วันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

คำอวยพรมีจริงไหม (ดังตฤณ)

ถาม : คำอวยพรต่างๆมีผลจริงหรือไม่? จะบังเอิญหรืออย่างไรก็ยากจะเดา คือบางทีเห็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือบางท่านอวยพรใครแล้วคนนั้นก็มักได้ดีตามปาก ขณะที่บางท่านอวยพรไม่ขึ้น แต่แช่งแล้วได้ผล หากคำอวยพรและคำแช่งเป็นจริง ก็เห็นท่าจะขัดกับหลักที่ว่าคนเราเป็นไปตามกรรม ไม่เป็นไปตามคำคนอื่นกระมัง?

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๖

ดังตฤณ: 
หากจำแนกตามโอกาส คำอวยพรมีอยู่ ๓ ประเภทหลักๆ คือ

๑) คำอวยพรเฉพาะกิจ เช่น ถ้าต้องเดินทางแบบเสี่ยงอันตรายก็ขอให้ไปดีมีสวัสดิภาพ

๒) คำอวยพรตามเทศกาล เช่น อวยพรวันเกิดและวันขึ้นปีใหม่

๓) คำอวยพรไม่จำกัดโอกาส เช่น เมื่อร่ำลากันคนทุกประเทศมักทิ้งคำสุดท้ายให้ญาติมิตรว่าขอให้โชคดีนะ

ในระหว่าง ๓ ประเภทหลักข้างต้น คำอวยพรเฉพาะกิจมีผลมากที่สุด เพราะคนอวยพรรู้จริงๆว่าตนพูดอะไรออกไป ไม่ใช่สักแต่พูดเป็นพิธี เช่นพ่อแม่มาส่งลูกที่สนามบินด้วยความเป็นห่วง คำว่า ‘ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ’ มักไม่ใช่แค่ลมปาก แต่เป็นพลังคุ้มครองชนิดหนึ่ง ส่วนจะมากหรือน้อย จะคุ้มครองได้หรือไม่ได้ ก็ขึ้นอยู่กับพลังบุญของผู้พูด และความแรงของวิบากที่ผู้เดินทางต้องประสบ หากวิบากของผู้เดินทางต้องประสบอันตรายแน่ๆ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ คำอวยพรมีพลังช่วยแค่ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ หายนะในการเดินทางก็ต้องอุบัติอยู่วันยังค่ำ

เมื่อจำแนกตามจิตของผู้อวยพร ก็ต้องกล่าวว่าคำอวยพรมีอยู่ ๒ ประเภทหลักๆ คือ

๑) อวยพรออกมาจากจิตที่เป็นกุศล คือมีความปรารถนาดีหวังประโยชน์สุขต่อผู้รับพรจริงๆ ขณะกล่าวอวยพรจิตจะอยู่ในภาวะแผ่เมตตาครู่หนึ่ง ซึ่งจะมีกำลังมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับบุคคล ตัวอย่างที่เห็นง่ายได้แก่พ่อแม่ปู่ย่าตายายอวยพรลูก ถ้าเป็นลูกหลานหัวแก้วหัวแหวนจริงๆ กำลังของเมตตาจิตซึ่งแผ่ซ่านออกมาอย่างล้นหลามจะเป็นที่รู้สึกชัดแก่คนรับ ฟังแล้วชื่นอกชื่นใจ ยิ่งถ้าหากเป็นผู้ทรงคุณใหญ่เช่นพระอริยบุคคลให้คำอวยพร คนธรรมดาทั่วไปฟังแล้วจะสามารถสำเหนียกถึงพลังอบอุ่นยิ่งใหญ่ที่แผ่มาปกคลุมตนและอาณาบริเวณรอบข้าง โดยแทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นอุปาทานหรือของจริง

