วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเป็นพระอรหันต์กันทั้งโลก (ดังตฤณ)

ถาม : จุดมุ่งหมายสูงสุดของพุทธศาสนาคือทำให้จิตหลุดพ้นจากทุกข์ถาวร หรืออีกนัยหนึ่งเป็นพระอรหันต์ ทีนี้ผมสงสัยว่าถ้าคนทั้งโลกเป็นพระอรหันต์กันหมด ก็ไม่เหลือการเกิดตายอีกเลยใช่ไหมครับ? มิเท่ากับเราทำลายวัฏจักรทางธรรมชาติทั้งหมดลงหรอกหรือ?

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๙

ดังตฤณ: 
คำถามนี้ยากไปครับ มาทำให้ง่ายลงนิดหนึ่งก่อนดีกว่า เปลี่ยนเป็นถามว่า ‘ถ้าคนทั้งโลกหันมาเชื่อเรื่องกรรมวิบากจะเกิดอะไรขึ้น?’ หรือให้ง่ายลงกว่านั้นอีกคือ ‘ถ้าคนทั้งโลกนับถือศาสนาพุทธจะเกิดอะไรขึ้น?’ หมายความว่าไม่ต้องรู้เรื่องกรรมวิบาก ไม่ต้องระแคะระคายว่ามีการหลุดพ้นทางจิตกันได้ด้วย เอาแค่ประกาศตัวอย่างเดียวว่าเป็นพุทธพอนะครับ

ข้อเท็จจริงประการหนึ่งก็คือ ใครรักศาสนาของตนมาก ก็มักมีความปรารถนาอันแรงกล้า ในอันที่จะทำให้ศาสนาของตนเป็นที่ยอมรับไปทั่วทุกหัวระแหง

ถ้าคุณรักศาสนาอย่างรุนแรงสุดชีวิต กับทั้งมีอิทธิพลในระดับหมู่บ้าน แน่นอนว่าสิ่งที่คุณจะคิดและลงมือทำเป็นอันดับแรกคือทำให้คนทั้งหมู่บ้านหันมานับถือพุทธศาสนา ทั้งจัดกิจกรรมทั้งส่งเสริมให้มีการปลูกฝังธรรมะกันในครัวเรือน

และเมื่อทำสำเร็จ ขั้นต่อไปคุณต้องนึกถึงการเผยแผ่ระดับตำบล หากประสบความสำเร็จระดับตำบล ก็ต้องนึกถึงการเผยแผ่ระดับจังหวัด แล้วลามไปเป็นระดับประเทศ จนถึงระดับโลกในที่สุด นี่คือขั้นตอนตามธรรมชาติ ยากนักกับก้าวแรกที่คุณจะกระโดดขึ้นมาบนเวที ถือไมค์ส่งเสียงดังก้องไปทั้งโลกได้ฉับพลันทันใด

แต่แค่คุณทำในระดับหมู่บ้านเล็กๆก็จะรู้ซึ้งแล้วครับ ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ทุกคนหันมานับถือเพียงศาสนาเดียว แชร์ความเชื่อเดียวกัน ตลอดจนร่วมกิจกรรมทำพิธีต่างๆพร้อมเพรียงกัน คุณจะพบเรื่องน่าปวดหัวทางความเชื่อมากมายหลายหลาก เพราะคนบางกลุ่มจะไม่มีเหตุผลใดมากไปกว่าเชื่อเพราะอยากเชื่อ และไม่เชื่อเพราะไม่อยากเชื่อ ซึ่งสุดท้ายลงเอยคือคนพวกนี้จะหลงปักใจเชื่อแต่ตัวเอง ไม่เชื่อใครไม่นับถือศาสดาไหนๆ

