพียงจำได้ว่าตอนจิตกำลังสดใสเบิกบานถึงขีดสุดนั้น ริมฝีปากกับใบหน้าจะต้องเป็นอย่างไร
ยิ้มแบบนักแสดงจึงอาจหลอกตาคนอื่นได้ แต่ย่อมไม่อาจหลอกใจตนเอง
และในที่สุดอาจเห็นการเอาแต่ฉีกปากยิ้มทำตาพราว ช่างเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย
กระทำจิตให้แห้งแล้งเหลือทน
คนทั่วไปขาดวิญญาณนักแสดง
ฉะนั้นบางรายเช่นพนักงานต้อนรับต้องฝืนยิ้มโดยหน้าที่ บ่อยเข้าก็เกิดความทรมานใจ
กลายเป็นคนยิ้มเหี้ยมๆไปเลย เพราะใจที่ทรมานย่อมพอกพูนโทสะ
เมื่อสั่งสมโทสะในการยิ้มมากเข้า รอยยิ้มก็ย่อมดูร้อนและร้านไปในที่สุด
สรุปคือหาก 'ยิ้มจริง' จิตต้องยิ้มเสียก่อน
ยิ้มมาจากจิต มิใช่มาจากปาก หากปากยิ้มแต่จิตไม่ได้ยิ้ม ก็เหมือนไม่ได้ยิ้มนั่นเอง
คนที่มีจิตยิ้มนี่นะครับ
ต่อให้ริมฝึปากไม่แย้ม คุณก็จะรู้สึกเหมือนเขาอมยิ้มอยู่ตลอดเวลา
หากคุณเคยทักใครว่ายิ้มอะไร แล้วเขาบอกว่าเขาไม่รู้สึกเลยว่ากำลังยิ้ม
นั่นแหละคุณเห็นตัวอย่างของคนที่ยิ้มออกมาจากใจเข้าให้แล้ว
ถ้าวันหนึ่งคุณตื่นขึ้นมา
แล้วพบว่าตัวเองสามารถยิ้มแช่มชื่นเบิกบาน
โดยไม่ต้องขอแลกกับเรื่องน่าปลื้มอันใดในโลก ทว่าอาศัยเพียงเหตุผลภายใน
ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นสุขเหลือประมาณ จิตใสเบา ไร้ร่องรอยเศร้าโศก
เพราะว่างวายจากความยึดติดอาลัยใดๆ คุณจะย้อนกลับไปมองวันวารที่ผ่านๆมาทั้งหมด
ว่าล้วนแล้วแต่เป็นห้วงเวลาแห่งการติดอยู่ในฝันร้าย เข้าใจผิดๆ ยึดมั่นผิดๆ
เกิดอุปาทานผิดๆไปทั้งเพ
เมื่อใกล้พระบางรูป
คุณอาจรู้สึกถึงกระแสปีติโสมนัสอันใหญ่หลวง เมื่อระลึกถึงท่าน คุณอาจนึกเทียบเคียงกับอิสรภาพอันไร้ขีดจำกัดของแผ่นฟ้า
คุณจะรู้สึกว่าความว่างแห่งอากาศตลอดทั่วทุกโค้งฟ้ารวมกัน ยังเล็กเกิดนกว่าจะนำมาเปรียบเทียบกับดวงจิตอันว่างวายจากกิเลสของเหล่าท่าน
ยิ้มที่สาดฉายความบริสุทธิ์สะอาดแห่งจิต
ยิ้มที่ปราศจากความกังขา
ยิ้มที่ปราศจาก 'ฉันยิ้ม'
ยิ้มที่จะทำให้คุณนึกออก
ว่าพระพุทธเจ้าค้นพบธรรมอันใด
เหล่านั้นคือรอยยิ้มของผู้ถึงความปลอดภัยในเกษมแล้ว
และนั่นก็จักเป็นแรงบนดาลใจให้เกิดศรัทธา
ยืนยันให้เห็นว่าต้นเหตุแห่งรอยยิ้มเช่นนี้มิใช่เรื่องล้าสมัย
อย่างน้อยคุณจะเริ่มอยากเชื่อว่าใจที่ซื่อ ใจที่ตรง
ใจที่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมอันสว่างแจ้ง มีสภาพเช่นนี้เอง
ครั้งแรกที่ผมบังเกิดความประทับใจในรอยยิ้มของพระเห็นแล้วเย็นเข้าไปถึงหัวใจ
เห็นแล้วใจว่างจากทิฐิมานะเห็นแล้วอยากคุกเข่าลงกราบที่แทบเท้า
น่าจะได้แก่การเห็นรูปของหลวงปู่ขาว อนาลโย แห่งวัดถ้ำกลองเพล
เสียดายก็แต่ว่าผมเห็นรูปก็ต่อเมื่อท่านละสังขารไปเสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มของหลวงปู่ขาวทำให้ผมหัดมอง 'รอยยิ้มของพระ' ด้วยความสังเกตสังกามากขึ้น
และพบว่ายังมีพระภิกษุสงฆ์ในไทยหลายต่อหลายรูป
ที่ยิ้มได้งดงามและให้ความละไมในสัมผัส
อย่างน้อยก็ก่อความสงบเย็นขึ้นในใจเราได้ชั่วขณะที่เห็น
แม้ยิ้มของพวกท่านไม่อาจทำให้เรารู้
ว่าเหล่าท่านรู้ธรรมใดประมาณไหน
แต่อย่างน้อยย่อมก่อให้เกิดศรัทธาเพียงพอจะวางใจได้สนิทว่าสิ่งที่ท่านพูด
ท่านพูดอย่างรู้ มิใช่ไม่รู้ ท่านเปิดเผยธรรมจากที่ที่ไร้อัตตา มิใช่ที่ที่มีอัตตา
อยากขอเชิญให้ไปฟังเทศนาธรรม
จากพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่ 'สวนสันติธรรม' อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
อันเป็นแหล่งพำนักของท่าน ตั้งแต่เวลา ๐๗.๐๐ - ๑๐.๐๐ น. โดยดูวันหยุดได้ที่ http://suanpo.blogspot.com
ท่านเป็นพระดีที่อธิบายธรรมะด้วยภาษาและมุมมองของคนรุ่นใหม่
มีความฉลาดทางโลก ฉลาดทางจิต ฉลาดในกรรม
และฉลาดเทศนาธรรมอย่างที่คุณจะประจักษ์ว่าความดับกระหายแห่งจิตเป็นเช่นใด
คุณจะเกิดแรงบันดาลใจมากพอแก่การอยากทราบว่าปฎิบัติเช่นใด จึงได้ดีอย่างท่านบ้าง
รอยยิ้มนุ่มนวล
ในชีวิตเรียบง่ายธรรมดาของพระแท้
อาจเป็นสัญญาณแห่งชีวิตใหม่
ของผู้ปรารถนาบรมสุข
อันเกิดแต่การดับเหตุแห่งทุกข์ได้สนิท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น