ถาม : ปัจจุบันมีช่องทางเผยแผ่ธรรมะผ่านภาพและเสียงได้กว้างขวาง
ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ อินเตอร์เน็ต และซีดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งซีดีเสียงซึ่งกำลังได้รับความนิยม เพราะนำไปฟังในรถได้สะดวก
ตามความเข้าใจ
ผู้เป็นเจ้าของเสียงน่าจะได้ชื่อว่าทำบุญโดยให้เสียงเป็นทานใช่หรือไม่? ผลที่เกิดจากการให้เสียงเป็นทานคืออะไร?
เหตุใดแต่ละคนประกอบบุญทางเสียงเหมือนๆกันแต่มีเสียงน่าฟังไม่เท่ากัน?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๖
ดังตฤณ:
คำถามนี้มีมาจากหลายคน
ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าปัจจุบันชาวพุทธนิยมสื่อธรรมะทางเลือกกันมากขึ้น
เพราะรูปแบบชีวิตการทำงานกับกำลังใจของคนในเมืองไม่ค่อยเอื้ออำนวยให้รับชมรับฟังรายการวิทยุโทรทัศน์ธรรมะช่วงตีห้าสักเท่าใด
ผมขอรวมตอบโดยเกลาคำถามใหม่ให้รวบรัด โดยไม่จำเพาะเจาะจงเป็นกรณีพิเศษใดๆนะครับ
กรรมที่ทำด้วยเสียงนั้น
วิบากหลักย่อมเกี่ยวกับเสียง วิบากรองๆย่อมแปรไปตามเหตุปัจจัย ถ้าเสียงนั้นเป็นคุณ
ก็ย่อมได้คุณภาพเสียงที่ดีเป็นวิบาก แต่ถ้าเสียงนั้นเป็นโทษ
ก็ย่อมได้วิบากเป็นคุณภาพเสียงที่ต่ำหรือแย่ไปแทน
ธรรมะจัดเป็นสิ่งที่ฟังแล้วได้ประโยชน์สูงสุด
เนื่องจากเปลี่ยนความเข้าใจผิดให้เป็นถูกได้ เปลี่ยนอกุศลให้เป็นกุศลได้
รวมทั้งเปลี่ยนคนไม่มีโอกาสรับรู้ให้เป็นคนมีโอกาสรับรู้ได้
เช่น
บางคนขาดความอดทนพอจะอ่านหนังสือธรรมะ บางคนเสื่อมสมรรถภาพทางประสาทตา
บางคนไม่มีเวลาอ่านเพราะงานรัดตัว
จำเป็นต้องพึ่งพารายการวิทยุหรือซีดีเสียงเท่านั้น
(เท่าที่เห็นจริงๆคือบางคนอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง
แต่พอฟังซีดีแล้วกลับรู้เรื่องขึ้นมาด้วยอารมณ์ติดใจคล้อยตามน้ำเสียงคนอ่านก็มี)
ดังนั้นถ้าทำธรรมทานด้วยเสียง
ก็ย่อมให้ผลสูงสุดเหนือกว่าวจีกรรมประเภทใดๆ
หากธรรมทานที่ทำมีน้ำหนักแรงพอจะส่งผลในชีวิตปัจจุบันทันตา
อันดับแรกๆบุญจะไปตกแต่งดัดแปลงทั้งเสียง
ทั้งน้ำหนักคำพูด จากนั้นจึงขยายผลไปถึงเรื่องแวดล้อมอื่นๆ เช่น ฐานะความเป็นอยู่
สังคมแวดล้อม คนรัก สุดแท้แต่เหตุปัจจัยจะอำนวย
โดยมากที่จะเห็นผลเร็วคือพวกมีฐานของกุศลวิบากเกี่ยวกับเสียงเป็นทุนอยู่ก่อน
แต่หากไม่มีฐานพอจะรองรับ ก็รวบรัดไปให้ผลทีเดียวในชาติถัดๆไป