ส่วนคนอีกกลุ่มหนึ่ง คุณจะพบว่าแม้พวกเขามีเหตุผลในการเลือกเชื่อ แต่วิธีใช้เหตุผลก็ผิดแผกกันเป็นคนละเรื่องหรือคนละทิศทาง ยกตัวอย่างเช่น บางคนเชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เหตุผลคือทำดีแล้วใจสบาย ทำชั่วแล้วใจอึดอัด แล้วหยุดความเชื่อไว้แค่ที่ตรงนั้น ไม่ขอเชื่อเรื่องกรรมดีชั่วจากชาติก่อนที่มาให้ผลในชาตินี้เหตุผลคือ เห็นๆอยู่ว่าคนเราเป็นก้อนเนื้อที่คลอดออกมาจากท้องแม่ เริ่มรู้สึกนึกคิดได้จากการทำงานของสมองและหัวใจ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีวิญญาณเป็นดวงๆหอบหิ้วกรรมติดตัวมาจากมิติอื่น พวกนี้มักคำนึงว่ามันเป็นเรื่องไม่ยุติธรรม ไม่น่าพอใจ ไม่น่าเชื่อถือ ทำนองเดียวกับที่จะรู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้น หากเห็นผู้บริสุทธิ์ถูกยัดเยียดข้อหาฆ่าคนตาย ข้อหาลักทรัพย์ ข้อหาเป็นชู้ ข้อหาหลอกลวง และข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครอง สรุปคือไม่เชื่อเพราะไม่เห็นว่าสมเหตุสมผล

ส่วนอีกพวกหนึ่ง แม้เชื่อว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง แต่ก็ขออนุญาตไม่เชื่อเรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว โดยให้เหตุผลที่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ก็เพราะเห็นว่ามีเด็กระลึกชาติมากมาย แต่ไม่เชื่อเรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะบางคนแสนดีแต่ต้องตกระกำลำบากตลอดศก ส่วนบางคนสุดชั่วแต่กลับขึ้นเถลิงอำนาจเป็นใหญ่เป็นโต สรุปคือไม่เชื่อก็เพราะไม่สามารถเห็นหลักฐานกับตา

เหตุผลของแต่ละคนนั้น มักเกิดจากการหยิบจับประสบการณ์ส่วนตัวมาเป็นข้อมูลประกอบ ใครเจออะไรก็ใช้สิ่งที่พบเจอนั้นเป็นวัตถุดิบประกอบการพิจารณา เมื่อเริ่มต้นชีวิตมา พวกเราเปิดตาดูเปิดหูฟังเหมือนๆกัน ไม่รู้เหตุผลเหมือนๆกัน กับทั้งมีเส้นทางในการรู้เหตุผลเท็จจริงแตกต่างกัน

ลองยืนบนสะพานลอย มองลงมาเห็นยวดยานแล่นเลื่อนไปมา คุณไม่รู้ว่ารถแต่ละคันมาจากไหน และกำลังวิ่งไปไหน ทำนองเดียวกันเมื่อเหลือบแลไปบนฟุตบาท คุณเห็นผู้คนยืนบ้าง นั่งบ้าง เดินบ้าง คุณก็ไม่เคยทราบเลยว่าเขาเกิดกับใคร มีประวัติความเป็นมาอย่างไร อนาคตจะตกอับหรือสดใส แล้วเขาจะอยู่ดูโลกได้อีกนานกี่ปี สิ่งที่คุณรู้จำกัดวงไว้เท่าที่ตาเห็น ผู้คนรอบตัวเราต่างกับฝันหน่อยเดียวตรงที่คุณปรี่เข้าไปทำความรู้จักได้ ไถ่ถามว่าเขาเป็นใครมาจาก ไหนสืบหาพ่อแม่พี่น้องวงศ์วานว่านเครือได้ และเขาก็จะยังคงมีตัวตนเมื่อคุณตื่นขึ้นมาในวันพรุ่งนี้

แต่ถ้าสงสัยใคร่รู้ให้ลึกกว่านั้น เช่นเขาไปทำกรรมอะไรมาถึงเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นผู้ชาย เกิดเป็นผู้หญิง เกิดเป็นคนหน้าตาดี เกิดเป็นคนขี้เหร่ ฯลฯ เขาจะตอบคุณไม่ได้เลย แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าของกรรมอยู่ด้วยตนเองก็ตาม

เขยิบเข้ามาใกล้คุณ…ถามตัวเองเช่นเดียวกันนั้น ถ้าคุณรู้สึกถึงความทึบตัน ย้อนระลึกไม่ได้แม้แต่เรื่องของตนเองในวัยเด็ก และยิ่งจนด้วยเกล้าว่าเรื่องราวในอดีตก่อนเข้าท้องแม่มีหรือไม่มีจริง ก็แปลว่าคุณไม่แตกต่างจากคนทั้งโลกที่ยังคงตกอยู่ใต้อำนาจความไม่รู้ มีแค่ความสามารถเห็นด้วยตาและฟังด้วยหูอันแคบจำกัด

ถ้าวันนี้คุณเชื่อเรื่องกรรมวิบาก ลองถามตัวเองว่าคุณต้องเจอผู้คน เจอเรื่องราวผ่านประสบการณ์ดีร้ายมากมายแค่ไหน ใช้เวลารับฟัง และพิจารณาเท่าไรกว่าจะยอมเชื่อ?

