วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ขอหลักฐานได้มรรคผลง่ายใกล้ตาย(ดังตฤณ)

ถาม : คุณดังตฤณเคยกล่าวไว้ในคอลัมน์เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว ว่าขณะตายเป็นจังหวะที่มีโอกาสดียิ่งในการบรรลุมรรคผล แม้ผู้บำเพ็ญเพียรวิปัสสนามาเพียงเล็กน้อยก็มีสิทธิ์เข้าถึงกันได้ อยากทราบว่าตรงนี้มีตัวอย่างยืนยันจากในคัมภีร์หรือไม่?

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๙

ดังตฤณ: 
ในคัมภีร์มีอยู่หลายแห่งครับ ขอยกเฉพาะธนัญชานิสูตร ซึ่งเป็นบันทึกเกี่ยวกับพราหมณ์ชื่อธนัญชานิมาเป็นแหล่งอ้างอิง เพราะเห็นว่าครอบคลุมประเด็นน่าสนใจเกี่ยวกับการส่งคนตายไว้หลายข้อ ต้องเล่าเป็นการปูพื้น ว่าพระพุทธเจ้ามี ‘มือขวา’ ซึ่งเป็นเลิศทางปัญญาอยู่ท่านหนึ่ง นามว่า ‘สารีบุตร’ สำหรับพระสารีบุตรนี้ว่ากันว่าท่านฉลาดจำแนกธรรมอย่างที่สุด จะเป็นรองก็แต่พระพุทธเจ้า ช่วยให้คนสำเร็จฌาน สำเร็จมรรคผลมานักต่อนัก เพียงด้วยลีลาเทศนาธรรมอันกระจ่างชัดเฉียบแหลม

ผลงานชิ้นหนึ่งของพระสารีบุตรคือกลับใจคนเห็นผิดอย่างธนัญชานิให้กลายเป็นคนเห็นถูกเห็นชอบ คือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากเดิมที่ไม่ประกอบด้วยความเข้าใจอันถูกต้อง เป็นพฤติกรรมที่ประกอบด้วยความเข้าใจอันถูกต้องได้ เมื่อยอมรับเป็นครูเป็นศิษย์กันเรียบร้อย ในกาลต่อมาธนัญชานิล้มป่วยลงและเห็นท่าว่าตนจะไปไม่รอดแน่ จึงส่งคนไปนิมนต์พระสารีบุตรผู้เป็นพระอาจารย์มาดูใจตน ซึ่งการนี้พระพุทธเจ้าก็ทรงรับทราบ เนื่องจากธนัญชานิสั่งคนให้ทูลแจ้งข่าวอาการตรีทูตของตนแก่พระองค์ด้วย

พอพระสารีบุตรรับนิมนต์ เดินเท้าไปถึงบ้านคนป่วย ก็ไถ่ถามถึงอาการของธนัญชานิ ว่ายังพอทนไหวไหม เจ็บปวดเป็นทุกข์มากขึ้นหรือน้อยลงแค่ไหนอย่างไร

ธนัญชานิได้ยินพระอาจารย์ถามเช่นนั้นก็ตอบแบบหมดอาลัยตายอยาก ว่าคงทนอีกได้ไม่นานแล้วขอรับพระคุณเจ้า น่าจะทำกาละเร็วๆนี้เอง เพราะความเจ็บปวดทุกข์ทรมานมีแต่จะทวีกำลังกล้าแข็งขึ้นทุกที ไม่เห็นวี่แววว่าจะลดระดับลงเลย ราวกับใครเอาเหล็กแหลมคมมาจี้หัว มีลมเสียดแทงหัว นอกจากนั้นที่ท้องยังเหมือนโดนคนเอามีดเชือด มีลมเสียดแทงท้อง เนื้อตัวร้อนราวกับกำลังโดนย่างในหลุมถ่านเพลิงก็ไม่ปาน

พระสารีบุตรเห็นธนัญชานิร่อแร่ต้องไปแน่เช่นนั้น ก็ไม่เห็นว่ามีอะไรดีไปกว่าการชวนธนัญชานิพูดคุยเรื่องภพภูมิ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเห็นตาม โดยเริ่มจากการถามว่า ถ้าเปรียบเทียบระหว่างนรกภูมิกับเดรัจฉานภูมิ อย่างไหนดีกว่ากัน ซึ่งตามความรู้ความเข้าใจอันถูกต้องแล้วของธนัญชานิ ก็ทำให้เขาสามารถตอบพระสารีบุตรได้ ว่าเดรัจฉานภูมิย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน (เพราะไม่ต้องทนเร่าร้อนด้วยไฟแผดเผาของขุมนรก)