คือเกิดใหม่มีคุณภาพเสียงโดดเด่น
ขั้นต่ำคือไม่น้อยหน้าใครในประเทศ
ขั้นสูงคือเป็นที่หนึ่งในระดับโลก จะเป็นรองก็แค่เทวดานางฟ้าเท่านั้น
นอกจากทุนเก่าที่ต่างกันแล้ว
ปัจจัยที่ทำให้ผลของการให้เสียงเป็นธรรมทานแตกต่างกันได้แก่
๑)
เจตนาตั้งต้น
คือคิดให้ประโยชน์กับคนอื่นหรือหวังประโยชน์ทางใดทางหนึ่งเข้าตน
ถ้าจุดหมายหลักคือเพื่อคนอื่น เสียงจะฟังรื่นหูน่าชื่นใจ
แต่ถ้าตั้งต้นด้วยความหวังเอาเข้าตัวเอง แม้เสียงจะไพเราะก็ไม่เย็นชื่นใจได้เท่า
อีกประการหนึ่ง
หากตั้งความหวังให้ธรรมทานทางเสียงของตนเผยแพร่เป็นประโยชน์ไปในคนหมู่มาก
คือทำทานด้วยความเข้าใจว่าเสียงนี้จะเป็นประโยชน์กับหมู่คนตาบอด
เสียงนี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่ถนัดฟังธรรมะตอนรถติด เสียงนี้จะเป็นประโยชน์กับคนชราที่สายตาฝ้าฟาง
ฯลฯ
โดยย่นย่อคือมีน้ำจิตประกอบด้วยเมตตาไพบูลย์
ผลจะเป็นความกังวานกว้าง ถ้ามีโอกาสขึ้นพูดในที่ชุมนุมใหญ่จะเห็นผลชัด
คือเรียกความสนใจจากคนหมู่มากให้เงี่ยฟังได้ไม่ยาก
๒)
ความเข้าใจธรรมะ
เสียงที่ประกอบด้วยความเข้าใจ มีผลต่อความหนักแน่น คมชัด แจ่มใส
บางคนแม้อ่านก็เหมือนสักแต่อ่าน กขค. นกแก้วนกขุนทองไปอย่างนั้น
นั่นจะส่งผลกับเสียงด้วย
คือแม้เสียงเพราะ
แต่ก็ขาดน้ำหนักน่าเชื่อถึงที่สุด หรือขาดแรงดึงดูดให้ติดใจคล้อยตาม
การมีความเข้าใจธรรมะด้วยตนเองจริงๆมักเป็นทั้งแรงบันดาลใจให้คิดริเริ่มอยากอ่านโดยไม่ต้องมีใครชักชวน
บุญที่อยากทำเองย่อมให้ผลเหนือกว่าบุญที่ได้รับการชักชวนจากคนอื่น
ทั้งในแง่ของความเร็ว ความเป็นใหญ่ และความคงเส้นคงวาในการให้ผล
๓)
ความตั้งใจขณะใช้เสียง
คือเวลาเปล่งเสียงแต่ละคำเป็นไปอย่างลวกๆหรือประณีต
เท่าที่เห็นคนมีหน้าที่เป็นอาชีพส่วนใหญ่ทำๆไปสักพักจะชิน ความตั้งอกตั้งใจจะลดลง
(ซึ่งก็เป็นกันทุกวงการ ทุกสาขาอาชีพ)
แตกต่างจากมือสมัครเล่นที่เอาจริงเอาจังเพราะรักจะทำชั่วครั้งชั่วคราว
หากเสียงที่ออกมาชัดถ้อยชัดคำ ถูกจังหวะจะโคน ถูกต้องตามประโยคดั้งเดิมไม่ผิดพลาด
ผลคือความหนักแน่น
นุ่มนวล เสียงไม่ตกไม่พร่าง่าย
กับทั้งมีพลังสะกดตรึงให้คนอยากตั้งใจฟังจากต้นจนจบความโดยดี เพราะสติในการพูดจะสูงกว่าธรรมดาทั่วไป
๔)
ความต่อเนื่อง หมายถึงความยาวนานในการให้เสียงเป็นทาน