ลึกกว่านั้น หากวันนี้คุณ ‘รู้ด้วยจิต’ ว่ากรรมอย่างไรจึงได้ผลแบบไหน หรืออีกนัยหนึ่งเป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริงในกรรมวิบากด้วยญาณทัศน์ของตนเอง คุณจะยิ่งตระหนักว่ากว่าจะเจอครูผู้สอนถูกสอนตรงมิใช่ง่าย กว่าจะให้ท่านกำกับเคี่ยวเข็ญจ้ำจี้จ้ำไช กว่าจะเกิดมานะพากเพียรฝึกวิชาจนรู้ตามครูได้ มันยากมันนานเพียงใด คุณใช้เวลาและความเพียรเพียงใด ก็นั่นแหละครับที่คนทั้งโลกเขาต้องการเช่นกัน

แล้วคน ‘ทั้งโลก’ มีอยู่มากมายก่ายกองขนาดไหนกัน? เอาเฉพาะวินาทีนี้นะครับ เข็มนาฬิกากระดิกหนึ่งวินาที ทั่วทั้งโลกมีเด็กเกิดใหม่ ๓ คน วินาทีต่อไปอีก ๓ คน และอีก ๓ ไปเรื่อยๆ แปลว่านับจากปีนี้ไปอีก ๔ ปีข้างหน้า โลกเราจะมีสมาชิกหน้าใหม่ที่เริ่มรู้ความจำนวน ๓๒ ล้านคน โจทย์ให้คุณคิด คือ มันเป็นไปได้ไหม มีหนทางใดหรือไม่ ที่เราจะโน้มน้าวเด็กเกิดใหม่ ๓๒ ล้านคน ให้เชื่อเรื่องกรรมวิบากกันได้ทั้งหมด ก่อนที่เขาจะไปพบตัวเลือกทางความเชื่ออื่นๆเสียแทน?

นี่ยังไม่นับ ‘ไม้แก่ดัดยาก’ อีกหกพันกว่าล้านคน ซึ่งกำลังมีชีวิตอยู่ และยังไม่ตายในวันนี้นะครับ คุณจะไม่รู้จนกว่าจะได้ลอง ว่าการพยายามเปลี่ยนความเชื่อของคนเป็นล้านนั้น หนักหนากว่าเข็นครกขึ้นภูเขาสักแค่ไหน

สรุปแบบฟันธงให้ฟังง่ายคือ ในความเป็นจริง คุณไม่มีทางทำให้คนเชื่อในทางเดียวกันพร้อมกันทั้งโลกอย่างเด็ดขาด ต่อให้คุณมีบุญญาธิการสูงส่งขนาดเป็นศาสดาใหญ่ หรือต่อให้คุณมีเทคโนโลยีชั้นสูงพิสูจน์ความเชื่อของตัวเองได้อย่างเป็นรูปธรรมก็ตาม

ว่ากันในโลกความจริงไปแล้ว คราวนี้มาสมมุติตอบกันในโลกอุดมคติ คือ ถ้าเชื่อกรรมวิบากกันทั้งโลกจะเกิดอะไรขึ้น? แน่นอนครับจะไม่มีใครสักคนกล้าแม้แต่คิดชั่ว และจะไม่มีใครสักคนบริโภคทรัพย์ของตนโดยไม่แบ่งปันให้คนอื่นก่อน เพราะจะตระหนักพร้อมกัน ว่าการเสียสละและการรักษาความดีไว้เท่านั้น จึงเป็นสุขได้ทั้งปัจจุบันและอนาคต

ผลของการมีแต่คนคิดดีพูดดีทำดี คือ โลกนี้จะไม่มีตำรวจไว้ปราบคนโจร ไม่มีทหารไว้ป้องกันประเทศ ไม่มีรั้วไว้ล้อมบ้าน ไม่มีประตูที่ล็อกได้ ไม่มีอะไรๆที่เรากำลังเห็นว่าทำหน้าที่ปกป้องการกระทำทุจริตคิดมิชอบทั้งมวล!

