นับถือศาสนาอื่นอยู่
จะศึกษากรรมวิบากอย่างไรไม่ให้เสียศรัทธาเดิม
ถาม : ดิฉันนับถือศาสนาอื่นอยู่
และยังมีศรัทธาที่มั่นคงกับศาสนาของตนเองนะคะ
แต่ก็ชอบอ่านเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวของคุณดังตฤณด้วย
เพราะรู้สึกว่าได้คำตอบหลายๆข้อที่สงสัยแต่ไม่กล้าถามใครมานาน
อยากทราบว่าดิฉันจะตอบตนเองอย่างไรไม่ให้สับสนเกี่ยวกับเรื่องของศาสนา
คืออย่างไรก็คงเปลี่ยนศาสนาไม่ได้
สารภาพว่าบางครั้งก็อ่านข้ามๆคำถามคำตอบบางข้อในเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว
เพื่อไม่ให้ต้องเกิดความหวั่นไหวมากนัก
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๗
ดังตฤณ:
หากศาสนาของคุณไม่ได้ห้ามการเชื่อเรื่องกรรมวิบาก ผมก็คิดว่าคงไม่ต้องตะขิดตะขวงมากนักหรอกครับ เพราะเกินกว่าครึ่งของ ‘เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว’ จะพูดถึงกรรมวิบาก ซึ่งหมายความง่ายๆว่าใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น
ผมเชื่อว่าไม่มีศาสนาใดปิดกั้น
‘การเห็นความจริง’ ที่ปรากฏแสดงอยู่ต่อหน้าต่อตาเรา
ในเมื่อทุกสิ่งถูกบันดาลให้เห็นโดยความเป็นอย่างนี้
ก็ไม่เห็นจะต้องขัดกันในแง่การมองตามจริงเท่าที่รับรู้ตรงกันได้
เช่นทำดีได้ดีทางใจก่อน สว่างไสวปลอดโปร่งโล่งใจก่อน
แล้วทางกายจะได้ดีหรือมีสุขตามมาเอง ส่วนถ้าทำชั่วก็ได้ชั่วทางใจก่อน
มืดมนทนหนักใจก่อน แล้วทางกายจะได้ชั่วหรือมีทุกข์ตามมาเอง
นี่คือสิ่งที่เราเห็นกันทั่วโลก ไม่ว่ายากดีมีจนเป็นต้องตกอยู่ภายใต้ ‘ความจริง’
นี้ทั้งหมด
และสำหรับความจริงที่มีให้มองมากกว่านั้น
เช่นเกิดมาแล้วต้องโตขึ้น โตขึ้นแล้วต้องหง่อมลง หง่อมลงแล้วต้องตายดับ
นี่ก็เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ ถ้าไม่ยอมรับก็แปลว่าไม่ยอมอยู่ในโลกความเป็นจริง
ศาสนาพุทธแค่กระตุ้นให้ยอมรับความจริง ไม่หนีความจริง
ซึ่งในที่สุดก็จะไม่วิ่งหนีเหตุผล กับทั้งมีเหตุผลอธิบายตัวเองได้
ว่าเพราะทุกสิ่งต้องเสื่อมลงเป็นธรรมดา ยอมรับธรรมดาเสียก็สิ้นเรื่อง
ไม่ยึดมั่นถือมั่นผิดๆเมื่อใด ใจก็อยู่ในอาการปล่อยวาง คลาย สบาย และหายทุกข์ไปเอง
ส่วนที่ยากจะเห็น
ยากจะพิสูจน์ และยากจะทำให้ยอมรับทั่วกัน เช่น ‘ความจริงก่อนเกิดมาเป็นอย่างนี้’
และ ‘ความจริงหลังตายจากความเป็นอย่างนี้’ แต่ละศาสนาพูดไว้ไม่เหมือนกัน
และนั่นก็ทำให้ ‘วิธีมอง’ กับ ‘แนวทางพิสูจน์’ แตกต่างกันไป คุณไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนเพียงเพราะไม่อาจยอมรับหรือปฏิเสธสิ่งที่ยากจะรู้เห็นและพิสูจน์
แล้วก็ไม่ใช่เรื่องน่าตำหนิกันว่างมงาย
คนเรามีสิทธิ์เลือกเชื่อในสิ่งที่ตนเองอยากเชื่อ เชื่อแล้วมีความสุข
เชื่อแล้วมีจุดมุ่งหมายในการทำดี เพราะค่าของการมีชีวิตไม่ได้อยู่ที่การเปลี่ยนความเชื่อ
แต่อยู่ที่ความเบิกบานใจในการทำดีอย่างมีจุดหมาย
แม้ผู้มีศรัทธาแรงกล้า
ปฏิบัติธรรมตามพระพุทธเจ้าสอนอย่างขยันขันแข็ง
ก็ไม่ได้รู้จักภาวะพ้นทุกข์ทางใจอย่างเด็ดขาดตั้งแต่วันแรก ทุกคนเริ่มปลูกศรัทธาขึ้นจากการเห็นความสุขใจในวันนี้ที่มากกว่าเมื่อวาน
ไม่ใช่ลงหลักปักฐานให้ศรัทธามั่นคงด้วยการเห็นนิพพานทันใจ
ขอให้บอกตัวเองซ้ำๆ
ว่าการปลูกศรัทธาก็เป็นกรรมอย่างหนึ่ง การรักษาศรัทธาก็เป็นกรรมอย่างหนึ่ง
หากศรัทธาที่คุณปลูกและรักษานั้น เป็นไปเพื่อความไม่เบียดเบียนกัน
เป็นไปเพื่อความรักความอาทรที่ก่อความเยือกเย็นน่ายินดีให้ใจคุณเสพเอง
กับทั้งเป็นไปเพื่อก่อความอบอุ่นสว่างไสวให้กับโลกรอบข้าง
ย่อมเป็นศรัทธาที่จะให้ผลทันตาทันใจกว่าอะไรทั้งหมด
อะไรที่ให้ผลจริงย่อมมิใช่ความงมงาย มิใช่เรื่องไร้สาระ
และมิใช่เรื่องน่าหวั่นไหวคลอนแคลนแต่อย่างใดเลย
ความมั่นคงในเหตุและผลย่อมระงับความสับสนเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาเสียได้
ทุกศาสนาอิงธรรมชาติ
และธรรมชาติที่ใกล้ตัวคุณที่สุดก็คือจิตและสิ่งที่เกิดกับจิตของคุณตลอดวันตลอดคืน ขอเพียงมีความเข้าใจ
ว่าศรัทธาคือสิ่งปรุงแต่งให้จิตใจเบิกบาน อาจหาญในการมีชีวิต
คุณย่อมยินดีหล่อเลี้ยงศรัทธาไว้ไม่เลิกรา
และในที่สุดจะพบว่าศรัทธาย่อมนำคุณไปสู่จุดหมายปลายทางที่ดีเสมอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น