มนุษย์ต่างดาวมีจริงไหม
ถาม : การมีอยู่ของมนุษย์ต่างดาวจะอธิบายอย่างไรตามหลักของพุทธครับ?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๗
ดังตฤณ:
ผมจะพูดตาม
‘หลักฐานทางตัวอักษร’ ที่มีอยู่ในคัมภีร์นะครับ เพื่อให้คำตอบอยู่ใน ‘กรอบของพุทธ’
และเป็นอันรู้กันว่าไม่ใช่หลักฐานจากการค้นพบจริงหรือจากการนั่งทางในใดๆ
ขอให้ฟังเป็น ‘ความรู้แบบพุทธ’
เกี่ยวกับคำถามที่ยังไม่อาจพิสูจน์เป็นมั่นเป็นเหมาะ
อย่าฟังเอาไว้วิจารณ์ว่าเหลวไหลหรือไม่เหลวไหล
ก่อนอื่นขอให้มองว่า
‘มนุษย์’ ที่มีหูตา มีหนึ่งตัว มีสองแขนสองขาอย่างเราๆท่านๆนี้
หาได้มีอยู่เผ่าพันธุ์เดียวไม่ เดินออกไปก็เจอไทย จีน ฝรั่ง แขกคละกันทุกหย่อมหญ้าอยู่แล้ว
ฉะนั้นมนุษย์เองก็มีความ ‘ต่างแดน’ ได้แม้จะไม่ต้อง ‘ต่างดาว’ กัน
ตามหลักของพุทธนั้น
การเกิดมามีผิวสีใด ภาษาไหน อยู่เขตร้อนหรือหนาว ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการ
‘ยัดเยียดจากกรรมเก่า’ ทั้งสิ้น
ไม่มีทฤษฎีแห่งความบังเอิญหรือทฤษฎีสุ่มสี่สุ่มห้าใดๆในศาสนาพุทธอย่างเด็ดขาด
และแม้มาเกิดในโลกใบเดียวกัน
แต่หากเป็นคนละยุค ก็แปลว่าทำกรรมที่จะต้องมาเสวยวิบากแตกต่างกัน
เช่นคนมีบุญมากๆจะไม่เกิดเป็นมนุษย์ถ้ำ ต้องกินอยู่แบบดิบๆเถื่อนๆ เป็นต้น
แม้จะก่อกรรมทำเข็ญมาให้ยากจน อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสดิ้นรนทำงานเพื่อลืมตาอ้าปากได้ในวันหนึ่ง
อีกประการหนึ่ง
ถึงแม้จะเกิดในโลกต่างใบกัน ทว่าทำกรรมคล้ายคลึงกัน
ก็ย่อมต้องเสวยผลไม่แตกต่างจากมนุษย์ที่เราเห็นๆอยู่ พูดง่ายๆว่าไม่จำเป็นต้องค้นหาให้พบมนุษย์ต่างดาวก็ได้
ถ้าอยากเห็นความต่างกัน ก็คงไม่ต่างจากที่คุณเห็นคนต่างชาติต่างภาษาบนโลกใบนี้
และถ้าอยากเห็นความเหมือนกัน
ก็คงไม่ต่างจากที่คุณเห็นคนใกล้บ้านเรือนเคียงสักเท่าใด
หากอยากทราบว่าจะรู้สึกอย่างไรเวลาเจอมนุษย์ต่างดาว
ขอแนะนำง่ายๆว่าให้เข้าไปในประเทศที่คุยกันด้วยภาษาซึ่งคุณฟังไม่รู้เรื่อง
ห้ามเอาล่ามไปด้วยนะครับ เอาสักสองสามวันก็พอ แล้วจะได้บรรยากาศ ‘ดาวคนละดวง’
อย่างถึงอกถึงใจ
เมื่อมีกรรม
และผลของกรรมมี ไม่ว่าจะเป็นตรงไหนของจักรวาล ก็ต้องมี ‘สถานที่รับผลกรรม’
อย่างแน่นอนครับ ถ้าไม่เหมาะจะรับกรรมในไทย ก็อาจจะไปรับในมาเลเซีย ในญี่ปุ่น
ในอเมริกา หรือถ้าดูๆแล้วไม่มีประเทศไหน เกาะใดบนโลกเหมาะ
ก็จับเขวี้ยงไปหาโลกอื่นที่เหมาะสมเข้าจนได้
วิบากกรรมเป็นสิ่งมีอำนาจสูงที่สุดในจักรวาล เขาเหวี่ยงใครไปอยู่ไหนก็ได้ไม่จำกัด
ไม่เกี่ยงระยะทางว่าไกลจาก ‘จุดก่อกรรม’ มากน้อยเพียงใด
ตามที่มีมาในพระไตรปิฎกอันเป็นแหล่งบันทึกคำสอนและความรู้ต่างๆนานาจากพระพุทธเจ้านั้น
มีอยู่บทหนึ่ง พระศาสดาท่านตรัสกะพระผู้รับใช้ใกล้ชิดว่า
ดูกรอานนท์
จักรวาลหนึ่งมีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร
ทั่วทิศสว่างไสวรุ่งโรจน์
(หมายความว่านิยามของจักรวาลในที่นี้ ก็คือสุริยจักรวาลของเรา
หรือสุริยจักรวาลอื่นๆ ที่มีพระอาทิตย์เป็นประธาน และมีดาวเคราะห์ต่างๆเป็นบริวาร
โดยแสงอาทิตย์สาดไปได้ถึงครบทั่ว)
โลกธาตุอย่างเล็กมีอยู่พันจักรวาล
ในโลกธาตุพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์พันดวง มีอาทิตย์พันดวง
มีขุนเขาสิเนรุพันหนึ่ง มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มีอปรโคยานทวีปพันหนึ่ง
มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มีมหาสมุทรสี่พัน
มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาพันหนึ่ง
มีเทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดุสิตพันหนึ่ง
มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่ง มีพรหมโลกพันหนึ่ง
นอกจากนั้น
พระพุทธองค์ยังตรัสถึงโลกธาตุอย่างกลางซึ่งมีอยู่หนึ่งล้านจักรวาล
และโลกธาตุอย่างใหญ่ที่มีนับไม่ถ้วน ต้องเรียกแสนโกฏิ
ซึ่งเป็นสำนวนหมายถึงจำนวนเป็นอนันต์นับกันไม่ไหว
ที่พระองค์แยกแยะเช่นนี้ก็เพื่อให้เห็นขอบเขตของอนันตจักรวาลว่าใหญ่หลวงประมาณใด และมีภพซ้อนๆกันอยู่มากมายมหาศาลเกินจินตนาการปานไหน
มาทำความเข้าใจกันครับ
ว่าหนึ่งชมพูทวีปคือโลกมนุษย์แบบที่เราอาศัยอยู่หนึ่งใบ หมายความว่าเพียงแค่มีกรรมที่ประมาณว่าสมควรจะอยู่ในโลกแบบเรา
ก็มีสิทธิ์ไม่ใช่แค่พัน ไม่ใช่แค่ล้าน แต่เป็นอนันต์ ที่จะไปโผล่ที่ชมพูทวีปแห่งไหนก็ได้ในระหว่างแห่งอนันตจักรวาลนี้
นอกจากชมพูทวีปจะเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ได้แล้ว
ยังมีอปรโคยานทวีป อุตตรกุรุทวีป ปุพพวิเทหทวีปอีกด้วย หมายความว่าทำกรรมเหมาะกับโลกแบบไหนก็ไปตกอยู่ในโลกแบบนั้น
จะยกตัวอย่างโลกมาแบบเดียวตามที่มีปรากฏในพระสูตรหนึ่งชื่ออาฏานาฏิยสูตร
ท่านกล่าวว่าพวกมนุษย์ซึ่งเกิดในอุตตรกุรุทวีปนั้น ไม่ยึดถือสิ่งใดว่าเป็นของตน
ไม่หวงแหนกัน มนุษย์เหล่านั้น ไม่ต้องหว่านพืช และไม่ต้องนำไถออกไถ
หมู่มนุษย์บริโภคข้าวสาลีอันเป็นผลิตผลในที่ที่ไม่ต้องไถ ไม่มีรำ ไม่มีแกลบ
บริสุทธิ์ มีกลิ่นหอม เป็นเมล็ดข้าวสาร หุงข้าวนั้นได้ในเตาอันปราศจากควัน
หมายความว่าถ้าใครมีจิตใจอารีอารอบ
เห็นเพื่อนร่วมโลกเป็นญาติมิตรไปหมด ก็มีสิทธิ์ไปถือกำเนิดในอุตตรกุรุทวีป
อันไม่มีการแก่งแย่ง ไม่มีการแข่งขันค้าขาย
บริโภคข้าวอันเกิดแต่บุญเช่นการให้ทานอย่างไม่เลือกหน้า
เรื่องรายละเอียดอื่นใดอาจฟังยาก
แต่ขอให้สังเกตด้วยว่าพระพุทธเจ้าตรัสเรื่องจักรวาลไว้เกือบสามพันปีแล้ว
มนุษย์ยุคนั้นยังนึกว่าโลกแบนด้วยซ้ำ
และเมื่อร้อยกว่าปีก่อนนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกยังพากันหลงเข้าใจว่ามหาจักรวาลนี้มีดาวฤกษ์อย่างพระอาทิตย์แค่หลักหมื่นหลักแสน
(เท่าที่ตาเปล่าและกล้องดูดาวเล็กๆจะขยายให้เห็นได้)
แต่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เรียบร้อยว่ามีเป็นอนันต์
ซึ่งปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ก็ต้องพูดประมาณนั้น
เนื่องจากหนึ่งกาแลกซี่มีดาวฤกษ์แสนล้านดวง
และทั้งจักรวาลก็ไม่น่าจะต่ำกว่าแสนล้านกาแลกซี่
นอกจากนั้นยังเป็นที่รู้กัน
ว่ายิ่งวิทยาการก้าวหน้า ขุดคุ้ยความจริงทางธรรมชาติได้มากขึ้นเพียงใด
ธรรมชาติยิ่งปรากฏเป็นสิ่งพิลึกพิลั่น
แปลกประหลาดผิดเพี้ยนไปจากสามัญสำนึกของพวกเรามากขึ้นเพียงนั้น
อย่างเช่นที่นึกๆกันว่าจักรวาลเป็นห้วงอวกาศว่างๆอันกว้างใหญ่
ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เช่นนั้นเสียแล้ว
หนึ่งในความลึกลับน่าฉงนกว่าอะไรอื่น
ก็คือสสารมืด (Dark Matter) การเริ่มรู้ว่าสสารมืดมีอยู่
มาจากการสังเกตว่าการหมุนของกาแลกซี่เป็นไปได้ช้ากว่าที่ควร
คือคำนวณแล้วต้องมีแรงโน้มถ่วงจาก ‘สิ่งลึกลับ’ บางอย่างเข้ามากระทำ
และหลังจากนักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณค่าพลังหน่วงเหนี่ยวแล้ว
ก็พบว่าสิ่งลึกลับเจ้าของพลังดังกล่าวจะต้องเป็นส่วนประกอบของจักรวาลถึง ๙๐
เปอร์เซ็นต์ทีเดียว!