๒) อวยพรออกมาจากจิตที่ไม่เป็นทั้งกุศลและอกุศล คือก่อนพูดและขณะพูดไม่ได้มีจิตปรารถนาดีหวังประโยชน์สุขต่อผู้รับพรสักเท่าใด สักแต่เจื้อยแจ้วตามหน้าที่หรือตามโอกาสบังคับไปอย่างนั้นเอง ตัวอย่างที่เห็นง่ายได้แก่คนแปลกหน้าซึ่งโคจรมาพบและมีปฏิสันถารกันเพียงครู่ ยังไม่มีความประทับใจในกัน หรืออาจจะยังไม่เงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วยซ้ำ แต่โดยหน้าที่ต้องขยับปากพูดแบบนกแก้วนกขุนทองทำนอง ‘ขอให้โชคดีในการเดินทาง’ อันนั้นจิตคิดปรารถนาดีย่อมเกิดขึ้นยาก (หากผู้อวยพรจะได้บุญก็เป็นเพียงบุญเล็กน้อยอันเกิดขึ้นจากการพูดคำที่เป็นมงคลบ่อยๆ ไม่ใช่บุญที่เกิดจากการมีเมตตาจิต) คุณจะรู้สึกคล้ายกับใครยื่นแก้วเปล่าให้แล้วบอกว่าเอ้า! ดื่มซะ น้ำแก้วนี้ดื่มแล้วจะอิ่ม! และคุณก็อาจไม่อยากให้เขาเสียน้ำใจ แสร้งหยิบแก้วเปล่ามาดื่มอั้กๆ เสร็จแล้วประชดว่าขอบคุณนะ อร่อยดี หายคอแห้งเลยเนี่ย

ในกรณีผู้มีความศักดิ์สิทธิ์ให้พรแล้วผู้รับพรได้ดีตามปาก กระทั่งเป็นที่ร่ำลือถึงความมีวาจาสิทธิ์นั้น ผมขอจำแนกเป็นสองประเภท คือ

๑) พรอันเกิดจากความรู้แจ้ง ผู้อาวุโสที่ผ่านโลกมามาก หรือผู้มีอภิญญา ย่อมรู้แจ้งถึงความเป็นฐานะและความไม่ใช่ฐานะ ที่ใครสักคนจะได้ดีตามปรารถนา เช่นนายทหารสักคนกราบขอพรให้ได้เป็นนายพล คนมีสายตาแหลมคม หรือผู้มีญาณหยั่งรู้ ท่านย่อมทราบอยู่ว่าตำแหน่งนายพลสมควรกับตานี่ในเวลานี้ไหม ถ้าสมควร ท่านก็จะให้พร ขอให้สมพรตามปรารถนา แต่ถ้าท่านรู้ว่าจะชวด ท่านก็แค่เงียบๆยิ้มๆ หรือพูดเลี่ยงไปว่าอย่าเอาเลยพร เอาความจริงดีกว่า ความดีที่บำเพ็ญมามีมากแค่ไหนก็ขอให้เผล็ดผลแค่นั้น

๒) พรอันเกิดจากพลังบริสุทธิ์ พลังบริสุทธิ์ในที่นี้หมายถึงพลังที่เกิดจากการสั่งสมเมตตามามากพอจะมีอำนาจบันดาล หรือก่อแนวโน้มเรื่องดีให้เกิดขึ้นจริง มีเงื่อนไขคือผู้รับพรต้องมีวิบากเดิมเป็นทุน คำอวยพรจะมีส่วนเร่งรัดให้เร็วขึ้น หรือขจัดอุปสรรคฝ้ามัวให้สลายลง เปิดทางให้วิบากด้านดีสัมฤทธิ์ผลโดยปราศจากความติดขัด ทำนองเดียวกับเศรษฐีมีบริวารมาก ย่อมสามารถสั่งคนของตนให้ไปช่วยรื้อถอนแนวป่ารก เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางแก่ชาวบ้านผู้อ่อนแรงอ่อนกำลัง อย่างไรก็ตาม การช่วยถางทางรกไม่ได้หมายถึงช่วยแบกหาม คนเดินต้องเดินเองอยู่ดี ถ้าไม่มีกำลังเดินก็ต้องหยุดพักรอไปก่อน อีกประการหนึ่ง ผู้มีพลังบริสุทธิ์ไม่ใช่หาง่ายๆ โดยมากต้องบำเพ็ญคุณงามความดี ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากมาหลายสิบปี หรือเป็นผู้ทรงฌาน แผ่เมตตาระดับไม่มีประมาณไปทั่วอนันตจักรวาลได้ หรือเป็นอริยบุคคลที่บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสแล้วสิ้นเชิง ฉะนั้นชั่วชีวิตคนทั่วไปยากจะมีประสบการณ์รับคำอวยพรแล้วได้ผลทันตาน่าทึ่ง

ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอย้ำว่าหากฝ่ายของผู้รับพรไม่มีเหตุปัจจัยอันเหมาะสม ต่อให้คำอวยพรของพระอินทร์หรือท้าวมหาพรหมก็ไม่มีทางสัมฤทธิ์ผลได้ เช่นคนไม่มีงานทำ ไม่มีความรู้ ไม่มีเงินทุน แต่ขอให้ได้รวยร้อยล้าน เงินร้อยล้านจะถูกเนรมิตมาแต่ไหน ในเมื่อระบบการเงินในโลกต้องมีทางมาทางไปที่สมเหตุสมผล คนต้องทำธุรกิจ ต้องขายของ ของต้องเป็นที่นิยมและจำหน่ายไปสู่คนจำนวนมาก หรือต่อให้คิดรวยทางลัดอย่างซื้อล็อตเตอรี่ ก็ต้องลงทุนซื้อแพงๆและถูกรางวัลที่ ๑ ซึ่งคำอวยพรใดๆก็ไม่มีอภิสิทธิ์ไปตัดหน้าบุญของผู้มีสิทธิ์จริงๆในแต่ละงวด

กรณีที่บางคนอวยพรไม่ขึ้น แต่กลับแช่งแล้วได้ผลสำเร็จนั้น ก็เป็นไปได้ครับว่าผู้นั้นมีเหตุปัจจัยคือ

๑) เป็นผู้ไร้ศีลบางข้อแต่มีสัตย์สมบูรณ์ เช่นยังฆ่าสัตว์เป็นนิตย์ ยังกินเหล้าเป็นอาจิณ จึงไม่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์พอจะอำนวยพรให้ใครได้ดีถนัดนัก อย่างไรก็ตาม เขาเป็นผู้รักษาสัตย์ยิ่งชีพ พูดคำไหนเป็นคำนั้น ไม่เคยบิดพลิ้ว ไม่เคยเบี้ยวสัญญาใคร ไม่เคยโกหกหลอกลวงหวังประโยชน์ส่วนตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเคยมีเรื่องพิสูจน์ใจหลายครั้ง เขายอมทนลำบากหรือเสียผลประโยชน์เพียงเพื่อรักษาคำพูด คนประเภทนี้จะมีจิตใจแน่วแน่ หนักแน่น และเฉียบคม เมื่อถึงจังหวะมาประกอบกับโทสะ หลุดคำสาปแช่งศัตรู ก็มักมีพลังลึกลับไปกระทำศัตรูให้เกิดความเดือดร้อนในทางใดทางหนึ่งได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าศัตรูเป็นฝ่ายทำร้ายเขาก่อน กับทั้งศัตรูเป็นผู้ไม่มีบุญญาธิการคุ้มครอง คำแช่งจึงมักสัมฤทธิ์ผลเร็วราวกับเล่นไสยศาสตร์

๒) เคยมีบุญคุณกับคนโดนสาปแช่ง และอ้างบุญคุณนั้นเป็นตัวตั้งในการสาปแช่ง เช่นพ่อแม่ทนเคียดแค้นลูกจอมไถและทำร้ายร่างกายตนไม่ไหว โพล่งบ่อยๆทำนองเลี้ยงให้โตมายังเนรคุณอย่างนี้ก็ขอให้วิบัติเถอะ ความวิบัติก็เร่งเวลามาปรากฏกับลูกทันตา แทนที่จะรอจังหวะให้ผลเองอยู่แล้วในกาลต่อไป

