ถาม : จะทราบหรือแน่ใจได้อย่างไรว่าใครเป็นพระอรหันต์ครับ?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๙
ดังตฤณ:
พระอรหันต์ไม่ได้เป็นพระอรหันต์เพราะเลิกทำกิริยาวาจาเหมือนคนปกติ จึงเป็นไปได้ที่คุณจะรู้สึกว่าพระอรหันต์ท่านก็เป็นแค่คนปกติคนหนึ่ง
พระอรหันต์ท่านไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่
จึงเป็นไปได้ที่คุณจะรู้สึกว่าพระอรหันต์ท่านช่างอ่อนน้อมถ่อมตน
ราวกับไม่มีคุณวิเศษใดๆอยู่ในตัว
พระอรหันต์ท่านชอบเก็บเนื้อเก็บตัวไม่สุงสิงกับใคร
นิยมแต่ความวิเวกและวิมุตติรสแห่งนิพพานอันหาง่ายในวัดหรือป่า
จึงเป็นไปได้ที่คุณจะไม่เคยเห็นท่าน หากไม่ไปถึงที่อยู่ของท่านคือวัดหรือป่า
เพราะฉะนั้นสบายใจได้ครับ ถ้าคุณเดินไปตามสี่แยกไฟแดง อย่ากังวลว่าจะต้องพลาดพลั้งกระทบไหล่พระอรหันต์ให้เกิดบาปเกิดกรรม
พวกท่านไม่ปรากฏให้เห็นง่ายขนาดนั้น
แต่ถ้าหมั่นเข้าวัด
ชอบตระเวนไปทำบุญแบบไม่เลือกวัด อันนั้นมีสิทธิ์ครับ
เป็นไปได้ที่วันหนึ่งคุณอาจปะเหมาะเคราะห์ดี
ได้พบพระอรหันต์ที่ยังมีลมหายใจอยู่ในโลก เพราะวัดและป่าคือบ้านของพระอรหันต์
อย่างไรก็ตาม
ในสมัยพุทธกาลมีประวัติมาแล้ว ว่าพระอรหันต์ชื่อปิลินทวัจฉะท่านติดปาก
ชอบเรียกใครต่อใครหยาบๆคายๆ ร้อนถึงพระกรรณของพระพุทธองค์
เมื่อชาวบ้านมาฟ้องว่าพระรูปนี้พูดจาไม่สำรวม ไม่เหมาะแก่สมณรูป
พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องประกาศว่าพระรูปดังกล่าวหมดจดจากกิเลสแล้ว
แต่ยังละความเคยชินทางวาจาไม่ได้ ท่านก็พูดแบบเดิมๆด้วยอำนาจความเคยชิน
โดยไม่มีจิตประทุษร้ายเยี่ยงผู้ยังมีโทสะเจืออยู่แต่ประการใด
สรุปว่าถ้าคุณเจอพระอรหันต์
คุณอาจเข้าใจผิดว่าท่านไม่ใช่ เช่นเดียวกับที่ครั้งพุทธกาลเคยมีชาวเมืองเข้าใจผิดพระอรหันต์มาแล้ว
ถ้าเช่นนั้นคนธรรมดาที่ไม่ใช่พระอรหันต์อย่างเราๆท่านๆ
จะดูพระอรหันต์ด้วยตาเปล่าได้อย่างไร? อันนี้พอมีหลักอยู่บ้าง ถ้าดูด้วยตาเปล่า
เราไม่มีทางรู้แน่ๆว่าใครเป็นพระอรหันต์ แต่เรารู้ได้แน่ๆว่าใคร ‘ไม่ใช่’
พระอรหันต์
หลักดังกล่าวเป็นที่เปิดเผยโดยพระอรหันต์ผู้ใกล้ชิดพระพุทธเจ้า
นามว่า ‘อานนท์’ ท่านกล่าวไว้ในครั้งหนึ่ง ว่าภิกษุใดเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ
อยู่จบพรหมจรรย์ มีภาระอันปลงลงแล้ว ถึงประโยชน์สูงสุดสำหรับตนแล้ว
สิ้นกิเลสอันเป็นตัวก่อภพแล้ว ภิกษุนั้นจะไม่มีประพฤติกรรมดังต่อไปนี้ คือ
๑) ไม่อาจแกล้งปลงชีวิตสัตว์
๒)
ไม่อาจถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน
๓)
ไม่อาจมีเพศสัมพันธ์
๔)
ไม่อาจกล่าวเท็จทั้งรู้
๕)
ไม่อาจเป็นผู้สั่งสมเครื่องบันเทิงเริงรมย์เหมือนเมื่อครั้งก่อนบวช
พฤติกรรมต้องห้ามสำหรับพระอรหันต์ทั้ง
๕ ข้อนี้ ถ้าปรากฏในผู้ใด ก็นับว่าไม่ใช่พระอรหันต์เด็ดขาด
เนื่องจากความเป็นอรหันต์นั้น เป็นแล้วเป็นเลย ไม่มีการกลับเสื่อมลงได้
ดังเช่นที่พระอานนท์กล่าวเปรียบไว้ ว่าเหมือนมือและเท้าของใครสักคนขาดไป
เขาจะเดินอยู่ก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับแล้วก็ดี ตื่นอยู่ก็ดี
มือและเท้าก็เป็นอันขาดอยู่เสมอ ไม่อาจกลับงอกขึ้นใหม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น
ผู้เป็นอรหันต์แล้วย่อมไม่กลับมีกิเลสกำเริบขึ้นใหม่
