วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

บทส่งท้าย รอยยิ้มของพระ (ดังตฤณ)

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๗

รอยยิ้มเป็นเครื่องแต่งหน้าให้ดูดีขึ้น ทุกคนทราบความจริงนี้ ปัญหาคือรอยยิ้มไม่ใช่ของฟรี ต้องมีเหตุผลบางอย่าง ใจถึงอยากจะยิ้ม

คนที่ยิ้มเก่ง ยิ้มเต็มปาก เต็มตา เต็มหน้า ไม่ได้มีความหมายแค่เป็นการแจกมิตรภาพ แต่ยังหมายถึงการแผ่เผยความสุขไปสู่ใจคนเห็น นอกจากนั้นยังเป็นตัวบ่งบอกที่สำคัญ ว่าใครคนหนึ่งมีความมั่นใจในตนเอง หรือมีความสุขกับตนเองมากน้อยเพียงใด

สงสัยไหมครับว่าทำไมการฉีกยิ้มกว้างเกินพอดีอยู่เกือบตลอดเวลาของบางคน ไม่ได้ทำให้คุณเห็นแล้วพลอยมีความสุขไปกับเขา แต่กลับจะรู้สึกเกร็งๆแปลกๆ อันนั้นก็เพราะเขายิ้มแต่ปาก ทว่าใจไม่ได้นึกอยากยิ้ม ประกายตาก็เลยไม่ฉายแสงสุข แถมรัศมีจิตของเขาที่มากระทบใจคุณก็ไม่ใช่ความสดชื่นเบิกบานแต่ประการใด บางทีคุณจึงเหมือนต้องพลอยฝือนเอาใจช่วยให้เขายิ้มได้ตลอดรอดฝั่งไปด้วย ความรู้สึกโดยรวมเลยเป็นความ 'เหนื่อยแทน'

แต่สำหรับคนบางคน เหมือนจะมีรอยยิ้มเพื่อทำให้คนอื่นรู้สึกดีขึ้น คุณจะรู้สึกถึงพลังความสุขที่เผื่อแผ่มาถึงคุณไปด้วย หากเคยมีประสบการณ์เห็นใครยิ้มแล้วเกิดกำลังใจ หายเหนื่อย หายเศร้า หายเซ็ง อันนั้นแหละคุณเจอบุคคลพิเศษ เปลี่ยนโลกได้ด้วยรอยยิ้ม 

รอยยิ้มของคนชนิดนี้อาจไม่ต้องเหยียดสุดริมฝีปากด้วยซ้ำ อาจเป็นยิ้มละไมในใบหน้าเพียงน้อย หรืออาจจะสยายมุมปากออกไปแค่นิดเดียว แต่ตรงสายตาของคุณได้จับใจคุณให้เกิดความรู้สึกแสนดีได้

จากที่กล่าวมาทั้งหมดคงแปลได้ชัดครับ ว่าการเหยียดริมฝีปากแย้มออกมานั้น หลายครั้งไม่ใช่สัญลักษณืของความมีอารมณ์ดีเสมอไป ทว่าเป็นเครื่องหมายของหลายอารมณ์ แม้ในพจนานุกรมก็แปลคำว่า 'ยิ้ม' ไว้ ว่าเป็นอาการแสดงให้ปรากฎว่าชอบใจ เยาะเย้ย หรือเกลียดชัง ด้วยริมฝีปากและใบหน้าประกอบกัน และดูแล้วตัดสินกันแค่ที่ปากอย่างเดียวไม่ได้