จากนั้นก็ไล่ลำดับสูงขึ้นมา ระหว่างเดรัจฉานภูมิกับเปรต อย่างไหนดีกว่ากัน ธนัญชานิก็ตอบว่าเปรตดีกว่า (เพราะมีโอกาสสบายบ้างไม่จมอยู่กับอัตภาพคับแคบเหม็นเน่าตลอด) เมื่อเทียบระหว่างเปรตกับมนุษย์ มนุษย์ดีกว่าเปรต (เพราะสบายกว่าและบำเพ็ญบุญศึกษาธรรมได้) เมื่อเทียบระหว่างมนุษย์กับเทวดา เทวดาดีกว่ามนุษย์ (เพราะสบายกว่าและเสพสุขอันเป็นทิพย์) และสุดท้ายระหว่างเทวดากับพรหม ธนัญชานิก็ตอบได้อย่างถูกต้องว่าพรหมดีกว่าเทวดา (เพราะอายุยืนและมีจิตผ่องแผ้วไม่เกลือกกลั้วอยู่ด้วยกามคุณ)

พระสารีบุตรเล็งเห็นว่าธนัญชานิยังมีความปรารถนาภพภูมิ และธนัญชานิก็มาติดอยู่ที่ความเห็นว่าพรหมเป็นภพภูมิที่ดี ที่ประเสริฐ ที่น่าไป พระสารีบุตรจึงแสดงหนทางที่จะดำเนินจิตเพื่อให้ได้เป็นสหายของเหล่าพระพรหม คือแผ่เมตตาออกไปไม่มีประมาณ ทั้งซ้าย ขวา หน้า หลัง บน ล่าง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วทุกเหล่าสัตว์ไม่เลือกหน้า กระทั่งน้ำจิตไม่คิดร้าย ไม่ผูกเวรแล้ว ไม่นึกถึงการเบียดเบียนใดๆแล้ว

จูงจิตธนัญชานิด้วยคำพูดอยู่พักหนึ่ง กระทั่งธนัญชานิรู้ว่าจะกำหนดจิตอย่างไรให้เป็นฌานชั้นต้น พระสารีบุตรก็หลีกไป จิตอันใกล้ดับของธนัญชานิก็สงบลง บรรลุถึงฌานที่เรียกว่าอัปปมัญญาสมาบัติ จากนั้นจึงขาดใจตายด้วยความสุขอันยิ่งใหญ่ เข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหม หมดความทุกข์ หมดความเจ็บปวดทางกาย ทิ้งซากศพไว้ในโลกนี้โดยปราศจากความใยดีเท่ากระผีกริ้น

พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยพระญาณ ว่าธนัญชานิถึงกาลแตกดับจากความเป็นมนุษย์แล้ว แต่แทนที่จะได้ประโยชน์ชั้นสูง กลับไปติดอยู่แค่พรหมโลกชั้นต่ำ เนื่องจากไปด้วยกำลังแห่งปฐมฌาน ซึ่งยังไม่ประณีตละเอียดเหมือนพรหมชั้นสูงกว่านั้น

พระศาสดาปรารถนาจะให้กรณีนี้เป็นตัวอย่าง เผื่อภิกษุใดมีโอกาสส่งคนตายอีก ท่านจึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายให้มาประชุมพร้อมกัน และเปิดเผยว่าธนัญชานิทำกาละแล้ว แต่ไปติดอยู่แค่พรหมภูมิชั้นต่ำ

ในเวลาต่อมาเมื่อพระสารีบุตรกลับมาเข้าเฝ้า พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสถามเป็นเชิงสอบสวน ว่าสารีบุตร ทำไมเธอจึงประดิษฐานธนัญชานิพราหมณ์ไว้แค่ที่พรหมโลกชั้นต่ำเล่า ในเมื่อเธอยังสามารถส่งเขาขึ้นสูงได้ยิ่งกว่านั้น?

พระสารีบุตรทูลตอบพระพุทธองค์ด้วยความเคารพ ว่าท่านมีความเห็นว่าพราหมณ์ทั้งหลายต่างก็น้อมใจไปในพรหมโลกด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นท่านเลยแสดงหนทางอันถูกต้องไปสู่ความเป็นสหายแห่งพรหม

ฟังพระสารีบุตรทูลตอบเช่นนั้น พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ว่าอะไร ยืนยันรับรองว่าธนัญชานิได้ไปถึงความเป็นพรหม สมความตั้งใจของพระสารีบุตรแล้ว

จากเรื่องบันทึกเกี่ยวกับธนัญชานิพราหมณ์ ผมมีข้อสังเกตให้พิจารณาดังนี้

๑) คนป่วยใกล้ตายมีทุกขเวทนาแสนสาหัส ไม่ได้เป็นเครื่องหมายว่าเขากำลังจะไปนรก หากจิตของเขากำหนดไว้ดี มีกำลังใจระลึกถึงความดีได้ ก็ย่อมมีที่หมายอันดีได้ และการโน้มน้าวจิตใจคนใกล้ตาย ก็อาจตั้งต้นกันที่การสาธยายเรื่องภพภูมิต่างๆ ซึ่งตรงนั้นนะครับ จิตคนใกล้ตายจะสำเหนียกรู้สึกถึงความจริงเกี่ยวกับภพภูมิต่างๆได้ชัดเจนกว่าเราๆท่านๆ ที่ต่างก็สำคัญว่าคงยังอยู่กันอีกนาน ทั้งนี้เนื่องจากภาวะใกล้สิ้นสุดภพหนึ่ง เป็นสัญญาณบอกด้วยตนเองอยู่แล้ว ว่าภพชาติมี และกำลังจะสิ้นสุดจากภาวะหนึ่งไปสู่ภาวะหนึ่ง เพียงด้วยการชวนคุยเปรียบเทียบภพภูมิต่างๆ ไล่จากต่ำขึ้นไปหาสูง มีผลใหญ่หลวงกับคนใกล้ตายเกินกว่าที่คุณจะนึกถึง

