ถาม : ที่ว่าจิตสัมผัสกันได้นั้นเป็นอย่างไรคะ?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๘
ดังตฤณ:
ทุกคนมีจิตสัมผัส จิตสัมผัสเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนเอาใครสักคนมานั่งตรงหน้า คุณมองดูแล้วรู้สึกได้ว่าในหัวเขากำลังอัดแน่นด้วยพายุความฟุ้งซ่าน หรือคุณฟังคนจะมาหลอกขายของ ฟังไปฟังมาคุณรู้สึกได้ว่าเขาพูดโกหก สัมผัสเหล่านี้ใช้ตาดูหรือหูฟังอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องใช้ใจรู้ ใช้ใจเป็นตัวตัดสิน
อันที่จริงหากปราศจากจิตสัมผัส
คุณจะใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง ปราศจากวูบแห่งความกลัวแปลกๆ
ปราศจากวูบแห่งความคุ้นเคยที่อธิบายยาก ปราศจากวูบแห่งสังหรณ์ล่วงหน้า แต่ประเด็นคือเมื่อไม่ทราบว่า
‘รู้’ หรือ ‘สัมผัส’ ได้อย่างไร อีกทั้งสลับผิดสลับถูกไปเรื่อย หาความแน่นอนไม่ได้
จิตสัมผัสจึงเป็นธรรมชาติที่คลุมเครือสำหรับมนุษย์ธรรมดา
และมีแนวโน้มจะเป็นเรื่องมั่วมากกว่าเรื่องจริง
จิตสัมผัสมีทั้งหยาบและละเอียด
สัมผัสหยาบๆของคนธรรมดานั้นเกิดขึ้นเมื่อมีภาพเสียงมากระทบหูตาเสียก่อน
เช่นเห็นใครบางคนเดินมาแล้วรู้สึกทะ+++ๆ เหมือนได้กลิ่นเรื่องร้ายแรงบางอย่างในอากาศรอบตัวคนๆนั้น
แต่ก็ไม่อาจระบุว่าคนๆนั้นไปทำอะไร
จนกว่าข่าวหน้าหนึ่งวันรุ่งขึ้นจะรายงานว่าที่แท้เป็นฆาตกรหั่นศพยัดกระเป๋า
แตกต่างจากสัมผัสทางจิตที่ละเอียดและสามารถรู้ชัดของผู้ทรงฌาน
เพียงฆาตกรเดินมาพร้อมกระแสร้ายแรง จิตของผู้ทรงฌานสัมผัสเข้าก็ระบุได้ถูกต้องทันที
ว่ากระแสร้ายแรงดังกล่าวคือเงากรรมชั่วที่เพิ่งฆ่าคนเอาไว้
และสัญญาณของเงากรรมจะมาปรากฏเป็นนิมิตในห้วงมโนทวาร
กลายเป็นสัมผัสรู้ชัดว่าคนร้ายทำการฆาตกรรมเหยื่อรูปพรรณสัณฐานอย่างไร
ด้วยอาวุธแบบไหน ซ่อนชิ้นส่วนศพไว้ตรงมุมใด เป็นต้น
หรือจิตสัมผัสที่สูงขึ้นไปอีกระดับ
คือแม้ไม่เห็นหน้าค่าตาทั้งฆาตกรและเหยื่อ
แต่เพียงได้ยินคนอ่านหนังสือพิมพ์นั่งวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเมามันกลางวงโต๊ะกาแฟ
ผู้มีจิตสัมผัสพิเศษน้อมใจไปรู้ ก็รู้ครบทั้งรูปพรรณสัณฐานของฆาตกรและเหยื่อ
ตลอดจนเหตุสะเทือนขวัญเป็นฉากๆได้หมดด้วยตนเองทีเดียว
ที่จิตสามารถสัมผัสและล่วงรู้อะไรๆนอกขอบเขตหูตาได้
ก็เพราะธรรมชาติของจิตนั้นคือ ‘รู้’ แต่ที่ปกติ ‘ไม่รู้’
ก็เพราะเจอคลื่นรบกวนเช่นราคะ โทสะ และพายุความฟุ้งซ่านมัวมน ต่อเมื่อทรงฌาน
มีความใสสะอาดเหมือนกระจกที่ปราศจากฝุ่นฝ้า ก็เกิดทัศนวิสัยที่แจ่มชัด
สัมผัสรู้สิ่งใดก็ได้ที่ไม่ละเอียดอ่อนเกินวิสัยจิตระดับตน
