วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ตามรู้ความโกรธอย่างเดียวไม่พอ

ถาม : เมื่อเช้าพอรู้ว่าจะมา ก็เกิดอาการอยากจะประคอง พยายามจะให้จิตมันดีค่ะ  แต่รู้ว่ามันผิด ทีนี้พอขับรถออกมาเจอรถบีบแตรใส่ ก็นึกด่าในใจเลย แต่พอเข้ามาในนี้ค่ะ พอไมค์เริ่มใกล้มาเรื่อยๆ จะเริ่มรู้สึกตื่นเต้นเยอะขึ้นเรื่อยๆ สลับกับรู้สึกกลัว ปกติในชีวิตประจำวันจะเป็นคนที่โทสะแรง พอโทสะแรงเนี่ย ศีลก็จะขาดเลย  มันจะเกิดจากฟุ้งก่อน เป็นโมหะ จะเป็นแบบนี้เลยค่ะ เลยอยากจะขอคำแนะนำค่ะ

รับฟังทางยูทูบ :  https://youtu.be/dTodUUB-e_Q
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๙
การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
๑๔ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
 

ดังตฤณ: 
ของคุณเวลาที่มันมีความรู้สึกไม่สบาย มีความรู้สึกเหมือนกับอยู่ๆ อารมณ์ที่มันเป็นลบโผล่ขึ้นมา จะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ บีบแตรหรืออะไรก็แล้วแต่ มันจะเห็นง่ายอยู่อย่างหนึ่งนะ มันจะเปลี่ยนจากสว่างเป็นมืด มันจะเหมือนกับมีผ้าดำๆ อะไรเข้ามาคลุม นึกออกใช่ไหมว่าภาพทางใจมันเป็นอย่างไร นั่นเพราะว่า ช่วงหลังๆ โดยจิตโดยเจตนาของเราเนี่ย มันเป็นไปในทางบุญทางกุศล มันถึงสว่าง แต่ในความเป็นบุญนั้นน่ะ มันหายไปทันทีที่จิตที่คิดเป็นบาปมันแสดงตัวขึ้นมา ซึ่งตรงนั้นเนี่ยถือว่าดีนะ ในทางการเจริญสติเนี่ย ถือเป็นอะไรที่มันชัดเจนดี

อย่างบางครั้งเรารู้สึกว่า จิตเราอ่อนโยนลง จิตเราเนี่ยมันมีความสว่าง มันมีความสบาย มันมีความรู้สึกว่าจะอยู่ในโลกสว่าง อยู่ในโลกของความดี ก็ให้มองไป มองเป็นจิต ว่าจิตแบบนั้นเนี่ย ทำให้รู้สึกโล่ง ทำให้รู้สึกสบาย ทำให้รู้สึกสว่าง แต่เมื่อไหร่ที่มันเกิดอารมณ์ร้าย หรือว่าเป็นอารมณ์โกรธชั่วครู่  หรือว่าจะเป็นความพยาบาทนาน ๆ อะไรก็แล้วแต่ที่มันเป็นลบ ที่มันแตกต่าง เราจะมีความรู้สึกเหมือนว่าเอาผ้าดำมาคลุม แล้วความคิดที่มันสว่างเนี่ยมันจะหายไป มันจะดับไป มันจะมีความคิดอีกแบบหนึ่งขึ้นมา

พอเริ่มสังเกตถึงความแตกต่างระหว่างจิตที่สว่างกับจิตที่มืดได้นะ เอาตัวนี้เป็นหลักก่อน มันจะเริ่มเห็นรายละเอียดของความมืดและความสว่าง ยกตัวอย่างเช่นพอมันมืดขึ้นมาเนี่ย บางทีใจมันจะรู้สึกไปด้วย คือใจตรงนี้มันจะรู้สึกอึดอัด จะรู้สึกเหมือนกับว่ามีอาการกระวนกระวาย บางทีร้อนรุ่ม บางทีมีลักษณะพลุ่งพล่าน บางทีมีลักษณะเหมือนกับกระเจิดกระเจิงเอาไม่อยู่ ถ้าเห็นภาพทางใจเป็นรายละเอียดของความมืด ว่ามันไม่ได้มืดอย่างเดียว มันมีอาการแบบอื่นๆ อย่างไรด้วย มันก็จะเริ่มแยกออก ว่าความมืดเนี่ยมันกำลังแสดงความไม่เหมือนเดิมอยู่ตลอดเวลา

อย่างของคุณเนี่ย มันเหมือนกับแยกค่อนข้างชัดเจนเลยนะ ระหว่างมืดกับสว่าง พอมืดมันมืด มืดตี๋อเลย พอสว่างก็กลายเป็นอีกคนหนึ่ง เหมือนกับข้ามพรมแดน พอข้ามพรมแดนปุ๊บ เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนหน้าตา เปลี่ยนชื่อแซ่หมด เข้าใจใช่ไหม อาการเปลี่ยนตรงนั้นน่ะ มันเหมือนกับเป็นอีกคนหนึ่ง พอมืดก็กลับเป็นอีกแบบหนึ่ง ใช้ชื่อนามสกุลเดิม ดั้งเดิมที่เคยคุ้นมานาน และบางทีน่ะ มันเป็นบางครั้งนะ คือมันมีภาพทางใจเหมือนเปลี่ยนหน้ากาก นึกออกไหม