ขอให้ทำความเข้าใจว่าคำสาปแช่งเกิดจากโทสะเป็นมูล เป็นมหาอกุศลจิต มีวิบากรุนแรง แม้จะน่าเห็นใจเพียงใด เช่นพ่อแม่สาปแช่งลูกนั้น เมื่อความหายนะเกิดขึ้นกับลูกจริงๆก็มักต้องเศร้าซ้ำเป็นทวีคูณ แม้ไม่ร้องไห้ให้ใครเห็นก็ต้องน้ำตาตกในไปชั่วนาตาปี นอกจากนั้นนักสาปแช่งทั้งหลายยังเป็นผู้มีจิตใจเศร้าหมองด้วยโทสะที่คุกรุ่นอยู่เป็นนิตย์ โอกาสจะเป็นโรคลึกลับรักษาไม่หาย และโอกาสจะต้องเสวยทุกข์ในอบายภูมินั้นค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าชอบอ้างบุญคุณมาสาปแช่งและย่ามใจว่าเห็นผลเร็วนั้น มีส่วนให้บุญบารมีแห่งตนพลอยพินาศย่อยยับไปด้วย ทำนองเดียวกับคนมีเงิน แทนที่จะเก็บไว้ซื้อของให้เกิดประโยชน์ กลับนำไปซื้อไฟมาล้อมศัตรูและล้อมตนให้เกิดความเร่าร้อน แม้ได้หัวเราะที่เห็นศัตรูมอดไหม้ไปก่อน แต่หัวเราะไม่นานก็ย่อมรู้สึกถึงไอร้อนที่ลามมาถึงตนและไม่อาจหนีการถูกย่างสดได้พ้นเช่นกัน

ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าชีวิตคนเราเป็นไปตามกรรม ก็เพราะทุกสิ่งถูกจัดสรรด้วยอำนาจกรรม แม้แต่ตัวช่วยและตัวฉุดทั้งหลายในชีวิตคุณ ก็จะไม่ปรากฏเลยหากปราศจากฐานกรรมที่เหมาะสม เช่นหากจิตถูกห่อหุ้มอยู่ด้วยม่านบาปอกุศลหนาทึบ ก็จะไม่มีทางพบพระอริยเจ้าและรับพรอันเป็นมงคลด้วยความเต็มใจ ด้วยความมีศรัทธาปสาทะน้อมใส่เกล้า เมื่อไม่รับอาหารก็ย่อมไม่อาจเป็นผู้กินอาหาร

อีกประการ คำอวยพรก็ไม่ใช่เหตุปัจจัยเดียวที่จะทำให้ใครเจริญขึ้นได้ คุณจะหมดความคลางแคลงหากเลิกมองแบบตายตัวว่าคนนั้นคนนี้รุ่งโรจน์ทันตาเพราะคำอวยพรล้วนๆ หันมามองอย่างผู้ที่ทราบตามจริงว่าความเสื่อมและความเจริญทั้งหลายมีเหตุปัจจัยหลักและเหตุปัจจัยสมทบ กรรมของเจ้าตัวนั่นเองคือเหตุปัจจัยหลัก ส่วนคำอวยพรและรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆคือเหตุปัจจัยสมทบ


สรุปคือคำสาปแช่งและคำอวยพรไม่ได้ขัดกับหลักของกรรมวิบาก ทุกคนย่อมมีกรรมของตนเป็นที่พึ่ง ย่อมมีกรรมของตนบันดาลผลดีร้าย ผู้อวยพรย่อมได้รับพร ผู้สาปแช่งย่อมได้รับการสาปแช่ง ถ้ามนุษย์ด้วยกันไม่ทำ ธรรมชาติก็จัดให้อยู่ดี ขณะที่คุณอวยพรใครด้วยใจจริง จิตของคุณจะเป็นเมตตา คุณจะเป็นคนแรกที่ได้รับความฉ่ำเย็นจากเมตตาของตน แต่ขณะที่คุณสาปแช่งใครด้วยความพิโรธโกรธกริ้ว จิตของคุณเป็นพยาบาท คุณจะเป็นคนแรกที่ได้รับความเร่าร้อนจากโทสะของตนเช่นกันครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น