นั่นหมายความว่ามหาจักรวาลที่เราอาศัยอยู่นี้
แม้ถูกเปิดเผยด้วยเครื่องไม้เครื่องมือบนโลกไปสักเท่าไร ก็ไม่มีทางเกินกว่า ๑๐
เปอร์เซ็นต์ไปได้!
ตรงนี้ถ้ามาพิจารณาสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสถึง
ไม่ว่าจะเป็น ‘ขุนเขาสิเนรุ’ หรือ ‘มหาสมุทร’ อันคั่นอยู่ในระหว่างแห่งโลกธาตุ
ก็อาจมีนัยเชื่อมโยงถึงกันอยู่ก็ได้
นี่ก็ต้องรอว่าเทคโนโลยีจะข้ามพรมแดนรูปธรรมไปสู่สภาพอันไม่อาจจับต้องได้แค่ไหน
คัมภีร์ศาสนาเราเป็นสิ่งสืบทอดต่อเนื่องกันมาช้านาน
คงไม่มีชาวพุทธคลั่งศาสนายุคใหม่ที่ไหนแอบดอดไปปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
สอดแทรกความรู้อันเกิดจากวิทยาการปัจจุบันเข้าไปได้เป็นแน่
ฉะนั้นเมื่อพระองค์รู้จักสิ่งที่คนสมัยนั้นรู้ไม่ได้ด้วยกล้องดูดาว
ตรัสออกมาได้ถูกต้องว่ามีดาวกลมๆ มีพระอาทิตย์สว่างๆอยู่อีกมากมาย
ก็น่าจะแปลว่าพระองค์คง ‘เห็นจริงๆ’ ในสิ่งที่ตรัสอื่นๆ
เช่นมนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปเช่นกัน
สรุปคือพุทธพจน์ยืนยันการมีอยู่ของมนุษย์ต่างดาว
แล้วก็เป็น ‘มนุษย์’ ในความหมายที่มีเลือดเนื้อ มีจิตวิญญาณแบบพวกเรา แม้อยู่ในโลกใบอื่นก็เคยประกอบกรรมมาให้เหมาะควรแก่การมีจิตสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี
(มโนธรรม) มีเมตตากรุณา (มนุษยธรรม) ตลอดจนมีเหตุผล สามารถเรียนรู้ สามารถคิดอ่าน
สามารถสร้างสรรค์อะไรๆได้เหมือนพวกเรา
การมีอยู่จริงของมนุษย์ต่างดาวไม่ได้เป็นประกันว่าเขาจะฉลาดหรือโง่กว่าเราสักแค่ไหน
หากมีกรรมที่เหมาะจะไปเกิดในอาณาจักรการปกครองยุคมืด
ก็คงไม่มีทางสร้างจานบินหรือผลิตจานส่งสัญญาณข้ามอวกาศมาสื่อสารกับเราได้แน่
ถ้าอยากรู้ว่ามนุษย์ต่างดาว เทวดา มาร
พรหมมีจริงหรือไม่มีจริง คุณแค่ศึกษาหลักกรรมวิบากให้ดีๆ แล้วฝึกจิต ฝึกสติตามรู้
ตามดูความเคลื่อนไหวกายใจตนเองให้ต่อเนื่อง ก็จะทราบว่าแหล่งผลิตกรรมอยู่ตรงนี้เอง
ภพที่จะต้องเกิดขึ้นรองรับผลกรรมก็อยู่แค่เอื้อมนี่เอง
ไม่มีสิ่งใดในสากลจักรวาลนี้แปลกประหลาดพิสดารเกินกรรมวิบากไปได้เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น