ระดับความสามารถสัมผัสของแต่ละคนไม่เท่ากัน
พุทธเราถือว่าผู้มีจิตสัมผัส
รู้เห็นอะไรๆได้แจ่มแจ้งแทงตลอดถึงที่สุดมีอยู่คนเดียวคือพระพุทธเจ้า
ท่านสั่งสมบารมีมาหลายด้าน มีมหาทานประมาณอนันต์เป็นอาทิ
จึงอาจแทงตลอดในทุกสิ่งที่ต้องการรู้โดยไม่มีสิ่งใดติดขัด ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง
ไม่ว่าจะเป็นชื่อคน ตลอดจนวิธีเกิดดับของจักรวาล
และผู้รู้แจ้งแทงตลอดทั้งมหาจักรวาลเช่นท่าน
ก็ทราบด้วยว่าเรื่องน่ารู้ที่สุดคือกายใจของเราๆนี้
เรื่องน่าใช้จิตเข้าสัมผัสที่สุดคือนิพพานอันเป็นความดับทุกข์
ท่านสัมผัสทุกความจริงมาแล้ว
เพื่อประกาศว่าไม่มีความจริงใดน่าสัมผัสและเข้าให้ถึงยิ่งไปกว่าเรื่องของทุกข์และการดับทุกข์เลยสักเรื่องเดียว
ถาม : ผู้มีจิตสัมผัสจะส่งจิตออกมาถึงใครก็ได้หรือคะ?
ถ้าบุคคลที่ตกเป็นเป้าหมายมีคุณธรรม หรือมีสภาวจิตที่ละเอียดหรือใหญ่เหนือคุณ
ก็จะเหมือนมีกำแพงกว้างยาวสูงเกินกว่าที่คุณจะเจาะเข้าไปเห็นรายละเอียดภายใน
อย่างมากก็แค่สัมผัสได้ว่ากำลังสุขมากหรือสุขน้อย หรือเห็นแต่ภาพชีวิตดีๆ
ภาพชีวิตที่สว่างแบบกว้างๆเท่านั้นครับ ความจริงโลกที่ดูเหมือนเปิดเผยอยู่ตลอดเวลานี้
ถูกปิดบังอยู่ด้วยม่านกรรมดำบ้าง ม่านกรรมขาวบ้าง ต่อให้มีจิตสัมผัสอย่างไร
ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าก็รู้ไม่ได้หมดหรอก
ถาม : ทำอย่างนั้นเรียกส่งจิตออกไปนอกกาย
ถูกต้องไหมคะ? แล้วเขาจะส่งจิตไปโน่นไปนี่เพื่ออะไรได้บ้าง?
จิตออกจากกายนั้น
พระพุทธเจ้าเรียกว่า ‘มโนมยิทธิ’ คือผู้ทรงฌานใช้กำลังจิตถอดจิตจากร่างเหมือนชักดาบจากฝัก
ส่วนจิตสัมผัสนี่การรับรู้ทั้งหมดปรากฏขึ้นในมโนทวาร
ทำนองเดียวกับที่คุณหลับแล้วเห็นภาพฝันต่างๆ
สิ่งที่ผิดแผกจากความฝันคือภาพเสียงที่รับรู้อยู่ในมโนทวารไม่ใช่แค่คลื่นลมเหลวไหล
แต่เป็นความจริง พิสูจน์เป็นรูปธรรมได้จริง (ในกรณีที่จิตสัมผัสเที่ยงตรง)
ส่วนจุดประสงค์ของการส่งจิตไปสัมผัสก็ไม่จำกัดครับ
ดูเลขหวยก็ได้ ดูมนุษย์ต่างดาวก็ได้ ดูวันโลกาวินาศก็ได้
คิดถึงอะไรได้ก็ดูได้ทั้งนั้น แต่จะเห็นหรือไม่เห็น
จะจริงหรือไม่จริง ก็ขึ้นอยู่กับว่ามีกำลังความหนักแน่นและความบริสุทธิ์ของจิตมากน้อยเพียงใด หากจิตยังโลภมาก อยากรู้ว่าหวยออกอะไร หรือหากจิตยังโกรธมาก
อยากรู้ที่อยู่ศัตรูจะได้ตามไปฆ่า ประเภทนี้กิเลสจะส่งคลื่นรบกวนยิ่งกว่าหิมะตก
ต่อให้เคยทรงฌาน เคยมีจิตสัมผัสที่เที่ยงตรง
ก็ไม่อาจเห็นอะไรได้ตามประสงค์อย่างแน่นอนครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น