ไม่ว่าจะอยู่ในอาการใดๆจนชั่วชีวิต
ส่วนถ้าคุณจะ
‘รู้จริง’ ด้วยตนเองว่าใครเป็นพระอรหันต์ ก่อนอื่นคุณต้องเป็นพระอรหันต์
และไม่ใช่พระอรหันต์เปล่าๆ แต่ต้องรู้วาระจิตคนอื่นได้ด้วย
เหมือนเช่นที่พระมหากัสสปะ
ซึ่งเป็นอรหันต์เอกองค์หนึ่งของโลกเคยกล่าวไว้ว่าภิกษุในธรรมวินัยนี้
เมื่อสามารถพยากรณ์อรหัตผลของตนเอง บอกได้จากจิตว่าชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว
ก็ไม่เป็นเรื่องแปลกที่จะเป็นผู้ทรงฌาน และเป็นผู้ฉลาดในการกำหนดรู้จิตผู้อื่น
เมื่อใดใครกล่าวอ้างว่าสำเร็จเป็นพระอรหันต์
พระอรหันต์ตัวจริงท่านก็รู้แต่แรกว่าใช่หรือไม่ใช่
แต่แทนการด่วนกล่าวให้โกรธเคืองกัน ท่านก็จะเมตตาไล่เลียง ซักถามภิกษุนั้น
ด้วยอุบายประการต่างๆ จนกว่าผู้เข้าใจผิดจะรู้สึกตัว ว่าความสำคัญตนผิดนั้นเป็นโทษ
เป็นเหตุให้ไม่ปฏิบัติเพื่อความเจริญ กระทั่งถอนความเห็นผิดเสียได้เด็ดขาด
จะได้พากเพียรเจริญสติให้ถูกทางกันต่อ
มักมีผู้สงสัยว่าพระอรหันต์ท่านสัมผัสว่าใครเป็นอรหันต์ด้วยกันแบบไหน
อันนี้หากกล่าวเป็นขั้นๆ ตามสัมผัสอันเกิดจากกระแสจิตของปุถุชนและอริยบุคคล
เรียงลำดับจากต่ำไปหาสูง ก็คงพออนุมานได้ดังนี้
๑)
ปุถุชนผู้มีราคะและโทสะกล้าแข็งขนาดยอมผิดศีลได้
ย่อมมองออกว่าใครมีราคะและโทสะกล้าแข็งขนาดยอมผิดศีลได้
กับทั้งเป็นพาลพอจะเหมาว่าคนทั้งโลกก็อาจผิดศีลได้เหมือนตนหากถูกเร้าใจมากพอ
๒) กัลยาณชนผู้มีความดีงาม
ย่อมมองออกว่าใครมีความดีงาม
แต่จะมองไม่ออกว่าใครบ้างที่ว่างจากความยึดมั่นว่ากายใจเป็นตัวตน
๓)
อริยบุคคลชั้นโสดาบันผู้สามารถสัมผัสนิพพานเพราะว่างจากอาการยึดมั่นว่ากายใจเป็นตน
ย่อมมองออกว่าใครว่างจากอาการยึดมั่นว่ากายใจเป็นตน แต่ยังไม่อาจรู้ได้ว่าใครบ้างมีราคะ
โทสะ โมหะเบาบางลงแล้ว เพราะตนเองยังมีราคะ โทสะ และโมหะได้เท่าเดิม
๕)
อริยบุคคลชั้นสกทาคามีผู้มีราคะ โทสะ และโมหะเบาบางลงแล้ว ย่อมมองออกว่าใครมีราคะ
โทสะ โมหะเบาบางลงแล้ว แต่ยังไม่อาจรู้ได้ว่าใครบ้างที่สิ้นราคะและโทสะ
๖)
อริยบุคคลชั้นอนาคามีผู้หมดความยินดีในกามคุณ และมีใจอันว่างจากการถูกกระทบกระทั่ง
ย่อมมองออกว่าใครละกามคุณได้แล้ว และมีใจอันปลอดจากการกระทบกระทั่งแล้ว
แต่ยังไม่อาจรู้ได้ว่าใครละความรู้สึกว่าเป็นตนได้เด็ดขาด
๗)
อริยบุคคลชั้นอรหันต์ผู้ทรงฌาน มีความสามารถล่วงรู้วาระจิตคนอื่นได้แจ่มแจ้งแทงตลอด
ย่อมรู้ได้ว่าจิตอันรู้ตื่นเบิกบานถาวรเช่นตนเป็นอย่างไร
กับทั้งมองลงมาเห็นระดับจิตที่ต่ำกว่าตนได้ทะลุปรุโปร่ง แยกแยะถูกว่าใครเป็นปุถุชน
เป็นกัลยาณชน หรือเป็นอริยบุคคลชั้นไหนๆ
พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรม
ผู้นั้นเห็นพระองค์ นี่ถือเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพุทธศาสนา
พระอรหันต์ท่านมีประสบการณ์ทางจิตอย่างไรไม่มีใครในระดับจิตต่ำกว่าท่านจะไปล่วงรู้ได้
เรารู้เพียงคำพูดว่าพวกท่านมีจิตที่พรากแล้วจากกายใจ ไม่ยึดแล้วว่ากายใจเป็นตัวตน
จึงได้แต่อนุมาน ว่าพวกท่านมองตัวเองด้วยความรู้สึกประมาณเดียวกับที่คุณมองคนอื่น
ถ้านี่เป็นมุมมองที่แปลกประหลาดและยากจะจินตนาการ ก็แปลว่าเป็นเรื่องอจินไตย
คือคุณ ‘ไม่ควรคิด’ ว่าเป็นอย่างไรเพียงด้วยการอาศัยประสบการณ์สามัญของตนเองครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น