สังเกตดูยิ้มแบบคนธรรมดาทั่วไปนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นยิ้มแหยๆ ยิ้มแห้งๆ หรือยิ้มฝืดๆ โดยเฉพาะยุคที่เงินทองหายาก เศรษฐกิจฝืดเคือง เลยทำให้ยิ้มฝืดๆ ยิ้มเคืองๆ ตามไปด้วย คุณคงนึกออกว่าเมื่อถูกสาถานการณืบังคับให้ยิ้มในขณะที่กำลังอารมณ์บูด หรือกำลังเบื่อภาระอย่างหนัก คุณจะเหลือกำลังน้อยเต็มทีสำหรับฝือเหยียดริมฝีปากออกไปให้สุด อย่างมากแย้มไปได้สัก ๘๐ เปอร์เซ็นต์จะหมดแรงแล้ว และไม่อาจคาไว้ที่ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ได้นานนัก เดี๋ยวเดียวจะค่อยๆหุบลงเหมือนดอกไม้ที่เฉาเพราะขาดน้ำหล่อเลี้ยง

กระนั้นอาชีพของบางคนต้องพึ่งพาร้อยยิ้มอยู่เกือบตลอด อย่างเช่นดารานักแสดง นักแสดงบางคนยิ้มเก่งมากทั้งที่ใจไม่ได้อยากยิ้มเลยสักนิดเดียว เขาเพียงจำได้ว่าตอนจิตกำลังสดใสเบิกบานถึงขีดสุดนั้น ริมฝีปากกับใบหน้าจะต้องเป็นอย่างไร ยิ้มแบบนักแสดงจึงอาจหลอกตาคนอื่นได้ แต่ย่อมไม่อาจหลอกใจตนเอง และในที่สุดอาจเห็นการเอาแต่ฉีกปากยิ้มทำตาพราว ช่างเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย กระทำจิตให้แห้งแล้งเหลือทน

คนทั่วไปขาดวิญญาณนักแสดง ฉะนั้นบางรายเช่นพนักงานต้อนรับต้องฝืนยิ้มโดยหน้าที่ บ่อยเข้าก็เกิดความทรมานใจ กลายเป็นคนยิ้มเหี้ยมๆไปเลย เพราะใจที่ทรมานย่อมพอกพูนโทสะ เมื่อสั่งสมโทสะในการยิ้มมากเข้า รอยยิ้มก็ย่อมดูร้อนและร้านไปในที่สุด

สรุปคือหาก 'ยิ้มจริง' จิตต้องยิ้มเสียก่อน ยิ้มมาจากจิต มิใช่มาจากปาก หากปากยิ้มแต่จิตไม่ได้ยิ้ม ก็เหมือนไม่ได้ยิ้มนั่นเอง

คนที่มีจิตยิ้มนี่นะครับ ต่อให้ริมฝึปากไม่แย้ม คุณก็จะรู้สึกเหมือนเขาอมยิ้มอยู่ตลอดเวลา หากคุณเคยทักใครว่ายิ้มอะไร แล้วเขาบอกว่าเขาไม่รู้สึกเลยว่ากำลังยิ้ม นั่นแหละคุณเห็นตัวอย่างของคนที่ยิ้มออกมาจากใจเข้าให้แล้ว

ถ้าวันหนึ่งคุณตื่นขึ้นมา แล้วพบว่าตัวเองสามารถยิ้มแช่มชื่นเบิกบาน โดยไม่ต้องขอแลกกับเรื่องน่าปลื้มอันใดในโลก ทว่าอาศัยเพียงเหตุผลภายใน ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นสุขเหลือประมาณ จิตใสเบา ไร้ร่องรอยเศร้าโศก เพราะว่างวายจากความยึดติดอาลัยใดๆ คุณจะย้อนกลับไปมองวันวารที่ผ่านๆมาทั้งหมด ว่าล้วนแล้วแต่เป็นห้วงเวลาแห่งการติดอยู่ในฝันร้าย เข้าใจผิดๆ ยึดมั่นผิดๆ เกิดอุปาทานผิดๆไปทั้งเพ

เมื่อใกล้พระบางรูป คุณอาจรู้สึกถึงกระแสปีติโสมนัสอันใหญ่หลวง เมื่อระลึกถึงท่าน คุณอาจนึกเทียบเคียงกับอิสรภาพอันไร้ขีดจำกัดของแผ่นฟ้า คุณจะรู้สึกว่าความว่างแห่งอากาศตลอดทั่วทุกโค้งฟ้ารวมกัน ยังเล็กเกิดนกว่าจะนำมาเปรียบเทียบกับดวงจิตอันว่างวายจากกิเลสของเหล่าท่าน

