ถาม : คำถามเกี่ยวกับการเจริญสติในชีวิตประจำวัน คือผมก็ทำไป
แต่ไม่รู้ต้องเน้นส่วนใดเพิ่ม
การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
ดังตฤณ:
อย่างเมื่อกี้ที่มันจะว่างไปแวบนึง
ว่างแล้ว เสร็จแล้ว ก็กลับมาปรุงแต่งใหม่ เราดูตรงนี้ ถ้าหากว่าไม่มีงานทำ
ไม่มีอะไรที่ต้องจดจ่อเป็นพิเศษ ว่างๆก็ดูอย่างนี้ก็แล้วกัน
คือสังเกตลมหายใจเฮือกสองเฮือก ไม่ต้องหลับตาก็ได้ในชีวิตประจำวัน
เมื่อเกิดความรู้สึกเหมือนกับว่างๆคลายๆขึ้นมา
ก็รู้ว่าสภาพของจิตมันมีอาการไม่ยึดมั่นถือมั่น มันมีอาการโล่งๆ
เห็นแต่ความไม่เที่ยงของลมหายใจชั่วขณะหนึ่ง แล้วพอรู้สึกกลับไปปรุงแต่งเป็นฟุ้ง
ยุ่งๆใหม่เราก็รับรู้ไปว่าจิตมันแตกต่างกันอย่างไร เห็นสลับไปสลับมาอย่างนี้
แล้วตอนทำงาน
พวกงานรูทีน (routine)
เราก็มีสติโฟกัสกับงานดีใช่ไหม
ผู้ถาม : มีครับ ถ้าไม่น่าเบื่อ
ดังตฤณ:
ถ้าเรามีความสนใจ
มีโฟกัสจริง ส่วนใหญ่สติมันก็จะไปกับงานได้ดี เราเป็นคนขี้รำคาญ คือพอไม่ชอบ
หรือว่าไม่โฟกัสแล้วเนี่ย มันจะไม่อยากจดจ่อ แล้วความฟุ้งซ่านมันก็เข้ามาได้ง่าย
รู้สึกไหมว่าเราเป็นคนขี้รำคาญ พอเรารู้สึกได้ถึงความเป็นคนขี้รำคาญเนี่ย
มันใช้ประโยชน์ได้เหมือนกัน
เวลาที่จิตไม่อยากไปจดจ่อ
ไม่อยากไปโฟกัสอยู่กับอะไร มันจะมีอาการไม่รวม ไม่นิ่ง ไม่สามารถที่จะอยู่กับอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งได้นาน
เพราะว่ามันอยากไปจดจ้องอย่างอื่นมากกว่า
หรืออยากจะหนีจากภาวะการงานตรงหน้ามากกว่า อันนั้นเป็นความปรุงแต่งแบบฟุ้งซ่าน
อุทธัจจะ เป็นอุทธัจจะ เป็นตัวความรู้สึกรำคาญใจ
เราก็ดูได้เหมือนกัน
ว่าความรำคาญใจเกิดขึ้นเมื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่สามารถดึงดูดใจเราได้
พอเห็นว่าเออ นั่นเป็นความรำคาญใจ ในที่สุดมันก็จะเหลือแต่ความมีสติรู้
ว่าความรำคาญใจนั้นมันเกิดขึ้นในชั่วขณะที่เราไม่รู้อะไรเลย
แต่ถ้าเรารู้ตัวรำคาญใจ มันก็เป็นสติชนิดหนึ่ง
แล้วถ้าหากว่าเราเห็นตัวรำคาญใจนั้นหายไป มันก็จะเหมือนกับโฟกัสกลับมา
อย่างน้อยกลับมาที่ใจ ใจที่ปราศจากความรำคาญใจ เข้าใจที่พี่พูดใช่ไหม พ้อยท์ (point) คือว่าเราเอาตัวความรำคาญใจมาใช้
ให้เห็นความแตกต่างระหว่างความรำคาญใจกับความมีสติ รู้ว่าความรำคาญใจเป็นแค่ภาวะปรุงแต่งชั่วขณะหนึ่ง
ผู้ถาม : ถ้าเกิดผมดูลมหายใจ บางทีดูอิริยาบถ
ดังตฤณ:
ไม่ว่าเราจะดูอะไรก็แล้วแต่
ให้สังเกตเข้ามาที่ใจว่ามันยังมีอาการยึดไหม
อย่างเมื่อกี้ที่ชี้ให้ดูว่าใจมันว่างไปชั่วขณะหนึ่ง
เข้าใจใช่ไหมว่าพูดถึงภาวะแบบไหน
ที่มันรู้สึกโล่งๆ ที่มันรู้สึกเหมือนไม่มีความยึดมั่นถือมั่น
เหมือนกับปล่อยไปเฉยๆ เห็นแต่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
ชั่วขณะนั้นเนี่ยมันเป็นจุดตั้งต้นที่ดี
คือเป็นจุดตั้งต้นที่เราจะสังเกตถูกว่าจิตที่มันไม่มีความยึด
จิตที่มันไม่มีความฟุ้งซ่านหน้าตามันเป็นอย่างไร
ไม่ว่าจะดูลมหายใจหรือดูอิริยาบถอะไรก็แล้วแต่
ถ้าหากว่าจำจิตแบบนี้ได้ แล้วจิตแบบนี้เกิดขึ้น เราก็ใช้เป็นตัวตั้งในการรับรู้
เปรียบเทียบ สังเกต ตอนที่ว่างกับตอนที่ว้าวุ่น
หน้าตาความแตกต่างของจิตมันเป็นอย่างไร ดูอยู่อย่างนี้เนี่ยเรียกว่าเข้ามาถึงจิต
แต่ถ้าหากว่าเราดูลมหายใจหรือว่าอิริยาบถอะไรก็แล้วแต่
แล้วเข้ามาถึงจิตไม่ถูก คือไม่รู้จะจับจุดสังเกตอาการของจิตตั้งแต่ตรงไหนเนี่ย
มันก็จะดูลมหายใจอย่างเดียว ดูแต่เปลือกนอก ดูแต่ความไม่เที่ยงภายนอก
ซึงมันเป็นของผิวๆ มันไม่ค่อยสะกิดไอ้ตัวความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นว่ามันเป็นตัวตนเท่าไหร่
แต่ถ้าลงมาถึงจิต ลงมาถึงความรู้สึกว่า เออ..เนี่ยจิตมันเปลี่ยน
จิตมันไม่เหมือนเดิมได้ นี่แหละที่มันจะเริ่มรู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่าไม่มีเรา
ผู้ถาม : สรุปว่าเน้นดูความแตกต่าง
ดังตฤณ:
ดูอะไรก็แล้วแต่
ขอให้ลงมาถึงใจ ความแตกต่างของใจ ความแตกต่างของจิต