๒) ระหว่างมีชีวิต หากทำทุนไว้อย่างเพียงพอ ก็มีสิทธิ์เลือกภพภูมิได้พอดีกับทุนนั้นๆ ซึ่งก็เป็นไปตามความพอใจเป็นหลัก อย่างเคยมีพระราชาองค์หนึ่ง ระลึกได้ว่าท่านเคยเป็นเทวดาชั้นต้น แม้เมื่อท่านทำบุญใหญ่ระดับอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา แถมได้เป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบันแล้ว มีสิทธิ์เลือกไปเป็นเทวดาชั้นสูงสุดได้ท่านก็ไม่ไป จะเอาแค่เทวดาชั้นต้น ด้วยความผูกพันเดิมๆ สำหรับธนัญชานิพราหมณ์ก็ทำนองเดียวกัน แม้เขานับถือพระสารีบุตรเป็นอาจารย์ ถึงขนาดนิมนต์ให้มาดูใจเป็นคนสุดท้ายแล้ว ก็ยังไม่คลายจากความยินดีในวิสัยแห่งพรหมตามความเชื่อดั้งเดิมแบบพราหมณ์ ความเชื่อนั้นเองเป็นทุนให้น้อมจิตด้วยความเต็มใจยิ่ง ยินดีแต่การแผ่เมตตา ปราศจากเวร ปราศจากความผูกพยาบาทกับใครๆในโลก ก็ขึ้นไปสู่ความเป็นพรหมได้ในที่สุด ตรงนี้แสดงว่าการถึงฌานเป็นไปได้ง่ายแก่คนใกล้ตาย ทั้งที่อาจจะไม่เคยฝึกปรือหรือมีชั่วโมงบินมาก่อน

๓) แม้ส่งคนไปพรหมโลกได้ ทางพุทธศาสนาก็ยังถือว่าไม่น่าพอใจ เพราะแก่นอันเป็นที่สุดของพุทธศาสนาคือการหมดทุกข์หมดโศกอย่างสิ้นเชิง หลุดพ้นจากทุกภพภูมิเข้าสู่มหานิพพานอันเกินจินตนาการของใครๆ และการจะเข้าถึงนิพพานได้นั้น ก็ต้องบรรลุมรรคผล คือจิตต้องมีปัญญา รู้ชัดเฉพาะหน้ากายใจนี้ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน กับทั้งต้องมีสติและสมาธิอย่างเอกอุระดับฌานด้วย นั่นหมายความว่าก่อนตายถ้าปล่อยวางกายใจ ปล่อยวางภพภูมิทั้งหลายเสียได้ด้วยจิตที่พร้อมจะเป็นฌานง่ายๆอยู่แล้ว ก็บรรลุมรรคผลกันสดๆโดยไม่ลำบาก

มีเรื่องคนใกล้ตายเจริญสติจนเป็นพระอรหันต์ก่อนจิตดับอยู่ไม่น้อยครับ ท่านไม่ทำอะไรมาก แค่ไม่คำนึงถึงความกระสับกระส่าย ไม่กลัวตาย ตั้งสติกำหนดดูเฉพาะทุกข์ทางกาย ที่เดี๋ยวหนักบ้าง เดี๋ยวเบาบ้าง พอรู้ชัดว่าความทุกข์ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงสภาวะทางธรรมชาติที่แปรปรวน เกิดได้ด้วยเหตุ ในที่สุดก็ต้องดับลงเป็นธรรมดา จิตใกล้ตายก็ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นได้ถึงที่สุด ไม่ห่วงไปข้างหลัง ไม่หวังไปข้างหน้า นั่นแหละจึงยกระดับเป็นพระอรหันต์ขีณาสพผู้หมดกิเลสองค์หนึ่ง


พระพุทธเจ้าท่านก็เคยตรัสไว้ ว่าวิธีส่งคนตาย ไม่มีอะไรดีไปกว่าทำให้เขาสบายใจ ปลดความหวง ความห่วงใยใดๆในโลกที่กำลังจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ยกจิตให้สูงถึงสวรรค์ และจูงจิตให้เห็นว่าแม้สวรรค์กับพรหมก็ไม่เที่ยง อยู่ที่นั่นแล้วเดี๋ยวก็ต้องจากไปที่อื่นอีก ต่างจากการไม่ยึดความมีความเป็นใดๆเลย ซึ่งนั่นแหละ หากความห่วงข้างหลังและความไม่หวังข้างหน้าแก่กล้าพอ จิตก็เป็นอิสระถึงที่สุดได้ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น