วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ควรดูใจกันก่อนตายไหม (ดังตฤณ)

ถาม : อ่านจากที่คุณดังตฤณเคยเขียนไว้ในหนังสือ ‘เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน’ ว่าการส่งคนตายให้ได้ไปดี คือการทำให้เขามีจิตใจปลอดโปร่ง ตัดห่วงตัดอาลัยในโลกมนุษย์ และถ้าเป็นไปได้ก็ควรให้ตัดห่วงตัดอาลัยในภพภูมิทั้งหลายไม่ว่าสูงหรือต่ำด้วย อย่างนี้ถ้าญาติมิตรอันเป็นที่รักมีโอกาสไปรุมล้อมและฟังคำสั่งเสียของคนใกล้ตาย แล้วพวกเขาห้ามใจกันไม่ได้ ต้องร้องห่มร้องไห้ ส่งเสียงวิงวอนให้คนใกล้ตายอยู่ต่อ ทำให้คนใกล้ตายจิตใจเศร้าหมอง มิเป็นการทำบาปต่อผู้ตายหรือ? หากเป็นบาป ก็น่าคิดว่าแล้วจะทำอย่างไรกันล่ะ? เพราะตามธรรมเนียมแล้ว ถ้าทำได้ก็ควรได้ไปล่ำลา ไปดูใจกันเป็นครั้งสุดท้ายมิใช่หรือ? แต่ไปแล้วห้ามปากห้ามใจไม่อยู่ ก็เท่ากับผิดหลักการส่งคนตายที่ดีอีก ในความเห็นของคุณดังตฤณควรให้เป็นเช่นไร?

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๙

ดังตฤณ: 
ก่อนอื่นต้องออกตัว ว่าหลักการส่งคนตายที่ผมเขียนไว้ในหนังสือ ก็อย่างที่ระบุไว้แล้วว่าเป็นแนวอุบายของพระพุทธเจ้าท่านนะครับ ผมไม่ได้คิดเอง เพียงนำมาบอกคุณๆเท่านั้น ถ้าอยากได้วิธีส่งคนตายที่ดีที่สุดในโลก ก็ขอให้เชื่อพระพุทธองค์ซึ่งทรงหยั่งทราบอุบายธรรมอันสว่างดีกว่าใครทั้งหมด นั่นคือให้ซักถามคนใกล้ตายว่ายังห่วงอะไร ก็หาทางพูดให้เขาคลายห่วง คลายพะวง เช่นถ้ายังห่วงลูกเมีย ก็บอกเขาว่าลูกเมียจะไม่อยู่ในโลกนี้ตลอดไป วันหนึ่งก็ต้องตายตามเขาเหมือนกัน นอกจากนั้นก็ควรชักจูงให้คิดถึงโลกสวรรค์ที่ดีกว่าโลกมนุษย์ กับทั้งลงท้ายเหนี่ยวนำให้เห็นการเกิดในภพใดๆไม่เป็นสุข ต้องจากตายหายสูญจากโลกนั้นๆกันถ้วนหน้า คลายจิตจากความยึดมั่นถือมั่นในกายใจนี้และกายใจอื่นๆเสียเป็นดีที่สุด

สรุปคือพูดเหนี่ยวนำให้คนใกล้ตายตัดความอยากอยู่ต่อ และตัดความอยากเกิดใหม่ได้ นับว่าประเสริฐแท้ เพราะจิตที่คลายความยึดมั่นในความมีความเป็นทั้งหลาย คือจิตที่สว่าง พ้นจากทุคติแน่นอน และแม้ยังมีกำลังส่งไม่ถึงนิพพาน อย่างน้อยก็เที่ยงที่จะไปดี มีสุคติเป็นที่หวังได้ กับทั้งจะเป็นสัญญาณนำร่องไปสู่ความเป็นผู้เห็นถูกเห็นชอบ แสวงทางพ้นทุกข์อย่างถูกทางในกาลต่อๆไป อาจกล่าวได้ว่าวาระแห่งการส่งคนตาย คือวาระอันเหมาะควรแก่การให้ที่พึ่งสำคัญสูงสุดกับบุคคลอันเป็นที่รักของเรา

ที่นี้มาดูความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในโลก ทุกวันมีคนตาย และคนตายจำนวนหนึ่งก็มีโอกาสพบญาติในวาระสุดท้ายก่อนลมหายใจสิ้นจากร่าง บรรดาญาติมิตรอันเป็นที่รักเขาทำอะไรกัน? พวกเขาพากันร้องไห้ระงมเป็นจักจั่น นั่นเท่ากับสร้างภพแห่งความอาลัยขึ้นในจิตของผู้ตายชัด ยิ่งถ้าคนใกล้ตายซวยหน่อย เจอญาติวิกลจริตส่งเสียงปี๊ดๆ พร่ำแต่ร้องว่าอย่าตายๆ ก็จะยิ่งใจไม่ดี เหมือนโดนห้ามไม่ให้โดดลงเหว การที่คนเราใจไม่ดีตอนสายตากำลังพร่าพรายนี่ หูหาเรื่องง่ายนะครับ เสียงปี๊ดๆอาจฟังคล้ายเปรตเป่านกหวีดเรียกให้ไปเป็นพวกเร็วๆก็ได้

