ถาม : ทางพุทธสอนให้ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น
อย่างนี้ถ้าไม่ยึดมั่นว่าเป็นบาป ก็ไม่น่าจะเป็นบาป ไม่ยึดมั่นนรกสวรรค์
ไม่ยึดมั่นว่ามีการเวียนว่ายตายเกิด ก็ไม่ต้องรับผิดชอบกับสิ่งเหล่านั้นใช่ไหมครับ?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๙
ดังตฤณ:
ใช่ครับ!
ถ้าคุณไม่ยึดมั่นถือมั่นจริง บาปก็ไม่มี บุญก็ไม่มี
นรกสวรรค์และการเวียนว่ายตายเกิดก็ไม่มี มีแต่ความว่างจากตัวตนและบรมสุขเท่านั้น
แม้แต่นักวิทยาศาสตร์อย่างไอน์สไตน์และไฮเซนเบิร์กซึ่งเห็น ‘ความจริง’
ลึกลงไปถึงระดับอนุภาค ยังเคยพูดเลย
ว่าทุกสิ่งที่เราเห็นและสัมผัสล้วนแล้วแต่เป็นมายา คุณคิดว่ามันมีจริง
ก็เพียงเพราะคุณสัมผัสพวกมันได้ โดยหารู้ไม่ว่าถ้าคุณปราศจากตา หู จมูก ลิ้น กาย
และใจ โลกทั้งใบกับดาวทั้งจักรวาลก็จะเหลือเพียงความเป็นไปได้ที่จะมี
หาใช่ว่ามันมีอยู่แน่ๆ
เรื่องของเรื่องคือ
เมื่อคุณถูกหลอกให้เชื่อว่าอะไรๆต่างก็เที่ยงที่จะมี เที่ยงที่จะเป็นตัวตน
จิตของคุณก็จะยึดมั่นถือมั่น ตกอยู่ในอุปาทานว่าเรากำลังมี เรากำลังเป็น
พูดง่ายๆว่ามีตัวคุณอยู่แน่ๆ
ขอให้คิดถึงขณะหลับฝัน
จิตของคุณจะเกิดอุปาทานอย่างเหนียวแน่นว่าทุกสิ่งที่เห็นในฝันเป็นเรื่องจริง
ทั้งที่ไม่มีอะไรจริงสักอย่างเดียว จิตของคุณต้องตื่นขึ้นเสียก่อน
จึงจะย้อนกลับไปเห็นอย่างถ่องแท้ว่าภาพและเสียงในฝันล้วนเหลวไหล
หาใช่ความจริงที่น่ายึดมั่นไม่
สำคัญสุดยอดอยู่ที่ตรงนี้ครับ
ตามธรรมชาติแล้ว ตราบใดที่คุณยังนึกว่ามีตัวตน นึกว่ากายนี้เป็นคุณ
นึกว่าจิตนี้เป็นคุณ นึกว่าที่กำลังคิดๆอยู่นี้เป็นคุณ
จิตก็จะยังกลับไปกลับมาได้ระหว่างกุศลกับอกุศล ตอนเมตตาอยากช่วยคนจิตจะเป็นกุศล
ตอนนึกโกรธอยากด่าใครต่อใครจิตจะเป็นอกุศล รากของจิตที่กลับไปกลับมาระหว่างกุศลกับอกุศลได้
ก็คือจิตที่ยังไม่ตื่นจากอุปาทาน ยังนึกว่าน่าเอาอยู่ ยังนึกว่าน่าโกรธอยู่
ส่วนใหญ่เมื่อเริ่มศึกษาพุทธศาสนา
โดยเฉพาะเมื่ออ่านหรือฟังธรรมะขั้นสูง หลายคนจะเข้าใจว่ารู้ความจริงแล้ว
ตื่นขึ้นแล้ว เลิกยึดมั่นถือมั่นแล้ว ปล่อยวางแล้ว ไม่ตกอยู่ในจักรวาลแห่งมายาแล้ว
แท้ที่จริงไม่ใช่เช่นนั้น ถ้า ‘ปล่อยวาง’ ขั้นสุดยอดจริงๆ
จิตคุณจะเบิกบานและตื่นเต็ม เปรียบเหมือนคนที่แม้ยังฝันอยู่
แต่ก็มีสติรู้ตัวว่าฝัน และไม่มองภาพเสียงในฝันว่าเป็นตัวตนสักนิดเดียว
อาการโลภอยากได้ หรืออาการโกรธอยากทำลาย
หรืออาการหลงสำคัญว่าตัวเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จึงเหือดหายไปสนิท
แต่ถ้าแค่ปล่อยๆวางๆแบบประเดี๋ยวประด๋าว
สติตกเมื่อใดจิตตกเมื่อนั้น
ก็ต้องเวียนว่ายสลับกันระหว่างมีจิตดีกับจิตร้ายเรื่อยไป และโดยธรรมชาติของจิตก็มีความลึกลับมหัศจรรย์ยิ่งกว่าธรรมชาติอื่นใดทุกชนิด
กุศลจิตคือรากของสวรรค์ อกุศลจิตรากของนรก หากจิตคุณยังเป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง
ก็แปลว่ามีสวรรค์และนรกอันสร้างขึ้นจากจิตรออยู่
และเป็นนรกสวรรค์ที่สัมผัสได้เหมือนที่คุณสามารถสัมผัสโลกนี้แหละ ไม่ใช่เพียงสวรรค์ในอกนรกในใจขณะยังเป็นมนุษย์นะครับ
กล่าวโดยสรุปคือถ้าคุณยังมีความรู้สึกในตัวตน
แล้วประกอบกรรมดีด้วยความเป็นตัวตนนั้น เงาหัวของคุณจะทอดขึ้นสู่สวรรค์ทันที แม้ความนึกคิดจะไม่เชื่อว่ามีสวรรค์
ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสวรรค์ หากตายไปพร้อมกับความงดงามทางใจ
คุณก็ไม่มีที่ไปอื่นนอกจากสวรรค์
ในทางกลับกัน
ถ้าคุณยังมีความรู้สึกในตัวตน แล้วประกอบกรรมชั่วด้วยความเป็นตัวตนนั้น
เงาหัวของคุณจะทอดลงสู่นรกเช่นกัน แม้ความนึกคิดจะไม่เชื่อว่ามีนรก
ไม่ยึดมั่นถือมั่นในนรก หากตายไปพร้อมกับความอัปลักษณ์ทางใจ คุณก็ไม่มีที่ไปอื่นนอกจากนรก
การเวียนว่ายตายเกิดก็เช่นกัน
แม้คุณคิดๆเอาว่าไม่เชื่อ ไม่ยึดมั่น ไม่ชอบใจให้มีการเวียนว่ายตายเกิด
แต่ตราบเท่าที่คุณยังไม่ศึกษาวิชา ‘รู้ตามจริง’ แบบพุทธ
ใจของคุณก็จะไม่มีทางเห็นความจริงเกี่ยวกับกายใจนี้ ว่าไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน
และเมื่อยังยึดว่ากายใจนี้เที่ยง กายใจนี้เป็นตัวของคุณ
ก็เท่ากับยังเลี้ยงเหตุแห่งการเกิดใหม่ด้วยความไม่รู้
แล้วตายลงด้วยความไม่รู้ไปเรื่อยๆ เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ ปราศจากวันจบวันสิ้นครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น