สิ่งที่คุณจะเห็นในชีวิตประจำวัน มิใช่การทำมาหากินแข่งขันประกอบธุรกิจ แต่จะเป็นวัดโบสถ์ศาลาสาธารณะ หรือศาสนสถานที่พลุกพล่านด้วยผู้คนทุกเพศทุกวัย แต่ละบ้านอาจจำเป็นต้องปลูกข้าวปลูกผักกินเอง เพราะไม่มีใครทำธุรกิจโรงงานผลิตข้าว ทุกคนต่างไม่อยากเสียเวลาถางทางไปสู่สวรรค์ เงินตราจะกลายเป็นสิ่งน่ารังเกียจ มีแต่คนเสนอตัวเป็นผู้ให้ ไม่ค่อยมีใครนึกอยากเป็นฝ่ายรับ สรุปคือมองไปทางไหนคุณจะพบเจอแต่เรื่องงดงามเปี่ยมไมตรีล้วนๆ

ฟังไม่เหมือนโลกที่เคยคุ้นใช่ไหมครับ? โลกที่คุณคุ้นและคุณรู้ว่าเป็นไปได้จริง คือ โลกที่มีคนเชื่อกรรมวิบากอยู่แค่หยิบมือเดียว โลกที่มีผู้ทรงญาณรู้แจ้งกรรมวิบากแค่หลักพัน โลกที่วุ่นวายอยู่กับการถกเถียง ว่าตกลงชะตามนุษย์ถูกกำหนดโดยฝีมือเทวดาหรืออะไรกันแน่

การเป็นพระอรหันต์ยากกว่าเชื่อยากกว่ารู้แจ้งเห็นจริงเรื่องเหตุผลกลกรรมวิบากคุณต้องมีหลักพิจารณาจนเห็นกายใจนี้เป็นทุกข์เชื่อจริงๆว่ากายใจนี้เป็นทุกข์ตลอดจนเข้าใจได้ว่าถ้ายังมีอยากยังมีหวังใดๆก็ต้องต่อทุกข์ให้ยืดออกไปอีก

ถัดจากความเข้าใจคุณต้องใจเด็ดไม่อาลัยไยดีไม่ยึดติดญาติมิตรและทรัพย์สินที่มีต้องพากเพียรตั้งสติกำหนดรู้เข้ามาในขอบเขตกายใจนี้อยู่เรื่อยๆไม่ปล่อยใจให้หลงกามหลงกินหลงเกียรติเหมือนชาวโลกอื่นๆเขากระทั่งแจ่มแจ้งแทงธรรมด้วยใจเต็มๆดวงว่ากายใจนี้ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตนไม่ควรยึดมั่นถือมั่นควรวางเฉยไม่สำคัญว่าใดๆในกายใจนี้เป็นเรา


สรุปคือ ‘เป็นไปไม่ได้’ ที่ทั้งโลกจะเป็นพระอรหันต์ไม่มีทางที่คุณจะเกลี้ยกล่อมให้ใครต่อใครอยากเป็นพระอรหันต์กันทั้งหมดแต่ถ้า‘สมมุติว่าคุณทำได้’ผลก็คือโลกเราจะเลิกเป็นแหล่งรองรับวิญญาณที่มีบุญพอจะมาเกิดเป็นมนุษย์มนุษย์จะทยอยสูญพันธุ์และผู้อยู่เป็นคนสุดท้ายของโลกจะตายไปโดยไม่มีใครเผาจากนั้นกรรมจะจัดสรรวิญญาณมีบุญให้ไปเกิดในแหล่งอื่นที่มนุษย์ยังมีกิเลสพอจะสมสู่กันและตั้งครรภ์ได้นี่แหละที่สุดของการสมมุติอย่างไรก็ไม่ใช่จุดยุติสังสารวัฏอยู่ดีเพราะโลกนี้มิใช่หนึ่งเดียวที่เป็นเวทีกรรมในอนันตจักรวาลยังมีเวทีกรรมอีกนับไม่ถ้วนคำนวณไม่ได้เลยครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น