คนกำลังจะตาย ฝ่ายคนเป็นก็มารั้งแข้งรั้งขา หน่วงเหนี่ยวไว้จนจิตเขาดิ้นรนอยากอยู่ต่อ จิตที่ดิ้นรนนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า? แล้วจิตที่เป็นทุกข์ มีความเศร้าหมอง มีความยึดติดอาลัยในภพเดิม จะมีกำลังอ่อนแอหรือแข็งแรงเล่า? แล้วจิตอ่อนแอที่ไหนจะระลึกนึกถึงบุญกุศลอันน่าเบิกบานปีติยินดีได้?

สรุปคือส่วนหนึ่งที่คนตายไม่ค่อยได้ไปดี ก็เห็นทีจะต้องโทษบรรดาญาติๆที่ไม่ค่อยเห็นใจคนตาย ไม่รู้วิธีทำให้คนตายสบายใจนี่แหละ นี่ยังไม่นับพวกที่ไปตีกันในห้องคนไข้นะครับ เห็นพ่อแม่ร่อแร่เจียนอยู่เจียนไป ไม่ทันไรก็ทวงถามกันต่อหน้า ทำพินัยกรรมไว้หรือยัง? จ้างทนายที่ไหนทำ? ที่ดินตรงโน้นกับรถคันนั้นเป็นของน้องหรือของหนู? ฯลฯ ยิ่งถ้าได้รู้ความจริงว่าตัวเองได้น้อย คำถามระคายโสตจะยิ่งโถมเข้ากระแทกแก้วหูคนใกล้ตายอย่างไม่ปรานีปราศรัย นั่นคือธรรมดากิเลสมนุษย์ รู้ๆกันอยู่ แต่ที่ไม่ค่อยจะรู้กัน ก็คือเรื่องร้อนรุมเร้าคนใกล้ตาย อาจเป็นมหันตภัยใหญ่กับเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบสูงสุดทีเดียว!

หากถามถึงความเหมาะสมหรือแนวปฏิบัติว่าควรทำเช่นไร ผมคงบอกได้เป็นกลางๆแค่ว่าการมีญาติมิตรลูกหลานห้อมล้อมพร้อมหน้าพร้อมตานั้น ยังเป็นสิ่งสมควร หากขาดไปจะเป็นการละเลยและดูดาย แต่ถ้าเห็นแก่คนตายจริงๆ ก็ขอให้หลีกเลี่ยงคำพูดสะเทือนใจทั้งหลายเถิด

ร้องไห้น่ะไม่เป็นไรนะครับ ดีเหมือนกัน คนตายจะได้รู้ว่ามีคนอาลัย แต่เตรียมๆคำพูดไว้หน่อย อย่าพร่ำเพ้อแบบนึกอยากพูดอะไรก็พูด หรือขออะไรที่คนตายให้กับเราเป็นครั้งสุดท้ายไม่ได้ เช่น ‘อย่าเพิ่งตายนะครับ’ หรือ ‘อยู่กับหนูต่อเถอะได้โปรด’ ขอให้อดกลั้นไว้ หันมาพูดแสดงความอาลัยในแบบที่ก่อความรู้สึกด้านดี เช่น ‘รอผมบนสวรรค์นะครับ’ หรือ ‘แล้วหนูจะพยายามทำบุญตามไปข้างบนนะคะ’ คำสั้นๆที่ออกมาจากใจจริงจะมีผลใหญ่เกินกว่าที่คุณคิด ขนาดที่จิตคนตายอาจยึดไว้เป็นเข็มทิศนำทางทีเดียว


แต่ที่ประเสริฐกว่านั้นคือคุณข่มความอาลัยไว้ได้ สะกดก้อนสะอื้นไม่ให้เจือในน้ำเสียง พูดอย่างอบอุ่นคงเส้นคงวา เช่น ‘ไม่ต้องห่วงผมแล้ว อย่ายึดอะไรไว้อีกเลย วันหนึ่งผมก็จะจากโลกนี้ไปอย่างไม่อาลัยเหมือนกัน’ หรือ ‘ตามพระพุทธเจ้าไปถึงนิพพานอันไม่เกิดไม่ตายนะคะ’ ถ้าได้อย่างนี้หรือประมาณนี้ เสียงของคุณอาจปรุงแต่งจิตให้คนตายคลายความยึดติดทั้งหลาย และกลายเป็นผู้ที่มีความสุขหลังความตายในระดับที่คุณนึกไม่ถึง!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น