บางทีเนี่ย พอหน้ามืดขึ้นมาเนี่ยมันคล้ายๆ จะมีอะไรมาครอบ รู้สึกไหม รู้สึกอย่างนั้นใช่ไหม น่ะ ตัวนั้นน่ะ คือเวลาที่เห็น ไม่ใช่ไปแคร์มันนะ เอ่อ มันกลายเป็นปีศาจ กลายเป็นอะไรไป แต่เราแคร์ตรงที่ว่า เราเห็นเหมือนมีอะไรมาครอบ มันคล้ายๆ ทำให้เราผลักดันให้เราดุ่มเดินไปบนเส้นทางกรรมที่มันมืด ที่มันเป็นบาป ที่เป็นอกุศล มันจะมีอาการเหมือนกับอดไม่ได้ เหมือนกับสมยอมตามมันไป ทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่ดี  โดยอาการที่เราสามารถเห็นภาพทางใจได้แบบนี้ ด้วยอาการยอมรับนะ ไม่ใช่ด้วยอาการที่จะต้องไปรู้สึกหงุดหงิดตัวเองเพิ่มเติม มันจะมีความสว่างขึ้นทันที เนี่ยมันจะสว่างขึ้นคล้ายๆแบบนี้แหละ

ผู้ถาม : แค่เข้าไปรู้มันเฉยๆ เลยใช่ไหมคะ

ดังตฤณ: 
เห็นภาพทางใจให้ตรงจุด ที่ผ่านมามันไม่ได้รู้นะ ที่ผ่านมาเนี่ย เหมือนกับพอเกิดอารมณ์โกรธ อารมณ์ที่มันคับข้อง คำว่าคับข้อง คือ อึดอัด เรารู้ว่ามันมืด แต่ไม่ได้รู้อาการของมันตรงๆ คือ รู้ในแบบที่ว่าไปจ้องดูมันเฉย ๆ ผมเปรียบเทียบว่าเป็นผ้าดำอย่างเนี้ย พอมันคลุมหน้าเราขึ้นมา เราไปจ้องว่ามันเป็นผ้าดำ แล้วไม่ทำอะไรเลย แต่ถ้าหากว่าเรารู้แบบที่มีสติเจริญขึ้นเนี่ยนะ คือมันจะไม่ยอมให้ผ้าดำคลุมอยู่อย่างนั้น คือมันจะไม่มีอาการสมยอม มันจะมีอาการสะบัดหน้านิดหนึ่งให้มันหลุด คือแบบนี้รู้อย่างเดียวไม่พอ มันต้องสะบัดออกด้วย คำว่าสะบัดในที่นี้ไม่ใช่หมายความว่าเราพยายามไปบังคับให้มันหายไปทันทีนะ แต่แค่ไม่สมยอมไปกับมัน เข้าใจคำว่ายอมไปกับมันไหม คือ มันเหมือนรู้นะ แต่ก็ยอม ยอมที่จะเป็นแบบนั้น

ถ้าหากท่าทีของการเจริญสติที่ถูกต้อง ในแบบเฉพาะของกรณีนี้นะ ก็คือว่า เรารู้และเราไม่ยอมตามมันด้วย เพราะไม่เช่นนั้นมันจะกลายเป็นข้ออ้างไปว่าเนี่ยเราก็รู้เฉยๆ และเราก็ทำไปทุกอย่างเสร็จสรรพ เรียบร้อย แบบเดิม แบบที่เคยคุ้น ที่อำนาจความเคยมันชินสั่งให้เราทำ คือมันต้องมีอาการออกมานิดหนึ่งด้วย ไม่ใช่ไปดูความไม่เที่ยงของมันอย่างเดียวมันจะไม่เห็น เพราะมันครอบเนี่ย เวลามันครอบมันครอบมิดเลย แล้วก็เรายินดีตามมันไปด้วยนะ

ผู้ถาม : กรรมฐานแบบไหนที่จะเหมาะกับตัวเองคะ ควรจะเดินจงกรม หรือนั่งสมาธิคะ

ดังตฤณ: 

เวลาที่นั่งสมาธิ เวลาที่สวดมนต์เนี่ย เรามีความรู้สึกเป็นสุขขึ้นมาเนี่ยนะ ให้เรารู้สึกถึงความสุขนั้นแล้วก็ให้คิดว่าด้วยความสุขนั้นเนี่ย เราอยากจะให้มีกับคนอื่น ทุกคนที่เราเจอ อย่างเมื่อกี้มาทันตอนนั่งสมาธิไหม ลองกลับไปนั่ง ลองฝึกดูนะ ลองเข้าไปที่ soundcloud.com/dungtrin มันมีวิธีนั่งสมาธิ เดินจงกรม แผ่เมตตาอยู่ในนั้น ครบเซ็ตเลย 

อาศัยการแผ่เมตตามันจะช่วยได้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเนี่ย คือแผ่เมตตาแบบกะปริบกะปรอย มันไม่ใช่แผ่เมตตาจริง แล้วแผ่เมตตาแบบมันจะรู้สึกว่าไม่ได้ผล เพราะว่าไม่ได้เอาความสุขเป็นที่ตั้ง ไม่ได้เอาเป็นตัวตั้ง ถ้าเอาความสุขเป็นตัวตั้ง มันจะเวิร์คกว่านี้นะ ลองเอาไปฟังดู ฟังไปด้วยทำตามไปด้วยนะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น