ยิ่งนานเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีผลคูณมากขึ้นเท่านั้น
ทั้งในแง่ของคุณภาพและระยะเวลาให้ผล
โดยมากแล้วการให้เสียงเป็นธรรมทานจะมีวิบากเป็นกุศลเกี่ยวกับเสียงไปจนถึงนิพพานอยู่แล้ว
แต่จะให้ผลอย่างคงเส้นคงวาในทุกภพที่เกิดตั้งแต่ต้นจนถึงอายุขัยหรือไม่
ก็ขึ้นอยู่กับว่าทำธรรมทานด้วยเสียงตลอดชีวิตหรือเปล่า
๕)
เนื้อหาธรรมะ ต้องมองตามจริงว่าธรรมะเหมือนกัน
เนื้อหาก็อาจแตกต่างกันได้ คือมีทั้งธรรมะระดับกรรมวิบากกับธรรมะระดับพ้นทุกข์
มีทั้งธรรมะตรงทางกับธรรมะหลงทาง มีทั้งธรรมะของพระพุทธเจ้ากับธรรมะนอกครู ฯลฯ
ทุกวันนี้มีธรรมะจากหลายแหล่งจนยากจะชี้ชัดว่าอันไหนผิดอันไหนถูก
ถ้าถูกนั้นถูกหมดหรือเปล่า
เครื่องสะท้อนอย่างหนึ่งก็คือการเปล่งเสียงของธรรมะที่ถูกต้อง
จะให้ผลเป็นความรู้สึกถูกต้องเกี่ยวกับการพูดโดยรวม
เป็นเสียงที่ให้ความกระจ่างแก่คนฟัง
นอกจากนั้นยังมีผลข้างเคียงอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเสียง
เช่นถ้าอ่านธรรมะที่ตรงทางมากๆ จะยังผลให้เจ้าของเสียงเข้าใจธรรมะง่าย
อยู่ในครรลองของธรรมะที่ถูกต้องไปเรื่อย
แต่หากอ่านธรรมะที่ผิดมากๆ
จิตใจจะขุ่นมัว มีความรู้สึกขัดแย้งในตัวเอง
เข้าใจอะไรผิดพลาดบ่อยทั้งที่เป็นเรื่องพื้นๆ
(เท่าที่เห็นในภาคสนามจริงๆคืออาจเห็นผิดเป็นชอบ
มองไม่เห็นบาปโดยความเป็นบาปไปเลย)
กล่าวโดยสรุปสำหรับข้อนี้คือถ้ามีอาชีพเกี่ยวกับการใช้เสียง
และต้องอ่านธรรมะออกอากาศหลากหลาย ก็น่าเห็นใจครับที่ตกอยู่ในความเสี่ยงผิดเสี่ยงถูกคละเคล้ากันโดยไม่รู้ตัว
๖)
ผลต่อคนรับฟัง ถ้าหากทุนเก่าเกี่ยวกับเสียงดีพอ
คือสามารถเหนี่ยวนำให้ผู้รับฟังคล้อยตาม และเกิดศรัทธาในธรรมะได้อย่างดี
จำนวนคนผู้มีโอกาสรับฟังกว้างขวาง
รวมทั้งเจ้าตัวผู้ให้เสียงเป็นทานได้รับรู้ถึงผลในวงกว้างแล้วเกิดใจยินดีซ้ำๆ
นอกจากให้ผลทางความกังวานของเสียงแล้ว
จะยังเป็นตัวคูณยกชั้นคุณภาพเสียงให้ขึ้นทำเนียบระดับใด
ส่วนใหญ่พวกนักร้องที่มีแก้วเสียงระดับโลกนั้น
ล้วนผ่านการให้เสียงเป็นทานแบบชักจูงจิตใจคนจำนวนมหาศาลให้เกิดศรัทธาที่ถูกต้องมาด้วยกันทั้งสิ้น
(ศรัทธาที่ถูกต้องไม่จำเป็นต้องอยู่ในขอบเขตของพุทธเสมอไป
ขอให้เข้าข่ายทำคนตาสว่างในด้านทานและศีลก็ใช้ได้แล้ว)
________________
คลิกที่คำถามเพื่ออ่านต่อ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น