ยิ้มที่สาดฉายความบริสุทธิ์สะอาดแห่งจิต
ยิ้มที่ปราศจากความกังขา
ยิ้มที่ปราศจาก 'ฉันยิ้ม'
ยิ้มที่จะทำให้คุณนึกออก ว่าพระพุทธเจ้าค้นพบธรรมอันใด

เหล่านั้นคือรอยยิ้มของผู้ถึงความปลอดภัยในเกษมแล้ว และนั่นก็จักเป็นแรงบนดาลใจให้เกิดศรัทธา ยืนยันให้เห็นว่าต้นเหตุแห่งรอยยิ้มเช่นนี้มิใช่เรื่องล้าสมัย อย่างน้อยคุณจะเริ่มอยากเชื่อว่าใจที่ซื่อ ใจที่ตรง ใจที่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมอันสว่างแจ้ง มีสภาพเช่นนี้เอง

ครั้งแรกที่ผมบังเกิดความประทับใจในรอยยิ้มของพระเห็นแล้วเย็นเข้าไปถึงหัวใจ เห็นแล้วใจว่างจากทิฐิมานะเห็นแล้วอยากคุกเข่าลงกราบที่แทบเท้า น่าจะได้แก่การเห็นรูปของหลวงปู่ขาว อนาลโย แห่งวัดถ้ำกลองเพล


เสียดายก็แต่ว่าผมเห็นรูปก็ต่อเมื่อท่านละสังขารไปเสียแล้ว อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มของหลวงปู่ขาวทำให้ผมหัดมอง 'รอยยิ้มของพระ' ด้วยความสังเกตสังกามากขึ้น และพบว่ายังมีพระภิกษุสงฆ์ในไทยหลายต่อหลายรูป ที่ยิ้มได้งดงามและให้ความละไมในสัมผัส อย่างน้อยก็ก่อความสงบเย็นขึ้นในใจเราได้ชั่วขณะที่เห็น

แม้ยิ้มของพวกท่านไม่อาจทำให้เรารู้ ว่าเหล่าท่านรู้ธรรมใดประมาณไหน แต่อย่างน้อยย่อมก่อให้เกิดศรัทธาเพียงพอจะวางใจได้สนิทว่าสิ่งที่ท่านพูด ท่านพูดอย่างรู้ มิใช่ไม่รู้ ท่านเปิดเผยธรรมจากที่ที่ไร้อัตตา มิใช่ที่ที่มีอัตตา


อยากขอเชิญให้ไปฟังเทศนาธรรม จากพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่ 'สวนสันติธรรม' อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี อันเป็นแหล่งพำนักของท่าน ตั้งแต่เวลา ๐๗.๐๐ - ๑๐.๐๐ น. โดยดูวันหยุดได้ที่ http://suanpo.blogspot.com ท่านเป็นพระดีที่อธิบายธรรมะด้วยภาษาและมุมมองของคนรุ่นใหม่ มีความฉลาดทางโลก ฉลาดทางจิต ฉลาดในกรรม และฉลาดเทศนาธรรมอย่างที่คุณจะประจักษ์ว่าความดับกระหายแห่งจิตเป็นเช่นใด คุณจะเกิดแรงบันดาลใจมากพอแก่การอยากทราบว่าปฎิบัติเช่นใด จึงได้ดีอย่างท่านบ้าง

รอยยิ้มนุ่มนวล
ในชีวิตเรียบง่ายธรรมดาของพระแท้
อาจเป็นสัญญาณแห่งชีวิตใหม่
ของผู้ปรารถนาบรมสุข
อันเกิดแต่การดับเหตุแห่งทุกข์ได้สนิท

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น